Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ

8.1

เขียนโดย zusuran

วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.

  28 ตอน
  0 วิจารณ์
  28.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) บุรุษแห่งหายนะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บุรุษแห่งหายนะ

สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ลีอาได้พาฟุยูกิหนีออกมาไกลและหลบฝนใต้เงาไม้ใหญ่ เธอวางร่างอันบอบช้ำของเด็กหนุ่มลงที่โคนต้นไม้อย่างระวัง เม็ดฝนเย็นเฉียบลอดผ่านใบไม้ตกลงมากระทบแก้มเม็ดต่อเม็ด ฟุยูกิสูญเสียการมองเห็นแต่ก็ยังรู้สึกถึงความเย็นของน้ำฝน เด็กหนุ่มยื่นมือออกมาเบื้องหน้าเล็กน้อยเพื่อรองหยดน้ำที่ตกลงมาจากฟ้าที่คิดว่าตอนนี้คงมืดดำไม่ต่างจากดวงตาของตน
“ฝนเหรอ….คงจะตกหนักสินะ แต่น่าเสียดายที่ข้ามองไม่เห็น”
“พูดอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ ท่านต้องมองเห็นแน่ ท่านมิราอิกำลังจะเอายาถอนพิษมาให้แล้ว”
“เจ้าคิดว่ายานั่นมีอยู่จริงเหรอ”
“….!”
“มันมีอยู่จริงเหรอ”
ถึงดวงตาจะมืดสนิท แต่ลีอาก็เห็นว่าดวงตานั้นสั่นระริกเหมือนกำลังหวาดกลัว และไม่นานมือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มก็ยกขึ้นควานหาเธออย่างสั่นเทา จนทนเห็นสภาพแบบนั้นไม่ไหวและรีบคว้ามืออันเย็นเฉียบนั้นและกุมไว้แน่น
หมับ!
“ข้าอยู่นี่”
“ขอโทษนะ ช่วยอยู่กับข้าหน่อย”
“เอ๊ะ”
“ข้าเกลียดความมืด เกลียดที่สุด”
ฟุยูกิเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพล่า ไม่ใช่มือเท่านั้นที่สั่น แต่รวมไปถึงร่างกายทุกส่วนที่สั่นสะท้านทั้งจากน้ำฝนที่เย็นเฉียบและความกลัวที่อยู่ในใจ ลีอากระชับมือนั้นเอาไว้แน่นในขณะที่มองดวงตาคู่นั้นค่อยๆมืดมนและเปลี่ยนเป็นสีดำไร้ซึ่งปะกายใดๆโดยที่ไร้หนทางจะเยียวยาหรือยับยั้ง
“ข้าไม่ไปไหนหรอก หลับตาเถอะจะได้หายกลัว”
เด็กหญิงก้มลงกระซิบข้างหูพร้อมทั้งประคองใบหน้าเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างมั่นคง ไม่ช้าเขาก็หลับตาลงและหายสั่นไปโดยปริยาย แต่มือของเขาก็ยังกุมมือของเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ซึ่งเธอก็ไม่คิดจะไสส่ง

ทุ่งหญ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนที่ตกลงมากลายเป็นสนามรบไปในพริบตาเพราะการปะทะกันของชายหนุ่มทั้งสองที่ต่างชาติกำเนิด
มิราอิยังคงประมือกับเนรีวอย่างดุเดือด ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาชะล้างคราบเลือดบนร่างกาย ทั้งคู่ต่างก็สะบักสะบอมไปพอๆกัน แต่ไม่ว่ายังไงคนที่เสียเปรียบก็ยังเป็นมิราอิที่บาดเจ็บและบอบช้ำมามากกว่า
ตูมมมมมมมมมม!!!! ครืนนนนนนนนนนน~
“แฮ่กๆๆ~”
“หึ เป็นอะไรไปมิราอิ เวทมนตร์ประหลาดของเจ้าหมดแค่นี้หรอกรึ”
“หนวกหู”
“หึ ไอ้ที่อยู่ในมือเจ้านั่นน่ะ เอาออกมาให้ข้าได้เห็นหน่อยเป็นยังไง”
เนรีวพูดพร้อมเหลือกตามองไปที่มือขวาของอีกฝ่ายที่คล้ายกับว่ากำลังจับอะไรอยู่ แต่มันไร้ซึ่งตัวตนที่จะมองเห็นได้ และพลังทำลายของมันก็ทำให้ทุ่งหญ้าและป่าบริเวณรอบๆนั้นราบเป็นหน้ากลอง แม้แต่ซากศพของอาซารีสก็ยังถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นนอยเท่าปลายก้อย
“เอามันออกมา!”
