Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ

8.1

เขียนโดย zusuran

วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.

  28 ตอน
  0 วิจารณ์
  28.05K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) เปิดฉาก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 4 เปิดฉาก

 

                   ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ในชั่วพริบตาก็กลับกลายเป็นลานดินกว้างพร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้เพราะพลังสองขั้วที่เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ซาคุโระถูกช่วยออกมาแต่ก็ยังป้อแป้ไร้เรี่ยวแรง และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้คืออสูรร่างยักษ์

“เจ้าสินะที่เป็นผู้ใช้เพลิงปีศาจ”

                   อสูรร่างยักษ์ขู่คำรามราวกับเสียงฟ้ายามมีพายุ พร้อมกับชี้นิ้วมาที่โฮโนโอะที่ยืนเงียบไม่สะทกสะท้าน

“เก่งนี่ไอ้หนู ตัดโซ่ของข้าขาดแล้วยังทำลายวิถีมารของข้าได้อีก”

“เจ้าเป็นใคร” มิราอิแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

“อยากรู้ว่าข้าเป็นใครมากขนาดนั้นเชียวเหรอ”

                 คำพูดและน้ำเสียงที่เยาะเย้ยทำให้มิราอิเดือดพล่านและควบคุมอารมณ์โทสะไม่อยู่ พลังในตัวที่พยายามกดเอาไว้ได้ล้นทะลักออกมาภายนอก แต่ก่อนที่ได้ใช้พลังที่เดือดพล่านนั้นชายหนุ่มก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมือเรียวยาวแสนหยาบกร้านของพี่ชายเข้ามาแตะหัวไหล่เบาๆ ไม่นานความรู้สึกเดือดพล่านเมื่อครู่ก็หายไปราวกับถูกดูดกลืน

“ท่านพี่”

“มันไม่ใช่คู่มือที่เจ้าต้องลดตัวลงไปสู้ด้วยพลังสูงขนาดนั้นหรอก มิราอิ”

“ปากดีนักนะเจ้าหนู อ้อ ข้าจำได้แล้ว เจ้ามันเด็กขี้แยคนนั้น”

“รู้จักท่านพี่ด้วยเหรอ”

                 โฮโนโอะยังนิ่งเฉยไม่สนใจสายตาระคนที่มองเขาไม่ละวาง มิราอิขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมพี่ชายถึงห้ามเอาไว้ ทั้งที่การกำจัดปีศาจที่เข้ามาทำร้ายตัวเองนั้น จะใช้พลังแบบไหนก็ไม่เห็นสำคัญตรงไหน ในใจของโฮโนโอะคิดอะไรอยู่ เขาคนนี้ที่เงียบงันดุจกระแสน้ำที่ไหลลึกลงไปจนสุดหยั่ง ความเยือกเย็นที่ตัดกับบุคลิกภายนอกและตรงข้ามกับพลังที่ใช้โดยสิ้นเชิง

“ทำไมถึงได้เยือกเย็นขนาดนี้นะ ทำอะไรสักอย่างสิ ปัดโธ่” มิราอิพึมพำแต่ก็แผ่วเบาจนไม่มีใครฟังออก ความนิ่งของชายที่ยืนข้างเขาทำให้เขาชักหมดความอดทนเต็มที

“ถ้าไม่ฆ่ามันล่ะก็!...”

“เรื่องนั้นข้ารู้น่า”

                ในที่สุดโฮโนโอะที่เอาแต่เงียบมานานก็ยอมปริปาก แต่น้ำเสียงนั้นดูเยือกเย็นยิ่งกว่าสีหน้าท่าทางเมื่อครู่ และคำพูดที่ออกมาจากปากเขาก็ทำให้คนที่ฟังอยู่ถึงกับชะงักไปทันที

“รีบพาฟุยูกิกับเจ้าผู้หญิงนั่นออกไปจากที่นี่ ไปให้ไกลที่สุดยิ่งดี”

“ว่าไงนะ!”

“รีบไปซะ”

“ทำไม”

                 มิราอิไม่เข้าใจและเริ่มคัดค้าน แต่ไม่ทันเท่าไหร่ก็ถูกโฮโนโอะย้ำเสียงเข้มเหมือนดุ

“ไม่ต้องเถียง บอกให้ไปก็รีบไป”

“ท่านพี่”

“ดูให้ดีสิ”

“อะ!”

                 ทันทีที่หันกลับไปมองคนที่อยู่ด้านหลังมิราอิก็ถึงกับเลิกคิ้วสูง เมื่อฟุยูกิน้องชายคนเล็กของเขามีสีหน้าท่าทางที่แปลกไปจากเดิม เด็กหนุ่มมีเหงื่ออาบท่วมตัวราวกับเพิ่งตากฝนมาใหม่ๆ ลมหายใจติดขัดและเสียงดังจนได้ยินชัดเจน

“ฟุยูกิ”

“เจ็บ~”

                  มือขวาของเด็กหนุ่มยกขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายอย่างรวดเร็ว ใบหน้าสีขาวอมชมพูกลับกลายเป็นขาวซีดไร้สีเลือด พร้อมทั้งร่างกายทุกส่วนที่สั่นสะท้านจนควบคุมไม่อยู่

กลัวเหรอ…

                   มิราอินึกในใจพลางมองสีหน้าท่าทางของน้องชาย ในใจเขาคิดเช่นนั้นเพราะฟุยูกิไม่เคยพบเจอปีศาจหรืออสูร เขาเป็นแค่เด็กที่เพิ่งโตขึ้นมาได้ไม่เท่าไหร่ ไม่แปลกหรอกที่เขาจะหวาดกลัวกับปีศาจที่เพิ่งเห็นครั้งแรก ขณะที่ตกอยู่ในห้วงความคิด เสียงของโฮโนโอะก็ดังแทรกเข้ามาชัดเจน

“รีบไป”

“เข้าใจแล้ว”

                   ชายหนุ่มแบกร่างอันไร้เรี่ยวแรงของผู้เป็นน้องออกไปจากลานดินกว้างและมุ่งหน้าเข้าไปในป่าทึบ ซาคุโระลังเลที่จะตามไป เธอหันกลับมามองโฮโนโอะที่ยืนหันหลังให้ ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดอะไรชายหนุ่มก็ชิงสั่งให้เธอหลบไปซะก่อน

“เจ้าก็ไปด้วย เจ้าผู้หญิง”

“เอ๊ะ”

“ไปสิ”

“อ๊ะ!...อะไรกัน ฉันไม่ได้เป็นตัวถ่วงของใครนะ ให้ฉันอยู่ด้วยเถอะ”

“เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”

“หา”

“เป้าหมายของมัน ไม่สิ เป้าหมายของปีศาจทั้งหมดก็คือตัวเจ้านั่นแหล่ะ รู้หรือเปล่า!!!”

                    ชายหนุ่มพูดเหมือนตะคอกอย่างโมโห ซาคุโระชะงักพูดอะไรไม่ออก เป้าหมายของพวกปีศาจคือเธอ ซึ่งเธอไม่เคยรู้เลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมเขาเพิ่งมาบอกเธอเอาตอนนี้นะ

“ปะ เป็นไปไม่ได้ ฉันน่ะเหรอ ฉันน่ะเหรอ!”

“รู้ตัวจนได้สินะ แต่ว่ามันสายไปแล้วล่ะ!”

“อะไร”

                    โฮโนโอะก็ถูกฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเล็บแหลมคมดุจมีดดาบตบเข้าอย่างแรง และลอยละลิ่วไปตามแรงที่มหาศาล

 

ผัวะ!

 

โครมมม!!!

 

“ฮะ โฮโนโอะ!”

                   ซาคุโระรีบตรงเข้าไปหาชายหนุ่มที่ตกลงมานอนอยู่ท่ามกลางซากปรกหักพังของหิน แต่ขณะที่จะยื่นมือเข้าไปหาก็ถูกตะคอกกลับมาด้วยน้ำเสียงดุดัน

“เป็นอะไรหรือเปล่า!”

“บอกให้รีบไปไงเล่า! ดื้อด้านจริง!”

“ทำไมต้องตะคอกด้วย!”

“ขอทีเถอะ! ถ้ารักชีวิตก็จงรีบไป ไปซะ!”

                  โฮโนโอะพยายามลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากและหันหลังให้หญิงสาวโดยไม่สนใจว่าเธอจะตกตะลึงขนาดไหนกับคำพูดของเขา เธอไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำตามที่เขาบอก

 

“ยังไงก็อย่าตายซะล่ะเจ้าคนเถื่อนติงต๊อง”

 

                   สิ้นสุดประโยคสุดท้ายซาคุโระออกหันหลังให้และวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงโฮโนโอะที่ยังยืนนิ่งชะงักกับคำพูดทิ้งท้ายของเธอ

 

“ข้าน่ะเหรอจะตาย…อย่าล้อเล่นรึเปล่า”

 

                   ชายหนุ่มพึมพำพร้อมทั้งกำมือแน่นจนสั่น คำพูดที่หญิงสาวทิ้งท้ายไว้กระเด้งกระดอนอยู่ในหัวใจอย่างไร้ทางออก

 

                   ปีศาจมองตามร่างบางที่กำลังจางหายไปกับม่านควันจางๆ ลูกตาขนาดใหญ่กลอกกลิ้งไปมาเหมือนจะถลนออกมาภายนอกเพราะความโกรธ และไม่คิดที่จะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ โซ่สีดำที่ถูกตัดขาดไปมากกว่าครึ่งยังหลงเหลือ และมันก็ถูกเหวี่ยงตามเงาที่กำลังวิ่งออกไปทันที

“คิดว่าจะหนีข้าพ้นเหรอ ไม่ว่าใครก็หนีโซ่แห่งความตายของข้าไม่พ้นหรอก!”

หมับ!

“อ๊ะ!”

“คิดจะทำอะไร เจ้าปีศาจสกปรก”

“หนอย~ โอหังนักนะ แกไม่ได้ตายดีแน่ ข้ากาโระจะฉีกแกเป็นชิ้นๆคอยดู!”

                   ทันใดนั้นขวานเล่มมหึมาก็ปรากฏในมือของอสูรกาโระหมายจะฟันร่างของโฮโนโอะให้ขาด แต่ชายหนุ่มก็กระโดดหลบหลีกได้อย่างเฉียดฉิว

“เจ้าชื่อกาโระหรอกเหรอ”

                  ชายหนุ่มแสยะยิ้มในขณะที่ร่อนลงมายืนบนด้ามขวานของกาโระที่พลาดเป้าและติดอยู่กับซอกหิน

“ข้าอยู่นี่ กาโระ”

                  สิ้นเสียงเย็นยะเยือก ฝ่ามือเรียวยาวก็กระแทกเข้ากับหน้าอกกำยำของปีศาจอย่างแรง แรงอัดกระแทกที่มีพลังมหาศาลทำให้ร่างใหญ่ยักษ์ของกาโระกระเด็นออกกระแทกกับโขดหินที่อยู่ไกลออกไปหลายเมตร

 

โครมมมม!!!

 

“อั๊ก!!”

 

                 เสียงกระอักเลือดออกมาอย่างเจ็บปวด โชคดีที่ร่างกายของมันแข็งแรงดุจเหล็ก ฝ่ามือของโฮโนโอะจึงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากอัดกระแทกให้บอบช้ำ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังรุนแรงจนทำให้อวัยวะภายในสั่นสะเทือนและเจ็บปวดได้ไม่น้อย

“เป็นอะไรไป ลุกขึ้นมาสิ”

“อย่าได้ใจไปหน่อยเลย ไอ้หนู!”

                  กาโระจับจ้องโฮโนโอะอย่างโกรธแค้น หากแต่ชายหนุ่มกลับเฉยชาไม่แสดงท่าทีใดๆออกมา ตรงข้ามกับความรู้สึกสังหรณ์ที่อยู่ในใจ ว่าคนที่กำลังหนีไปจะไปได้ไกลขนาดไหน โดยเฉพาะหญิงสาวที่เป็นเป้าหมายของพวกปีศาจ ถึงมีวิญญาณของเทพธิดาสีเงินอยู่ แต่ตอนนี้เธอไร้ซึ่งพลังใดๆจึงทำให้เขาเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูกและไม่ทันที่ความคิดนั้นจะหายไป เสียงกรีดร้องที่ดังมาจากอีกฟากของป่าทึบก็ทำให้เขาต้องสะดุ้งทันที

 

กรี๊ดดดดดด!!!!

 

“เฮือก!”

 

                    โฮโนโอะหันไปทางทิศที่มาของเสียงทันที แรงระเบิดที่รุนแรงสั่นสะเทือนออกมาไกลจนเขาก็รู้สึกได้ชัดเจน รวมทั้งม่านควันสีดำที่ลอยขึ้นปกคลุมท้องฟ้าอย่างผิดปกติ

“ไม่จริง!”

                    ชายหนุ่มก้าวเท้าถอยออกจากการต่อสู้อย่างรวดเร็ว เพื่อจะมุ่งหน้าไปยังต้นตอของเสียงที่อยู่อีกฟากของป่า แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อโซ่เส้นใหญ่โผล่ขึ้นมาจากดินและล้อมเขาเอาไว้เหมือนคอก

“คิดจะห่วงคนอื่นก็เอาชนะข้าให้ได้ก่อนเป็นยังไง! เจ้าหนู!”

                    กาโระขู่คำรามและไม่มีท่าทีว่าจะหลีกทางให้ง่ายๆ โฮโนโอะหมดหนทางที่จะออกจากวงล้อมนั้นไปได้ ชายหนุ่มหลบโซ่ที่เหวี่ยงเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเข้าประชิดและสวนกลับด้วยฝ่ามืออันหนักหน่วงนั้นอีกหน

“ข้าไม่มีธุระอะไรกับเจ้า!”

“หืม”

                     กาโระทำเสียงขึ้นจมูกและจ้องมองสีหน้าที่เดือดพล่านของชายหนุ่มอย่างเย้ยหยันพร้อมทั้งหลบฝ่ามือพิฆาตของชายหนุ่มได้อย่างพลิ้วไหว ก่อนที่จะเหวี่ยงโซ่ฟาดเข้าที่กลางหลังอย่างไร้ปราณี

 

เพียะ!

 

“อึ้ก!”

 

พลั่ก!

                     ใบหน้าโฮโนโอะบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดที่แผ่นหลัง ร่างโปร่งเซถลาไปด้านหน้าก่อนที่จะล้มลงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ความเจ็บปวดทำให้เรี่ยวแรงหดหาย เหมือนกับว่าร่างกายทุกส่วนจะเป็นอัมพาตไปแล้ว

 

                     ซาคุโระวิ่งพ้นออกมาจากป่าทึบได้สำเร็จ จนถึงอีกฟากของป่าซึ่งค่อนข้างจะโล่งเตียน แต่ทันใดนั้นก็ถูกเล่นงานจากด้านหลังโดนไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่หลบได้ทันแต่ก็ต้องบอบช้ำไปไม่น้อย และตอนนี้เธอก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับเจ้าตัวประหลาดมีปีกที่เล่นงานเธอเมื่อครู่

 

ตูมมมมม!!!

 

“แค่กๆ…เกือบไปแล้วสิเรา แล้วนี่มันตัวอะไรกันเนี่ย”

“หึๆๆ เจอตัวแล้ว เจ้าหญิง”

“อะไร เจ้าหญิงอะไร”

                     ซาคุโระยังตกตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เหนือศีรษะ ปีศาจรูปร่างคล้ายยักษ์แต่มีปีกเหมือนค้างคาว และที่สำคัญมันพูดได้และจ้องจะเล่นงานเธอ

“แกเป็นใคร เป็นพวกเดียวกับเจ้าตัวเมื่อกี้นี้เหรอ”

                     เธอเปล่งเสียงออกมาเป็นประโยคคำถาม ถึงจะกลัวแค่ไหนแต่ก็ต้องทำใจแข็งไม่ถอยหนี เพราะรู้สึกได้ว่าถ้าเธอก้าวเท้าวิ่งออกไปเมื่อไหร่ มันต้องเล่นงานเธออีกอย่างแน่นอน

“ใจกล้าไม่เบานี่สาวน้อย แสดงว่าเจ้าพบนายท่านกาโระแล้วสิ”

“กาโระ… หรือว่าเจ้ายักษ์อัปลักษณ์ที่โฮโนโอะสู้ด้วยนั่น ชื่อกาโระงั้นเหรอ”

                      ซาคุโระพึมพำกับตัวเองพลางจ้องปีศาจที่ลอยตัวอยู่ตรงหน้าตาไม่กะพริบ และดูท่าว่ามันจะดูออกว่าเธอกำลังเจ็บ

“ดูท่าทางเจ็บไม่น้อยเลยนี่ นังหนู”

“แกเป็นใคร แล้วต้องการอะไรจากฉัน”

“หึ ชื่อของข้าคือคานอล เป็นลูกน้องคนสนิทของกาโระ และสิ่งที่ข้าต้องการก็คือ…ชีวิตและดวงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในร่างของเจ้ายังไงล่ะ”

                   น้ำเสียงสุดท้ายเย็นยะเยือกดุจก้อนน้ำแข็งที่ไหลผ่านสันหลังไปอย่างช้าๆ ซาคุโระชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะออกแรงวิ่งหนีอุ้งมือของคานอลที่เอื้อมเข้ามาหมายจะบีบให้ตาย มือของปีศาจค่อยๆคืบคลานเข้ามาหาอย่างช้าๆ แต่เพราะร่างกายที่บอบช้ำเกินกว่าจะต้านทาน ทำให้เธอขยับไม่ได้

 

พลั่ก!

