Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
8.1
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
28 ตอน
0 วิจารณ์
28.08K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) พ่อกับลูก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ พ่อกับลูก
ลึกลงไปในหุบเหวที่เหมือนจะเป็นโลกอีกใบที่ลึกเกินกว่าใครจะหยั่งถึง ร่างของโฮโนโอะประกอบขึ้นมาใหม่จากฝุ่นผงและเหมือนถูกโยนลงมาจนถึงก้นเหว ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ดูเก่าแก่และผุพัง ผ่านไปพักใหญ่ชายหนุ่มก็ได้สติกลับมาเพราะเสียงร้องคร่ำครวญของใครบางคนที่สะท้อนอยู่ในหัว
“โฮโนโอะ…ตื่นเถอะโฮโนโอะ ลุกขึ้นมาเร็วเข้า โฮโนโอะ”
“อะ เสียงนี้มัน…ใครกัน”
เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆเปิดออกอย่างยากลำบาก สิ่งที่มองเห็นผ่านม่านตาอันพล่ามัวนั้นเต็มไปด้วยซากปรักหักพังและความมืดที่ให้ความรู้สึกวังเวงจนเหน็บหนาว
“ที่นี่ที่ไหน ข้ายังไม่ตายหรอกเหรอ”
ชายหนุ่มยันกายลุกหมายจะยืน แต่ความเจ็บปวดทั่วร่างทำให้ซวนเซเหมือนจะล้มกลับไปนอนอีกรอบ
“เจ็บ!”
“ถ้าเจ็บก็อย่าฝืนนักเลย”
เสียงทุ้มประหลาดเหมือนเคยได้ยินที่ไหนดังกึกก้องไปรอบตัวจนจับทิศทางไม่ถูก โฮโนโอะพยายามเพ่งมองทั้งใช้สัมผัสค้นหาแต่ก็จับทิศทางไม่ได้
“มองไม่เห็น”
“จะมองไปทางไหนเล่า ข้าอยู่นี่แล้วไง ตรงหน้าเจ้านี่แหล่ะ”
สิ้นสุดเสียงทุ้มต่ำอันเย็นเยือกเงารางๆก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมกับคำบางคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาทำให้ถึงกับชะงักงัน
“อดทนสมเป็นเจ้าจริงๆเลยนะ โฮโนโอะ”
“รู้จักข้าเหรอ เจ้าเป็นใคร”
“มองดูให้เต็มตาสิ…ไอ้ลูกชาย”
“ไม่จริง! ทะ…”
“ไม่ได้เจอกันนานนะ โฮโนโอะ”
“ท่านพ่อ!”
เจ้าของเสียงทุ้มปริศนาปรากฏร่างชัดเจนยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสง่า โฮโนโอะจดจำใบหน้าคมคายและเค้าไอของเพลิงนรกอันร้อนระอุนี่ได้ดี จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหนึ่งในเทพกษัตริย์ผู้ครอบครองเพลิงจากนรก เซนโซ พ่อบังเกิดเกล้าของเขา
“ไม่จริง! ข้าตาฝาด ท่านพ่อจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงในเมื่อ…!”
“ตายไปแล้ว ต่อหน้าพวกเจ้า”
คำพูดตัดบทแสนง่ายของผู้เป็นพ่อทำเอาโฮโนโอะสะอึกในทันที ราชันย์แห่งเพลิงนรกหนึ่งในเทพกษัตริย์ที่หมดลมและมอดไหม้ไปต่อหน้าลูกชายทั้งสามเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้เขากลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ราวกับว่าจงใจจะให้เกิดกับเขาเพียงผู้เดียว
“เป็นไปไม่ได้ ข้าต้องตาฝาดไปแน่ๆ ข้าถูกยมทูตส่งมาลงนรก แลกกับชีวิตของซาคุโระ แล้วท่านพ่อจะมาอยู่ที่นรกได้ยังไง!”
“เจ้าไม่ได้ตาฝาด”
“ว่าไงนะ”
“ตามมาสิ พ่อมีเรื่องอยากคุยกับเจ้ามากมายนัก โฮโนโอะ”
“….”
“เจ้าจะไม่เชื่อใจพ่อของเจ้าเลยรึ”
โฮโนโอะสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกอ่านความคิดจนหมดเปลือก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะตามไป
ตลอดทางนั้นมืดมัวจนแทบจะมองไม่เห็น อยากรู้จริงๆว่าที่นี่คือนรกขุมไหน ทำไมมันทั้งมืดและเหน็บหนาวจนถึงแกนกระดูกได้ถึงขนาดนี้ แสงระยิบระยับจากเครื่องประดับสีทองบนชุดคลุมของเซนโซที่เดินนำหน้าสะท้อนให้เห็นทางเดินอยู่รางๆ โฮโนโอะเดินตามไปทั้งที่ในใจก็ยังคงคิดสงสัยไม่หาย ถึงความคิดทั้งหมดของเขาจะถูกชายตรงหน้าอ่านออกจนทะลุปรุโปร่งก็ตาม
ในที่สุดก็พ้นจากอุโมงค์ที่มืดมน โฮโนโอะไม่ปริปากพูดอะไร กวาดตามองไปรอบๆตัว สถานที่ๆเขายืนอยู่นั้นไม่ต่างไปจากลานประลองอะไรซักอย่าง
“พาข้ามาที่นี่ทำไม”
“แล้วคิดว่าข้าพาเจ้ามาทำไมล่ะ”
ชายหนุ่มที่ไม่สามารถบ่งบอกอายุไขได้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย โฮโนโอะเริ่มระวังตัวเมื่อมองเห็นรอยยิ้มแสยะที่มุมปากของอีกฝ่าย ความรู้สึกที่สัมผัสได้นั้นช่างโหดเหี้ยมและร้อนยิ่งกว่าเพลิงนรกที่เคยสัมผัส
“ถ้าจะมาท้าสู้ละก็เข้ามาเลยสิ ไม่ต้องลงทุนปลอมตัวเป็นท่านพ่อมาหลอกข้าให้เสียเวลาหรอก!”
โฮโนโอะไม่สบอารมณ์พร้อมทั้งตั้งท่ารับการโจมตี แต่ชายตรงหน้ากลับไม่มีท่าทีว่าจะลงมือหรือตั้งท่าจู่โจมเขาแม้แต่น้อย แต่กลับยิ้มและหัวเราะชอบใจเหมือนเห็นเขาเป็นตัวตลกเสียมากกว่า
“หึๆๆๆ ช่างกล้าดีเดือดเสียจริงนะ สภาพปางตายขนาดนี้ยังกล้าทำปากดีอีกนะ เจ้าหนู”
“ว่าไงนะ!”
“ในนรกน่ะ ใช่ว่าใครเข้ามาแล้วจะปรับตัวได้ง่ายๆ ถึงเจ้าจะมีสายเลือดของราชันย์ก็เถอะ แต่สำหรับวิญญาณก็ไม่ได้ต่างไปจากฝุ่นผงที่หลงทาง หากเจ้าอยากต่อสู้นักล่ะก็รักษาตัวให้หายก่อนเถอะ แล้วข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเอง ส่วนเจ้าจะกล้าสู้กับพ่อแท้ๆหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง”
“พ่อของข้าตายไปนานแล้ว! เขาอยู่บนสวรรค์ไม่ใช่นรก อย่าบังอาจมาอวดอ้างให้ชื่อพ่อข้าแปดเปื้อนไปมากกว่านี้ ถ้าจะสู้ก็สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งเดี๋ยวนี้เลยเป็นไง!”
โฮโนโอะไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ และชิงลงมือพุ่งเข้าไปโจมตีก่อน ถึงรูปร่างหน้าจะเป็นพ่อของเขาแต่เขาก็ไม่มีทางเชื่อว่านั่นคือพ่อ เพราะเชื่ออยู่เสมอว่าพ่อและเทพกษัตริย์องค์อื่นๆที่ล่วงลับต้องอยู่บนสวรรค์เคียงข้างมหาเทพ ไม่ใช่นรกที่สิงสู่ของวิญญาณ
ฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยเปลวเพลิงอัดกระแทกเข้ากลางอกของเซนโซ แต่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาให้สับสนเล่นเท่านั้น
“หะ หายไป!”
“ลูกเล่นเพียงเท่านี้ยังมองไม่ออก เจ้ามันช่างอ่อนหัดไม่เคยเปลี่ยนจริงๆโฮโนโอะ”
“อะไรกัน!!!”
ตึง!