“ก็บอกว่ามันไม่มีตัวตนไงเล่า!”
มิราอิตะคอกสวนกลับพร้อมเหวี่ยงดาบมือเปล่าเข้าไปหาเนรีวอย่างไร้ช่องโหว่ ถึงจะเป็นอสูรที่เก่งกาจและว่องไว แต่กับพลังที่มองไม่เห็น ก็ทำให้เนรีวเกลือบพลาดท่าไปหลายครั้ง
“หลบเก่งดีนี่นะ!”
“หึ ร้ายกาจไม่เลวเลย น่าทึ่งจริงๆ”
“ข้าไม่ต้องการคำชมเชยจากอสูร!”
มิราอิพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ภายนอกดูเยือกเย็นและปกติทุกอย่าง แต่หากข้างในนั้นกลับร้อนรนและปั่นป่วน เหมือนกับว่าตัวตนอีกด้านหนึ่งที่ปิดซ่อนเอาไว้กำลังก่อตัวเป็นรูปร่างและพยายามออกมา
ดาบมือเปล่าตัดผ่านสายฝนโจมตีเนรีวอย่างไร้ขีดจำกัด แต่มิราอิที่เป็นผู้ควบคุมก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆเช่นกัน จนในที่สุดก็ทรุดลงไปกองเสียเอง
พลั่ก!
“เป็นอะไรไปมิราอิ หมดแรงแล้วรึ”
มิราอิพยายามยันกายลุกและเหวี่ยงดาบโจมตีฝ่ายตรงข้าม แต่แล้วหัวใจก็กระตุกจนทำให้เขาต้องทรุดลงกับพื้นอีกหน
ตึกกกกกกก!!!
“เฮือกกกกก!!!!”
พลั่ก!!!!
“เอ้าๆ เป็นอะไรไปอีกล่ะ ปากเก่งยังไม่ทันขาดคำเลยไม่ใช่รึไง”
“อะไรกัน….นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน”
“ท่านมิราอิ…”
“อีกแล้ว ได้ยินเสียงนี้อีกแล้ว”
น้ำเสียงที่บ่งบอกได้ว่าเป็นหญิง ดังก้องกังวานยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้อง แต่รอบกายนั้นไร้ซึ่งตัวตนและรูปร่างใดๆที่บ่งบอกได้ว่าเป็นต้นตอของเสียง มิราอิทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมทั้งมือสองข้างที่สั่นเทากุมขมับเอาไว้แน่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้ยินน้ำเสียงที่เยือกเย็นดุจดั่งหยดน้ำในถ้ำ
“เป็นอะไรไปแล้วล่ะมิราอิ อยากฆ่าข้านักไม่ใช่รึ รีบเข้ามาฆ่าข้าซะสิ”
“…..”
