Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เมื่อเวลาแห่งการล่มสลายมาถึง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1 เมื่อเวลาแห่งการล่มสลายมาถึง
ค่ำคืนอันหนาวเหน็บในบ้านหลังเล็กๆท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาในยามค่ำคืน
ภูเขาหิมะสีขาวที่ได้เห็นในตอนกลางวัน ตอนนี้กลับกลายเป็นสีเงินระยิบระยับสวยงามเพราะแสงของพระจันทร์ที่สาดส่อง อากาศทางตอนเหนือติดลบเย็นเยือกจับขั้วหัวใจ
เด็กสาวหน้าตาคมสวยและโดดเด่นด้วยปานรูปดอกไม้สีม่วงเล็กๆบนใบหน้าซึ่งกำลังย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ กำลังนั่งกอดเข่ามองหิมะยามค่ำคืนที่ส่องสะท้อนเป็นสีเงิน คืนนี้พระจันทร์ยังไม่เต็มดวงเต็มที่แต่ก็ส่องสะท้อนภูเขาหิมะจนเกิดประกายสีเงินสุกสว่างราวกับได้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งจินตนาการยังไงอย่างนั้น ในขณะที่ความคิดกำลังล่องลอยอยู่ไม่นาน น้ำเสียงไมตรีก็ดังขึ้นจากด้านหลังให้รู้ตัว
“ดึกแล้วยังไม่นอนอีกเหรอ ซาคุโระ”
“หนูนอนไม่หลับค่ะ”
ซาคุโระตอบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยและกระชับผ้าห่มเมื่อรู้สึกถึงความหนาวเย็นจากสายลมที่พัดผ่านเบาๆ หญิงชรานั่งลงข้างๆหลานสาวพลางทอดสายตามองไปทางเดียวกันและพูดขึ้น
“แปลกดีนะ….ทั้งที่หน้าหนาวหิมะตกหนักขนาดไหน แต่ท้องฟ้าตรงยอดเขานั่นก็มักจะเปิดให้ได้เห็นดวงดาวชัดกว่าที่อื่น ราวกับว่าเราสามารถเก็บดาวได้ด้วยมือเปล่ายังไงอย่างนั้น”
ซาคุโระฟังอยู่เงียบๆ อาจจะเพราะอย่างนี้ก็ได้ที่จินตนาการของนักเขียนอย่างคุณยายของเธอไม่มีที่สิ้นสุด เขียนนิยายแนวแฟนตาซีออกมาได้จนได้รางวัลเต็มบ้านเต็มช่อง ซาคุโระเองก็เป็นหนึ่งในแฟนหนังสือที่แทบจะถอนตัวไม่ขึ้น ปิดเทอมทีไรก็ต้องถ่อสังขารขึ้นเหนือมาบ้านยายเพื่ออ่านนิยายฟรีไม่จำกัด และอีกอย่างก็เพื่อกลับมาเยี่ยมใครบางคนที่นอนหลับอย่างสงบอยู่ที่นี่ แค่เห็นดวงจันทร์ดวงเดิมเหมือนอย่างวันนั้นเมื่อสิบปีที่แล้วก็ทำให้คิดถึงคนๆนั้นมากขึ้นเป็นทวีคูณ หากมองขึ้นไปแล้วใส่จินตนาการเข้าไปอีกนิด ก็เหมือนจะเห็นใครบางคนยืนโบกไม้โบกมืออยู่บนยอดเขานั้นจริงๆ
คืนนี้พระจันทร์ยังไม่เต็มดวงดีแต่ก็สาดส่องเจิดจ้า แสงสีเงินจากพระจันทร์ส่องสะท้อนลงมายังที่ๆซาคุโระนั่งอยู่ตรงๆ ทั้งที่เป็นกลางคืนและเป็นเพียงแสงจันทร์ที่ไร้ความร้อน แต่เธอกลับรู้สึกอุ่นเหมือนมีคนมากอดเอาไว้
“ซาคุโระ…”
เสียงคุณยายเรียกแผ่วๆ ซาคุโระหันกลับไปก็เห็นสีหน้าของท่านเหมือนกับคนที่กำลังตกใจอะไรอยู่ และสิ่งที่ท่านมองอยู่ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากตัวเธอที่อาบแสงจันทร์อยู่นี่
“คุณยาย เป็นอะไรไปเหรอคะ” เธอถามพร้อมกับสีหน้าฉงน
“เอ๊ะ เอ้อ! เปล่าจ้ะ…ดึกแล้ว หลานควรจะไปนอนได้แล้วล่ะนะ ซาคุโระ”
คุณยายพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมานวดระหว่างคิ้วตัวเองอยู่สักพัก ก่อนจะลุกเดินเข้าไปในบ้าน เธอเป็นนักเขียนที่มีจินตนาการสูง เพียงแค่สิ่งละอันพันละน้อยที่พบเพียงผ่านๆก็สามารถเขียนขึ้นมาเป็นเรื่องราวได้แล้ว ซาคุโระลุกขึ้นห่อตัวกับผ้านวมและลากมันเข้าไปในบ้าน เธอยังมีเวลาอยู่กับคุณยายอีกหลายวัน มีเวลาที่จะหาหนังสือนิยายแปลกๆของท่านมาอ่านแก้เหงา อย่างน้อยที่นี่ก็โอบอุ้มจิตใจที่มีแต่ความเหงาไร้จุดสิ้นสุดของเธอได้มากกว่าบ้านในเมืองหลวงที่ไร้คนอยู่
................................
วันเวลาได้ล่วงเลยมานานแสนนาน แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าเร็วเหมือนติดปีก
และการเปลี่ยนแปลงก็ได้มาถึง….
ในคืนที่ดินแดนน้ำแข็งได้กลายเป็นสีเงินทั้งหมด คือวันครบรอบการจากไปของเทพกษัตริย์ทั้งสองอันเป็นที่รักยิ่งของเจ้าชายทั้งสาม แต่แล้วครั้งนี้กลับเปลี่ยนไปจากครั้งที่ผ่านมา เมื่อในวันคืนที่ครบรอบครั้งนี้มีความรู้สึกแปลกประหลาดแฝงตัวเข้ามาด้วย สิ่งนั้นส่งผ่านเข้ามาในกระแสจิตของฟุยูกิที่เติบโตเป็นหนุ่มน้อย ความรู้สึกอันแรงกล้าทำให้เขาถึงกับทรุดฮวบลงบนทางเดินในปราสาทน้ำแข็ง
“อึก!”
วงแขนแกร่งของมิราอิซึ่งเป็นพี่ชายคนรองเข้ามารับเอาไว้ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มจะล้มกองกับพื้นแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ใบหน้าเขาแฝงความกังวลแต่ก็ไม่มากมายเพราะความชินชาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“อีกแล้วเหรอ”
“เสียงนั้นกำลังเรียกข้า”
“เสียงเหรอ?”
ที่ยอดหน้าผาอันสูงชัน ร่างสูงโปร่งยืนตระหง่านอยู่บนโขดหิน เรือนผมสีดำยาวละต้นคอพลิ้วไหวตามแรงลมที่พัดผ่าน ผ้าผืนบางสีน้ำทะเลยาวสลวยเหมือนกับนำเส้นผมมาถักทอที่ผูกเอวกำลังโบกสะบัดหยอกล้อกับสายลมเหมือนชายเสื้อคลุมสีดำขลิบทองที่ยาวกรอมเท้า ดวงตาสีฟ้าดุจน้ำทะเลจับจ้องไปยังพระจันทร์สีเงินกลมโตที่ลอยเด่นสุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า
“คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงอีกแล้ว เวลานั้นใกล้เข้ามาถึงแล้วสินะ”
เจ้าของร่างสูงโปร่งพึมพำเสียงแผ่วอยู่ตามลำพัง โฮโนโอะไม่อยากอยู่ในปราสาทที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เพราะเขาเป็นคนเดียวที่มีเพลิงห่อหุ้มรอบกาย ผิดกับน้องชายทั้งสองที่เป็นทายาทที่สืบทอดน้ำแข็งมาตั้งแต่เกิด ทุกครั้งที่ถึงวันครบรอบแบบนี้เขาก็จะมาที่หน้าผาแห่งนี้ เหมือนจะรอคอยบางอย่างที่ยังไม่เกิดขึ้นตามคำสั่งเสียของคนที่เขาเรียกว่าแม่เมื่อสิบปีก่อน
ขณะที่ตกอยู่ในห้วงความคิด เสียงย่ำเท้าที่แผ่วเบาก็สะกิดและปลุกให้ตื่นจากภวังค์ เขาไม่จำเป็นต้องเดา เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าเจ้าของเค้าพลังน้ำแข็งนี้คือใคร
“มีอะไร…มิราอิ”
ชายหนุ่มเอ่ยถามโดยไม่หันหลังมามองคนที่หยุดชะงักอยู่ข้างหลัง และไม่นานเสียงทุ้มดั่งน้ำนิ่งไหลลึกก็ดังตามมา
“ฟุยูกิบอกข้าว่ามีใครกำลังเรียก”
พอได้ฟังคำตอบโฮโนโอะก็หันกลับมาหาน้องชายที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก พร้อมทั้งพึมพำเสียงเครือ
“แสดงว่า…”
“รีบกลับไปเถอะ ครั้งนี้ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย”
สิ้นสุดคำพูดทั้งสองก็มุ่งหน้าไปเพื่อกลับไปยังปราสาท และในระหว่างนั้นเอง แรงสั่นสะเทือนก็ทำให้ทั้งคู่แทบจะล้มทั้งยืน
ครืนนนนนนนนนนน!!!
“อะ อะไรน่ะ!”
“ไม่ผิดแน่ มาจากปราสาท!”
“ฟุยูกิงั้นเหรอ!”
โฮโนโอะพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ก่อนที่มุ่งหน้ากลับไปยังปราสาท ทั้งเขาและน้องชายก็ต้องชะงักและหันกลับมาที่ปากเหวนั้นอีกครั้ง เปลวเพลิงสีแดงอันร้อนแรงปะทุขึ้นมาจากก้นเหวลึก และพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี เปลี่ยนท้องฟ้าสีเงินให้กลับกลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา
ตูมมมม!
“นะ นี่มันอะไรกัน เพลิงนรกนี่มาจากไหน!”
มิราอิเบิกตาค้างทำอะไรไม่ถูกผิดกับโฮโนโอะที่นึกในใจว่าสิ่งที่ผู้เป็นแม่ได้สั่งเสียเอาไว้ก่อนจากได้เกิดขึ้นแล้ว การล่มสลายได้มาเยือนแล้ว เหลือเพียงผู้ที่เป็นกุญแจสำคัญซึ่งนั่นก็คือฟุยูกิ
“กลับไปที่ปราสาท เร็วเข้า!”
โฮโนโอะและมิราอิมุ่งหน้ากลับไปที่ปราสาทน้ำแข็งอย่างไม่รอช้า จนในที่สุดก็มาถึงที่หมายในระยะเวลาเพียงเสี้ยวนาที แต่สิ่งที่พวกเขาสองคนต้องเจอะเจอถึงกับต้องเบิกตาค้าง
ปราสาทที่สวยงามบัดนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพังไม่มีชิ้นดี ลิ่มน้ำแข็งล้นทะลักออกมาคร่าชีวิตเหล่าบริวารในปราสาทจนหมดสิ้นไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ชายหนุ่มทั้งสองพยายามที่จะฝ่าฟันสิ่งขวางกั้นเพื่อที่จะเข้าไปหาคนที่อยู่ข้างใน ตลอดทางที่ผ่านไป สิ่งที่ได้พบเห็นมีเพียงศพของผู้เคราะห์ร้ายที่นอนเกลื่อนกลาดอย่างอเน็จอนาถ
“นี่มัน~ อุ๊บ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
มิราอิเอามือปิดปากเพราะความสะอิดสะเอียน โฮโนโอะไม่สนใจสิ่งใดนอกจากการตามหาฟุยูกิให้พบ ถึงจะรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่แต่ก็ทำได้เพียงสวดมนต์ในใจเท่านั้น
ในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็เข้ามาถึงใจกลางของปราสาทซึ่งเป็นห้องของฟุยูกิ โฮโนโอะรีบถีบประตูที่บัดนี้กลายเป็นน้ำแข็งเข้าไปอย่างไม่ยั้งรอ เพื่อจะเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่เป็นต้นตอของพลังทำลายปราสาท
ปังงงงงงงงง!!!!!!!!
“ฟุยูกิ!”
ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหาน้องชายที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงและประคองร่างบางที่เย็นเฉียบเอาไว้ พร้อมทั้งพยายามเรียกให้เด็กหนุ่มได้สติคืนมา
“ฟุยูกิ ฟุยูกิ!”
“แฮ่กๆๆ~…อ๊ากกกกกกกกก!!”
สิ้นเสียงหวีดร้องของเด็กหนุ่มลิ่มน้ำแข็งที่ทั้งแหลมและคมยิ่งกว่าดาบก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นนับไม่ถ้วนกระทั่งมิราอิก็เกือบจะหลบไม่พ้น โฮโนโอะจำต้องผละจากร่างของน้องชาย เมื่อมีน้ำแข็งโผล่พ้นออกมารายล้อมรอบกายและพาร่างของเจ้าของที่สร้างมันขึ้นมาลอยขึ้นไปอยู่กลางอากาศและปิดล้อมเอาไว้ดุจปราการแกร่ง โฮโนโอะพยายามทลายปราการน้ำแข็งเพื่อเปิดทางเข้าไปหาเด็กหนุ่มผู้ขาดสติแต่ก็ไม่เป็นผล หนำซ้ำน้ำแข็งพวกนั้นยังสวนกลับมาตามสัญชาตญาณอีกด้วย
“อันตราย!”
เฟี้ยวววว! ฉึก ๆ ๆ ๆ!...
ลิ่มน้ำแข็งนับสิบพุ่งทะยานฝ่าอากาศเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ชายหนุ่มทั้งสองทั้งหลบและทำลายไปด้วย แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะลดน้อยลงสักนิด และหนึ่งในนั้นก็พุ่งเข้ามาหาโฮโนโอะจากด้านหลังและเสียบเข้าที่แขนของเขา
“อั๊ก!”
“ท่านพี่!”
ลิ่มน้ำแข็งที่แหลมคมและเย็นยะเยือก ทำให้แขนข้างนั้นชาและไร้เรี่ยวแรงไปโดยปริยาย ชายหนุ่มกัดฟันและรีบดึงออกจากแขนของตนก่อนที่พิษของมันจะทำลายไปถึงแกนกระดูก
“อันตราย!!”
โฮโนโอะพุ่งเข้ามาผลักน้องชายที่ยืนเป็นเป้านิ่งให้ซากปรักหักพังของปราสาทที่กำลังหล่นลงมาทับ และดีดตัวออกไปจนทะลุออกนอกตัวปราสาทก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังทลายลงมาฝังร่างของพวกเขาทั้งเป็น
พลั่ก!
“อึก!”
“ให้ตายเถอะ ฟุยูกิยังอยู่ในนั้น!”
มิราอิบริภาษอย่างฉุนเฉียวพร้อมทั้งวิ่งกลับเข้าไปในตัวปราสาทที่กำลังจะพังทลาย แต่โฮโนโอะใช้ความว่องไวที่เหนือกว่าคว้าข้อศอกเอาไว้และกระชากกลับมาที่เดิม
“ทำอะไรน่ะ ฟุยูกิอยู่ในนั้นนะ!”
มิราอิหันมาตะคอกเสียงแข็งพร้อมทั้งสะบัดมือของเขาที่จับข้อศอกของตัวเองด้วยความรู้สึกไม่พอใจตงิดๆ โฮโนโอะไม่พูดพลางเดินออกไปด้านหน้าน้องชายก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ
“มิราอิ เจ้าถอยออกไปก่อน”
“แต่ว่า….”
“เถอะน่า!”
น้ำเสียงหนักแน่นและแฝงไปด้วยพลังทำให้มิราอิไม่กล้าขัดและยอมถอยแต่โดยดี พอรู้ว่าน้องชายได้ถอยห่าง โฮโนโอะก็กะพริบตาเพียงครั้งเดียว จากนั้นร่างของเขาทั้งร่างก็ถูกห่อหุ้มด้วยเพลิงอันร้อนระอุ พร้อมที่จะหลอมละลายทุกอย่าง
“คิดจะทำอะไรน่ะ”
ได้ยินเสียงมิราอิดังมาแผ่วๆ แต่เขาก็ไม่คิดจะตอบคำถามและเดินเข้าไปในปราสาท เพียงไม่นานปราสาทน้ำแข็งที่พังทลายเหลือเพียงซากปรักหักพังก็ถูกหลอมละลายเพราะเพลิงที่ห่อหุ้มรอบกายเขา ทำให้ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำเข้าไปในปราสาทเกิดการหลอมละลายของน้ำแข็งให้กลายเป็นแอ่งน้ำที่เพิ่มขนาดจนแทบจะกลายเป็นสายธาร เพราะม่านเพลิงที่ห่อหุ้มอยู่รอบกายช่วยไม่ให้เขาถูกลิ่มน้ำแข็งเล่นงานตลอดทาง
ในที่สุดก็เข้ามาถึงต้นตอของพลังอันบ้าคลั่งได้สำเร็จ ลิ่มน้ำแข็งโผล่พ้นออกมาจากทุกทิศทุกทางและพันธนาการร่างของเด็กหนุ่มผู้ไร้สติเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะเข้าไปนำตัวเขาออกมา
โฮโนโอะทลายปราการน้ำแข็งและยื่นมือเข้าไปแตะหยากไย่น้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่รอบกายของฟุยูกิ
น้ำแข็งสีเงินแข็งแรงได้เริ่มละลายและกลายเป็นน้ำ เหลือเพียงร่างอันเปียกโชกของเด็กหนุ่มที่หล่นฮวบลงมา
สู่วงแขนที่รอรับ โฮโนโอะดึงผ้าผืนบางงามสง่าที่ผูกเอาไว้ที่เอวออกมาและได้ใช้มันคลุมร่างอันเย็นเยียบของ
น้องชายเอาไว้ ความอบอุ่นจากร่างที่ถูกห่อหุ้มด้วยเพลิงของเขารวมทั้งผ้าผืนบางที่ทรงอานุภาพนั้น ทำให้
ดวงตาที่แข็งทื่อและมืดดำของเด็กหนุ่มค่อยๆอ่อนแสงและปิดลงสนิท มิราอิตามเข้ามาและพอเห็นน้องชายมี
สีหน้าผ่อนคลายลงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เพียงเสี้ยวนาทีที่พวกเขาจะออกไปจากตรงนั้น ร่างกายทุกส่วนก็ถูกตรึงไว้จากสิ่งที่มองไม่เห็น
กึก!
“อะไรน่ะ! ขยับไม่ได้เลย”
“บ้าจริง!”
โฮโนโอะอุ้มฟุยูกิพาดบ่า มิราอิพยายามดึงเท้าตัวเองขึ้นมาจากน้ำที่ล้นทะลักขึ้นมาเรื่อยๆ และเพียงเวลาไม่นานพวกเขาก็ถูกบางอย่างดูดกลืนและดำดิ่งลงสู่ความมืดอย่างรวดเร็ว
ครืนนนนนน!!!!
ว๊ากกกกก!!!!
เสียงหวีดร้องค่อยๆจางหายไปท่ามกลางปราสาทน้ำแข็งที่พลังทะลายลงมาและหลอมละลายกลายเป็นทะเลสาบ ความหายนะนี้คือการส่งข่าวที่สุดแสนจะโหดร้ายที่สุด สำหรับทายาทแห่งราชันย์
พวกเขาไม่มีบ้านที่จะให้หวนกลับมาอีกแล้ว…
>>>>>>>>>>>>
..............................................................................
เป็นนิยายที่เขียนขึ้นก่อนเรื่องอื่นๆ แต่ก็เป็นเรื่องเดียวที่ไม่ค่อยจะเอาออกมาเรียบเรียงเท่าไหร่นัก ตอนนี้ไหนๆก็ตั้งใจจะเขียนต่อให้จบเรื่องแล้วก็เลยเอามาลงที่นี่ไว้อีกสักที่ค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