โฮโนโอะรู้สึกชาไปทั้งร่าง การเคลื่อนไหวที่เร็วยิ่งกว่าลมทำให้เขามองไม่เห็นฝ่ามือของเซนโซที่เข้ามาจับศีรษะของเขาและกดกระแทกกับพื้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
“อึ้ก!~”
“นี่น่ะรึสายเลือดเทพกษัตริย์ ช่างขลาดเขลา ร้อนรนและอ่อนแอสิ้นดี”
“กรอด~”
“จะบอกให้นะไอ้หนู ฝีมือระดับเจ้าน่ะ ไม่มีทางโค่นใครเขาได้หรอก”
น้ำเสียงเย็นเยือกบ่งบอกถึงความรู้สึกสมเพชและดูหมิ่น โฮโนโอะรวบรวมกำลังทั้งหมดที่เหลือเพื่อจะดีดตัวลุกและตีตัวออกไปให้พ้นฝ่ามือของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว คำพูดดูถูกเหยียดหยามทำให้เขารู้สึกโกรธจนเกือบจะเรียกเพลิงนรกมาใช้ เซนโซเหลือบมองเพียงหางตาพร้อมกับรอยยิ้มแสยะที่มุมปาก ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังงามสง่าและมีพลังสูงเหมือนเทพกษัตริย์องค์เดิมที่โฮโนโอะรู้จัก
“หึ ไหวพริบดี แต่ก็อย่างที่บอก อย่างเจ้าน่ะไม่มีปัญญาฆ่าใครได้หรอก”
“หนวกหู! ข้าจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของข้า แต่ตอนนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ดู!”
“ทำได้รึ”
เพียงเสี้ยวนาทีโฮโนโอะก็เข้าประชิดคว้าคอระหงของเซนโซและเหวี่ยงไปกระแทกเข้ากับโขดหินจนพังทลายโดยที่ไม่ให้เขาได้ตั้งตัว
ตึงงงงงง!!!
“เอาคืนที่ทำกับข้าไง เท่าเทียมกันดีไหมล่ะ”
“เร็วขึ้นนิดหน่อยนี่”
เซนโซยังมีสีหน้าเรียบเฉยในขณะที่โฮโนโอะกลับรู้สึกว่าพลังในตัวเริ่มหดหายจนแทบจะไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรง แต่ก็ยังแข็งใจและรวบรวมพลังที่เหลือเพื่อจะจัดการชายตรงหน้าให้ได้ มือซ้ายที่ยังว่างก็ปรากฏกรงเล็บที่ถูกห่อหุ้มด้วยเพลิงสีทองเจิดจ้า ถึงจะอ่อนกำลังลงไปมากแต่พลังนี้ก็สามารถปลิดลมหายใจของคู่ต่อสู้ได้กระทั่งวิญญาณ
“เตรียมตัวตายซะเถอะ!”
“ข้าตายไปแล้ว จำไม่ได้รึ”
“ข้าจะทำให้เจ้าตายอีกครั้งเป็นยังไง!”
“ไม่อยากรู้เรื่องของแม่เจ้ารึ”
กึก! คำพูดไม่กี่คำทำให้โฮโนโอะชะงักงัน เรื่องของแม่งั้นเหรอ นี่เขาจะได้รู้จักแม่ที่แท้จริงงั้นเหรอ…
“อ่อนหัด”
“อ๊ะ!”
ผัวะ!
ฝ่ามือที่ห่อหุ้มด้วยเพลิงอัดเข้าที่กลางอกของโฮโนโอะอย่างแรง ร่างของเขาปลิวว่อนไปข้างหลังกระแทกพื้นจนแทบกระอักเลือด
ตึง!
“อั๊ก!!!”
“หึๆๆ อย่าเปิดช่องว่างให้คู่ต่อสู้ นี่คือหลักการพื้นฐานของนักรบที่ควรรู้”
“คึ~”
“จิตใจที่อ่อนแอก่อให้เกิดช่องโหว่ หากข้าใช้พลังเต็มที่เจ้าคงจะตายไปแล้ว อ้อ จริงสินะ…เจ้ามีอาภรณ์สวรรค์อยู่นี่นา จะถูกโจมตีกี่กระบวนท่าหรือหนักหนาแค่ไหนก็คงไม่ถึงตาย…ตอนนี้มันอยู่ที่ไหนซะล่ะ”
เซนโซพูดพลางจ้องมองร่างกายที่ไร้ซึ่งผืนผ้าสีน้ำทะเลแสนสวย โฮโนโอะฉุกคิดขึ้นได้ทันที เขาตั้งใจใช้อาภรณ์สวรรค์ห่อหุ้มตัวซาคุโระเพื่อรักษาชีวิตของเธอ ผ้าผืนนั้นจะช่วยรักษาชีวิตของเธอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเกิดอะไรขึ้น เพราะเขาคงจะไม่มีโอกาสได้ปกป้องเธออีก แต่เรื่องนั้นกลับเป็นเรื่องรองเมื่อเทียบกับความอยากรู้เรื่องราวของแม่ผู้ให้กำเนิด เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขาอยากรู้มาตลอดชีวิต
“มันจะอยู่ที่ไหน อยู่กับใครก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะรู้ ผ้าผืนนั้นเป็นของแม่ข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายจำไว้!”
“พูดได้ดี ทั้งที่ไม่รู้ว่าแม่ของตัวเองเป็นใครแท้ๆ”
“อยากพูดอะไรก็พูดมาเลยสิ!”
“แล้วเจ้าอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”
“ข้าอยากรู้เรื่องของท่านแม่ แม่ที่ให้กำเนิดข้าจริงๆ นางเป็นใครแล้วอยู่ที่ไหน ถ้าหากเจ้าคือท่านพ่อของข้า เจ้าต้องรู้”
โฮโนโอะถามออกไปตรงๆโดยไม่คิดจะอ้อมค้อม ดวงตาสีทองของเซนโซจ้องมาที่เขาอย่างไม่ละสายตา มีช่วงหนึ่งที่เขามองเห็นดวงตาสีทองคู่นั้นอ่อนแสงเหมือนสติกำลังหลุดลอย แต่ก็ถูกกลบเกลื่อนด้วยสายตากวนโทสะอย่างแนบเนียน
“หึ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
“ว่าไงนะ!”
“ก็ข้าไม่อยากบอกนี่”
“คนเจ้าเล่ห์ ข้าจะฆ่าเจ้า!”
หมับ!! ตึงงงงง!!!
“อึ้ก!! แค่กๆๆ~”
ในชั่วพริบตาที่คำพูดนั้นสิ้นสุด โฮโนโอะก็ถูกฝ่ามือใหญ่ที่ทั้งหนาและอัดแน่นด้วยพลังตะปบใบหน้าและกดลงกับพื้นอย่างไร้ปราณี ความรุนแรงทำให้เขากระอักเลือดออกมาอย่างทรมาน ท่ามกลางสายตาอันเยือกเย็นของราชาแห่งสงครามผู้งามสง่า
“จะบอกอะไรดีๆให้นะไอ้ลูกชาย วิญญาณหรือดวงจิตของเทพน่ะไม่มีทางจะแหลกสลายได้เพราะพลังของมนุษย์หรอก ยิ่งเป็นคนที่จะตายแหล่มิตายแหล่อย่างเจ้าแล้วยิ่งไม่มีทาง และอีกอย่าง…”
“อะไร!”
“หากอยากให้ข้าเล่าเรื่องของแม่เจ้าให้ฟังล่ะก็ เอาชนะข้าให้ได้สิ”
โฮโนโอะรู้สึกเหมือนถูกเชือดให้ตายทั้งเป็นด้วยดวงตาสีทองที่ดั่งเพลิงโลกันตร์ที่ลุกโชติช่วง นี่คือพ่อของเขาตัวจริงไม่ผิดแน่ แต่ราชันย์ผู้นี้มีเหตุผลอะไรที่ทำอย่างนี้ เพราะอะไรถึงได้มาพบเขาในนรก
“เจ้าในตอนนี้ไม่มีปัญญาจะทำได้แม้จะผลักข้าเบาๆด้วยซ้ำกระมัง หือ”
“กรอด~”
“เอ้า โกรธเข้าไป นี่ล่ะจุดอ่อนของเจ้าล่ะ”
“…!!”
“หึ ข้าพูดถูกใช่ไหมล่ะ”
“ท่านพ่อ…”
“เชื่อแล้วรึว่าข้าเป็นพ่อของเจ้า”
“ทำไมต้องเจาะจงมาที่ข้าคนเดียว ทำไม!”
“คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว ก็เพราะว่าเจ้ามันอ่อนแอที่สุดในบรรดาพี่น้องไงล่ะ”
คำพูดที่ไม่รักษาน้ำใจของผู้เป็นพ่อทำให้โฮโนโอะชะงักได้กระทั่งเสียงหายใจ รู้สึกได้ถึงความร้อนที่กำลังก่อตัวจากก้นบึ้งของจิตใจ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง แต่ก่อนที่เพลิงจากจิตใจจะปะทุขึ้นมา แรงกระตุกเหมือนถูกกระชากวิญญาณก็ทำให้เขาต้องอ่อนแรงลงอย่างไร้ทางต่อต้าน
“อึ้ก!”
“เอาไว้ค่อยคุยกันเมื่อเจ้าเอาชนะข้าได้ก็แล้วกัน”
โฮโนโอะจ้องมองใบหน้าเรียวยาวนั้นผ่านม่านตาที่พล่ามัว ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมิดเซนโซก็เอ่ยคำบางคำออกมาและผลักเขาให้ตกลงไปในหุบเหวที่มิดดำ
“เจ้ายังอ่อนหัดนักโฮโนโอะ หากอยากรู้เรื่องของแม่เจ้า ก็เอาชนะข้าให้ได้ซะก่อน ข้าจะรอดูว่าคนอ่อนแอเช่นเจ้าจะมีปัญญาทำให้ข้าสะท้านได้แค่ไหน แต่ก่อนอื่น…จงลงไปข้างล่างแล้วก็ปีนขึ้นมาใหม่ด้วยกำลังของตัวเจ้าเองเถอะ”
“อะไร…เฮือก!!! ว้ากกกกกกกกกก!!!!!”
โฮโนโอะดิ่งพสุธาเพียงเพราะนิ้วเรียวยาวที่จิ้มอกเพียงแผ่วเบา ร่างของเซนโซค่อยๆห่างหายไปจนเหลือเพียงความมืดที่เข้ามาครอบคลุม
เสียงร้องของชายหนุ่มค่อยๆจางหายไปในหุบเหวที่มืดมิดและเหน็บหนาว เทพกษัตริย์แห่งเพลิงกาฬมองด้วยหางตา ทว่า ภายในใจก็ยังนึกหวังว่าจะได้เห็นความแข็งแกร่งที่ถูกผนึกเอาไว้ของทายาทผู้สืบสายเลือดตัวเอง
“โฮโนโอะเอ๋ย ยังมีเรื่องราวอีกมากที่เจ้าต้องรับรู้ ตอนนี้จงข้ามผ่านความอ่อนด้อยของเจ้าให้ได้เสียก่อนเถอะ และเมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าพลังอันใดที่มีอยู่ข้าก็เต็มใจมอบให้เจ้า”
ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยนำพากลิ่นบุปผามากระทบกับโสตประสาทของผู้ที่หลับใหลอยู่กลางทุ่งหญ้า ไม่นานเปลือกตาคู่บางก็ขยับและเปิดขึ้นอย่างช้าๆ
“ที่นี่…ที่นี่มัน…”
ซาคุโระกะพริบตาเพื่อปรับภาพตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น ก่อนจะยันกายลุกอย่างยากลำบาก ท้องฟ้าสีครามสดใสและทุ่งหญ้าเขียวขจีไม่คุ้นตา และยิ่งไปกว่านั้นที่ตรงนั้นไม่เห็นแม้เงาของโฮโนโอะ
“โฮโนโอะ…อยู่ที่ไหนน่ะ”
ความรู้สึกงัวเงียของคนที่เพิ่งตื่นถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกกระสับกระส่าย เมื่อข้างกายไร้ซึ่งคนที่กำลังเรียกหา และทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนและเอียงตัวของทุ่งหญ้าที่ยืนอยู่ ซาคุโระต้องล้มและกลิ้งลงไปตามความเอียงและแรงโน้มถ่วง
ครืนนนนนนนนน~
“อ๊ะ!!! กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!!”
ทันทีที่รู้ว่าตัวเองกำลังดิ่งพสุธา เสียงกรีดร้องเพราะความตกใจก็พลันทำงานตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเข้ามารองรับเอาไว้อย่างมั่นคง หญิงสาวไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองจนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้มที่ไม่คุ้นเคยดังอยู่ข้างหู
“ยืนดีๆหน่อยสิ”
“เอ๊ะ เฮือก!!! นะ นาย!!!”
ใบหน้าของชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่ใกล้เพียงคืบ ซาคุโระเพิ่งรู้ตัวว่าตนได้อยู่ในอ้อมแขนของคนแปลกหน้าก็ยิ่งตกใจกว่าตอนตกหน้าผาเมื่อกี้เสียอีก ชายหนุ่มแปลกหน้าผมสีเข้มเหมือนท้องฟ้าที่ถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น เขากอดกระชับเธอจนแนบอกที่ถูกคลุมด้วยผืนผ้าสีรัตติกาลอันขาดวิ่น ซาคุโระมองไม่เห็นรายละเอียดบนกายของผู้ชายคนนี้มากมายนอกจากด้ามดาบที่โผล่ออกมาจากผ้าคลุมด้านหลัง และเธอก็ไม่สนใจที่จะมองหน้าเหวี่ยงกำปั้นสะเปะสะปะทุบอกนั้นโดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บ
ตุบๆๆๆ
“ปล่อยนะ นายเป็นใคร ปล่อยฉันดี๋ยวนี้นะ ปล่อยช้านนนนนนนนน!!!!”
“หยุดซะที อยากตกลงไปตายรึไง!”
“ไม่สน! นายเป็นใครกล้าดียังไงมาแตะต้องตัวฉันนายจะฆ่าฉันสินะ ใช่ไหม!”
“หนวกหูนะ”
“ปล่อยฉัน ฉันจะไปหาโฮโนโอะ!”
“อยู่เฉยๆ”
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้คนแปลกหน้า!”
“จัดให้”
สิ้นเสียงชายหนุ่มแปลกหน้าก็ปล่อยมือจากเธออย่างไร้เยื่อใย จะเรียกให้ถูกก็คือการโยนและมันก็เป็นเหตุให้เธอต้องหล่นก้นกระแทกพื้นเสียงดัง
ตุ้บ!!!
“โอ๊ย!! ฉันเจ็บนะ”
“ก็เจ้าบอกให้ข้าปล่อยไม่ใช่รึ”
คำพูดและท่าทางเพิกเฉยทำเอาซาคุโระฉุนกึก ชายแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จักพูดจากวนประสาทเธอได้ดียิ่งกว่าโฮโนโอะเสียอีก
“นายเป็นใครไม่ทราบ แล้วที่นี่มันที่ไหน โฮโนโอะอยู่ที่ไหน!”
“ยิงคำถามซะเป็นชุดเชียวนะ จะให้ข้าตอบคำถามไหนก่อนดีล่ะ แม่คุณ”
“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะ! ตอบคำถามมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นนายเจอดีแน่”
ซาคุโระฉุนกึก เธอลุกขึ้นยืนค้ำหัวและชี้หน้าด่าอย่างไม่กริ่งเกรง ไม่ว่ายังไงชายคนนี้ก็มีความสามารถที่จะกวนอวัยวะเหนือรองเท้าเธอได้ดีกว่าโฮโนโอะเป็นไหนๆ ชายหนุ่มนั่งลงขัดสมาธิกอดอกโดยไม่สนใจว่าเธอจะปล่อยไก่ไปกี่ตัว ก่อนที่จะกวักมือเรียกให้เธอสงบลง
“จะบอกให้ก็ได้ ก่อนอื่นนั่งลงก่อนสิ เป็นผู้หญิงมายืนค้ำหัวคนอื่นแบบนี้มันไม่ดีนะ”
“ไม่!”
“เจ้านี่ยังไงกันนะ ทั้งที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อนยังมายืนค้ำหัวด่าฉอดๆๆอยู่ได้ แม้แต่หน้าข้าเจ้าก็ยังไม่ทันมองแบบนี้ จะรู้ได้ไงว่าเป็นมิตรหรือศัตรู”
“หนวกหู ฉันจะมองหรือไม่มองก็ไม่เห็นเกี่ยวกับนาย”
“นั่งลง แล้วมองหน้ากันก่อน”
“หน้านายมีอะไรดีนักหนากัน…!”
ทันทีที่ซาคุโระได้หันไปมองใบหน้าเจ้าของคำพูดกวนประสาทคนนั้น ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อใบหน้าที่ถูกเส้นผมบดบังมากกว่าครึ่งนั้นคล้ายกับพี่ชายของเธอไม่มีผิดเพี้ยน
“พะ…พี่ชาย!”
“หืม”
“นะๆๆนายคือ…”
“รู้รึว่าข้าเป็นใคร แม่คุณ”
“อย่ามาเรียกฉันว่าแม่คุณ!”
“ก็ได้ๆ ข้าจะบอกก็ได้ ข้าชื่อเร็นกะ เป็นยมทูต”
“ยมทูต”
“ใช่”
ทันทีที่เอ่ยชื่อตัวเองสีหน้าขี้เล่นก็ดูเยือกเย็นจนน่ากลัวจนซาคุโระต้องสะท้าน ไม่ใช่เธอที่กลัวยมทูต แต่เป็นอีกคนที่อยู่ในร่างของเธอต่างหาก
“กลัวข้ารึ”
“เอ๊ะ เปล่าซักหน่อย ฉันไม่ใช่คนในโลกนี้ ถึงนายจะเป็นยมทูตก็ไม่มีปัญญาดึงวิญญาณฉันไปหรอก”
“แต่ข้าคิดว่าวิญญาณอีกดวงในตัวเจ้าคงกำลังหวาดกลัวข้าอยู่เป็นแน่”
“อึก!”
“กระทั่งมือเจ้าก็ยังสั่น”
“ละ…แล้วไง”
“ไม่ว่าเทพชั้นสูงที่มีพลังมากแค่ไหน เมื่อถึงเวลา ยมทูตอย่างข้าก็สามารถกระชากวิญญาณออกมาได้หมด จะอยู่หรือไปทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของข้า แม้แต่เทพธิดาสีเงินผู้สูงส่งอย่างเจ้าก็เถอะ”
“มะ หมายความว่ายังไง”
“เห~…กลัวจริงๆด้วยสินะ แต่อย่าห่วงไปเลย ยังไงข้าก็ไม่คิดจะทำอะไรเจ้าตอนนี้หรอก รวมทั้งวิญญาณที่อยู่ในตัวเจ้าด้วย”
ช่วงเวลาที่รอยยิ้มนั้นผุดขึ้นมาบนใบหน้าของยมทูตหนุ่มทำให้ซาคุโระไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย เธอจ้องมองใบหน้าเร็นกะด้วยสายตาที่เหมือนกำลังโหยหายังไงอย่างนั้น
“พี่…”
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
“อะ เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
“คิดถึงอสูรตนนั้นรึ….โฮโนโอะน่ะ”
ยมทูตหนุ่มชิงถามขึ้น ทำให้ซาคุโระนึกออกทันที เมื่อกี๊เธอยังเรียกหาโฮโนโอะอยู่เลย แต่ก็เกือบจะลืมเพราะเห็นหน้าเร็นกะ และทันทีที่ได้ยินคำว่าอสูรก็ทำให้เธอฉุนกึก ไม่ว่าใครก็เรียกโฮโนโอะว่าอสูร มันทำให้เธอไม่พอใจและสวนกลับทุกครั้งไป
“อย่าเรียกโฮโนโอะอย่างนั้นนะ!”
“เจ้าโกรธ?”
“เปล่า!”
“แล้วทำไมต้องขัดคำพูดข้าด้วยล่ะ”
“นะ หนวกหู ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะ แค่ไม่ชอบแล้วผิดด้วยรึไง”
“จริงรึ”
“จะเอาไง!”
“อยากรู้ว่าโฮโนโอะอยู่ที่ไหนงั้นสินะ จะบอกให้เอาไหมล่ะ”
“ฮะ จริงเหรอ! รู้เหรอว่าโฮโนโอะอยู่ไหน”
ซาคุโระหน้าตาตื่นจนออกนอกหน้าทันทีที่ได้ยินชื่อโฮโนโอะ เร็นกะเหลือบมองเธอเพียงแวบเดียวก่อนที่จะลุกเดินไปที่ทุ่งหญ้าริมหน้าผาและเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบไร้ความรู้สึก
“ตอนนี้โฮโนโอะอยู่ในนรก”
“ว่าอะไรนะ!”
“……”
“ทำไม ทำไมโฮโนโอะต้องอยู่ในนรก นะ…นายเป็นคนเอาเขาไปใช่ไหม!”
“ใช่”
“ทำไม!”
“ดูท่าเจ้าจะห่วงอสูรตนนั้นน่าดูเลยนะ”
“บอกมานะ นายเอาเขาไปไว้ที่ไหน นายทำอะไรโฮโนโอะ!”
ซาคุโระลุกพรวดหมายจะเข้าไปกระชากคอยมทูตเพื่อเค้นเอาคำตอบ แต่ก่อนที่มือทั้งสองจะได้เอื้อมถึง เร็นกะก็หันมาประจันหน้าและพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย
“เจ้านั่นยอมสละตัวเองเพื่อเจ้าไงล่ะ”
กึก!
“หมายความว่ายังไง”
“โฮโนโอะสละตัวเองเพื่อแลกกับการให้เจ้ามีชีวิตรอด”
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ นายต้องทำอะไรเขาแน่ หมอนั่นไม่มีทางทิ้งฉันเด็ดขาด”
“ความทรงจำของเจ้าหายไปเป็นบางส่วนใช่ไหมล่ะ นั่นก็เพราะว่ามันเป็นความต้องการของโฮโนโอะที่ไม่อยากให้เจ้ากับดวงวิญญาณของเทพธิดาต้องแตกสลายไงล่ะ”
“อะไรกันน่ะ นั่นมันนรกเชียวนะ”
“โฮโนโอะเป็นอสูรแห่งไฟ นรกคือที่สิงสถิตของเขา ไม่มีอะไรในนรกทำอันตรายเจ้านั่นได้หรอก”
“นายพูดเหมือนกับโฮโนโอะจะกลับมาอย่างนั้นล่ะ”
“สักวันเจ้านั่นต้องกลับมาแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่เจ้าอ่อนแอจนจะทำให้การเสียสละนั่นไร้ความหมาย”
ซาคุโระเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังร้องไห้ มิน่าเร็นกะถึงได้มองเธอด้วยสายตาระอา ยมทูตสามารถหยั่งรู้และอ่านความคิดที่อยู่ในใจของใครต่อใครออกหมด แต่เขาก็ไม่แสดงท่าทีใดๆนอกจากจะถอนหายใจอย่างปล่อยวาง
“จะบอกอะไรให้อย่าง ไม่มีอะไรในนรกทำร้ายโฮโนโอะได้ นอกเสียจาก….”
“อะไร”
“จิตใจที่ยังมืดดำของเจ้านั่นเอง”
“จิตใจอันมืดดำเหรอ”
“ซักวันที่เจ้านั่นกลับมาเจ้าก็จะรู้เอง แต่ตอนนี้เจ้าต้องกลับไปหาทายาทที่เหลือ”
หากยมทูตไม่เอ่ยชื่อของทั้งสองคนออกมา ซาคุโระก็ยอมรับแต่โดยดีว่าลืมไปแล้ว เธอเกือบจะลืมทายาทแห่งราชันย์ทั้งสองไปจริงๆเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องโฮโนโอะคนเดียว
“แสดงว่านายจะร่วมทางไปกับฉัน?”
เร็นกะพยักหน้าทีหนึ่งแทนคำตอบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ซาคุโระใจชื้นขึ้นมาเท่าไหร่ เพราะยังระแวงว่าอาจจะเป็นอย่างตอนที่เกิดเรื่องของเนรีวขึ้น แล้วนี่ยังจะมียมทูตโผล่ออกมา เธอจะไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหนกัน
“ข้าไม่ใช่ทั้งอสูรและปีศาจ แต่เป็นยมทูตที่กุมชะตาชีวิตของพวกเจ้า”
เสียงราบเรียบแอบแฝงความเย็นชาดังแทรกเข้ามาเหมือนหยั่งรู้ความคิดในใจ ซาคุโระเงยหน้ามองที่มาของเสียงก็เกือบจะต้องผงะถอยหลังเมื่อเร็นกะได้เข้ามาประชิดในระยะเผาขน ในมือเขาถือผ้าผืนหนึ่งที่คุ้นตา ก่อนที่จะยื่นมันมาให้เธอ
“ผ้าผืนนี้เจ้าก็ควรจะเก็บไว้ให้ดี”
ซาคุโระจำได้ว่าโฮโนโอะใช้คลุมร่างเธอก่อนที่เธอจะหลับ นี่เขาตั้งใจจะฝากมันไว้กับเธอเองหรอกเหรอ
“เข้าใจแล้ว ฉันจะเก็บไว้ให้ดี โฮโนโอะกลับมาเมื่อไหร่ฉันจะคืนให้เขา”
ซาคุโระพูดพลางนำผ้ามาพันรอบคอไว้หลวมๆและทิ้งชายผ้าไปด้านหลังเหมือนผ้าคลุมที่ไม่มีหมวกคล้ายๆตัวละครในนวนิยายแฟนตาซีเรื่องดังที่เคยดู แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาเพราะถึงยังไงที่นี่ก็เป็นโลกนิยายอยู่แล้ว แค่นี้คงไม่ทำให้ใครมาตราหน้าได้ว่าประหลาดหรอก เพราะมันยังมีพวกตัวประหลาดกว่าเธอเยอะ เร็นกะยื่นมือเข้ามาหาและเธอก็ไม่รอช้าที่จะจับมือเขาเอาไว้เพื่อที่เขาจะพาเธอลงไปจากเนินหญ้าที่มีชีวิตนี้ ก่อนที่มันจะสั่นสะเทือนและเทสิ่งแปลกปลอมลงในหุบเหวอีกระลอก
การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่มีจุดหมายไปยังหุบเขานั้น หนีไม่พ้นสายตาอันกว้างไกลของจอมปีศาจที่ทรงอานุภาพอย่างคัยรีว จิตสัมผัสรุนแรงและแม่นยำจับได้กระทั่งการเคลื่อนไหวของแมลงตัวเล็กๆที่บินว่อนอยู่กลางอากาศ หรือแม้กระทั่งยมทูตที่ไร้รูปร่างถาวร
“มาแล้วรึ…ดวงจิตสีดำที่ไร้รูปร่าง เจ้ายมทูต!”
เสียงเย็นเยียบดังเล็ดรอดออกมาจากห้องโถงอันมืดมิดบนยอดปราสาทที่น่าสะพรึงของหุบเขา ดินแดนที่รอการกลับมาของเทพเจ้าผู้ครอบครอง เทพธิดาสีเงินผู้ที่จะกลับมาแก้คำสาปให้กับดินแดนแห่งแสงสว่างอันถูกสาปให้หลับใหล ทว่า…ความมืดจากคำสาปนับวันจะยิ่งหอมหวานและล่อให้พวกปีศาจอสูรกายนานาพันธุ์เข้ามาอาศัยและคอยกีดกันขัดขวางแสงสว่างที่กำลังจะเดินทางมาถึง
................................................................................
ลึกลงไปในหุบเหวที่เหมือนจะเป็นโลกอีกใบที่ลึกเกินกว่าใครจะหยั่งถึง ร่างของโฮโนโอะประกอบขึ้นมาใหม่จากฝุ่นผงและเหมือนถูกโยนลงมาจนถึงก้นเหว ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ดูเก่าแก่และผุพัง ผ่านไปพักใหญ่ชายหนุ่มก็ได้สติกลับมาเพราะเสียงร้องคร่ำครวญของใครบางคนที่สะท้อนอยู่ในหัว
“โฮโนโอะ…ตื่นเถอะโฮโนโอะ ลุกขึ้นมาเร็วเข้า โฮโนโอะ”
“อะ เสียงนี้มัน…ใครกัน”
เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆเปิดออกอย่างยากลำบาก สิ่งที่มองเห็นผ่านม่านตาอันพล่ามัวนั้นเต็มไปด้วยซากปรักหักพังและความมืดที่ให้ความรู้สึกวังเวงจนเหน็บหนาว
“ที่นี่ที่ไหน ข้ายังไม่ตายหรอกเหรอ”
ชายหนุ่มยันกายลุกหมายจะยืน แต่ความเจ็บปวดทั่วร่างทำให้ซวนเซเหมือนจะล้มกลับไปนอนอีกรอบ
“เจ็บ!”
“ถ้าเจ็บก็อย่าฝืนนักเลย”
เสียงทุ้มประหลาดเหมือนเคยได้ยินที่ไหนดังกึกก้องไปรอบตัวจนจับทิศทางไม่ถูก โฮโนโอะพยายามเพ่งมองทั้งใช้สัมผัสค้นหาแต่ก็จับทิศทางไม่ได้
“มองไม่เห็น”
“จะมองไปทางไหนเล่า ข้าอยู่นี่แล้วไง ตรงหน้าเจ้านี่แหล่ะ”
สิ้นสุดเสียงทุ้มต่ำอันเย็นเยือกเงารางๆก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมกับคำบางคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาทำให้ถึงกับชะงักงัน
“อดทนสมเป็นเจ้าจริงๆเลยนะ โฮโนโอะ”
“รู้จักข้าเหรอ เจ้าเป็นใคร”
“มองดูให้เต็มตาสิ…ไอ้ลูกชาย”
“ไม่จริง! ทะ…”
“ไม่ได้เจอกันนานนะ โฮโนโอะ”
“ท่านพ่อ!”
เจ้าของเสียงทุ้มปริศนาปรากฏร่างชัดเจนยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสง่า โฮโนโอะจดจำใบหน้าคมคายและเค้าไอของเพลิงนรกอันร้อนระอุนี่ได้ดี จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหนึ่งในเทพกษัตริย์ผู้ครอบครองเพลิงจากนรก เซนโซ พ่อบังเกิดเกล้าของเขา
“ไม่จริง! ข้าตาฝาด ท่านพ่อจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงในเมื่อ…!”
“ตายไปแล้ว ต่อหน้าพวกเจ้า”
คำพูดตัดบทแสนง่ายของผู้เป็นพ่อทำเอาโฮโนโอะสะอึกในทันที ราชันย์แห่งเพลิงนรกหนึ่งในเทพกษัตริย์ที่หมดลมและมอดไหม้ไปต่อหน้าลูกชายทั้งสามเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้เขากลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ราวกับว่าจงใจจะให้เกิดกับเขาเพียงผู้เดียว
“เป็นไปไม่ได้ ข้าต้องตาฝาดไปแน่ๆ ข้าถูกยมทูตส่งมาลงนรก แลกกับชีวิตของซาคุโระ แล้วท่านพ่อจะมาอยู่ที่นรกได้ยังไง!”
“เจ้าไม่ได้ตาฝาด”
“ว่าไงนะ”
“ตามมาสิ พ่อมีเรื่องอยากคุยกับเจ้ามากมายนัก โฮโนโอะ”
“….”
“เจ้าจะไม่เชื่อใจพ่อของเจ้าเลยรึ”
โฮโนโอะสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกอ่านความคิดจนหมดเปลือก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะตามไป
ตลอดทางนั้นมืดมัวจนแทบจะมองไม่เห็น อยากรู้จริงๆว่าที่นี่คือนรกขุมไหน ทำไมมันทั้งมืดและเหน็บหนาวจนถึงแกนกระดูกได้ถึงขนาดนี้ แสงระยิบระยับจากเครื่องประดับสีทองบนชุดคลุมของเซนโซที่เดินนำหน้าสะท้อนให้เห็นทางเดินอยู่รางๆ โฮโนโอะเดินตามไปทั้งที่ในใจก็ยังคงคิดสงสัยไม่หาย ถึงความคิดทั้งหมดของเขาจะถูกชายตรงหน้าอ่านออกจนทะลุปรุโปร่งก็ตาม
ในที่สุดก็พ้นจากอุโมงค์ที่มืดมน โฮโนโอะไม่ปริปากพูดอะไร กวาดตามองไปรอบๆตัว สถานที่ๆเขายืนอยู่นั้นไม่ต่างไปจากลานประลองอะไรซักอย่าง
“พาข้ามาที่นี่ทำไม”
“แล้วคิดว่าข้าพาเจ้ามาทำไมล่ะ”
ชายหนุ่มที่ไม่สามารถบ่งบอกอายุไขได้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย โฮโนโอะเริ่มระวังตัวเมื่อมองเห็นรอยยิ้มแสยะที่มุมปากของอีกฝ่าย ความรู้สึกที่สัมผัสได้นั้นช่างโหดเหี้ยมและร้อนยิ่งกว่าเพลิงนรกที่เคยสัมผัส
“ถ้าจะมาท้าสู้ละก็เข้ามาเลยสิ ไม่ต้องลงทุนปลอมตัวเป็นท่านพ่อมาหลอกข้าให้เสียเวลาหรอก!”
โฮโนโอะไม่สบอารมณ์พร้อมทั้งตั้งท่ารับการโจมตี แต่ชายตรงหน้ากลับไม่มีท่าทีว่าจะลงมือหรือตั้งท่าจู่โจมเขาแม้แต่น้อย แต่กลับยิ้มและหัวเราะชอบใจเหมือนเห็นเขาเป็นตัวตลกเสียมากกว่า
“หึๆๆๆ ช่างกล้าดีเดือดเสียจริงนะ สภาพปางตายขนาดนี้ยังกล้าทำปากดีอีกนะ เจ้าหนู”
“ว่าไงนะ!”
“ในนรกน่ะ ใช่ว่าใครเข้ามาแล้วจะปรับตัวได้ง่ายๆ ถึงเจ้าจะมีสายเลือดของราชันย์ก็เถอะ แต่สำหรับวิญญาณก็ไม่ได้ต่างไปจากฝุ่นผงที่หลงทาง หากเจ้าอยากต่อสู้นักล่ะก็รักษาตัวให้หายก่อนเถอะ แล้วข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเอง ส่วนเจ้าจะกล้าสู้กับพ่อแท้ๆหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง”
“พ่อของข้าตายไปนานแล้ว! เขาอยู่บนสวรรค์ไม่ใช่นรก อย่าบังอาจมาอวดอ้างให้ชื่อพ่อข้าแปดเปื้อนไปมากกว่านี้ ถ้าจะสู้ก็สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งเดี๋ยวนี้เลยเป็นไง!”
โฮโนโอะไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ และชิงลงมือพุ่งเข้าไปโจมตีก่อน ถึงรูปร่างหน้าจะเป็นพ่อของเขาแต่เขาก็ไม่มีทางเชื่อว่านั่นคือพ่อ เพราะเชื่ออยู่เสมอว่าพ่อและเทพกษัตริย์องค์อื่นๆที่ล่วงลับต้องอยู่บนสวรรค์เคียงข้างมหาเทพ ไม่ใช่นรกที่สิงสู่ของวิญญาณ
ฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยเปลวเพลิงอัดกระแทกเข้ากลางอกของเซนโซ แต่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาให้สับสนเล่นเท่านั้น
“หะ หายไป!”
“ลูกเล่นเพียงเท่านี้ยังมองไม่ออก เจ้ามันช่างอ่อนหัดไม่เคยเปลี่ยนจริงๆโฮโนโอะ”
“อะไรกัน!!!”
ตึง!
โฮโนโอะรู้สึกชาไปทั้งร่าง การเคลื่อนไหวที่เร็วยิ่งกว่าลมทำให้เขามองไม่เห็นฝ่ามือของเซนโซที่เข้ามาจับศีรษะของเขาและกดกระแทกกับพื้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
“อึ้ก!~”
“นี่น่ะรึสายเลือดเทพกษัตริย์ ช่างขลาดเขลา ร้อนรนและอ่อนแอสิ้นดี”
“กรอด~”
“จะบอกให้นะไอ้หนู ฝีมือระดับเจ้าน่ะ ไม่มีทางโค่นใครเขาได้หรอก”
น้ำเสียงเย็นเยือกบ่งบอกถึงความรู้สึกสมเพชและดูหมิ่น โฮโนโอะรวบรวมกำลังทั้งหมดที่เหลือเพื่อจะดีดตัวลุกและตีตัวออกไปให้พ้นฝ่ามือของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว คำพูดดูถูกเหยียดหยามทำให้เขารู้สึกโกรธจนเกือบจะเรียกเพลิงนรกมาใช้ เซนโซเหลือบมองเพียงหางตาพร้อมกับรอยยิ้มแสยะที่มุมปาก ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังงามสง่าและมีพลังสูงเหมือนเทพกษัตริย์องค์เดิมที่โฮโนโอะรู้จัก
“หึ ไหวพริบดี แต่ก็อย่างที่บอก อย่างเจ้าน่ะไม่มีปัญญาฆ่าใครได้หรอก”
“หนวกหู! ข้าจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของข้า แต่ตอนนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ดู!”
“ทำได้รึ”
เพียงเสี้ยวนาทีโฮโนโอะก็เข้าประชิดคว้าคอระหงของเซนโซและเหวี่ยงไปกระแทกเข้ากับโขดหินจนพังทลายโดยที่ไม่ให้เขาได้ตั้งตัว
ตึงงงงงง!!!
“เอาคืนที่ทำกับข้าไง เท่าเทียมกันดีไหมล่ะ”
“เร็วขึ้นนิดหน่อยนี่”
เซนโซยังมีสีหน้าเรียบเฉยในขณะที่โฮโนโอะกลับรู้สึกว่าพลังในตัวเริ่มหดหายจนแทบจะไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรง แต่ก็ยังแข็งใจและรวบรวมพลังที่เหลือเพื่อจะจัดการชายตรงหน้าให้ได้ มือซ้ายที่ยังว่างก็ปรากฏกรงเล็บที่ถูกห่อหุ้มด้วยเพลิงสีทองเจิดจ้า ถึงจะอ่อนกำลังลงไปมากแต่พลังนี้ก็สามารถปลิดลมหายใจของคู่ต่อสู้ได้กระทั่งวิญญาณ
“เตรียมตัวตายซะเถอะ!”
“ข้าตายไปแล้ว จำไม่ได้รึ”
“ข้าจะทำให้เจ้าตายอีกครั้งเป็นยังไง!”
“ไม่อยากรู้เรื่องของแม่เจ้ารึ”
กึก! คำพูดไม่กี่คำทำให้โฮโนโอะชะงักงัน เรื่องของแม่งั้นเหรอ นี่เขาจะได้รู้จักแม่ที่แท้จริงงั้นเหรอ…
“อ่อนหัด”
“อ๊ะ!”
ผัวะ!
ฝ่ามือที่ห่อหุ้มด้วยเพลิงอัดเข้าที่กลางอกของโฮโนโอะอย่างแรง ร่างของเขาปลิวว่อนไปข้างหลังกระแทกพื้นจนแทบกระอักเลือด
ตึง!
“อั๊ก!!!”
“หึๆๆ อย่าเปิดช่องว่างให้คู่ต่อสู้ นี่คือหลักการพื้นฐานของนักรบที่ควรรู้”
“คึ~”
“จิตใจที่อ่อนแอก่อให้เกิดช่องโหว่ หากข้าใช้พลังเต็มที่เจ้าคงจะตายไปแล้ว อ้อ จริงสินะ…เจ้ามีอาภรณ์สวรรค์อยู่นี่นา จะถูกโจมตีกี่กระบวนท่าหรือหนักหนาแค่ไหนก็คงไม่ถึงตาย…ตอนนี้มันอยู่ที่ไหนซะล่ะ”
เซนโซพูดพลางจ้องมองร่างกายที่ไร้ซึ่งผืนผ้าสีน้ำทะเลแสนสวย โฮโนโอะฉุกคิดขึ้นได้ทันที เขาตั้งใจใช้อาภรณ์สวรรค์ห่อหุ้มตัวซาคุโระเพื่อรักษาชีวิตของเธอ ผ้าผืนนั้นจะช่วยรักษาชีวิตของเธอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเกิดอะไรขึ้น เพราะเขาคงจะไม่มีโอกาสได้ปกป้องเธออีก แต่เรื่องนั้นกลับเป็นเรื่องรองเมื่อเทียบกับความอยากรู้เรื่องราวของแม่ผู้ให้กำเนิด เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขาอยากรู้มาตลอดชีวิต
“มันจะอยู่ที่ไหน อยู่กับใครก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะรู้ ผ้าผืนนั้นเป็นของแม่ข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายจำไว้!”
“พูดได้ดี ทั้งที่ไม่รู้ว่าแม่ของตัวเองเป็นใครแท้ๆ”
“อยากพูดอะไรก็พูดมาเลยสิ!”
“แล้วเจ้าอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”
“ข้าอยากรู้เรื่องของท่านแม่ แม่ที่ให้กำเนิดข้าจริงๆ นางเป็นใครแล้วอยู่ที่ไหน ถ้าหากเจ้าคือท่านพ่อของข้า เจ้าต้องรู้”
โฮโนโอะถามออกไปตรงๆโดยไม่คิดจะอ้อมค้อม ดวงตาสีทองของเซนโซจ้องมาที่เขาอย่างไม่ละสายตา มีช่วงหนึ่งที่เขามองเห็นดวงตาสีทองคู่นั้นอ่อนแสงเหมือนสติกำลังหลุดลอย แต่ก็ถูกกลบเกลื่อนด้วยสายตากวนโทสะอย่างแนบเนียน
“หึ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
“ว่าไงนะ!”
“ก็ข้าไม่อยากบอกนี่”
“คนเจ้าเล่ห์ ข้าจะฆ่าเจ้า!”
หมับ!! ตึงงงงง!!!
“อึ้ก!! แค่กๆๆ~”
ในชั่วพริบตาที่คำพูดนั้นสิ้นสุด โฮโนโอะก็ถูกฝ่ามือใหญ่ที่ทั้งหนาและอัดแน่นด้วยพลังตะปบใบหน้าและกดลงกับพื้นอย่างไร้ปราณี ความรุนแรงทำให้เขากระอักเลือดออกมาอย่างทรมาน ท่ามกลางสายตาอันเยือกเย็นของราชาแห่งสงครามผู้งามสง่า
“จะบอกอะไรดีๆให้นะไอ้ลูกชาย วิญญาณหรือดวงจิตของเทพน่ะไม่มีทางจะแหลกสลายได้เพราะพลังของมนุษย์หรอก ยิ่งเป็นคนที่จะตายแหล่มิตายแหล่อย่างเจ้าแล้วยิ่งไม่มีทาง และอีกอย่าง…”
“อะไร!”
“หากอยากให้ข้าเล่าเรื่องของแม่เจ้าให้ฟังล่ะก็ เอาชนะข้าให้ได้สิ”
โฮโนโอะรู้สึกเหมือนถูกเชือดให้ตายทั้งเป็นด้วยดวงตาสีทองที่ดั่งเพลิงโลกันตร์ที่ลุกโชติช่วง นี่คือพ่อของเขาตัวจริงไม่ผิดแน่ แต่ราชันย์ผู้นี้มีเหตุผลอะไรที่ทำอย่างนี้ เพราะอะไรถึงได้มาพบเขาในนรก
“เจ้าในตอนนี้ไม่มีปัญญาจะทำได้แม้จะผลักข้าเบาๆด้วยซ้ำกระมัง หือ”
“กรอด~”
“เอ้า โกรธเข้าไป นี่ล่ะจุดอ่อนของเจ้าล่ะ”
“…!!”
“หึ ข้าพูดถูกใช่ไหมล่ะ”
“ท่านพ่อ…”
“เชื่อแล้วรึว่าข้าเป็นพ่อของเจ้า”
“ทำไมต้องเจาะจงมาที่ข้าคนเดียว ทำไม!”
“คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว ก็เพราะว่าเจ้ามันอ่อนแอที่สุดในบรรดาพี่น้องไงล่ะ”
คำพูดที่ไม่รักษาน้ำใจของผู้เป็นพ่อทำให้โฮโนโอะชะงักได้กระทั่งเสียงหายใจ รู้สึกได้ถึงความร้อนที่กำลังก่อตัวจากก้นบึ้งของจิตใจ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง แต่ก่อนที่เพลิงจากจิตใจจะปะทุขึ้นมา แรงกระตุกเหมือนถูกกระชากวิญญาณก็ทำให้เขาต้องอ่อนแรงลงอย่างไร้ทางต่อต้าน
“อึ้ก!”
“เอาไว้ค่อยคุยกันเมื่อเจ้าเอาชนะข้าได้ก็แล้วกัน”
โฮโนโอะจ้องมองใบหน้าเรียวยาวนั้นผ่านม่านตาที่พล่ามัว ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมิดเซนโซก็เอ่ยคำบางคำออกมาและผลักเขาให้ตกลงไปในหุบเหวที่มิดดำ
“เจ้ายังอ่อนหัดนักโฮโนโอะ หากอยากรู้เรื่องของแม่เจ้า ก็เอาชนะข้าให้ได้ซะก่อน ข้าจะรอดูว่าคนอ่อนแอเช่นเจ้าจะมีปัญญาทำให้ข้าสะท้านได้แค่ไหน แต่ก่อนอื่น…จงลงไปข้างล่างแล้วก็ปีนขึ้นมาใหม่ด้วยกำลังของตัวเจ้าเองเถอะ”
“อะไร…เฮือก!!! ว้ากกกกกกกกกก!!!!!”
โฮโนโอะดิ่งพสุธาเพียงเพราะนิ้วเรียวยาวที่จิ้มอกเพียงแผ่วเบา ร่างของเซนโซค่อยๆห่างหายไปจนเหลือเพียงความมืดที่เข้ามาครอบคลุม
เสียงร้องของชายหนุ่มค่อยๆจางหายไปในหุบเหวที่มืดมิดและเหน็บหนาว เทพกษัตริย์แห่งเพลิงกาฬมองด้วยหางตา ทว่า ภายในใจก็ยังนึกหวังว่าจะได้เห็นความแข็งแกร่งที่ถูกผนึกเอาไว้ของทายาทผู้สืบสายเลือดตัวเอง
“โฮโนโอะเอ๋ย ยังมีเรื่องราวอีกมากที่เจ้าต้องรับรู้ ตอนนี้จงข้ามผ่านความอ่อนด้อยของเจ้าให้ได้เสียก่อนเถอะ และเมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าพลังอันใดที่มีอยู่ข้าก็เต็มใจมอบให้เจ้า”
ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยนำพากลิ่นบุปผามากระทบกับโสตประสาทของผู้ที่หลับใหลอยู่กลางทุ่งหญ้า ไม่นานเปลือกตาคู่บางก็ขยับและเปิดขึ้นอย่างช้าๆ
“ที่นี่…ที่นี่มัน…”
ซาคุโระกะพริบตาเพื่อปรับภาพตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น ก่อนจะยันกายลุกอย่างยากลำบาก ท้องฟ้าสีครามสดใสและทุ่งหญ้าเขียวขจีไม่คุ้นตา และยิ่งไปกว่านั้นที่ตรงนั้นไม่เห็นแม้เงาของโฮโนโอะ
“โฮโนโอะ…อยู่ที่ไหนน่ะ”
ความรู้สึกงัวเงียของคนที่เพิ่งตื่นถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกกระสับกระส่าย เมื่อข้างกายไร้ซึ่งคนที่กำลังเรียกหา และทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนและเอียงตัวของทุ่งหญ้าที่ยืนอยู่ ซาคุโระต้องล้มและกลิ้งลงไปตามความเอียงและแรงโน้มถ่วง
ครืนนนนนนนนน~
“อ๊ะ!!! กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!!”
ทันทีที่รู้ว่าตัวเองกำลังดิ่งพสุธา เสียงกรีดร้องเพราะความตกใจก็พลันทำงานตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเข้ามารองรับเอาไว้อย่างมั่นคง หญิงสาวไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองจนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้มที่ไม่คุ้นเคยดังอยู่ข้างหู
“ยืนดีๆหน่อยสิ”
“เอ๊ะ เฮือก!!! นะ นาย!!!”
ใบหน้าของชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่ใกล้เพียงคืบ ซาคุโระเพิ่งรู้ตัวว่าตนได้อยู่ในอ้อมแขนของคนแปลกหน้าก็ยิ่งตกใจกว่าตอนตกหน้าผาเมื่อกี้เสียอีก ชายหนุ่มแปลกหน้าผมสีเข้มเหมือนท้องฟ้าที่ถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น เขากอดกระชับเธอจนแนบอกที่ถูกคลุมด้วยผืนผ้าสีรัตติกาลอันขาดวิ่น ซาคุโระมองไม่เห็นรายละเอียดบนกายของผู้ชายคนนี้มากมายนอกจากด้ามดาบที่โผล่ออกมาจากผ้าคลุมด้านหลัง และเธอก็ไม่สนใจที่จะมองหน้าเหวี่ยงกำปั้นสะเปะสะปะทุบอกนั้นโดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บ
ตุบๆๆๆ
“ปล่อยนะ นายเป็นใคร ปล่อยฉันดี๋ยวนี้นะ ปล่อยช้านนนนนนนนน!!!!”
“หยุดซะที อยากตกลงไปตายรึไง!”
“ไม่สน! นายเป็นใครกล้าดียังไงมาแตะต้องตัวฉันนายจะฆ่าฉันสินะ ใช่ไหม!”
“หนวกหูนะ”
“ปล่อยฉัน ฉันจะไปหาโฮโนโอะ!”
“อยู่เฉยๆ”
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้คนแปลกหน้า!”
“จัดให้”
สิ้นเสียงชายหนุ่มแปลกหน้าก็ปล่อยมือจากเธออย่างไร้เยื่อใย จะเรียกให้ถูกก็คือการโยนและมันก็เป็นเหตุให้เธอต้องหล่นก้นกระแทกพื้นเสียงดัง
ตุ้บ!!!
“โอ๊ย!! ฉันเจ็บนะ”
“ก็เจ้าบอกให้ข้าปล่อยไม่ใช่รึ”
คำพูดและท่าทางเพิกเฉยทำเอาซาคุโระฉุนกึก ชายแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จักพูดจากวนประสาทเธอได้ดียิ่งกว่าโฮโนโอะเสียอีก
“นายเป็นใครไม่ทราบ แล้วที่นี่มันที่ไหน โฮโนโอะอยู่ที่ไหน!”
“ยิงคำถามซะเป็นชุดเชียวนะ จะให้ข้าตอบคำถามไหนก่อนดีล่ะ แม่คุณ”
“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะ! ตอบคำถามมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นนายเจอดีแน่”
ซาคุโระฉุนกึก เธอลุกขึ้นยืนค้ำหัวและชี้หน้าด่าอย่างไม่กริ่งเกรง ไม่ว่ายังไงชายคนนี้ก็มีความสามารถที่จะกวนอวัยวะเหนือรองเท้าเธอได้ดีกว่าโฮโนโอะเป็นไหนๆ ชายหนุ่มนั่งลงขัดสมาธิกอดอกโดยไม่สนใจว่าเธอจะปล่อยไก่ไปกี่ตัว ก่อนที่จะกวักมือเรียกให้เธอสงบลง
“จะบอกให้ก็ได้ ก่อนอื่นนั่งลงก่อนสิ เป็นผู้หญิงมายืนค้ำหัวคนอื่นแบบนี้มันไม่ดีนะ”
“ไม่!”
“เจ้านี่ยังไงกันนะ ทั้งที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อนยังมายืนค้ำหัวด่าฉอดๆๆอยู่ได้ แม้แต่หน้าข้าเจ้าก็ยังไม่ทันมองแบบนี้ จะรู้ได้ไงว่าเป็นมิตรหรือศัตรู”
“หนวกหู ฉันจะมองหรือไม่มองก็ไม่เห็นเกี่ยวกับนาย”
“นั่งลง แล้วมองหน้ากันก่อน”
“หน้านายมีอะไรดีนักหนากัน…!”
ทันทีที่ซาคุโระได้หันไปมองใบหน้าเจ้าของคำพูดกวนประสาทคนนั้น ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อใบหน้าที่ถูกเส้นผมบดบังมากกว่าครึ่งนั้นคล้ายกับพี่ชายของเธอไม่มีผิดเพี้ยน
“พะ…พี่ชาย!”
“หืม”
“นะๆๆนายคือ…”
“รู้รึว่าข้าเป็นใคร แม่คุณ”
“อย่ามาเรียกฉันว่าแม่คุณ!”
“ก็ได้ๆ ข้าจะบอกก็ได้ ข้าชื่อเร็นกะ เป็นยมทูต”
“ยมทูต”
“ใช่”
ทันทีที่เอ่ยชื่อตัวเองสีหน้าขี้เล่นก็ดูเยือกเย็นจนน่ากลัวจนซาคุโระต้องสะท้าน ไม่ใช่เธอที่กลัวยมทูต แต่เป็นอีกคนที่อยู่ในร่างของเธอต่างหาก
“กลัวข้ารึ”
“เอ๊ะ เปล่าซักหน่อย ฉันไม่ใช่คนในโลกนี้ ถึงนายจะเป็นยมทูตก็ไม่มีปัญญาดึงวิญญาณฉันไปหรอก”
“แต่ข้าคิดว่าวิญญาณอีกดวงในตัวเจ้าคงกำลังหวาดกลัวข้าอยู่เป็นแน่”
“อึก!”
“กระทั่งมือเจ้าก็ยังสั่น”
“ละ…แล้วไง”
“ไม่ว่าเทพชั้นสูงที่มีพลังมากแค่ไหน เมื่อถึงเวลา ยมทูตอย่างข้าก็สามารถกระชากวิญญาณออกมาได้หมด จะอยู่หรือไปทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของข้า แม้แต่เทพธิดาสีเงินผู้สูงส่งอย่างเจ้าก็เถอะ”
“มะ หมายความว่ายังไง”
“เห~…กลัวจริงๆด้วยสินะ แต่อย่าห่วงไปเลย ยังไงข้าก็ไม่คิดจะทำอะไรเจ้าตอนนี้หรอก รวมทั้งวิญญาณที่อยู่ในตัวเจ้าด้วย”
ช่วงเวลาที่รอยยิ้มนั้นผุดขึ้นมาบนใบหน้าของยมทูตหนุ่มทำให้ซาคุโระไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย เธอจ้องมองใบหน้าเร็นกะด้วยสายตาที่เหมือนกำลังโหยหายังไงอย่างนั้น
“พี่…”
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
“อะ เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
“คิดถึงอสูรตนนั้นรึ….โฮโนโอะน่ะ”
ยมทูตหนุ่มชิงถามขึ้น ทำให้ซาคุโระนึกออกทันที เมื่อกี๊เธอยังเรียกหาโฮโนโอะอยู่เลย แต่ก็เกือบจะลืมเพราะเห็นหน้าเร็นกะ และทันทีที่ได้ยินคำว่าอสูรก็ทำให้เธอฉุนกึก ไม่ว่าใครก็เรียกโฮโนโอะว่าอสูร มันทำให้เธอไม่พอใจและสวนกลับทุกครั้งไป
“อย่าเรียกโฮโนโอะอย่างนั้นนะ!”
“เจ้าโกรธ?”
“เปล่า!”
“แล้วทำไมต้องขัดคำพูดข้าด้วยล่ะ”
“นะ หนวกหู ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะ แค่ไม่ชอบแล้วผิดด้วยรึไง”
“จริงรึ”
“จะเอาไง!”
“อยากรู้ว่าโฮโนโอะอยู่ที่ไหนงั้นสินะ จะบอกให้เอาไหมล่ะ”
“ฮะ จริงเหรอ! รู้เหรอว่าโฮโนโอะอยู่ไหน”
ซาคุโระหน้าตาตื่นจนออกนอกหน้าทันทีที่ได้ยินชื่อโฮโนโอะ เร็นกะเหลือบมองเธอเพียงแวบเดียวก่อนที่จะลุกเดินไปที่ทุ่งหญ้าริมหน้าผาและเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบไร้ความรู้สึก
“ตอนนี้โฮโนโอะอยู่ในนรก”
“ว่าอะไรนะ!”
“……”
“ทำไม ทำไมโฮโนโอะต้องอยู่ในนรก นะ…นายเป็นคนเอาเขาไปใช่ไหม!”
“ใช่”
“ทำไม!”
“ดูท่าเจ้าจะห่วงอสูรตนนั้นน่าดูเลยนะ”
“บอกมานะ นายเอาเขาไปไว้ที่ไหน นายทำอะไรโฮโนโอะ!”
ซาคุโระลุกพรวดหมายจะเข้าไปกระชากคอยมทูตเพื่อเค้นเอาคำตอบ แต่ก่อนที่มือทั้งสองจะได้เอื้อมถึง เร็นกะก็หันมาประจันหน้าและพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย
“เจ้านั่นยอมสละตัวเองเพื่อเจ้าไงล่ะ”
กึก!
“หมายความว่ายังไง”
“โฮโนโอะสละตัวเองเพื่อแลกกับการให้เจ้ามีชีวิตรอด”
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ นายต้องทำอะไรเขาแน่ หมอนั่นไม่มีทางทิ้งฉันเด็ดขาด”
“ความทรงจำของเจ้าหายไปเป็นบางส่วนใช่ไหมล่ะ นั่นก็เพราะว่ามันเป็นความต้องการของโฮโนโอะที่ไม่อยากให้เจ้ากับดวงวิญญาณของเทพธิดาต้องแตกสลายไงล่ะ”
“อะไรกันน่ะ นั่นมันนรกเชียวนะ”
“โฮโนโอะเป็นอสูรแห่งไฟ นรกคือที่สิงสถิตของเขา ไม่มีอะไรในนรกทำอันตรายเจ้านั่นได้หรอก”
“นายพูดเหมือนกับโฮโนโอะจะกลับมาอย่างนั้นล่ะ”
“สักวันเจ้านั่นต้องกลับมาแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่เจ้าอ่อนแอจนจะทำให้การเสียสละนั่นไร้ความหมาย”
ซาคุโระเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังร้องไห้ มิน่าเร็นกะถึงได้มองเธอด้วยสายตาระอา ยมทูตสามารถหยั่งรู้และอ่านความคิดที่อยู่ในใจของใครต่อใครออกหมด แต่เขาก็ไม่แสดงท่าทีใดๆนอกจากจะถอนหายใจอย่างปล่อยวาง
“จะบอกอะไรให้อย่าง ไม่มีอะไรในนรกทำร้ายโฮโนโอะได้ นอกเสียจาก….”
“อะไร”
“จิตใจที่ยังมืดดำของเจ้านั่นเอง”
“จิตใจอันมืดดำเหรอ”
“ซักวันที่เจ้านั่นกลับมาเจ้าก็จะรู้เอง แต่ตอนนี้เจ้าต้องกลับไปหาทายาทที่เหลือ”
หากยมทูตไม่เอ่ยชื่อของทั้งสองคนออกมา ซาคุโระก็ยอมรับแต่โดยดีว่าลืมไปแล้ว เธอเกือบจะลืมทายาทแห่งราชันย์ทั้งสองไปจริงๆเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องโฮโนโอะคนเดียว
“แสดงว่านายจะร่วมทางไปกับฉัน?”
เร็นกะพยักหน้าทีหนึ่งแทนคำตอบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ซาคุโระใจชื้นขึ้นมาเท่าไหร่ เพราะยังระแวงว่าอาจจะเป็นอย่างตอนที่เกิดเรื่องของเนรีวขึ้น แล้วนี่ยังจะมียมทูตโผล่ออกมา เธอจะไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหนกัน
“ข้าไม่ใช่ทั้งอสูรและปีศาจ แต่เป็นยมทูตที่กุมชะตาชีวิตของพวกเจ้า”
เสียงราบเรียบแอบแฝงความเย็นชาดังแทรกเข้ามาเหมือนหยั่งรู้ความคิดในใจ ซาคุโระเงยหน้ามองที่มาของเสียงก็เกือบจะต้องผงะถอยหลังเมื่อเร็นกะได้เข้ามาประชิดในระยะเผาขน ในมือเขาถือผ้าผืนหนึ่งที่คุ้นตา ก่อนที่จะยื่นมันมาให้เธอ
“ผ้าผืนนี้เจ้าก็ควรจะเก็บไว้ให้ดี”
ซาคุโระจำได้ว่าโฮโนโอะใช้คลุมร่างเธอก่อนที่เธอจะหลับ นี่เขาตั้งใจจะฝากมันไว้กับเธอเองหรอกเหรอ
“เข้าใจแล้ว ฉันจะเก็บไว้ให้ดี โฮโนโอะกลับมาเมื่อไหร่ฉันจะคืนให้เขา”
ซาคุโระพูดพลางนำผ้ามาพันรอบคอไว้หลวมๆและทิ้งชายผ้าไปด้านหลังเหมือนผ้าคลุมที่ไม่มีหมวกคล้ายๆตัวละครในนวนิยายแฟนตาซีเรื่องดังที่เคยดู แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาเพราะถึงยังไงที่นี่ก็เป็นโลกนิยายอยู่แล้ว แค่นี้คงไม่ทำให้ใครมาตราหน้าได้ว่าประหลาดหรอก เพราะมันยังมีพวกตัวประหลาดกว่าเธอเยอะ เร็นกะยื่นมือเข้ามาหาและเธอก็ไม่รอช้าที่จะจับมือเขาเอาไว้เพื่อที่เขาจะพาเธอลงไปจากเนินหญ้าที่มีชีวิตนี้ ก่อนที่มันจะสั่นสะเทือนและเทสิ่งแปลกปลอมลงในหุบเหวอีกระลอก
การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่มีจุดหมายไปยังหุบเขานั้น หนีไม่พ้นสายตาอันกว้างไกลของจอมปีศาจที่ทรงอานุภาพอย่างคัยรีว จิตสัมผัสรุนแรงและแม่นยำจับได้กระทั่งการเคลื่อนไหวของแมลงตัวเล็กๆที่บินว่อนอยู่กลางอากาศ หรือแม้กระทั่งยมทูตที่ไร้รูปร่างถาวร
“มาแล้วรึ…ดวงจิตสีดำที่ไร้รูปร่าง เจ้ายมทูต!”
เสียงเย็นเยียบดังเล็ดรอดออกมาจากห้องโถงอันมืดมิดบนยอดปราสาทที่น่าสะพรึงของหุบเขา ดินแดนที่รอการกลับมาของเทพเจ้าผู้ครอบครอง เทพธิดาสีเงินผู้ที่จะกลับมาแก้คำสาปให้กับดินแดนแห่งแสงสว่างอันถูกสาปให้หลับใหล ทว่า…ความมืดจากคำสาปนับวันจะยิ่งหอมหวานและล่อให้พวกปีศาจอสูรกายนานาพันธุ์เข้ามาอาศัยและคอยกีดกันขัดขวางแสงสว่างที่กำลังจะเดินทางมาถึง
................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