“หึ นี่น่ะรึสายเลือดของเทพกษัตริย์ ทายาทแห่งราชันย์ผู้หยิ่งทะนง มิราอิเอ๋ย ตอนนี้เจ้าไม่ได้ต่างไปจากเด็กอมมือเลย แม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกก็ยังไม่มี ช่างน่าสมเพชจริงๆ”
เนรีวพูดเย้ยหยันก่อนจะใช้ดาบอสรพิษฟาดฟันมิราอิอย่างไร้ปราณี ชายหนุ่มหลบการโจมตีไปเรื่อยโดยไม่ตอบโต้ ดวงตาของเขาเริ่มจะมืดสนิทเหมือนตุ๊กตาปูนปั้นที่ไร้ชีวิต ขณะที่คมดาบอสูรเชือดเฉือนตามร่างกายจนเลือดอาบ แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆเหมือนเส้นประสาทการรับรู้ได้ตายด้านไปแล้ว
“เป็นอะไรไปมิราอิ ตอบโต้ข้าสิ เอามันออกมาสิ อาวุธที่ไร้ตัวตนของเจ้าน่ะ!”
ฉัวะๆ~ พลั่กกกกกกกกก!!!!
“ว่ายังไงล่ะ ไม่ทำเก่งเหมือนที่ผ่านมาล่ะ หรือว่าเพิ่งจะรู้ตัวว่าไม่เอาไหน หา!”
“…..”
“หึ ถ้าแค้นนักก็เข้ามาฆ่าข้าเสียสิ แต่ถ้าไม่ ก็จงรับความทรมานไปก่อนละกัน!”
เนรีวแค่นยิ้มใช้ดาบคู่กายฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง มิราอิพยายามหลบการโจมตีและบางอย่างที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในหัว และในที่สุดความอดทนก็ได้ขาดสะบั้นและน้ำเสียงปริศนาอันเย็นเยียบก็สอดแทรกเข้ามาแทนที่
“ชิ อ่อนแอจริงๆ ไม่ได้เรื่องเอาซะเล้ย”
เฮือกกกก!!!!
“เสียงใคร”
“กลัวนักรึไง ก็แค่อสูรตัวเดียว”
น้ำเสียงแข็งกระด้างและคำพูดที่ฟังดูเย่อหยิ่งดังระงมเหมือนใบไม้ที่เสียดสีกับสายลม มิราอิรู้สึกว่าตัวเองหมดเรี่ยวแรงไปอย่างไร้เหตุผล ร่างกายทุกส่วนด้านชาและหนักอึ้งเหมือนหิน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของหญิงสาวที่เคยได้ยิน ไม่ใช่เสียงเนรีวที่กำลังพูดหยามเหยียดอยู่ต่อหน้าในตอนนี้ ไม่ใช่เสียงฝนไม่ใช่เสียงลม แต่มันเป็นเสียงของเขาเอง!
สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาครั้งสุดท้าย คือใบหน้าของเนรีวที่จ้องมองอย่างเหยียดหยาม และกำลังเงื้อดาบขึ้นเหนือหัว

“ลาขาดล่ะนะ!”
ก่อนที่สติจะดับลงมิราอิก็มองเห็นภาพทั้งหมดได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ และแล้วสิ่งที่พยายามต่อต้านเอาไว้ก็ดึงดันขึ้นมาปรากฏเป็นรูปร่างได้สำเร็จ
ก่อนที่คมดาบอสรพิษอันร้ายกาจไร้ใครเทียมทานจะผ่ากลางศีรษะมิราอิได้สำเร็จ มันก็ต้องหยุดชะงักไว้ในระยะห่างเพียงคืบ เมื่อชายหนุ่มได้ต้านคมดาบไว้เพียงฝ่ามือ
กึก!
“อะไรกัน!”
“เลิกเล่นกันแค่นี้ดีกว่ามั้ง หือ”
“อึก~เจ้านี่ไม่ใช่มิราอิ!”