 

                    เพราะขาเจ้ากรรมดันยกไม่ขึ้นและอ่อนแรงไปเสียดื้อๆทำให้ต้องล้มไถลไปกับพื้นดิน ความเจ็บปวดเปลี่ยนเป็นความด้านชาตรึงแขนขาจนขยับไม่ไหว ในระหว่างนั้นมือขนาดใหญ่ที่แสนสกปรกโสโครกก็เข้ามาประชิดตัวเธออย่างง่ายดาย

“ฮี่ๆๆ หมดทางหนีแล้วสิ ท่านเทพธิดา”

“อึก~ ฉันไม่ใช่เทพธิดาอะไรนั่น! อย่าเข้ามานะเจ้าตัวโสโครก!”

                   หญิงสาวแว้ดกลับด้วยความกลัว พยายามขยับหนีเงื้อมมือนั้นแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลบพ้น

นี่เธอจะต้องจบชีวิตลงตรงนี้จริงๆเหรอ…

                  ในช่วงเวลาสั้นๆที่หลับตากรีดร้องในใจอย่างสิ้นหวัง ก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งวิ่งผ่านหน้าไปเฉียดๆ พอลืมตาขึ้นก็ได้พบกับแสงสีขาวที่พาดผ่านหางตาไปเฉียดๆ และพุ่งเข้าไปอัดกระแทกเจ้าปีศาจตรงหน้าจนถอยกรูดออกห่างไปหลายเมตร

 

ตูมมมมม!!

“อ๊ากกกกกกกก!!”

 

                  ซาคุโระเลิกคิ้วสูงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ทันใดนั้นร่างโปร่งชุดสีขาวก็ปรากฏข้างกาย

 

“มิราอิ!”

 

“ท่านซาคุโระ ปลอดภัยดีใช่ไหมขอรับ”

                   ชายหนุ่มตรงเข้ามาประคองพร้อมทั้งเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ซาคุโระส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะละสายตากลับไปหาปีศาจคานอลที่ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลใหญ่และหนักเอาเรื่อง สายตาอาฆาตจ้องมาที่ชายหนุ่มที่ทำให้มันบาดเจ็บอย่างโกรธแค้น ก่อนที่โซ่ขนาดใหญ่ที่พาดบนตัวของมันจะคลายตัวออกและพุ่งเข้ามาเหมือนซัดหอก

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืนกล้าทำให้ข้าบาดเจ็บ อย่าอยู่เลย! ย้ากกกก!!!”

“ระวังข้างหลัง!”

                   ซาคุโระตะโกนสุดเสียง มิราอิได้เพียงเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะพาเธอพุ่งทะยานขึ้นกลางอากาศเพื่อหลบโซ่ที่พุ่งเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง แต่การโจมตีของคานอลยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เพราะนอกจากโซ่ขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ล้มไดโนเสาร์ได้แล้ว ยังมีขวานที่เป็นอาวุธชิ้นสำคัญของมันอยู่ ในขณะที่มิราอิชะล่าใจกับโซ่ที่พุ่งเข้าทำลายก้อนหินตรงหน้า สายตาของซาคุโระก็เห็นขวานขนาดมหึมาที่ลอยละลิ่วเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“อะ อันตราย!”

“อ๊ะ! แย่แล้ว ตกเป็นเป้านิ่งของมันจนได้”

“ฮ่าห์!!ตายยยยยยยยยยย!!!”

                   ขวานเล่มใหญ่มหึมาลอยละลิ่วเข้ามาคล้ายกับมุมเมอแรงที่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง จนหมดทางที่จะฝ่าออกไปข้างนอกวงล้อมนี้ได้ ซาคุโระหลับตาแน่นและซุกหน้าเข้ากับอกมิราอิ ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากจะใช้ร่างกายตัวเองป้องกันเอาไว้ แต่ในชั่วพริบตาก็รู้สึกถึงไอเย็นบริสุทธิ์ที่เข้ามาห่อหุ้มเอาไว้อย่างรวดเร็ว

 

กึงงงงงงงงงง!!!!!!!

 

“อ๊ะ! อะไรกัน”

                     คานอลเลิกคิ้วสูงทันทีที่เห็นอาวุธของตนถูกสะท้อนกลับมา มิราอิลืมตาขึ้นมามองจึงได้รู้ว่าไอเย็นที่สัมผัสได้นั้นก็คือกำแพงน้ำแข็งที่ล้อมรอบอยู่

 

“ฟุยูกิ!”

 

                   เด็กหนุ่มปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าและเผชิญหน้ากับปีศาจ ตรงข้ามกับปีศาจที่ยังมีสีหน้างงฉงนและอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวนี้เป็นใคร

 

“เจ้าเป็นใคร”

 

“แฮ่กๆๆ…จำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยเหรอ”

                    เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก แต่ก็ยังมีเสียงหายใจที่หอบเหนื่อยดังคละเคล้าออกมาให้ได้ยิน คานอลโกรธจัดพร้อมกับเหวี่ยงโซ่และขวานออกมาหมายจะตัดหัวเจ้าของคำพูดโอหัง

“เจ้าเด็กเมื่อซืนพูดจาโอหังนัก! จงขาดเป็นสองท่อนซะเดี๋ยวนี้เถอะ!”

                    ขวานเล่มใหญ่พุ่งเข้าหาฟุยูกิหมายจะตัดให้ขาดเป็นสองท่อน ซึ่งในตอนนี้ฟุยูกิที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ คงไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน

 

“ตายซะเถอะ!!!!”

“ท่านซาคุโระ ข้าขออภัยด้วย”

 

“เอ๊ะ! อะไร”

 

“ก็อย่างนี้ไงขอรับ!”

 

วู่ว!

 

“กรี๊ดดดด!!!”

 

                      ซาคุโระสาบานตรงนี้เลยว่าเธอจะไม่เชื่อใจคนหน้าตาดีเด็ดขาด เห็นหน้าหวานๆก็นึกว่าจะอ่อนโยน ที่ไหนได้ มันเล่นโยนเธอลงไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยซะนี่! ถึงจะมีพุ่มไม้รองรับแต่เธอก็ยังเจ็บอยู่ดี

 

ตุบ!

 

“เจ็บนะ!”

 

ตูม!!

 

ตึงงงง!!

 

                     เพียงเสี้ยวนาทีก่อนที่ขวานจะเข้ามาตัดร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนเป็นเป้านิ่ง แสงสว่างวาบจนแสบตาก็อำพลางให้บางอย่างเข้ามากระแทกให้มันเปลี่ยนทิศทางจากเป้าหมาย ขวานเล่มมหึมาหล่นลงบนพื้นดินดังสนั่นหวั่นไหวไปถ้วนหน้า

 

“ท่านพี่!”

“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าตามมา”

“ตอนนี้ข้าสบายมากขอรับ ท่านซาคุโระ ไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ”

                    ฟุยูกิร่อนตัวลงสู่พื้นอย่างนิ่มนวล เด็กหนุ่มยืนอยู่ข้างๆทิ้งระยะห่างจากเธอเป็นเมตร สายตาจับจ้องไปที่มิราอิที่กำลังเผชิญหน้ากับคานอล

“วิถีทำลายของพวกเทพงั้นเหรอ ท่าทางจะไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ อย่าบอกนะว่าต้องการตัวเทพธิดาสีเงินเหมือนกัน แต่คงแย่หน่อยนะ เพราะข้าก็ต้องการเหมือนกัน คงจะยกให้ไม่ได้หรอก กลับไปหาพ่อแม่ซะไป๊!”

“หนวกหู!”

                 น้ำเสียงเกรี้ยวกราดมาพร้อมกับลูกไฟสีขาวที่ถูกขว้างออกมาอย่างแรง คานอลเอี้ยวตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด และไม่ลืมที่จะเยาะเย้ยในฝีมือของอีกฝ่าย

“ฝีมือใช้ได้นี่นาเจ้าหนู แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นล่ะมั้ง!”

“พูดดีไปเถอะ ของจริงมันต่อจากนี้ต่างหาก”

“หือ”

                ลูกไฟสีขาวนับร้อยถูกขว้างออกไปด้วยอารมณ์ที่ฉุนขาด คานอลหลบพ้นบ้างไม่พ้นบ้าง ในขณะที่มิราอิยังคงขว้างออกไปไม่ยั้ง จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่งเขาก็เริ่มเหนื่อยเพราะใช้พลังไปมากเหลือเกิน

“ยังไม่ตายอีกเหรอ”

“ท่านพี่ขอรับ!”

“รีบพาท่านซาคุโระหลบไปก่อน เร็ว!”

“แต่ว่า…”

“รีบไปซะ!”

“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

                  ชายหนุ่มทั้งสองหันไปมองร่างบางที่สะบักสะบอมที่พยายามฝืนตัวลุกและเดินลากขามาหาพวกเขาที่ยืนอยู่ไม่ไกล

 

“ไล่ฉันก็แล้ว! โยนฉันก็แล้ว! พอกันที ไม่เอาแล้ว!”

 

                 ซาคุโระขยับเขยื้อนตัวอย่างยากลำบาก แต่ก็ยังฝืนเดินออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ เอาไงเอากัน ยังไงก็ไม่มีทางเลือกที่ดีไปกว่าการเจ็บตัวอยู่แล้ว

 

“เฮ้ย! ไอ้ปีศาจหมูตอน!”

 

                 ว่าพลางชี้นิ้วไปที่คานอลซึ่งกุมใบหน้าตัวเองอยู่กลางอากาศ น้ำเสียงแข็งกระด้างทำให้ปีศาจหันมามองด้วยอารมณ์ที่ฉุนกึก

 

“ใจกล้าไม่เบานี่นังหนู กล้าเรียกข้าว่าหมูตอนเหรอ!”

“จะให้เรียกอีกกี่ครั้งก็ได้ ไอ้หมูตอนงี่เง่า เก่งนักก็มาดวนกันหน่อยมา!”

 

                 มองเห็นมิราอิและฟุยูกิอ้าปากค้างตาแทบถลนอยู่ไกลๆ และคนที่ตั้งสติได้ก่อนก็ได้สวดเธอซะยกใหญ่

“จะบ้าเหรอ พูดอะไรออกไปรู้ตัวบ้างหรือเปล่า!”

“ก็แล้วไงล่ะ”

“ยังจะมาถามอีก นั่นมันปีศาจนะ!”

                 ชายหนุ่มทั้งสองตวาดพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย และทันใดนั้นเองโซ่สีดำเส้นมหึมาก็พุ่งเข้ามารัดร่างของเขาสองคนอย่างง่ายดาย ขึ้นชื่อว่าปีศาจคงไม่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือ คานอลกระชากโซ่เหวี่ยงร่างชายหนุ่มทั้งสองขึ้นกลางอากาศก่อนจะกระชากให้ลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก ชายหนุ่มทั้งสองหล่นกระแทกพื้นดินจนเกิดควันโขมง

 

ตูมมมมม!!

 

“อั๊ก!”

 

“ฟุยูกิ! มิราอิ!”

                   ซาคุโระมองไปชายหนุ่มที่นอนกองกับพื้นอย่างไร้ทางต้าน ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นแสงสีดำวูบวาบที่หางตา

 

“ตายซะเถอะ!”

 

“ไม่นะ!”

                   ลูกไฟสีดำแหวกอากาศผ่านใบหน้าซาคุโระไปเฉียดๆ แต่ก็พลาดเป้าเพราะมิราอิมองเห็นและเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า ชายหนุ่มลุกขึ้นปัดลูกไฟที่พุ่งเข้ามาด้วยมือเปล่าก่อนที่จะกระโจนเข้าไปผลักฟุยูกิออกจากวิถีทางที่อีกลูกพุ่งเข้ามาติดๆ เป็นเหตุให้ทั้งคู่ต้องกระเด็นกระดอนออกไปราวกับลูกบอลและชนเข้ากับต้นไม้ที่ขวางทางอยู่จนหักครึ่ง

 

โครม!

 

“มิราอิ! ฟุยูกิ!”

 

                    ซาคุโระพยายามฝืนสังขารลากขาเกผลกเข้าไปหาทั้งคู่ แต่เพียงเสี้ยวนาทีก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบจนขยับตัวต่อไปไม่ไหว

 

“ท่านซาคุโระระวังข้างหลัง!”

 

                    ได้ยินเสียงและเห็นมิราอิที่ตั้งท่าจะเข้ามาคว้าตัวเธอ แต่แล้วโซ่สีดำที่โผล่ขึ้นมาจากดินก็พุ่งหลาวเข้ามารัดคอกระชากเขาออกไปฟาดกับก้อนหินที่อยู่ใกล้ๆ

 

ตูมมมม!

 

“ท่านพี่ขอรับ!”

 

                        ฟุยูกิร้องเสียงหลงและวิ่งเข้าไปรับร่างชายหนุ่มที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากก้อนหิน ไม่มีการตอบสนองใดๆจากเจ้าของร่างที่บอบช้ำ ซาคุโระได้แต่มองโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้ เธอละสายตาจากชายหนุ่มหันมาจับจ้องปีศาจราวจะกินเลือดกินเนื้อ คานอลยิ้มอย่างพอใจก่อนที่จะเข้าประชิดตัวพร้อมทั้งมือที่เต็มไปด้วยเล็บสีเขียวเข้มเข้าจู่โจมบีบคอระหงของเธออย่างไร้ปราณี

 

หมับ!

 

“ทีนี้ก็ถึงตาเจ้าแล้ว คายดวงวิญญาณนั่นออกมาซะดีๆ”

“บ้าบอคอแตก ฉันคายมันออกมาได้ซะที่ไหนกันเล่า!”

“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องให้เจ้าสละชีวิตตัวเองซะแล้วล่ะ เด็กน้อย”

                       ร่างกายทุกส่วนถูกยกขึ้นจากระดับพื้นดินที่ยืนอยู่ เท้าทั้งสองข้างกวัดแกว่งไปมาพร้อมทั้งมือทั้งสองที่พยายามง้างมือที่บีบคอตัวเองออกอย่างไม่ยอมแพ้

“อึก~ปล่อยนะ!”

“เสียใจที่ข้าทำตามคำสั่งเจ้าไม่ได้”

                      คานอลออกแรงบีบคอซาคุโระอย่างไร้ปราณี เป้าหมายคือดวงวิญญาณของเทพธิดาสีเงินที่อยู่ในตัวเธอ แววตาอำมหิตจับจ้องใบหน้าที่ซีดเซียวเพราะขาดอากาศหายใจ ด้วยความรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

“จงตายแล้วมอบดวงวิญญาณเทพธิดามาซะ!”

“ชิ บ้าที่สุดเลย นี่ฉันต้องมาตายที่นี่งั้นเหรอ ฉันไม่เคยรู้เรื่องของเจ้าพวกนี้ซะหน่อยทำไมต้องมาเจอเรื่องบ้าๆอย่างนี้ด้วย เจ็บใจๆ จริงๆ ไอ้หมูตอนบ้า! ถ้าฉันมีพลังเหมือนเจ้าพวกนั้นล่ะก็!...”

“เอ้าๆเป็นอะไรไปล่ะ ยอมแพ้แล้วเหรอ”

“หนอย~ ถ้าฉันมีพลังล่ะก็!...”

“หืม…”

 

“ฉันจะอัดแกให้กระเด็นออกไปนอกโลกเลย!!!”

 

                     ประโยคสุดท้ายดังก้องกังวานพร้อมๆกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายปรากฏขึ้นมากะทันหัน ฝ่ามือบอบบางปรากฏแสงสีเงินสว่างวาบและอัดกระแทกเข้าที่หน้าอกของคานอลอย่างแรงสมใจอยาก

 

ตูมมมมม!!!!!~~

 

                     เสียงอัดกระแทกของพลังปริศนาดังสนั่นไปทั่วทั้งป่า แสงสีเงินทะลุปีกของคานอลออกไปอย่างง่ายดาย เสียงร้องโหยหวนเพราะความเจ็บสุดบรรยายได้ดังขึ้นตามมาติดๆ

ซาคุโระหล่นฮวบลงบนพื้นดิน ก่อนที่จะมองคานอลที่ร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับมือตัวเองที่ยังมีความรู้สึกอุ่นนิดๆ

 

“แฮ่กๆ อยากบีบคอฉันดีนัก สมน้ำหน้า…แต่ว่าเราเป็นคนทำงั้นเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย”

 

                    หญิงสาวพึมพำเสียงแผ่วพลางจับจ้องที่มือของตัวเองอย่างสงสัย ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจากฝ่ามือธรรมดาๆที่มีรอยถลอกเพราะล้มลุกคุกคลานเกลือกกลั้วกับดิน แต่ความสงสัยนั้นก็ถูกตัดทิ้งไปเมื่อเธอนึกได้ว่ายังมีชายหนุ่มทั้งสองอยู่ด้านหลัง

 

“จริงสิ ฟุยูกิกับมิราอิล่ะ”

 

“ทะ ท่านซาคุโระ”

 

“ทั้งสองคน เป็นยังไงบ้าง อ๊ะ!”

                     ไม่ทันที่จะเข้าไปถึง โซ่สีดำเจ้าเก่าก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและรัดคอชายหนุ่มทั้งสองลากออกไป

 

ครืดดดด!!!!

 

“ฮ่าๆๆ ตายซะเถอะ!”

                     เสียงคำรามบ้าคลั่งของคานอลดังก้องมาพร้อมอากาศ ฟุยูกิและมิราอิถูกโซ่พันธนาการไว้อย่างแน่นหนา พวกเขาทั้งสองถูกเหวี่ยงขึ้นไปกลางอากาศทิ้งระดับสูงยิ่งกว่ายอดไม้ ฟุยูกิยังเหลือสติและพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานพลังที่เหนือกว่า ในที่สุดก็อ่อนปวกเปียกโอนเอนไปตามแรงเหวี่ยง ร่างของเขาและมิราอิถูกเหวี่ยงออกไปคนละทาง ก่อนที่จะพุ่งเข้ากระแทกกับต้นไม้และก้อนหิน

 

ตึงงงงงงงง!!!!!

 

โครมมม!!~~

 

“ยะ หยุดนะ!”

 

“ฝันไปเถอะ เจ้าทำข้าแสบนักนะนางหนู สองคนนี่มันต้องตาย!”

 

ตูมมมมมมมมมม!!!!!!~

 

                 ซาคุโระได้เพียงมองร่างชายหนุ่มทั้งสองที่ยังคงถูกโซ่พันธนาการและโอนเอนไปตามแรงเหวี่ยงที่บ้าคลั่ง กระแทกกับก้อนหิน ต้นไม้ กระทั่งผืนน้ำที่ตื้นเขิน คานอลไม่มีท่าทีว่าจะหยุดและยังคงเหวี่ยงโซ่ไปรอบๆอย่างสนุกสนาน

“ฮ่าๆๆ!!! สนุกจริงๆ ข้าจะทรมานพวกมันจนตายเลย!!!”

“หยุดนะ!”

“ก๊าก!! ฮ่าๆๆ”

“บอกให้หยุดไงเล่า!”

                   ซาคุโระไม่เคยโกรธใครมากขนาดนี้มาก่อน เธอแผดเสียงร้องจนไม่รู้ว่าลูกคอจะแตกหรือเปล่า ทันใดนั้นท้องฟ้าและบรรยากาศรอบตัวก็เริ่มแปรปรวนอย่างรุนแรง ความเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจได้แผ่ขยายปกคลุมออกไปทั่วทั้งป่า

 

ครืนนนน~

 

“อะ! นี่มัน เกิดอะไรขึ้น!”

                 คานอลหยุดชะงักไปทันตาเห็น โซ่ได้คลายออก ทั้งมิราอิและฟุยูกิต่างก็ร่วงลงสู่พื้นอย่างโรยแรง

 

“ระบมไปหมดเลย”

                 มิราอิบ่นอิดออดเมื่อลืมตาฟื้นขึ้นมาเพราะแรงกระแทกจนระบมไปทั่วร่าง ฟุยูกิยังกุมหน้าอกตัวเองเอาไว้แน่นพร้อมทั้งจับจ้องไปยังร่างบางของหญิงสาวที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลง เสียงหัวใจเต้นรัวคล้ายๆจะทะลักออกมาภายนอก

 

ตึกตัก! ตึกตัก!

 

“เจ็บ~…..เจ็บอะไรอย่างนี้ เห็นคนๆนั้นอีกแล้ว อึก!!!”

 

พลั่ก!

 

“ฟุยูกิ!”

                       มิราอิรีบปรี่เข้ามาหาเด็กหนุ่มที่ล้มฟุบทั้งที่ตัวเองก็สะบักสะบอมไม่แพ้กัน แต่ในขณะนั้นสายตาก็ได้เหลือบไปเห็นการเปลี่ยนแปลงของหญิงสาว ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่ามีร่างของคนๆหนึ่งกำลังปรากฏทับซ้อนขึ้นมา

 

“นั่นอะไร....”

 

                       คานอลได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของซาคุโระไม่น้อย มันรีบพาร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลถอยห่างทันที แรงสั่นสะเทือนของผืนดินได้ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อฝ่ามือของหญิงสาวได้วางทาบกับพื้นดินเบาๆ ผืนดินค่อยๆแตกระแหงและแยกออกจากกลายเป็นเหวลึก มิราอิต้องพยุงตัวอยู่กลางอากาศพร้อมทั้งแบกร่างฟุยูกิเอาไว้เพื่อไม่ให้ตกลงไป เช่นเดียวกับคานอลที่พยุงตัวอยู่กลางอากาศด้วยปีกที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว หุบเหวที่เกิดจากการแยกตัวของผืนดินลึกและมืดดำเหมือนเส้นทางสู่นรก

                      ในชั่วพริบตาที่สายตาทุกคู่มองเห็นประกายแสงสีเงินที่รายล้อมรอบตัวหญิงสาว ผืนดินทั้งหมดก็ถล่มทะลายลงไปในหุบเหวนั้นจนเกิดเป็นหลุมใหญ่และน่าสะพรึงกว่าเดิมหลายเท่า

 

ครืนนนน!

 

“พลังอะไรกันเนี่ย ร้ายกาจจริงๆ ท่านซาคุโระ ไม่สิ….ไม่ใช่!”

                      มิราอิพึมพำพลางจ้องมองร่างเด็กสาวที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมประกายสีเงินรายล้อมอย่างพิจารณา เด็กสาวอายุน้อยกว่าที่คิดผมยาวสลวยสีเงินได้ครอบครองร่างของซาคุโระโดยสิ้นเชิง

 

                      สายตาที่จับจ้องร่างสีเงินที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ไม่ได้มีแค่มิราอิกับคานอลเท่านั้น ห่างออกไปจากหุบเหวที่ลึกสุดหยั่ง บนยอดไม้ที่สูงตระหง่าน นากิยังมองมายังร่างของเด็กสาวนั้นอย่างตาไม่กะพริบ ก่อนที่ริมฝีปากเหี่ยวย่นจะขยับเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างคุ้นเคย

 

“ยังต้องหัดควบคุมพลังตัวเองอีกมากนะ เทพธิดาสีเงิน”

 

                      ร่างของหญิงชราค่อยๆหายไปจากยอดไม้ ความแปรปรวนของผืนดินทั้งป่ายังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และการสั่นสะเทือนก็ทำให้ผู้ที่กำลังต่อสู้อยู่อีกฟากหนึ่งของป่ารับรู้ได้อย่างชัดเจน

 

                     โฮโนโอะกำลังประมือกับกาโระอย่างดุเดือด แต่แรงสั่นสะเทือนและพลังปริศนาที่รุนแรงพวยพุ่งออกมาดุจพายุทำให้ทั้งคู่หยุดชะงัก

“อะไรกัน พลังมหาศาลจริงๆ”

“บ่นพึมพำอะไรอยู่ได้ หา!”

 

ตูม!!

 

“ชิ ยังไม่ยอมเลิกราอีกเหรอ สารรูปแบบนี้น่ะ”

“หนวกหู ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้!”

“เหรอ น่าสนุกดีนี่ ถ้าทำได้ก็ลองดู!”

“สามหาวมากไปแล้วไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!”

                     กาโระฉุนขาดโจมตีเข้าใส่ไม่ยั้ง โฮโนโอะตั้งรับและป้องกันได้ดีแต่ก็รุกลำบากมากขึ้น คู่อริเก่าที่เคยปะทะกันเมื่อครั้งที่เขายังเด็ก แต่เพราะไหวพริบทำให้เขาชนะไปอย่างไม่ต้องเหนื่อย กาโระคงจะผูกใจเจ็บมาตั้งแต่วันนั้น และตอนนี้มันก็ตั้งใจจะฆ่าเขาให้ตายเพื่อทำลายปราการความแค้นที่สูงสุดเอื้อม การโจมตีที่รุนแรงมากกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้โฮโนโอะที่ตั้งรับสะท้านไปทั่วร่าง

“ชิ มันเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนอีกล่ะเนี่ย”

“ช้าไปไอ้หนู”

 

พลั่ก!

 

โครมมม!!

                      โซ่ขนาดใหญ่เข้ามารัดข้อเท้าและเหวี่ยงร่างของชายหนุ่มไปกระแทกกับโขดหินขนาดยักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ โขดหินแกร่งเริ่มมีรอยร้าวและแตกละเอียดเพราะแรงกระแทกที่มหาศาล สีหน้าชายหนุ่มบิดเบี้ยวบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแทบชา ขณะที่ปีศาจเจ้าของโซ่หัวเราะอย่างชอบใจ

“หึๆๆ เป็นยังไงล่ะไอ้หนู ยังจะปากดีอีกไหม ข้าขอปิดบัญชีแค้นกับเจ้าเอาไว้เท่านี้ล่ะนะ!”

“เจ็บจนขยับไม่ได้แล้ว”

“จบกันซะทีโฮโนโอะ ศึกนี้ข้าชนะ!”

                     กาโระแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันพร้อมทั้งกระชากโซ่ที่ยังรัดข้อเท้าโฮโนโอะเข้าไปใกล้ ก่อนที่มืออีกข้างจะยกขวานขึ้นหมายจามร่างชายหนุ่มให้ขาดสองท่อน

แต่ในขณะที่ความแค้นกำลังถูกสะสาง แรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงกว่าเมื่อครู่ก็ทำให้แผ่นดินแยกออกจากกันเป็นเหวลึก ขั้นกลางระหว่างชายหนุ่มกับปีศาจ

 

ครืนนนน!

 

“บ้าน่า อะไรกันอีกล่ะเนี่ย”

                    กาโระสบถอย่างหัวเสีย โฮโนโอะไม่รอช้าที่จะใช้ไฟบรรลัยกัลป์เผาโซ่จนขาด และผละจากการต่อสู้มุ่งหน้าไปยังต้นตอของแรงสั่นสะเทือน ความแค้นที่ฝังใจกับกาโระหดหายแห้งเหือดไปทันทีที่คิดถึงใบหน้าของหญิงสาว กาโระทำท่าจะตาม แต่ก็ไม่สามารถทนแรงสั่นสะเทือนของผืนดินที่กำลังถล่มทะลายลงได้ หากว่ามันอยู่ที่นี่หรือรั้นที่จะติดตามโฮโนโอะไป มันคงจะตกลงไปในหุบเหวที่เป็นเหมือนทางลงนรกนี้แน่ คิดได้ดังนั้นมันก็พาร่างบึกบึนที่บอบช้ำหลบไปจากตรงนั้นเพื่อเอาชีวิตรอดในที่สุด

 

                  จากร่างหญิงสาวผู้พลัดถิ่นที่มีบาดแผลเต็มตัวแทบจะยืนไม่ไหวอยู่รอมร่อ ตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กสาวผมสีเงินที่ไร้ร่องรอยขีดข่วนปรากฏขึ้นมาต่อหน้าคานอลและมิราอิ

 

“นี่มัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

                  มิราอิพึมพำปากคอสั่น พลางมองเด็กสาวตรงหน้าสลับกับน้องชายที่อยู่ในอ้อมแขน สีหน้าของฟุยูกิบ่งบอกว่าทรมานคล้ายกับตอนที่พบกับซาคุโระและเด็กสาวคนนี้ครั้งแรกบนภูเขาหิมะ

                  คานอลตกตะลึงกับพลังที่สัมผัสได้ทางจิต พลังบริสุทธิ์มหาศาลขนาดที่จะทำให้ปีศาจแหลกสลายไปในพริบตาได้อัดแน่นอยู่ในร่างของเด็กสาวผมสีเงินไม่ผิดเพี้ยน

“ช่างเป็นพลังที่ร้ายกาจอะไรเช่นนี้ นี่น่ะเหรอเทพธิดาสีเงิน ไม่คิดเลยว่าจะมีพลังสูงทั้งที่ไม่ได้อยู่ในร่างของตัวเองเจ้าพวกทายาททั้งสามต้องพานางไปที่ทะเลสาบในหุบเขาแน่ จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องรีบกลับไปบอกท่านผู้นั้นให้รู้ ถอยก่อนดีกว่า”

                  ว่าแล้วปีกสีดำที่ใช้ได้เพียงข้างเดียวก็กระพือถี่ๆพยุงร่างให้ลอยขึ้นสูง ทว่าดวงตาสีเงินคู่นั้นจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ริมฝีปากบางเริ่มขยับและเปล่งเสียงเย็นยะเยือกออกมา

 

“คิดหนีเหรอ”

 

“อะ อะไรกัน!”

 

                  นิ้วเรียวยาวชี้ไปทางร่างบึกบึนที่กำลังลอยตัวออกไปไกล ดวงตาสีเงินข้างหนึ่งหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนกำลังเล็งเป้าหมายที่บินอยู่บนฟ้า ไม่นานนักแสงสีเงินดุจเพชรก็พุ่งออกจากปลายนิ้วและตรงเข้าทะลวงร่างของคานอลจนกลวงโบ๋นำพาร่างมันหล่นลงไปในหุบเหวในสภาพที่ไร้ซึ่งลมหายใจ

 

เปรี้ยงงงงงงง!!!!!!~

 

                   แรงสั่นสะเทือนและความปั่นป่วนทั้งหมดได้สงบลงอย่างน่าประหลาด มิราอิยังตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้นต่อหน้า เด็กสาวปริศนาที่ครอบครองร่างกายของซาคุโระอยู่นี้ ได้ปลิดลมหายใจของปีศาจที่เล่นงานพวกเขาจนสะบักสะบอมเพียงนิ้วปลายในเวลาเพียงเสี้ยวนาที

 

“จะ จัดการปีศาจได้ชั่วพริบตาเชียวเหรอ”

 

                   ชายหนุ่มเบนความสนใจมาหาเด็กหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขน ฟุยูกิมีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นแต่ยังไม่ได้สติ และในระหว่างที่กำลังถอนหายใจโล่งอกนั้นเอง ภาพเล็กๆที่ปรากฏตรงหางตาทำให้เขารีบหันกลับไปหา ร่างเด็กสาวปริศนาที่ยืนอยู่กลางอากาศท่ามกลางหุบเหวลึก กำลังจางหายและปรากฏร่างของซาคุโระขึ้นมารางๆ ทว่าเธอกลับไม่เหลือสติและกำลังจะดิ่งลงไปในหุบเหว

 

“ท่านซาคุโระ!”

 

หมับ!

 

                     ก่อนที่ร่างบางๆนั้นจะร่วงลงไปในหุบเหวลึก เงาของใครคนหนึ่งก็เข้ามาปรากฏตรงหน้าและรองรับร่างนั้นเอาไว้ได้ทัน

“ท่านพี่”

“เจ้าสองคนไม่เป็นไรนะ”

                      มิราอิไม่ตอบแต่พยักหน้าเล็กน้อย พลางเหลือบมองหญิงสาวที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนของโฮโนโอะสลับกับฟุยูกิที่ยังไม่ได้สติ สีหน้าที่ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดของเขาก็ทำให้โฮโนโอะเอ่ยถามได้อย่างตรงประเด็น

 

“เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี่”

“ข้าไม่รู้ แต่ว่า…ข้ารู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นมีบางอย่างที่ผูกพันกับฟุยูกิ”

“เด็กผู้หญิง”

“คนที่เราเคยเจอบนภูเขาหิมะ….”

 

“ริคกะ”

 

                      โฮโนโอะพึมพำขึ้นมาลอยๆ รู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดกำลังจะเป็นไปตามคำสั่งเสียของราชินีผู้เป็นแม่เสียแล้ว เด็กทารกที่หายไปในตอนนั้น บางทีอาจจะมีชีวิตและหลับใหลอยู่ในตัวของผู้หญิงที่หลับอยู่ในอ้อมแขนของเขานี้จริงๆ และผู้ที่จะเป็นกุญแจนำทางก็คือฟุยูกิ เพราะเขามีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้นเหมือนฝาแฝดที่มีหัวใจดวงเดียวกัน

.....................

...................................

 

                      นานเท่าไหร่ไม่มีเวลาให้นับ เปลือกตาหนักอึ้งได้ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างยากลำบาก สิ่งแรกที่มองเห็นคือใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ยังคงจับจ้องอยู่อย่างเป็นกังวล

“ท่านซาคุโระ”

“ฟุยูกิ”

“เป็นยังไงบ้างขอรับ”

                   เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ซาคุโระยิ้มรับก่อนที่จะผุดลุกอย่างคึกคะนองเพราะคิดว่าตัวเองไม่เป็นไร

“ไม่เป็นไรเลยนี่ ฉันแข็งแรงดีทุกยะ…อะโอ๊ย!!”

                   ซาคุโระแทบจะทรุดลงไปนอนอีกรอบเพราะความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วร่าง ยังดีที่ฟุยูกิเข้ามาพยุงให้นั่งพิงกับโขดหินในขณะที่ตัวเขาเองก็ดูท่าจะเหน็ดเหนื่อยพอๆกัน

“ดูท่าทางจะยังไม่หายเจ็บสินะขอรับ พักอีกซักหน่อยเถอะ”

“อะ แต่ว่าฉันไม่เป็นไรจริงๆนะ”

“อย่าปฏิเสธตัวเองเลยขอรับ ท่านซาคุโระน่ะบาดเจ็บมากกว่าใครซะอีก บาดแผลภายนอกหายแล้วก็จริงแต่ว่ายังเจ็บอยู่ใช่ไหมล่ะ”

“อะ!...นั่นมันก็ใช่”

“พักอีกหน่อยเถอะขอรับ อีกเดี๋ยวท่านพี่ก็คงกลับมา”

                   ฟุยูกิเอื้อนเอ่ยเหมือนจะเป็นการขอร้องมากกว่า ซาคุโระถอนหายใจมองออกไปยังสุดขอบฟ้าที่มัวหม่น เด็กหนุ่มเข้ามานั่งข้างๆและมองออกไปทางเดียวกัน หลายครั้งที่เธอรู้สึกว่าเขาแอบมองอยู่ แต่ก็ไม่แสดงท่าทีว่ารู้ตัว

“ขอโทษนะ ฉันคงจะทำให้เธอลำบากมากล่ะสิ”

“เอ๊ะ”

“ถ้าหากว่าฉันมีพลังอย่างพวกนายล่ะก็คงจะดี ที่รอดมาอยู่ที่นี่ได้ คงจะเป็นเพราะโฮโนโอะกับมิราอิเข้ามาช่วยไว้ล่ะสิ”

ซาคุโระพึมพำอย่างหดหู่ แต่ดูท่าคนที่นั่งข้างๆจะหดหู่ไม่แพ้กัน

“ข้าเอง…ก็ไม่ต่างจากท่านซาคุโระหรอกขอรับ”

“เอ๊ะ”

“ข้าน่ะ…ทั้งที่มีพลังแต่ก็ยังเป็นภาระให้พี่ชายทั้งสองคอยปกป้องดูแล ข้ามันเป็นคนที่ใช้ไม่ได้เลย”

“……”

“นี่ ท่านซาคุโระ ท่านน่ะ….”

“หือ ฉันทำไมเหรอ”

“เอ่อคือ…”

                      ซาคุโระเอียงคอทำหน้าฉงน ฟุยูกิจ้องมองเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างจากเธอ เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก่อนที่จะอ้าปากพูดโฮโนโอะกับมิราอิก็โผล่มาพอดี

“ได้สติแล้วเหรอ”

“ท่านพี่”

                     เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมทั้งหลบหน้า ซาคุโระรู้ว่าโฮโนโอะมองอยู่จึงไม่กล้าเปิดปาก มิราอิเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอพร้อมกับเอ่ยถามอาการ

“ท่านซาคุโระยังเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่าขอรับ”

“อะเอ่อ…ไม่แล้วล่ะ ฉันไม่เป็นไร”

“ยื่นมือมานี่สิขอรับ”

                     ชายหนุ่มยิ้มรับและยื่นมือมาหา ซาคุโระยื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย มิราอิใช้นิ้วคลำตรงข้อมือของเธอเบาๆ เพียงชั่วเวลาเล็กน้อยก็ยิ้มเผล่พร้อมกับวางมือเธอกลับที่เดิม

“ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ดีจังนะขอรับที่ไม่เป็นอะไรมาก”

“อะ อืม”

                      มิราอิยิ้มร่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซาคุโระยังสงสัยไม่หาย เธอจำได้ก่อนที่จะหมดสติ ทั้งมิราอิและฟุยูกิถูกเล่นงานจนสาหัส แต่ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความบอบช้ำใดๆ

“มิราอิ ทำไมถึง…”

“ทำไมข้าถึงไม่เป็นไรสินะ”

“เอ๊ะ อืม”

“ข้ารักษาตัวเองได้ขอรับ แต่ยังไม่เก่งพอที่จะรักษาคนอื่นได้ทั้งหมด”

                     ซาคุโระถอนหายใจอย่างโล่งอก ทีแรกเกือบจะคิดไปว่าชายคนนี้เป็นอมตะเสียอีก มิราอิยิ้มให้เธออย่างไร้กังวล ถ้าหากเปรียบเทียบกับคนธรรมดาล่ะก็ เขาคงจะเป็นเสือผู้หญิงขนานแท้เชียว

โฮโนโอะละสายตาจากฟุยูกิมาจ้องมองเธอ ท่าทางเขาจะไม่ค่อยพอใจที่เห็นเธอเอาแต่มองมิราอิตาไม่กะพริบ

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว มิราอิจะได้ไม่เหนื่อยมาคอยรักษาเจ้า”

“ว่าไงนะ”

“แหมๆๆสำหรับหญิงงามอย่างท่านซาคุโระล่ะก็ ข้ายินดีทุกเมื่อ”

                     มิราอิสวนกลับด้วยท่าทางทะเล้นพร้อมจับมือซาคุโระและดึงมาแนบแก้มตัวเองอย่างกวนๆ แต่ไม่นานนักกำปั้นหนักหน่วงของโฮโนโอะก็แหวกอากาศเข้ามาเขกกะโหลกของคนเจ้าบทบาทเสียทันที

 

โป๊กกกกกกกก!!!!!

 

“โอ๊ย!”

“เมื่อไหร่จะปล่อยมือซะที”

“ชิ ปล่อยก็ได้ หึงก็บอกมาเถอะ”

“ว่าไงนะ!”

“คงอยากเข้าใกล้เขาเหมือนกันล่ะสิ รู้หรอก แล้วยังจะมาปากแข็งไม่เข้าเรื่อง บอกว่าเป็นห่วงซะก็หมดเรื่อง”

“มิราอิ!”

                   เสียงขู่คำรามดังรอดไรฟันออกมาพร้อมทั้งบรรยากาศรอบตัวที่เย็นเยือกชวนเสียวสันหลัง แต่สำหรับมิราอิกลับชอบใจและยังหันกลับมากระซิบกระซาบซาคุโระหน้าตาเฉย

“นี่ๆ ท่านซาคุโระ ที่จริงแล้วท่านพี่น่ะห่วงท่านมากกว่าใครเลยรู้รึเปล่า แต่ว่าปากเขาไม่ตรงกับใจน่ะ”

“เอ๋ เอ่อ…อืม”

“ท่านพี่มิราอิหาเรื่องเจ็บตัวซะแล้วสิ”

                    ฟุยูกิพูดเสียงแผ่ว ประโยคสุดท้ายแทบจะไม่มีเสียงให้ได้ยิน เพราะเสียงเอะอะของชายหนุ่มทั้งสองที่วิ่งไล่เขกกบาลกันจ้าละหวั่น

“ไอ้ปากเสีย พูดอะไรวะ!”

“ก็ความจริงไง”

“วันนี้กะโหลกเจ้ายุบแน่!”

                   เสียงเอะอะโวยวายของชายหนุ่มทั้งสองดังลั่น เปลี่ยนบรรยากาศที่หดหู่ให้กลับมามีชีวิตชีวาอย่างน่าอัศจรรย์ ซาคุโระนึกขำกับภาพที่เห็นตรงข้ามกับฟุยูกิที่ทำหน้าสุดแสนจะเบื่อหน่าย

 

“คิก…สองคนนั่นคึกคักน่าดูเลยนะ”

“ก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นแหล่ะ ไม่มีอะไรแปลกหรอก”

“เอ๋”

“สองคนนั้นน่ะ ทะเลาะกันแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอคนหนึ่งพูดไม่เข้าหูหน่อยอีกคนก็คอยแต่จะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟให้ได้เชียว ทะเลาะกันเหมือนเด็กแล้วก็วิ่งไล่กันยังกะจะเอาให้ดินแดนน้ำแข็งถล่มยังไงอย่างนั้นเลย”

 

“ดินแดนน้ำแข็ง…”

 

“บ้านของพวกข้าเองขอรับ แต่ว่า…เพราะพวกเขาสองคน ดินแดนน้ำแข็งจึงไม่เงียบเหงา”

                   ซาคุโระยังนึกขำ แต่พอมองสีหน้าที่ผ่อนคลายของฟุยูกิแล้วก็ทำให้เธอขำไม่ออก เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเบื่อหน่าย หากแต่ตอนนี้กลับมีเสียงหัวเราะดังคละเคล้าออกมากับคำพูดด้วย จึงทำให้เธอเข้าใจถึงความรู้สึกของคนข้างๆนี้ได้ดี

 

                   ในขณะที่ความคิดกำลังหลุดลอย ภาพของหญิงชราที่ปรากฏตรงหางตาก็ทำให้เธอหยุดชะงักและหันไปมองให้เต็มตา

“คุณยาย”

“ท่าทางไม่เป็นอะไรแล้วสินะ”

                   หญิงชราพูดยิ้มๆอย่างถ่อมตน ซาคุโระยังข้องใจอยู่ไม่น้อย และทำได้เพียงพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับ โฮโนโอะและมิราอิสงบศึกและเดินเข้ามาหยุดอยู่ไม่ไกล สีหน้าของทั้งคู่เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะโฮโนโอะที่เหมือนจะมีอะไรในใจมากกว่าใคร

“นากิ หุบเขานั่น มีจริงงั้นสินะ”

“………”

“หากว่ามีหุบเขาก็ต้องมีทะเลสาบที่ว่านั่นด้วยใช่ไหม”

“โฮโนโอะ…”

“มีแต่ต้องเดินทางไปที่นั่นเท่านั้น เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะปลดปล่อยริคกะให้เป็นอิสระ แล้วก็…”

                   คำพูดสุดท้ายลากยาวก่อนที่จะขาดหายไปพร้อมกับใบหน้าคมสันที่หันกลับมามองซาคุโระตาไม่กะพริบ ไม่นานนักก็ผละกลับไปที่เดิมก่อนคำพูดสุดท้ายที่ต่อกันจะดังออกมาชัดเจน

“แล้วก็…ส่งเจ้ากลับบ้าน”

“ถ้าอย่างนั้นก็จงไปเถอะ ข้าคงไม่มีอะไรต้องบอกอีกแล้ว”

“ไป….”

“หึๆๆ แม่หนู เจ้าคงจะกลัวสินะ แต่ว่าขอให้เชื่อมั่นในเหล่าทายาทแห่งราชันย์เถอะ พวกเขาต้องคุ้มครองเจ้าได้แน่ และในตัวเจ้าก็ยังมีเทพธิดาสีเงินอยู่ด้วยทั้งคน…นางจะคุ้มครองเจ้า”

                   ร่างของหญิงชรากำลังจางหาย ประกายแสงระยิบระยับล่องลอยอยู่รอบกายของหล่อน ต่อหน้าชายหนุ่มทั้งสามและซาคุโระที่เพิ่งจะได้เห็น

 

“นี่มัน…”

 

“จงไปซะ ไปตามเส้นทางที่คิดว่ามีอยู่จริง ข้าส่งพวกท่านได้เท่านี้จริงๆ…ท่านโฮโนโอะ ท่านแข็งแกร่งขึ้นมากเลยนะ แข็งแกร่งเสียจนไม่มีใครปกป้องท่านได้อีกแล้ว แต่จงอย่าลืมว่าความแข็งแกร่งนั้นยังยืดได้อีก จงอย่าลืมว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ตอนนี้พวกเขาอยู่ข้างๆท่านแล้ว จงใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองปกป้องพวกเขาเอาไว้ให้ดี…..ลาก่อนชั่วนิรันดร์”

 

                  จบคำพูดประโยคสุดท้าย ร่างของหญิงชราก็กลายเป็นละอองหมอกล่องลอยสู่เบื้องบน แสงสว่างค่อยๆเลือนหายและเหลือไว้เพียงความมืดมิด ซึ่งที่ๆพวกเขายืนอยู่ก็คือป่าหนาทึบที่มองเห็นทางออกสู่แสงสว่างอยู่ไม่ไกล

“หายไปซะแล้ว เมื่อกี้นี้มันอะไรล่ะ”

“นางตายไปนานแล้ว”

                  โฮโนโอะตอบคำถามของน้องชายเสียงแผ่ว ซาคุโระมองแผ่นหลังของชายหนุ่มตรงหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงรู้สึกเคียดแค้นบางสิ่งที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาตงิดๆ

“ไปกันเถอะ”

“ท่านพี่…”

“ต่อไปนี้ข้าจะปกป้องพวกเจ้าทุกคนจนกว่าจะถึงจุดหมาย ทนลำบากอีกนิดเถอะ พวกเราจะได้กลับบ้านแน่นอน ข้าขอสาบาน”

                    พูดจบโฮโนโอะก็เดินนำหน้าไปก่อนอย่างไม่เหลียวมองผู้ที่อยู่ข้างหลัง ซาคุโระเดินตามหลังไปติดๆ และมีมิราอิกับฟุยูกิเดินข้างกันตามหลังอยู่ไม่ไกล หญิงสาวยังครุ่นคิดกับคำพูดแปลกๆที่หญิงชราทิ้งไว้ให้รวมทั้งท่าทีที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่มตรงหน้าเธอ เกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่เธอหมดสติอยู่กันแน่ ชายตรงหน้ามีอะไรมากกว่าที่แสดงออกมาแน่ๆ เพราะเพียงแค่มองแผ่นหลังก็รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้าของเขา แล้วยังชายหนุ่มสองคนที่เดินข้างกันอยู่ด้านหลัง มิราอิและฟุยูกิต่างก็มีสีหน้านิ่งเรียบเหมือนไม่มีอะไรน่าหวาดหวั่น

 

                     แต่สรุปแล้วเธอก็ต้องหาทางกลับไปยังโลกที่ตัวเองเคยอยู่โดยการเดินทางไปพร้อมกับพวกเขา ไปยังสถานที่ๆไม่รู้ว่าอยู่ใกล้หรือไกลเพียงใด

 

‘หุบเขาหลับใหล….’

..........................................

................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา