Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) โลกแห่งเทพนิยาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 3 โลกแห่งเทพนิยาย
สายลมแผ่วเบาพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้าอยู่เอื่อยๆ เสียงธารน้ำไหลฟังดูเงียบสงบ ท่ามกลางป่าเขาที่แปลกตาราวกับจินตนาการไม่มีผิดเพี้ยน ซาคุโระพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากเพราะความรู้สึกเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงหลงเหลือแม้จะกระดิกนิ้วเพียงน้อยนิดก็ยังยาก หญิงสาวพยายามปรับสายตาเพื่อต่อต้านแสงสว่างที่สาดส่องเขามากระทบ
“ที่นี่…ในป่างั้นเหรอ ฉันมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฟื้นแล้วเหรอ”
เสียงทุ้มต่ำเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนดังอยู่ข้างหู พอเหลียวมองหาที่มาของเสียงก็ได้มาหยุดชะงักตรงใบหน้าอันแสนพล่ามัวของใครบางคนในระดับเดียวกับสายตา เธอกะพริบตาหลายครั้งเพื่อปรับภาพตรงหน้าให้ชัดเจน และเพียงไม่นานเมื่อเห็นภาพคมชัดขึ้นก็ถึงกับอ้าปากหวอ ใบหน้าของชายหนุ่มก้มต่ำมองเธออย่างไม่กะพริบตา และหมอนที่เธอหนุนอยู่นั้นมันก็คือตักของเขาที่เอามาให้เธอหนุนนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้!
กรี๊ดดดดดดดด!!!!~
ซาคุโระรีบดีดตัวขึ้นและถอยห่างด้วยความตกใจปะปนกับความรู้สึกเขินอายอย่างไร้เหตุผล และรัวคำถามใส่ชายหนุ่มที่ใช้นิ้วอุดหูตัวเองด้วยใบหน้าเหยเกนั้นเป็นชุด
“นายเป็นใคร! แล้วที่นี่มันที่ไหน! ฉันจำได้ว่า….ตกลงไปในหน้าผานี่นา! แล้วทำไม…”
“ใช่ เจ้าตกลงไปในหน้าผา”
ชายหนุ่มพูดบทไปง่ายๆ คำพูดแปลกๆของเขาสร้างความสงสัยระคนให้กับเธอเป็นสองเท่า
“อยากรู้ล่ะสิว่าตัวเองรอดมาได้ยังไง แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
โฮโนโอะพูดขึ้นราวกับจะรู้ความคิด ซาคุโระพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับคำถามและต้องการคำตอบ แต่แล้วคำตอบที่รอคอยกลับทำให้เธอผิดหวัง
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“หา?”
“จริงสินะ ข้ายังไม่รู้จักชื่อเจ้าเลย เจ้าลูกผู้หญิง”
ผิดหวังจากคำตอบที่ไม่ตรงประเด็นยังพอทนได้ แต่พอได้ยินคำถามเชิงกวนประสาทเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ก็ทำให้ซาคุโระหน้ามุ่ยทันที
“ซาคุโระ”
เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก แต่จะว่าไปคนๆนี้ก็เหมือนตัวละครที่อยู่ในหนังสือนิยายที่เธอเพิ่งเปิดอ่านจริงๆ
“มองข้าทำไม”
ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเย็น เมื่อถูกจ้องปานจะกินเลือดกินเนื้อ ซาคุโระพิจารณาคนที่นั่งอยู่ต่อหน้าอย่างสงสัย ก่อนที่จะเอ่ยคำถามที่ค้างคาในใจออกมา
“นายชื่ออะไรน่ะ”
“โฮโนโอะ”
ซาคุโระเลิกคิ้วสูงทันทีที่ได้ยินคำตอบของคนตรงหน้า
“โฮะ…โฮโนโอะงั้นเหรอ!”
ไม่อยากเชื่อเลยว่าชายหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าเธอตอนนี้จะเป็นคนๆเดียวกับตัวละครที่อยู่ในหนังสือนิยายเล่มล่าสุดที่เธอเพิ่งเปิดอ่านได้เพียงนิดเดียว มันเหลือเชื่อเกินไปสำหรับเธอ แต่โฮโนโอะที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้เหมือนกับตัวละครในนิยายทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าดุจน้ำทะเลที่กำลังจ้องมองเธอ
“ใช่จริงๆด้วย”
“อะไร”
“นายคือตัวละครที่อยู่ในนิยายนี่นา!”
ซาคุโระร้องออกมาซะลั่น ยกมือชี้หน้าเขาอย่างมั่นใจ ชายหนุ่มคิ้วขมวดเป็นปมจ้องมองเธอด้วยสีหน้าฉงน แน่ล่ะเขาไม่รู้จักและไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร ในขณะที่เธอเริ่มอยู่ไม่สุข
“เจ้าพูดอะไร ตัวละครงั้นเหรอ”
“นายน่ะ อีกสองคนนั่นก็ด้วย พวกนายสามคนเป็นตัวละครในหนังสือจริงๆด้วย ฉันต้องฝันไปแน่ๆ ก็พวกนายน่ะ…ไม่มีตัวตนนี่นา!”
“ไม่มีตัวตนงั้นเหรอ”
“ฉันต้องฝันไปแน่ๆ ไม่จริงใช่ไหม เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! นี่ฉันบ้าขนาดฝันเห็นตัวละครมาพูดด้วยเลยเหรอเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลย!”
แปะ!
เสียงฝ่ามือปะทับลงบนแก้มนวลทั้งสองข้าง เรียกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงให้กลับมา และเจ้าของฝ่ามืออันหนักหน่วงแสนหยาบกร้านก็คือโฮโนโอะที่กำลังขมวดคิ้วพูดขึ้นเสียงแข็ง ในขณะที่มือทั้งสองยังประคองและบังคับให้เธอเผชิญหน้า
“เลิกบ้าได้แล้ว ยายเบ๊อะ”
“กล้าดียังไงมาตบหน้าฉัน ตาบ้า!”
ซาคุโระทั้งเจ็บทั้งอาย เธอผลักอกกำยำนั้นออกห่าง แรงช้างสารของเธอทำให้เขาแทบหงายหลัง
“ก็อยากโวยวายเองทำไม”
“ตาทึ่มเอ๊ย!”
“ทึ่มตรงไหน พูดให้มันดีๆหน่อยนะ!”
ชายหนุ่มสวนกลับด้วยอารมณ์ที่ฉุนกึก นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ซาคุโระได้เจอกับคนที่มีนิสัยคล้ายตัวเอง หญิงสาวเม้มปากแน่นเพราะจนด้วยคำพูด ในขณะที่ชายหนุ่มตรงหน้ายักคิ้วให้เธออย่างกวนๆ ทำให้นึกอยากชกใบหน้าคมคายนั่นเสียแรงๆ ถ้าทำได้
ในขณะที่กำลังเชือดเฉือนกันด้วยสายตาแบบไม่มีใครยอมใครอยู่นั้น เสียงที่ดังแว่วมาแต่ไกลก็ทำให้โฮโนโอะละสายตาจากเธอและรีบมองหาทิศทางที่มาของเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงลมพัด
“เสียงมิราอิ”
ชายหนุ่มพึมพำพร้อมกับลุกขึ้นยืนมองไปยังทิศที่ตัวเองมั่นใจว่าเป็นต้นตอของเสียง เพียงเวลาไม่นานนัก ก็ปรากฏเงารางๆของชายหนุ่มสองคนตรงหางตา พวกเขาทั้งสองวิ่งมาพร้อมโบกไม้โบกมือให้แต่ไกล
“ท่านพี่ขอรับ!”
ซาคุโระจับจ้องไปที่ชายหนุ่มทั้งสองคนที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้ทุกที ชายหนุ่มที่วิ่งนำหน้ามาในตอนนี้มีรูปร่างสูงโปร่งและหน้าตาที่คมคายไม่แพ้โฮโนโอะ ผมสีดำยาวสลวยแซมด้วยริ้วสีเงินถูกรวบหลวมๆเอาไว้ด้านหลัง ผิวขาวผ่องผิดกับโฮโนโอะที่มีผิวสีแทนและการแต่งตัวที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มทั้งสองเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ ทำให้เธอมองเห็นดวงตาสีน้ำเงินที่ดูเงียบสงบและมีเสน่ห์น่าหลงใหล คนๆนี้คงจะเป็นมิราอิท่าทางเขาจะอายุใกล้กับเธอมากที่สุด ส่วนอีกคนหนึ่งที่แตกต่างไปจากคนอื่น นั่นคงจะเป็นฟุยูกิอย่างไม่ต้องสงสัย ผมสีเงินยาวระต้นคอ ดวงตาสีเข้มดุจท้องฟ้ายามรัตติกาลที่ถูกประดับด้วยดวงดาวนับล้าน ดูแล้วช่างเยือกเย็นและแฝงไปด้วยปริศนา ใบหน้าอ่อนหวานเหมือนสาวแรกรุ่นรับกับสีผิวที่ขาวอมชมพูและรูปร่างที่ยังดูเล็กเหมือนเด็กแรกรุ่นที่กำลังเติบโต
ซาคุโระพิจารณาทุกระเบียดนิ้ว ในขณะที่โฮโนโอะเปล่งเสียงทุ้มต่ำและตั้งคำถามถามชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังก้มหน้าหอบแฮกอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจ
“ไปไหนกันมา”
“ท่านพี่โกรธพวกเราเหรอ”
ฟุยูกิเอ่ยถามคนข้างๆด้วยเสียงอันเบาราวกระซิบ
“คนไม่มีเหตุผลน่ะ”
“พวกเจ้าพูดอะไร!”
ชายหนุ่มทั้งสองต่างก็มีสีหน้าซีดเซียวเมื่อได้ยินน้ำเสียงดุดันของพี่ชาย ไม่เว้นแม้แต่ซาคุโระที่หลุดออกจากห้วงความคิดเพราะเสียงที่ทรงพลังของชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้ เธอมองโฮโนโอะอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะหันไปสนใจชายหนุ่มทั้งสองที่มองมาทางเธอเป็นตาเดียว
“เธอสองคนคงจะเป็น….มิราอิกับฟุยูกิสินะ”
“ท่านคือผู้หญิงคนนั้นเหรอ”
มิราอิทึกทักพลางจ้องเธอตาไม่กะพริบ ฟุยูกิก็มองเธอเช่นกัน แต่เด็กหนุ่มกลับมีสีหน้านิ่งๆต่างจากพี่ชายทั้งสอง เด็กหนุ่มเริ่มขยับปากก่อนที่จะเปล่งเสียงออกมาเป็นคำถาม
“ท่านเป็นใคร”
“เอ๋ เอ่อคือ…ฉันชื่อซาคุโระ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ซาคุโระตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ทันใดนั้นร่างของฟุยูกิก็เริ่มโงนเงนและเซถอยหลังเหมือนกำลังหวาดกลัวเธอยังไงอย่างนั้น และยังคงเป็นมิราอิที่เข้ามาประคองเขาเอาไว้เหมือนเดิม
“ฟุยูกิ”
“เป็นอะไร”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล คิดในใจว่าเขาคงไม่ได้กลัวเธอจนช็อกหรอกนะ ในขณะที่กำลังเดินเข้ามาเพื่อดูอาการ และกำลังจะยื่นมือเข้าไปแตะร่างเด็กหนุ่ม มือหนาที่แสนหยาบกร้านของโฮโนโอะก็เข้าปัดมือเธอออกไปอย่างไม่ไยดี
เพียะ!!
“อะ! นายทำบ้าอะไรน่ะ”
เธอหันมามองหน้าชายหนุ่มอย่างฉุนๆ เขามีสีหน้านิ่งเรียบไม่ต่างไปจากเค้าเดิม พลางเข้าไปแบกร่างของเด็กหนุ่มขึ้นบ่าและเดินออกไปจากกลุ่มหน้าตาเฉย และทิ้งท้ายด้วยประโยคสั้นๆ
“ตอนนี้ฟุยูกิกำลังป่วยอยู่”
“เขาไม่สบายเหรอ”
“นี่ เจ้าผู้หญิง” เขาเรียกเธอโดยที่ไม่หันกลับมามอง
“อะ! อะไร”
“เปล่า….ไม่มีอะไร อยู่ในที่โล่งอย่างนี้มันอันตราย รีบไปกันเถอะ น้องชายข้าต้องการพักผ่อน”
ว่าแล้วเขาก็เดินนำหน้าไปพร้อมกับร่างเด็กหนุ่มที่พาดอยู่บนบ่า ตามด้วยมิราอิที่เดินไปเงียบๆ
“นี่! รอด้วยสิ”
ซาคุโระกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามชายหนุ่มที่เดินจ้ำอ้าวไปข้างหน้าโดยไม่มีท่าทีจะหยุดรอ ในป่าที่ดูแปลกตาเกินความเป็นจริงที่เคยพบเจอทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ตกลงว่าที่นี่มันที่ไหนกันนะ ทำไมอึดอัดอย่างนี้ แปลกเกินไปที่จะเป็นโลกของเราจริงๆด้วยสิ”
หญิงสาวพลัดถิ่นพึมพำกับตัวเองพลางเหลียวมองดูสภาพแวดล้อมตลอดทางที่เดินไป และได้หยุดสายตาไว้ที่แผ่นหลังของชายหนุ่มทั้งสองที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกล ถึงจะบอกว่าพวกเขาเป็นตัวละครในหนังสือนิยายก็เถอะ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ไม่ใช่ ถ้าหากเป็นตัวละครจริงๆแล้วทำไมพวกเขาถึงเคลื่อนไหวและพูดตอบสนองเธอได้ทุกอย่าง และที่สำคัญเธอได้แตะต้องโฮโนโอะและมั่นใจว่านั่นเป็นร่างกายที่มีเลือดเนื้อไม่ต่างไปจากเธอเลย
“เป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ ท่านซาคุโระ”
“เฮือก!”
คำถามที่ดังสอดแทรกเข้ามาท่ามกลางความคิดทำให้ซาคุโระตกใจจนแทบกระโดดเหมือนกระต่าย มิราอิหันมามองเธอและยังลดความเร็วมาเดินอยู่ข้างๆ แถมสายตานั้นยังมองเธอเหมือนกำลังเป็นห่วง
“มะ ไม่มีอะไร”
รู้อยู่ตลอดเลยเหรอว่ามองอยู่….
“คิกๆ…ดูเหมือนท่านจะระแวงข้ากับท่านพี่อยู่นะ”
มิราอิพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มและหัวเราะคิกคัก ดูท่าทางเหมือนเขาจะเห็นเธอเป็นตัวตลกยังไงอย่างนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งฉุน
“ปะ เปล่าซักหน่อย! อย่างฉันน่ะ มะ ไม่กลัวใครหน้าไหนอยู่แล้วล่ะน่า”
“หึ อย่างนั้นเหรอขอรับ เก่งจังนะ”
ชายหนุ่มยังคงหัวเราะคิกคักราวกับเห็นเป็นเรื่องสนุก ซาคุโระรู้สึกเหมือนมีไฟมาสุมที่หน้าทุกครั้งที่มองหน้าของผู้ชายที่เดินอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ความโกรธหรือความฉุนใดๆ แต่กลับเป็นความร้อนที่เหมือนจะเผาแค่หน้าให้แดงขึ้นมาอย่างนั้น และในขณะที่มองใบหน้าใสๆของชายหนุ่มที่หัวเราะคิกคักไม่ยอมหยุดเธอก็เดินไปชนเข้ากับข้อศอกของโฮโนโอะที่หยุดเดินกะทันหัน
ปึก!
“อุ๊บ! จะหยุดเดินก็บอกกันบ้างสิ”
ซาคุโระแว้ดใส่เขาพลางยกมือขึ้นมาลูบจมูกด้วยความเจ็บอย่างฉุนๆ ไม่มีคำตอบและคำพูดใดๆจากชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขานิ่งเงียบและเหมือนกำลังมองอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างหน้า มิราอิเดินขึ้นมาหยุดอยู่ข้างๆ สีหน้าท่าทางขี้เล่นเมื่อครู่ได้หายไปและเหลือไว้เพียงสีหน้าที่จริงจังและระวังตัวอย่างมาก ซาคุโระไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอมองไปทางเดียวกับชายหนุ่มทั้งสอง และสายตาต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างเลือนรางของหญิงชรายืนขวางทางอยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่มากนัก
“นั่นใครน่ะ”
“เจ้ามองเห็นด้วยเหรอ เหลือเชื่อนะ”
โฮโนโอะพูดผ่านๆพลางจับจ้องอยู่ที่ร่างเลือนรางตรงหน้าไม่วางตา ซาคุโระจ้องมองดวงตาสีขาวคู่นั้นเข้าอย่างจัง ทั้งที่อยากละสายตาออกมาแต่ก็เหมือนถูกอะไรบางอย่างตรึงเอาไว้ ไม่นานก็รู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างรอบตัวดับวูบลงและเหลือไว้เพียงความมืดที่ว่างเปล่า
พลั่ก!
…………………….
“เจ้าหญิงริคกะ ตื่นเถอะท่าน”
เสียงดังก้องกังวาน และจับทิศทางไม่ได้ สักพักเปลือกตาคู่หนาก็ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างยากลำบาก ทันทีที่ได้สติซาคุโระรีบดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ยั้งรออะไร
“ที่นี่ที่ไหนกัน”
“ฟื้นแล้วเหรอ”
ซาคุโระรีบมองหาทิศทางของเสียงทันที และได้เห็นหญิงชรานั่งอยู่บนแท่นหินไม่ไกลจากที่เขาอยู่เท่าไหร่นัก
“ที่นี่ที่ไหน!”
“หึๆๆ อย่าห่วงไปเลย มองดูรอบตัวท่านก่อนสิ”
หญิงชราพูดยิ้มๆ ซาคุโระไม่รอช้าที่จะกวาดตามองไปรอบๆอย่างพิจารณา ถ้าเดาไม่ผิดที่นี่เป็นถ้ำและปากถ้ำก็จะมีน้ำตกขวางกั้นเป็นเหมือนประตู
“ฟื้นแล้วเหรอขอรับท่านซาคุโระ”
“มิราอิ!…ฟุยูกิ!”
“ค่อยยังชั่ว ข้านึกว่าท่านจะเป็นอะไรไปซะอีก”
“เอ๊ะ!? ฉันน่ะเหรอ”
“ท่านซาคุโระสลบไปตั้งสามวันเลยนะขอรับ”
ซาคุโระมองหน้าชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาหา ในใจพยายามนึกคิดว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น เธอเป็นอะไรถึงได้สลบไปตั้งสามวัน
“นี่ฉันเป็นอะไรไปกันแน่ สลบไปอย่างนั้นเหรอ บ้าน่า”
“นี่ เจ้าผู้หญิง”
“เรียกเจ้าผู้หญิงๆอยู่ได้! ก็บอกแล้วไงว่าชื่อซาคุโระน่ะ ซาคุโระ ตาทึ่ม”
ซาคุโระแหวใส่แทบจะทันที โฮโนโอะนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่ที่ปากถ้ำ เขาจ้องมองเธอและไม่มีท่าทีว่าจะตอบโต้ ก่อนจะหลุบตาลงต่ำพร้อมทั้งเสียงถอนหายใจยาว
“นี่มันอะไรกัน ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“รู้จักนากิซะสิ”
“นากิเหรอ ใครคือนากิฉันไม่รู้จัก พวกนายพาฉันมาที่ไหนกันเนี่ย!”
ซาคุโระรีบสวนกลับ เธอไม่รู้จักใครไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วที่บอกว่าเธอหลับไปตั้งสามวันนั้น จะมีใครออกตามหาเธอรึเปล่านะ
“ท่านกลัวเหรอ เจ้าหญิงริคกะ”
คำพูดที่ออกมาจากปากของหญิงชรา ซาคุโระที่รู้ตัวว่าเป็นคนถูกเรียกจึงรีบตอบไปทันควัน
“หนูชื่อซาคุโระค่ะ ไม่ใช่ริคกะ”
“ข้ารู้ แต่ข้าเรียกอีกคนที่อยู่ในร่างกายของเจ้าต่างหากล่ะ แม่หนู”
“อีกคนงั้นเหรอ”
ซาคุโระเบิกตาค้างทันทีที่ได้ยินคำพูดของหญิงชรา และไม่ได้มีแค่เธอเท่านั้นที่ตกใจ ทั้งมิราอิและฟุยูกิก็มีท่าทางตกตะลึงไม่แพ้กัน เว้นเสียแต่โฮโนโอะที่เอาแต่เงียบทำหน้าเหมือนกำลังปะติดปะต่อเรื่องอะไรบางอย่าง
เรื่องพรรค์นี้ไม่มีทางที่จะเชื่อได้ลง เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง จะมีใครอีกคนอยู่ในร่างกายได้ยังไงกัน
“บ้า เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพี้ยนกันไปหมดแล้ว”
“มันเป็นไปแล้วล่ะ”
“หา!”
“จะบอกเหตุผลให้ก็ได้ สิ่งที่บ่งบอกความเป็นจริงในคำพูดของข้าน่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามีดวงจิตของเทพธิดาสีเงินแล้วล่ะก็ คงจะไม่มีทางที่จะมาที่นี่ได้หรอก กระทั่งทายาทแห่งราชันย์ทั้งสามคนนี้เจ้าก็คงมองไม่เห็นพวกเขาอย่างแน่นอน”
“อะ อะไรกันน่ะ มีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอ….โฮโนโอะ”
ซาคุโระลุกเดินเข้าไปกระตุกแขนเสื้อชายหนุ่มอย่างอยากรู้ แต่เขากลับมีท่าทีที่นิ่งเฉย ทั้งมิราอิและฟุยูกิก็ได้แต่เงียบไม่ปริปาก
“อย่าเอาแต่เงียบสิ! บอกมานะ นายรู้อะไรแล้วที่นี่มันที่ไหน”
เธอกระชากแขนเสื้อของเขาอย่างแรง โฮโนโอะไม่ตอบและเอื้อมมือมารวบมือเรียวบางนั้นเอาไว้แน่น เธอชะงักไปชั่วขณะ และทันใดนั้นเสียงทุ้มเล็กๆก็เอื้อนเอ่ยแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง
“เสียงผู้หญิงที่เรียกข้าอยู่…คือนางเหรอขอรับ”
“รู้ตัวจนได้สินะ…ใช่แล้วล่ะ เสียงที่ท่านได้ยินก็คือเสียงของเทพธิดาสีเงิน เจ้าหญิงริคกะยังไง”
หญิงชรานากิเสริมพร้อมทั้งต่อความหมายให้เข้าใจ มิราอิถึงกับคิ้วขมวดทันที เหมือนกับว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ฟุยูกิที่ทำท่าจะเข้าใจเรื่องราวในตอนแรกก็ได้แต่เอียงคอทำหน้าฉงน
“เทพธิดาสีเงินอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
ทั้งมิราอิ ฟุยูกิ ไม่เว้นแม้แต่ซาคุโระได้แต่พึมพำด้วยสีหน้าฉงนงงงวย ยกเว้นเสียแต่โฮโนโอะที่เอาแต่เงียบไม่ปริปาก หญิงชรามองสีหน้าชายหนุ่มที่ปิดปากเงียบมานาน ก่อนที่จะหลับตาลงผ่อนลมหายใจและเอ่ยออกมาบางประโยค
“เทพธิดาสีเงินคือเด็กทารกที่ท่านเห็นไงล่ะ”
“เด็กทารก?”
แน่นอนว่าคนที่เห็นและจับต้องได้มีเพียงโฮโนโอะเท่านั้น
“ไร้สาระสิ้นดี จะบอกว่าวิญญาณของเขาไม่ได้แหลกสลายแล้วก็เข้าไปสิงอยู่ในร่างของฉันงั้นสิ บ้าไปกันใหญ่แล้ว”
“ท่านซาคุโระ!”
สายตาทุกคู่หันมาจับจ้องซาคุโระเป็นตาเดียว เธอลุกยืนจังก้าและพูดออกมาอย่างไม่รั้งรอสิ่งใด สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอตอนนี้ไม่ได้ทำให้คนอย่างเธอเชื่อเท่าไหร่ และยังคิดอยู่เสมอว่านี่คือความฝัน และแค่เดินออกไปจากที่นี่หรือหลับตาลงล่ะก็เธออาจจะกลับไปยังโลกของเธอก็ได้
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเทพธิดาสีเงินนั่นเป็นใคร แล้วที่นี่จะเป็นที่ไหนก็ช่างเถอะ แต่ฉันไม่คิดที่จะฟังเรื่องเหลือเชื่ออย่างนี้ต่อไปแล้ว ฉันจะกลับบ้านของฉัน”
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” นากิเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ทำไมล่ะ ตอนเข้ามาก็ยังมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องออกไปได้เหมือนกันนั่นแหล่ะ”
“ถ้าทำอย่างนั้นตัวเจ้าจะเป็นอันตรายนะ แม่หนู”
“ไม่สน!”
“กลับมานั่งลงก่อน”
“ไม่!”
“บอกให้นั่งก็นั่งสิ เจ้าหญิง”
น้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็งที่ไหลผ่านแผ่นหลัง ดังมาพร้อมกับดวงตาสีขาวที่จับจ้องเธออย่างจริงจัง ในไม่ช้าร่างบางก็ทรุดฮวบนั่งนิ่งกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“อะไรกัน ร่างกายฉัน…ไม่มีแรง”
หมับ!
มิราอิเข้าไปประคองร่างที่โงนเงนเหมือนจะล้ม พลางหันมามองหญิงชราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทันใดนั้นคนที่เอาแต่ปิดปากเงียบมานานอย่างโฮโนโอะก็พูดขึ้น
“ปล่อยเอาไว้อย่างนั้นแหล่ะ”
“ท่านพี่”
“แค่โดนโซ่ล่ามเอาไว้ สักพักก็คงหาย”
โฮโนโอะเล่ารายละเอียดให้น้องชายฟังเพราะรู้รสชาติของมันดี เพราะมันเป็นวิชาพันนาการที่ร้ายกาจและเกือบจะทำให้เขาเอาชีวิตไม่รอดเมื่อครั้งยังเด็ก นากิยิ้มพลางหัวเราะกลั้วลำคอเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจดจำวิชาของหล่อนได้อย่างละเอียด
“หึๆๆๆ อย่างที่เขาพูด อย่าห่วงไปเลย”
“อย่ามัวตีหน้าเซ่อ สิ่งที่ข้าต้องการรู้จากปากเจ้า ไม่ใช่คำล้อเลียนไร้สาระ บอกมาว่าจะให้นางออกมาจากร่างนั้นได้ยังไง”
“ท่านพี่ รู้เรื่องนี้มาตลอดเลยเหรอ”
โฮโนโอะจ้องมองหญิงชราเพื่อต้องการคำตอบ ไม่สนใจคนข้างๆว่าตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเพิ่งเปิดเผยมากน้อยแค่ไหน สีหน้าของนากิเปลี่ยนไป แววตาเริ่มเรียบเฉยแต่ก็แฝงไปด้วยพลังมหาศาล ก่อนที่จะเอ่ยปากเล่าเรื่องที่ถูกเล่าขานกันมานานแสนนาน
“ข้าไม่รู้ว่าท่านรู้เรื่องมากน้อยเพียงใด แต่ว่านานมาแล้ว ตั้งแต่เริ่มกำเนิดเทพกษัตริย์ทั้งสี่ มีสถานทีหนึ่งที่สามารถคืนชีพให้กับเหล่าเทพได้ นั่นคือทะเลสาบสีเงิน”
“ทะเลสาบสีเงิน”
“ว่ากันว่า หากผู้ที่มีวิญญาณสองดวงในตัวคนเดียวลงไปในทะเลสาบนั้น ดวงวิญญาณทั้งสองก็จะแยกออกจากกัน มิหนำซ้ำคนที่ตายไปแล้วแต่ยังมีร่างกายสมบูรณ์ ยังสามารถคืนชีพได้ด้วยน้ำในทะเลสาบนั้นด้วย”
“แต่นั่นเป็นแค่ตำนาน เรื่องนั้นข้าก็เคยได้ยินจากท่านพ่อท่านแม่”
มิราอิแทรกขึ้น ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องซับซ้อนเกินที่จะเชื่อ นากิหลับตาผ่อนลมหายใจพักหนึ่งและพูดต่อ
“ใช่ มันเป็นตำนาน แต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็น่าจะบ่งบอกได้ดีอยู่แล้ว…เด็กสาวที่พวกท่านพบเจอผ่านร่างของแม่หนูคนนั้น นางคือเทพพิทักษ์ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในโลกใบนี้”
“ไม่เข้าใจ”
“แต่ข้าเข้าใจ”
“ฟุยูกิ!”
นากิยิ้มอย่างพอใจ ไม่แปลกหรอกถ้าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเข้าใจได้ง่ายดาย เพราะเขามีบางอย่างที่เกี่ยวพันกับเทพธิดาสีเงิน แต่ว่าจะรู้ตัวมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพลังกดดันที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวด
“สิ่งที่ท่านแม่บอกไว้เป็นความจริงสินะ”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจ”
มิราอิหันไปหาพี่ชายแต่ก็ไร้ซึ่งสิ่งที่ไขความกระจ่าง สีหน้าโฮโนโอะเรียบเฉย แต่ซาคุโระยังสังเกตเห็นเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาชัดเจน ไหล่ทั้งสองข้างสั่นผิดปกติ เหมือนกำลังหวาดหวั่นและมีเรื่องสับสนอยู่ภายในใจ
“ทะเลสาบสีเงิน…มันอยู่ที่ไหนกัน”
“อยู่กลางหุบเขาที่ถูกสาปแช่งให้หลับไปตอลดกาล”
“หุบเขาต้องคำสาปเหรอ”
“ใช่แล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ นอกจากปีศาจอสูรที่หลบซ่อนตัวจากการตามล่าของยมทูตเท่านั้น ชื่อของมันคือ หุบเขาหลับใหล ซึ่งเมื่อหลายพันปีก่อนมันควรจะเป็นอาณาจักรของท่าน เจ้าหญิง”
ซาคุโระฟังเรื่องราวประหลาดจากปากของนากิในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่โฮโนโอะไม่ลดละ ชายหนุ่มนิ่งเงียบไม่ไถ่ถามหรือโต้แย้ง แต่กลับมีท่าทีเหมือนกำลังหวาดหวั่นอะไรบางอย่าง
ในขณะที่ความเงียบเข้ามาคลุมเครือไปทั่วทั้งถ้ำที่คับแคบ แรงสั่นสะเทือนที่ปะทุขึ้นกะทันหัน ก็ทำให้พวกเขาแทบจะทรงตัวไม่อยู่
ครืนน!
“อะ! นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ความชั่วร้ายได้มาเยือนแล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
มิราอิหันมาถามหญิงชราอย่างข้องใจ แต่ก็สายไปเมื่อร่างของหญิงชราได้เลือนหายไปจากแท่นหิน พื้นหินภายในถ้ำถูกเจาะทะลุขึ้นมาจากด้านล่าง ในชั่วพริบตาก็ปรากฏโซ่สีดำขนาดใหญ่ และพุ่งเข้ามารัดร่างซาคุโระที่ยังนั่งนิ่งเพราะมนตร์สะกดที่ยังไม่คลายออก
เคร้ง!
“กรี๊ดดด!!!”
“ท่านซาคุโระ!”
“ช่วยด้วย!”
ทั้งมิราอิและฟุยูกิที่เข้ามาหมายจะยื้อร่างบางที่ถูกโซ่รัดและเหวี่ยงขึ้นกลางอากาศ แต่ก็สายเกินเอื้อมเพียงอึดใจ ทั้งสองต่างคว้าได้เพียงอากาศและล้มคะมำอย่างไร้ทางต้าน
พลั่ก!!!
“ท่านซาคุโระ!”
“ช่วยด้วยยยยยยยยยยยย!!!!!”
“เกะกะลูกตา!”
ฉับ!
ในชั่วพริบตาโซ่สีดำที่พันธนาการร่างของหญิงสาวก็ถูกตัดขาดเป็นท่อนๆ ร่างบางๆร่วงสู่พื้นอย่างรวดเร็วโดยปราศจากสิ่งรองรับ
ตุ้บ!
“ทำบ้าอะไรของนายน่ะฉันเจ็บเป็นนะ!”
ซาคุโระหันไปตะคอกใส่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยความฉุน โฮโนโอะมีสีหน้านิ่งเรียบและไม่สนใจเจ้าของเสียงแว้ดๆที่อยู่ด้านหลัง ในชั่วพริบตาที่ตัดโซ่นั้นด้วยฝ่ามือโดยไม่ทันคิดว่าซาคุโระยังไม่คลายจากมนตร์สะกดและจะหล่นลงมากระแทกพื้นอย่างนี้ มิราอิเข้ามาประคองหญิงสาวที่ลูบก้นตัวเองอยู่ป้อยๆ การกระแทกอย่างแรงทำให้เธอหลุดจากมนตร์สะกดได้อย่างน่าประหลาด
“ท่านซาคุโระ เป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ”
“ก็เจ็บน่ะสิถามได้!”
หญิงสาวพูดเหมือนประชดแต่ก็ยอมให้ชายหนุ่มเข้ามาประคองลุกอย่างไม่ขัดข้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หลุมขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะทะลุขึ้นมาจากเบื้องล่าง
“โซ่นั่นมาจากไหนกันนะ แล้วทำไมต้องเจาะจงมาที่ฉันด้วย”
“อันตราย!!”
“ว้าย!”
พลั่ก!
ซาคุโระรู้สึกเหมือนถูกมือคู่หนึ่งเข้ามาผลักจากด้านหลัง เรี่ยวแรงที่มหาศาลนั้นทำให้เธอลอยละลิ่วไปข้างหน้าเหมือนกำลังพุ่งหลาว แต่คราวนี้มีสิ่งมารองรับเอาไว้ไม่เหมือนตอนแรก แผ่นหลังบางๆชนเข้ากับหน้าอกกำยำของใครคนหนึ่งที่เข้ามารับเอาไว้ มือทั้งสองข้างประคองหัวไหล่ของเธอพร้อมกับน้ำเสียงราบเรียบที่กระซิบข้างหู
“ไม่เป็นไรนะ”
“อะ อืม”
สีหน้าของโฮโนโอะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเค้าเดิม ความเงียบของเขาทำให้เธอไม่กล้าปริปาก ไม่นานนักแรงสั่นสะเทือนก็เข้ามาคุกคามอีกครั้ง และครั้งนี้ก็รุนแรงกว่าครั้งแรก
“นี่มันอะไร”
คำพูดสุดท้ายแทบจะไม่มีเสียงออกมา สายตาของฟุยูกิมองเห็นร่างสูงใหญ่พร้อมทั้งผิวสีเข้มยิ่งกว่าโฮโนโอะพี่ชายของตน และพอเห็นใบหน้าที่โผล่พ้นออกมาให้เห็น เด็กหนุ่มก็แทบผงะ
“เหวอ!”
ฟุยูกิมองเห็นปีศาจเร็วกว่าใคร ร่างกายสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ยืน
“หึๆๆ ข้าได้กลิ่น ช่างหอมหวนชวนน้ำลายสอจริงเชียว”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกแต่ก็ฟังดูน่าสะอิดสะเอียนไปพร้อมกัน ร่างสูงใหญ่พร้อมๆทั้งสีผิวที่เหมือนถูกไฟแผดเผาจนเกรียม ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าทุกคนและเบนสายตามาหาซาคุโระที่ถูกโฮโนโอะรั้งไว้แนบกายไม่ยอมห่าง เมื่อรู้สึกถึงความน่ากลัวที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาร่างของเธอก็สะท้านกระทั่งโฮโนโอะก็ยังรู้สึกไปด้วย เขาปรายตามองเธอก่อนที่จะจับจ้องไปที่อสูรกายร่างยักษ์ตรงหน้า เช่นเดียวกับมิราอิที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“รู้สึกว่า ความน่ากลัวจะเข้ามาทักทายเราก่อนนะ”
ชายหนุ่มเจ้าของผมสองสีพึมพำขณะที่ความชั่วร้ายกำลังแผ่ซ่านออกมาจากตัวอสูรกายสร้างความกดดันมากขึ้นทุกที ฟุยูกิไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะยืนและล้มพับไปกองกับพื้นอย่างไร้ทางต้าน มิราอิรั้งแขนเขาเอาไว้ก่อนที่จะล้มหน้าทิ่มพื้น ดวงตาสีน้ำเงินที่ดูอ่อนโยนเมื่อครู่ได้กลับกลายเป็นความแข็งกร้าวเมื่อได้สบตากับอสูรกาย นานแสนนานจะมีสักครั้งที่ความคิดของสองชายหนุ่มพี่น้องจะตรงกัน
“หาเวทีประลองฝีมือดีกว่านี้หน่อยดีไหม”
“เห็นด้วยเลย”
ชั่วพริบตาที่มีรอยยิ้มแสยะปรากฏที่มุมปากของชายหนุ่มทั้งสอง ภายในถ้ำที่เต็มไปด้วยหินก็ถูกพลังทำลายอัดจนแหลกกระจุยทะลุออกมาจากน้ำตกที่ขวางกั้น
ตูมมม!!
.................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