น้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนทำให้เนรีวถึงกับสะท้านไปทั้งตัว ดาบอสรพิษที่ว่าร้ายกาจและแข็งแกร่งได้กลายเป็นน้ำแข็งและแตกสลายไปอย่างง่ายดายในชั่วพริบตาด้วยมือเพียงข้างเดียว และทันทีที่ชายหนุ่มผู้ก้มหน้ามาตลอดได้เงยหน้าขึ้นมา เนรีวก็ได้เห็นดวงตาสีแดงก่ำที่เพียงแค่ได้มองผ่านๆก็เหมือนจะถูกฆ่าในพริบตา เนรีวมั่นใจว่าคนๆนี้ไม่ใช่มิราอิที่ตนกำลังต่อสู้ด้วย แต่เป็นคนแปลกหน้าที่ครอบครองร่างกายของมิราอิ ดวงตาอาฆาตสีแดงดุจโลหิตที่กำลังเดือดพล่านกับเส้นผมที่เปลี่ยนเป็นสีขาวและยาวเฟื้อยจนลากเลื้อยไปตามดิน และรังสีอำมหิตที่ไม่เคยสัมผัสได้จากที่ไหน กำลังบีบตัวเข้ามาห้อมล้อมให้อึดอัด
ความหวาดหวั่นเข้ามาเยือน นานแล้วที่อสูรอย่างเนรีวไม่เคยรู้สึกแบบนี้ คงเพราะชายปริศนาที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ามีจิตอาฆาตแม้แต่อสูรก็ยังหวาดกลัว
“เจ้าคือเนรีวรึ”
“เจ้าเป็นใคร!”
“หึๆๆ อะไรกัน เพิ่งบอกว่าข้าอ่อนแออยู่หยกๆไม่ใช่รึ ไหนลองพูดอีกทีใหเข้าฟังชัดๆหน่อยเป็นยังไง”
มิราอิในคราบของคนโหดเหี้ยมกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงที่คมกริบประดุจใบมีด เนรีวรีบดีดตัวไปด้านหลังทิ้งระยะห่างหลายเมตร นึกในใจว่าตนคิดผิดอย่างมหันต์เพราะความประมาทที่ประมาณคู่ต่อสู้ต่ำไปมากมาย
“นี่มันอะไรกัน เจ้านี่ไม่ใช่มิราอิแน่ๆ แล้วมันเป็นใครกัน”
“หึๆๆๆๆ….”
“ชิ จะเป็นใครก็ช่าง แค่จัดการมันได้เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องคิด!”
เนรีวปัดความคลางแคลงใจทิ้งและเรียกดาบอสรพิษเล่มใหม่ออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาชายปริศนาที่ยังคงยืนก้มหน้าหัวเราะฟังไม่ได้ศัพท์
“ไม่ว่าจะเป็นใคร เจ้าต้องตายอยู่ดี!”
“หืม~”
“ตายซะ!!!!!”
เนรีวเงื้อดาบขึ้นเหนือหัวและฟาดฟันลงมากลางศีรษะของชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่ง แต่ก่อนที่ปลายดาบนั้นจะแตะถึงปลายเส้นผม ข้อมือเล็กๆที่ไร้ซึ่งอาวุธใดๆก็ยื่นออกมารองรับคมดาบนั้นเอาไว้ราวกับโล่ปราการที่ทำเหล็กกล้า และทำให้ดาบหลุดมือเนรีวไปอย่างง่ายดาย
เคร้ง!
“อะไรกัน!!!!”
“เชื่องช้า แล้วก็เปราะบางยิ่งกว่าเศษไม้ในป่าจริงๆ”
“อะไรนะ!”
“หึๆๆๆ น่าสนุกดีนี่ ทีนี้ก็ตาข้าบ้าง”
ดวงตาสีแดงก่ำก็เหลือบมองเนรีวเพียงเล็กน้อย ทันใดนั้นสายฝนที่ตกกระหน่ำและสายลมที่พัดอยู่รายล้อมก็หยุดชะงักและเข้ามาหลอมรวมกันเหมือนเกลียวโซ่ ก่อนที่จะเข้าไปรัดร่างเนรีวเอาไว้อย่างแน่นหนา
“นี่มันพลังบ้าอะไรกัน! เจ้านี่ควบคุมอากาศได้อย่างนั้นเหรอ มันอะไรกัน ดวงตาสีแดงนั่น แค่ถูกจ้องก็เหมือนถูกฆ่าแล้ว เจ้านี่มัน…ตัวอะไรกันแน่!”
ชายปริศนาที่เข้ามาครอบครองร่างมิราอิช่างโหดเหี้ยมถึงขนาดทำให้อสูรผู้เย่อหยิ่งอย่างเนรีวสะกดคำว่าน่ากลัวได้ถูกต้อง
วูบ!...
“หายไปแล้ว”
ร่างชายปริศนาตรงหน้าก็ได้หายไปอย่างไร้รอย และเพียงชั่วพริบตาเนรีวก็ต้องชะงักกลั้นใจ เมื่อนิ้วเรียวยาวที่เย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งเข้ามาลูบคลำคอระหงจากด้านหลัง พร้อมๆกับเสียงกระซิบที่เป็นเพียงลมอุ่นๆเป่าเข้าไปในรูหู
“ช้าจริงนะ”
“เจ้าเป็นใคร”
“อยากรู้ก็จะบอกให้ก็ได้ แต่ก่อนอื่น ข้าขอเอาคืนในสิ่งที่เจ้าทำกับร่างนี้หน่อยเถอะ”
สิ้นเสียงเย็นเยียบที่กระซิบอยู่ข้างหู เลือดสีดำก็พุ่งกระฉูดออกมาจากกลางอกของเนรีวทันที
“อั๊ก!!!”
“ไงล่ะ เจ็บมากเลยใช่ไหม นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น เนรีว”
“อึ้ก~เจ้าเป็นใครกันแน่!”
“บอกไปแล้วจะรู้จักรึ”
ชายปริศนาผู้ครอบครองร่างกายของมิราอิพูดพร้อมชูขวดแก้วเล็กๆลวดลายละเอียดขึ้นมาตรงหน้าเนรีวที่ถูกโซ่สายฝนพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา บวกกับฝ่ามือเรียวยาวที่เต็มไปด้วยเล็บยาวแหลมคมบีบคอเอาไว้อย่างไร้ปราณี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อสูรเช่นเขาเคียดแค้น แต่กลับมีรอยยิ้มเหมือนกับว่ากำลังประสบความสำเร็จกับแผนการอะไรซักอย่าง
“หึๆๆ ฮะๆๆๆ”
“มีอะไรน่าขำรึไง”
“หึๆๆ ใช่ข้าขำ ขำคนหน้าโง่อย่างเจ้าไงล่ะ!”
“จะตายอยู่แล้วยังจะทำปากดีได้อีกรึ”
“อ๊อก! แค่กๆ~”
“ไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ตอนนี้ข้าอยากตัดสินกับอสูรผู้หยิ่งทะนงเช่นเจ้าเสียก่อน เนรีว”
“หึ เอาเลย ยังไงซข้าก็ไม่มีทางอ้อนขอชีวิตจากปีศาจไร้นามเช่นเจ้าหรอก”
“นั่นสินะ ข้ายังไม่ได้บอกชื่อแก่เจ้าเลยนี่ แต่ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้าเห็นบางอย่างเพื่อเป็นบุญตาก่อนจะตายหน่อยน่ะนะ”
“ว่าไงนะ!”
“เอ้า ออกมาได้แล้วธิดาแห่งข้า”
“รับทราบเจ้าค่ะ พ่อข้า”
โซ่น้ำฝนที่พันธนาการร่างกายเนรีวได้คลายออก อสูรหนุ่มรีบยันตัวออกห่างอย่างไม่ประมาท ฝนเริ่มตกกระหน่ำหนักขึ้นและเกิดสายฟ้าขนาดใหญ่ผ่าลงมากลางพื้นดินที่ชื้นแฉะจนกลายเป็นร่องกว้างและลึกจนมองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง
เปรี้ยงงงงงงงง!!!
เกิดแสงสีเขียวมรกตสาดส่องขึ้นมาจากรอยแยกของผืนดิน มันสว่างจนทำให้เนรีวต้องหรี่ตาลงต่ำ แต่อสูรหนุ่มก็ยังมองเห็นสิ่งที่กำลังโผล่พ้นออกมาจากรอยแยกนั้นได้ชัดเจน สิ่งนั้นคือสร้อยลูกปะคำมีจี้รูปร่างคล้ายสายฟ้าสีมรกต สวยงามดุจสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจเอื้อมถึง สร้อยปริศนาได้ลอยขึ้นมาหยุดอยู่ระหว่างเขาและชายผมขาว ก่อนที่มันจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นหอกสีขาวที่มีสายฟ้าล้อมรอบ และลอยเข้าไปอยู่ในมือของชายปริศนาผู้ครอบครองร่างของมิราอิคนนั้นอย่างง่ายดาย
“หึ ไม่ได้พบกันเสียนานนะ” ชายผมขาวว่าพลางลูบคลำปลายหอกแผ่วเบา
“นะ นั่นมัน…หอกคามินาริ!”
ตั้งแต่ที่ลืมตาขึ้นมาและใช้ชีวิตมาท่ามกลางเหล่าอสูรปีศาจทั้งหลายบนโลกนี้ มีเรื่องหนึ่งที่ยังติดหูมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือเรื่องของหอกสายฟ้าที่ล่ำรือกันว่ามีอานุภาพทำลายล้างและเป็นอาวุธคู่กายของนักรบผู้ไม่เคยเอ่ยนามให้ใครล่วงรู้ง่ายๆ และมันได้แหลกสลายไปพร้อมกับเจ้าของในสงครามเมื่อนานแสนนานมาแล้ว และเนรีวก็ยังไม่เคยคิดว่ามันจะมีตัวตนอยู่จริง จนกระทั่งตอนนี้ สิ่งที่เขาฝังใจได้ปรากฏขึ้นต่อหน้า
“จะเป็นไปได้ยังไง! หอกนั่นแหลกสลายไปพร้อมกับเจ้านายของมันแล้วนี่ มันกลับมาได้ยังไง แถมยังไปอยู่ในมือของเจ้านั่น….ชายคนนี้เป็นใครกัน!”
“ตกใจมากขนาดนั้นเลยรึ”
“…!”
“เอาล่ะ เลิกเล่นแล้วมาตัดสินกันดีกว่า”
ชายหนุ่มท้าทายด้วยใบหน้าที่ยังยิ้ม พร้อมทั้งชี้ปลายหอกมายังเนรีวเหมือนการท้าประลองตามแบบของนักรบ เนรีวปัดความสงสัยที่วนเวียนอยู่ในหัวออกไปจนหมดสิ้น เมื่ออีกฝ่ายได้ทายท้ามาอย่างอวดดี อสูรผู้หยิ่งทะนงเช่นเขาก็ยินดีรับอย่างไร้ซึ่งข้อต่อรองและเรียกดาบออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ดาบเป็นสีดำและมีถูกรายล้อมด้วยไอพิษที่เป็นเสมือนน้ำกรด
“เข้ามาเลย”
“หึ”
พรึ่บ!
“เร็วมาก!”
เคร้งงง!!!
การปะทะกันเป็นไปอย่างรวดเร็ว ลูกหลงจากการปะทะได้ทำลายสิ่งรอบข้างอย่างราบคาบ และในกระบวนท่าสุดท้ายเนรีวก็ต้องได้พบกับจุดจบ เมื่อปลายหอกได้สวนเข้ามาแทงเข้าที่อกทะลุไปด้านหลัง ในขณะที่ดาบในมือได้แทงเฉียดเพียงเส้นผมของอีกฝ่าย
ฉึก!!!!
“รู้ผลกันแล้วสินะ”
“อั๊ก!”
“เอาล่ะ ข้าจะบอกชื่อของข้าให้ ตั้งใจฟังแล้วก็จำให้ดี เพราะมันจะเป็นใบเบิกทางให้เจ้าไปนรก”
“อึ้ก! แค่กๆ~”
“ชื่อของข้าคือซันโจ้”
“ซะ ซันโจ้!”
เนรีวจำได้แล้ว เรื่องเล่าที่ติดหู เรื่องของหนึ่งในเทพกษัตริย์ทั้งสี่ ชายผู้เสพสุขท่ามกลางสงคราม ชายผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นบุรุษแห่งหายนะ!
เทพเจ้าสายฟ้า ซันโจ้!

“ฝากบอกยมทูตในนรกด้วยล่ะ เจ้าเด็กอ่อนหัด!”
“อ๊ากกกกกกก!!!!~”
ทันทีที่ปลายหอกถูกกระชากออกจากอก ร่างกายทุกส่วนของเนรีวก็เริ่มปริและแตกสลายออกไปอย่างอนาถ ไม่เหลือแม้กระทั่งชิ้นส่วนให้แตะต้องนอกจากหยดเลือดสีดำที่คละเคล้ากับเม็ดฝนตกลงมาสู่พื้นเบื้องล่าง
ร่างของชายหนุ่มผมขาวค่อยๆร่อนลงมาเหยียบพื้นดินเบื้องล่าง หอกสามง่ามสีขาวได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นสร้อยลูกปะคำเช่นเดิมและสวมที่คอของชายหนุ่ม ดวงตาสีแดงสำรวจตามแขนขาและร่างกายที่บอบช้ำ พลางพึมพำเหมือนกับร่ายเวทมนตร์ที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ไม่ช้าบาดแผลทั้งหมดก็หายไปเหลือไว้เพียงร่องรอยเปื้อนจากดินโคลนตามร่างกาย
“ยังเด็กอยู่จริงๆด้วยสิ“
“พ่อข้า…”
“ต่อไปนี้คือโชคชะตาของเจ้า จงอยู่ข้างกายเขาเถิอด”
ริมฝีปากบางเฉียบเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มแสยะน้อยๆ พร้อมทั้งมือเรียวยาวที่เลื่อนขึ้นมาลูบสร้อยคอนั้นอย่างถนอมราวกับสิ่งนั้นเป็นดั่งดวงใจ ก่อนที่สีตาและสีผมจะกลับกลายมาเป็นตัวตนของมิราอิดังเดิม
วูบ!....
“เฮือก~แค่กๆๆ….นี่มัน เกิดอะไรขึ้น ข้าเป็นอะไรไป แล้วเนรีวล่ะ”
มิราอิฟื้นคืนสติและเพิ่งรู้ตัวว่าได้ยืนอยู่ท่ามกลางผืนดินที่ราบเป็นหน้ากลองและเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนโดยที่ในมือข้างหนึ่งถือขวดยาเล็กเท่าหัวแม่มือซึ่งมันคงจะเป็นยาถอนพิษ แต่เขาได้มันมาได้ยังไงกัน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่หมดสติไป และในระหว่างที่เอื้อมมือขึ้นมาแตะหน้าอก ปลายนิ้วก็ได้สัมผัสกับผิวนูนกลมเกลี้ยงของลูกปะคำของสร้อยที่สวมอยู่บนคอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้
“สร้อยนี่! มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ชายหนุ่มจ้องมองจี้รูปสายฟ้าสีเขียวมรกตนั้นอย่างครุ่นคิด มันน่าจะอยู่ใต้ดินที่เขากับลีอาได้พบเจอ แต่เพราะอะไรถึงได้มาสวมอยู่ที่คอของเขาได้ และที่แปลกไปกว่านั้นคือ ณ เวลานี้ไร้ซึ่งเงาของเนรีว
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดไม่ตก ความคิดทั้งหมดก็หยุดชะงักเมื่อเสียงกรีดร้องของลีอาดังก้องกังวานแหวกสายฝนมาจากอีกฟากหนึ่งของป่า
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!!!!”
“เสียงลีอา… ฟุยูกิ!”
มิราอิไม่รอช้าที่จะกระโดดไปตามทิวไม้ฝ่าสายฝนไปตามหาต้นตอของเสียงร้องโหยหวนนั้น แต่พอไปถึง สิ่งที่ได้เห็นก็ทำให้เขาแทบคลั่ง
“ฟุยูกิ!!!”
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าตราตรึงสายตาของเขาให้หยุดนิ่ง ร่างน้อยๆของลีอามีดาบน้ำแข็งปักกลางอกแกว่งไกวอยู่เหนือพื้นดิน และคนที่ทำแบบนั้นก็คือ
“ฟุ~ ยู….”
รอยยิ้มตอบรับแทนเสียงพูดใดๆจากเด็กหนุ่ม ดาบน้ำแข็งโอบล้อมด้วยไอสีเงิน อาวุธสังหารของทายาทแห่งราชันย์ฟุยูกิ ตอนนี้มันกำลังดื่มด่ำโลหิตจากเด็กน้อยอย่างน่าอภิรมย์
“ทำไม ฟุยูกิ”
สติของมิราอิแทบขาดสะบั้น และได้พุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้น ท่ามกลางสายฝนและสายฟ้าที่ผ่าลงมาตามอารมณ์ที่บ้าระห่ำ
“ทำไมฟุยูกิ! ทำไม!!!!!!”
ฟึ่บ!
ความบ้าคลั่งของมิราอิได้หยุดเอาไว้กลางครัน เมื่อฟุยูกิได้สะบัดลีอาออกจากดาบน้ำแข็งของตน ร่างของเด็กหญิงชุดสีแดงโชกเลือดลอยละลิ่วขึ้นกลางอากาศก่อนจะดิ่งพสุธาลงมาอย่างแน่นิ่ง มิราอิรีบรับเอาไว้ก่อนที่จะโหม่งโลกได้อย่างหวุดหวิด
“จะบอกให้เอาไหมล่ะ”
เสียงเย้ายวนของผู้หญิงคนหนึ่งแทกเข้ามา และเมื่อมิราอิเงยหน้ามองกลับขึ้นไปอีกครั้งก็เห็นยูระที่ยืนเล้าโลมฟุยูกิอยู่
“นางปีศาจ! ฝีมือเจ้าเองเหรอ!”
“ข้าก็แค่ชี้ทางสว่างให้เขาเท่านั้นเอง พวกเจ้าชอบทำเหมือนเขาเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาอึดอัดมากไม่รู้รึไง”
“ว่าไงนะ”
“ในเมื่อมีพลังมากมายจนไม่มีใครเอาชนะได้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเดินตามหลังพี่ชายที่อ่อนอย่างพวกเจ้าอีกต่อไปแล้วยังไงล่ะ”
“เจ้า!”
“ฮิๆๆ เอาล่ะ ไปกันเถอะ ฟุยูกิ ที่นี่ไม่มีอะไรให้เจ้าต้องอาลัยอีกแล้ว”
แล้วฟุยูกิก็ได้หายตัวไปพร้อมกับสายลมที่พัดเอาละอองฝนให้พัดผ่าน
“ฟุยู…กิ”
ทำไม เพราะอะไร คำถามซ้ำๆกระดอนอยู่ในความคิดอย่างไม่มีทางออก
“ไม่จริงใช่ไหม ไม่จริง อึก~ ฮึก~….อ๊าก!!!!!!!!!!!!!~”
เสียงร้องที่แสดงถึงความเจ็บปวดเพราะการสูญเสีย ยังคงดังก้องกังวานคละเคล้ากับสายฝนและฟ้าหม่นที่ร้องครวญครางอยู่เบื้องบน สิ่งเหล่านี้จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดของเจ้าของเสียงร้องนี้หรือเปล่าไม่อาจรู้ได้ แต่พวกมันก็รู้เวลาที่ต้องหยุดพัก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา