Laurel ภาค เสียงเพรียกหาจากดินแดนที่ถูกลืม

8.0

เขียนโดย zusuran

วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.15 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  10.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565 13.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) ร่องรอย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ต้องเก่งขึ้น
ไม่ว่ายังไงก็ต้องเก่งขึ้นให้ได้
ความตั้งใจมันคอยกวนใจจนนอนไม่หลับ ทำให้เซเลียต้องดีดตัวลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดและออกวิ่งเพื่อระบายความอึดอัด
“แฮ่กๆๆ”
นานแล้วที่ไม่ได้ออกวิ่งนานขนาดนี้ ตั้งแต่มาที่ฟีนิกส์ คิดถึงตอนที่อยู่หมู่บ้านมายา ทุกวันเซเลียต้องออกไปวิ่งเล่นบนเขาเป็นเพื่อนเจ้าเด็กกำพร้าแห่งคะยา แถมการวิ่งเล่นก็ไม่ใช่การวิ่งเหยาะๆ ในพื้นที่ราบแบบนี้เสียด้วยสิ เสร็จแล้วก็ต้องมาฝึกความแข็งแกร่งกับลุงที่ลานหน้าบ้าน ทุกวันเซเลียต้องฝึกแล้วก็ฝึก ซึ่งมันก็ไม่แปลกเลยถ้าเซเลียจะมีพละกำลังที่ล้มสัตว์เทพตัวใหญ่ได้โดยปราศจากเวทมนตร์ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เซเลียพอใจเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เพราะเซเลียใช้เวทมนตร์ไม่เป็นเหมือนคนอื่นๆ ถึงจะได้รับการฝึกจากครูแอนนาแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะก้าวหน้าเลย
เพราะอะไรกันนะ หรือว่าเธอจะไร้เวทมนตร์จริงๆ
พรึ่บ!
“อะ!!!”
จู่ๆ ก็มีบางอย่างตัดหน้าไปจนเซเลียต้องเบรกกะทันหัน ลมพัดกระโชกนำพากิ่งไม้ใบหญ้ารอบๆ ปลิดปลิวเข้ามาจนต้องยกแขนตั้งการ์ด
“อะไรกันเนี่ย นกเหรอ”
ท่าทางจะเป็นนกตัวใหญ่น่าดูเลยนะเนี่ย
“ใช่ซะที่ไหนกันเล่า ยายเด็กซื่อบื้อ”
“หา? ฮะ! อาราโก ไม่เจอกันนานเลย”
ร่างสิงโตสีทองเยื้องย่างออกมาจากชายป่ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเซเลีย ดวงตาสีทองของสัตว์เทพยังคงมองมาที่เซเลียอย่างประเมินค่าเหมือนเดิม
“อะไรที่ทำให้เจ้าออกมาจากหอพักตั้งแต่เช้ามืดแบบนี้กัน”
“แค่นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
“ฮึ! รู้รึเปล่าว่ามันอันตรายแค่ไหนที่ออกมาข้างนอกตอนนี้คนเดียว ถึงจะเป็นฟีนิกส์แต่อันตรายมันก็มีอยู่รอบด้านยิ่งกว่าโลกข้างนอกที่เจ้ารู้จักอีกนะ จะบอกให้”
“ฉันรู้ เมื่อคืน รีรีลก็บอกฉันเหมือนกัน”
“นางเด็กเฝ้าหอคอยนั่นน่ะเหรอ”
“รู้จักเหรอ”
“อา”
“พอได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอแล้วฉันก็รู้สึกได้ว่าตัวเองจะเอาแต่พึ่งพาคนอื่นตลอดไปไม่ได้ ฉันต้องเก่งขึ้นและปกป้องตัวเองให้ได้”
“ความเก่งกาจไม่ได้แปลว่าเจ้าจะอยู่รอดปลอดภัยไปตลอดหรอกนะ เจ้านี่มันอ่อนต่อโลกจริงๆ”
“หา? นี่ฉันกำลังพยายามอยู่นะ จะให้กำลังใจกันหน่อยไม่ได้รึไง”
“ไม่ล่ะ ข้าไม่ได้ว่างมาเล่นขายของกับเจ้า”
“หืม? อย่าบอกนะว่ากำลังไล่ตามเจ้าตัวที่ผ่านไปเมื่อกี้”
“รู้รึว่ามันคืออะไร”
“ไม่รู้”
“ฮึ! เด็กหนอเด็ก กลับเข้าไปในหอพักของเจ้าซะ และอย่าออกมาเพ่นพ่านอีกจนกว่าฟ้าจะสาง ไม่อย่างนั้นข้าไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้า”
พูดจบราชสีห์ทองคำก็เดินอาดๆ ผ่านหน้าเซเลียไปยังทิศทางที่เจ้าสิ่งปริศนาพุ่งตัวผ่านไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
หมับ!
“อ๊าก! กล้าดียังไงมาดึงขนของข้าเนี่ย!”
“ฉันไปด้วยนะ”
“ว่าไงนะ”
มือข้างหนึ่งของเซเลียคว้าขนแผงคอของอาราโกเอาไว้พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนสุดฤทธิ์
อะไรที่ทำให้เธออยากรู้อยากเห็นเสียขนาดนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าจู่ๆ ร่างกายมันก็เคลื่อนไหวไปเองซะงั้น
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเข้ามายุ่ง อะ!”
“ฉันรู้สึกแปลกๆ น่ะ”
“ชิ! เอาเถอะ ถ้าเห็นท่าไม่ดีข้าจะส่งตัวเจ้ากลับทันทีโดยไม่มีข้อแม้”
“อื้ม”
อาราโกสัมผัสได้ถึงแรงกระตุ้นบางอย่างจากเซเลีย แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร รู้แค่เพียงว่ามันเป็นพลังขั้วเดียวกับเจ้าสิ่งปริศนาที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่
ร่องรอยของมันมุ่งตรงไปยังหอคอยสีดำ ที่พำนักของเสาหลักทั้งห้า
และเมื่อมาถึงสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นตรงหน้า
ร่างวิญญาณของรีรีลกอดเข่าซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของโถงทางเดินด้วยอาการสั่นกลัว
“รีรีล”
“อะ!”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
เซเลียวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาวิญญาณติดที่ ที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่มุมทางเดิน แต่เสียงตะคอกก็ดังขึ้นมาก่อนที่จะก้าวไปถึง
“อย่าเข้ามานะ!”
“อ๊ะ!”
“อันตราย!”
ครือออออออออออ!!!!
บางอย่างพุ่งเข้ามาหาเซเลีย หากแต่อาราโกกระชากคอเสื้อของเด็กสาวจากด้านหลังและเหวี่ยงออกจากทิศทางอันตรายนั้นได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
ตุบ!
ร่างของเซเลียถูกปล่อยลงบนพื้นอย่างไม่มีการทะนุถนอมใดๆ ก่อนที่ร่างใหญ่โตของราชสีห์ทองคำจะเข้ามายืนตรงหน้ากั้นกลางระหว่างเธอและสิ่งเร้นลับอัปมงคงตรงหน้า
“เผยตัวตนของเจ้าออกมาซะ”
อาราโกขู่คำราม แต่สิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีเทาขาดรุ่งริ่งนั้นยังคงนิ่งเงียบและเอียงคอเหมือนไม่รับรู้สิ่งใด เซเลียมองเห็น ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้น ถึงจะไม่ชัดเจนแต่มันให้ความรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
และฉับพลันมันก็พุ่งเข้ามาอย่างไม่มีจังหวะ อาราโกกระทืบเท้าจนพื้นสั่นสะเทือนและเกิดเป็นปราการหินขึ้นมาต่อหน้า แต่เจ้าสิ่งอัปมงคงนั้นก็พุ่งผ่านข้ามปราการเข้ามาอย่างง่ายดาย ราชสีห์ทองคำส่งพลังทำลายล้างจากปากเข้าโจมตีมันจนไหม้กลายเป็นจุณร่างลงสู่พื้น
ตุ้บ!
ไฟสีทองมอดไหม้ร่างตรงหน้าอย่างไรปรานี มันดิ้นทุรนทุรายคลานออกมา ซึ่งงตอนนั้นเองเซเลียถึงได้เห็นชัดๆ ว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมคืออะไรกันแน่
มันมีเพียงโครงกระดูก รูปร่างเหมือนคนแต่สูงใหญ่และมีเขาเหมือนกวาง ตามร่างกายของมันเต็มไปด้วยกิ่งก้านคล้ายกับกิ่งไม้งอกออกมาทั่วทั้งร่าง
“นะ นั่นตัวอะไร”
“พวกอสูรทมิฬ”
อาราโกขู่คำราม พวกมันมีมากกว่าหนึ่งตนกำลังคืบคลานเข้ามา มันทำให้เซเลียรู้สึกกลัวขึ้นมา
“เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะกลัว”
“ทำไงดี พวกมันคงไม่เที่ยวไปอาละวาดข้างนอกหรอกนะ”
“ห่วงตัวเองดีกว่าไหมยายเด็กน้อย ขึ้นมาบนหลังข้า เร็ว”
เซเลียทำตามที่ราชสีห์ทองคำบอก
“ดูให้ดี ยายเด็กอ่อนหัด วิธีใช้เวทมนตร์ที่สมบูรณ์แบบ”
“หา?”
จะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ไม่วายถูกแขวะอยู่เรื่อย เซเลียนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ
อย่าให้เก่งขึ้นละกัน
ในขณะที่ตกอยู่ในห้วงความคิด อาราโกก็กระทืบเท้าแรงๆ กำแพงและพื้นกรวดกลายเป็นหอกงอกออกมาทิ่มแทงทะลุร่างของอสูรทมิฬ ตรึงพวกมันให้อยู่กับที่
ฉึกๆๆๆ!!!
พวกมันไม่มีเสียงร้องโหยหวน และยังเคลื่อนไหวร่างกายดิ้นรนให้หลุดจากหนามแหลมที่อาราโกสร้างขึ้น ถึงแม้ว่าร่างกายของพวกมันจะฉีกขาดไปมากแค่ไหนก็ตาม
เป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ
“อาราโก”
“จับแน่นๆ”
พูดจบอาราโกก็กระโดดหลบเคียวแหลมคมที่พุ่งมาจากด้านข้าง และพุ่งทะยานออกไปยังลานหญ้าด้านนอกโถงทางเดินของปราสาท ล่อให้พวกมันตามออกมาให้ห่างจากปราสาท
เซเลียจับขนสีทองด้วยสองมือ ในขณะที่ก้มหลบกิ่งไม้สองข้างทางที่อาราโกวิ่งฝ่าเข้าไป พวกอสูรทมิฬตามมาจริงๆ ด้วย พวกมันสามารถทะลุทะลวงทุกอย่างที่ขวางทางและไม่มีความเจ็บปวดแม้ร่างกายจะขาดรุ่งริ่งไปมากขนาดไหนก็ตาม เหมือนกับว่า
“หุ่นเชิด”
“โอ้ ฉลาดเหมือนกันนี่”
จริงเหรอเนี่ย พวกมันคือหุ่นเชิด และมีใครบางคนกำลังบังคับพวกมันอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“อย่าบอกนะว่าจะไปหาคนที่ควบคุมพวกมันน่ะ”
“ก็ใช่น่ะสิ จับแน่นๆ ล่ะ”
พูดจบอาราโกก็พุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วขึ้นจนเซเลียต้องหมอบต่ำลงจนใบหน้าแนบกับขนสีทองบนแผ่นหลังกำยำตรงหน้า
พลุ่บ!
ซ่า!!!!
ร่างของราชสีห์ทองคำโผล่พ้นออกมาจากแนวป่าทึบและหยุดอยู่ที่เนินหญ้าด้านหลังปราสาท มันไกลจากปราสาทพอตัวและยังเต็มไปด้วยม่านหมอกปกคลุมหนาแน่นเหมือนเดิม
ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงสิ่งเคลื่อนไหวได้ชัดเจน เซเลียผ่อนลมหายใจให้นิ่งและหลับตาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
เสียงกุกกักของโครงกระดูกดังอยู่ไกลๆ และกำลังใกล้เข้ามา แต่ว่าท่ามกลางเสียงของพวกอสูรทมิฬที่กำลังเคลื่อนไหวยังมีอีกเสียงหนึ่งที่ดังแทรกเข้ามา มันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เสียงเหมือนเส้นด้าย
ฟิ้ว.........
ฟึ่บ!.......
ต้องใช่แน่ๆ คนที่ชักใยพวกอสูรทมิฬอยู่ในที่ที่ลับตาคน
“เจอแล้ว ทางนั้น!”
“ฮ่า! จัดไป”
ตึงงงงงง!!!!!
อาราโกหัวเราะชอบใจพร้อมกระทืบเท้าสร้างแรงแผ่นดินไหวขึ้นมา แรงสั่นสะเทือนปัดเป่าทุกอย่างออกไปเป็นวงกว้างไม่เว้นแม้แต่ม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่หนาแน่น และไม่นานก็ทำให้พบกับตัวต้นเหตุที่ว่าจริงๆ
“เจอตัวจนได้ ซ่อนตัวอยู่ไม่ต่างจากหนูสกปรกเลยนะแก”
“อ่ะ!”
คนแคระ!
แถมยังเป็คนแคระสูงอายุพอตัว ผิวหนังตะปุ่มตะป่ำเต็มไปด้วยกละ นิ้วทั้งสิบแต่งแต้มด้วยเล็บยาวงองุ้มเข้าหากันเหมือนสัตว์ป่า ใบหน้าถูกผ้าขี้ริ้วพันรอบและมีฮู้ดคลุมเอาไว้ทั้งตัว
หลักฐานเต็มสองตาว่าเขาคือคนควบคุมอสูรทมิฬคือไม้ไผ่กับเส้นด้ายที่โยงใยกันนับสิบเส้นที่อยู่ในมือของเขา
“ไม่ได้เจอกันนานนะ ซูลู ยังใช้วิธีลอบกัดเหมือนเดิม”
“ฮี่ๆๆ เจ้าเองก็ยังโผงผางเหมือนเดิม”
“ชิ! หนีออกมาจากคุกในนรกได้แล้วเหรอ ร้อยปีที่นั่นคงไม่ได้ทำให้เจ้าสำเหนียกเลยสินะ”
“ชิๆๆๆ พูดดีไปเถอะ เจ้าก็รู้ว่าข้าเก่งขึ้นขนาดไหน”
“จะยังไงก็เถอะ มีธุระอะไรถึงได้มาที่นี่”
“ฮึ! เอาไว้ข้าจะบอกตอนที่จะเชือดคอเจ้าก็แล้วกัน”
พูดจบอสูรทมิฬก็พุ่งออกมาจากแนวป่าตรงเข้ามาขย้ำราชสีห์ทองคำ อาราโกกระโดดหลบได้แต่เซเลียก็พลาดท่าถูกกรุงเล็บของอสูรทมิฬเกี่ยวชายเสื้อจนตกจากหลังสัตว์เทพสีทอง
“อ๊ะ!”
พลั่ก!
“แย่ล่ะสิ”
“ฮี่ๆๆ จัดการเชือดคอมันซะ”
สิ้นเสียงซูลู อสูรทมิฬก็เงื้อแขนของมันที่โค้งงอเหมือนเคียวขึ้นสูงและตวัดกลับมาหมายจะสะบั้นคอเซเลียให้ขาดเสียตรงนั้น แต่ว่าการเคลื่อนไหวของพวกมันช้ากว่าเซเลียนิดหน่อย
ฟึ่บ!
เด็กสาวกระโดดหลบเคียวแหลมที่พุ่งเข้ามาได้อย่างเฉียดฉิวและสวนกลับด้วยลูกเตะพลังช้างสารอย่างไม่ปรานี
ผลัวะ!
เคร้ง!
โครม!!!!
“อะไรกัน!”
“ดูถูกกันมากไปแล้ว คิดว่าฉันจะยอมให้พวกแกเล่นอยู่ฝ่ายเดียวรึไง”
“นางเด็กน้อยไม่เจียมตัว”
ซูลูขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างน่าเกลียดและบังอสูรทมิฬทุกตนเข้ามาโจมตีเซเลียอย่างอิสระ
เด็กสาวหลบแล้วก็หลบ ถึงจะใช้กำลังมหาศาลตอบโต้ไปแต่พวกมันก็ยังลุกขึ้นมาโจมตีเธอได้อีก
“แฮ่กๆๆ”
และเซเลียก็เริ่มจะหมดแรงไปตามระเบียบ
“แฮ่กๆๆ ไม่สิ มันต้องไม่เป็นอย่างนี้”
เด็กสาวคุกเข่าหอบหายใจอยู่ท่ามกลางอสูรทมิฬ อาราโกเข้าปะทะกับซูลูและไล่ตามซูลูเข้าไปในป่า ไม่ว่างพอจะมาช่วยเธอได้
ครือออออ.....
อสูรทมิฬที่ไม่มีเส้นใยชักจูงเคลื่อนไหวได้อิสระและกำลังคืบคลานเข้ามาจะหั่นร่างของเซเลียเป็นท่อนๆ
กร้วม!
“กรี๊ดดดดดดด!!!!”
หนึ่งในอสูรทมิฬกัดขาข้างหนึ่งของเธอลึกเข้าถึงกระดูก สร้างความเจ็บปวดจนแทบขาดสติ และอีกหนึ่งตนก็ใช้แขนของมันที่แหลมคมแทงเข้าที่หัวไหล่ของเธออีกครั้ง
ฉึก!
“อั่ก!”
เซเลียหมดแรงล้มลงหอบหายใจ
หรือว่าที่นี่จะเป็นที่ฝังศพของเธอกันนะ
ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น
คนอ่อนแอที่แม้แต่เวทมนตร์ง่ายๆ ยังใช้ไม่เป็น อาจจะสมควรแล้วก็ได้ถ้าจะถูกปีศาจฆ่าตาย
เจ็บใจ.....
เจ็บใจ...........
เซเลียเอ๋ยเซเลีย แม้แต่ตัวเองยังปกป้องไม่ได้แล้วยังคิดจะไปปกป้องใครเขาได้
“อึก! ไม่ ฉันจะไม่ยอมกลายเป็นอาหารของพวกแกหรอก พวกโสโครก!”
ตึกตักๆๆๆๆ .....
เสียงหัวใจเต้นแรงผิดแปลกไปจากเดิม มันไม่ใช่ความกลัวแต่เหมือนกับว่ามีบางอย่างในตัวกำลังจะระเบิดออกมายังไงอย่างนั้น
“เฮือก!”
ตึงงงงงงงงงงงงงง!!!!!!
กร๊าสสสสสสสสสสสสสส!!!!!
เสียงกรีดร้องของอสูรทมิฬดังก้องจนแสบแก้วหูก่อนที่ร่างของพวกมันจะบิดงอและฉีกกระชากออกจากกันราวกับมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นกำลังบดขยี้ร่างของพวกมันอยู่
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องนั้นเซเลียได้ยินเสียงกึกก้องเหมือนเสียงระฆัง แต่มันเบาบางและอื้ออึงจนจับทิศทางไม่ถูก
ตาสองข้างมองร่างของอสูรทมิฬกำลังถูกบดขยี้และกลายเป็นฝุ่นผงปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ก่อนที่โลกทั้งใบของเซเลียจะหมุนเคว้างและมืดลง
ตุ้บ!
…………………………….
ลูกรัก..........
เสียงใครน่ะ
เซเลีย...........
พ่อเหรอ............ แต่ใครคือพ่อของเซเลียล่ะ ตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่ลุงน็อกส์เท่านั้นที่เลี้ยงดูเซเลียมา
ลูกรัก ในที่สุดก็ตามหาเจ้าพบเสียที.........
ข้าจะตามหาเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน........
จงมีชีวิต แล้วข้าจะตามหาเจ้า........เซเลีย.......
“เฮือก!”
เซเลียสะดุ้งเฮือกใหญ่เหมือนมีใครกระชากขึ้นมาจากก้นทะเลโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
“แฮ่กๆๆๆ .......”
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นก็พบกับเพดานสีขาว พร้อมกับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่อบอวลไปทั้งห้อง
แปลบ!
“อึก!”
ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั้งร่างเมื่อจะเอี้ยวตัว
“อย่าเพิ่งขยับตัวจะดีกว่านะ”
“คุณ....เป็นใคร”
คนที่ยืนอยู่ข้างเตียงไม่ใช่คนที่เซเลียรู้จัก เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนผู้มีเส้นผมสีขาวมัดตึงเป็นหางม้าและมีผิวสีแทน ดวงตาสีทองมองเซเลียอย่างพิจารณาเหมือนกำลังประเมินอาการของเธอทางอ้อม
“พิษของอสูรทมิฬทำลายเส้นประสาทไปบางส่วน แต่ก็ยังดีที่มันไม่ได้ทำลายจุดสำคัญก่อนที่เธอจะถูกส่งมาถึงมือฉัน”
เซเลียฟังคนตรงหน้าอธิบายยาวเหยียด แต่ไม่ทันจะได้ถามอะไรอีกแอนนาก็เดินเข้ามาสมทบ
“รู้สึกเป็นไง”
“ครูแอนนา....หนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“นักเวทที่ลาดตระเวนพบเธอหมดสติอยู่ด้านหลังของปราสาทน่ะ ก็เลยพาเธอมาส่งที่หอคอยนี่”
“หนูหมดสติอยู่เหรอ........”
“จำไม่ได้เหรอ”
“เหมือนกับฝันไปเลยค่ะ พวกอสูรทมิฬเล่นงานหนู จากนั้นพวกมันก็ถูกอะไรบางอย่างทำลายจนกลายเป็นขี้เถ้าต่อหน้าต่อตาหนู”
เซเลียพยายามปะติดปะต่อทุกอย่างเท่าที่จำได้ แต่สุดท้ายก็ยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าเจ้าสิ่งที่ทำให้อสูรทมิฬพวกนั้นกลายเป็นขี้เถ้าคืออะไรกันแน่
“ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพักฟื้น นี่คืออารยัน (อาระยัน) หนึ่งในเสาหลักทั้งห้าของฟีนิกส์ เป็นคนที่ถอนพิษของอสูรทมิฬให้กับเธอ”
“ฉันบอกไม่ได้หรอกว่าร่องรอยของอสูรทมิฬจะหายไปจากตัวเธอเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นระหว่างนี้อย่าเพิ่งใช้เวทมนตร์จะดีกว่า”
“เด็กคนนี้ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ อารยัน”
แอนนาโพล่งออกมา หากแต่คนที่ฟังดูเหมือนจะไม่เชื่อในคำพูดนั้นเสียเท่าไหร่ อารยันมองแอนนาก่อนจะหันกลับมามองเซเลีย เหมือนเธอต้องการจะเปิดปากพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็เงียบและเดินออกจากห้องไป
เซเลียได้แต่นอนนิ่ง ขยับตัวเล็กน้อยก็เจ็บร้าวไปทั้งร่างกาย
แอนนานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง มองเธอด้วยสายตาหลากหลายความหมาย
“อย่าบอกใครว่านั่นคือเวทมนตร์”
“เอ๊ะ”
“มันอันตรายมากถ้ามีคนรู้ว่านั่นคือเวทมนตร์ของเธอ เซเลีย”
“ครูหมายถึงอะไรคะ”
“.................”
“ครูคะ หนูไม่เข้าใจ”
แวบแรกที่เซเลียเห็นสีหน้าปั้นยากของแอนนา แต่มันก็ถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ครูสาวหลับตาปรับอารมณ์อยู่ชั่วครู่ก่อนที่เธอจะยกมือดีดนิ้ว
เปาะ!
พรึ่บ!
แบ่งแยกอาณาเขตอย่างสมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครได้ยินและเข้ามาในนี้ได้หากไม่ได้รับอนุญาต
และเมื่อเห็นว่าทุกอย่างปลอดภัยครูสาวก็มองมาที่เซเลียตรงๆ
“พลังที่บดขยี้พวกอสูรทมิฬ คือพลังจากโล่สีทอง และคนที่ใช้มันก็คือเธอ เซเลีย”
“อะไรนะ”
“ครูไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฟีนิกส์ถึงได้ยอมรับเธอเข้ามา แต่ว่า เวทมนตร์ที่ไม่อาจควบคุมในยามที่มีสติได้ มันอันตรายแค่ไหน เธอรู้รึเปล่า”
“หนูไม่รู้ หนูแค่ไม่อยากเป็นภาระให้เพื่อนๆ ก็เท่านั้น หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโล่สีทองคืออะไร”
“มันคือ.......พลังของเทพเจ้าเซลอน”
ตึก!!!!!
อีกครั้งที่หัวใจของเซเลียกระตุกวูบราวกับกำลังตกจากที่สูง มันรุนแรงเสียจนเซเลียต้องยกมือกุมอกซ้ายเอาไว้
แอนนายังมองปฏิกิริยาของลูกศิษย์ตรงหน้า คำพูดของไรเกอร์ที่เคยบอกเธอเมื่อนานมาแล้วกำลังยืนยันสิ่งที่เธอมองเห็นอยู่ตอนนี้
 
สงครามเทพเจ้าครั้งสุดท้าย เจ้าหญิงเซเลีย ธิดาองค์เดียวของเทพเจ้าเซลอนได้ต่อสู้กับบาซิลิสก์ เกิดพลาดพลั้งและหายสาบสูญไปในสนามรบ พร้อมกับกริฟฟินดอร์ สัตว์เทพเจ้าที่เป็นทั้งพาหนะและคู่หูคนสนิทของนาง.........
บ้างก็ว่านางถูกบาซิลิสก์สาปให้เป็นหินและแตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
บ้างก็ว่านางตกลงไปในหุบเหวอเวจี และบางเรื่องเล่าที่ดูจะจริงมากที่สุดก็คือ
นางถูกกริฟฟินดอร์ลักพาตัวมายังโลกมนุษย์........!!!!
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของแอนนาตอนนี้คือร่องรอยของเรื่องเล่านั้นรึเปล่านะ
...................
..................................
..................................................
ทีมภารกิจ
บึ้ม!
ปราการสูงพังทลายลงมาทับถมผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง
เพราะการต่อสู้อันยืดยาวกินเวลาหลายวันทำให้ทุกคนเหนื่อยล้าและไม่เหลือแรงจะไปต่อได้อีก
ครึ่ก!
ก้อนหินหนักหลายสิบกิโลนับสิบก้อนถูกยกออกจนกระทั่งพบคนที่ติดอยู่ด้านใน
“เฮ้ พวกเธอโอเคไหม”
เสียงตะโกนลงมายังช่องแคบที่ถูกทับถม หากแต่คนที่ถูกก้อนหินทับแขนขาเอาไว้กลับอ่อนล้าเกินกว่าจะขานรับ
กว่าจะพาร่างของผู้บาดเจ็บออกมาได้ก็กินเวลาหลายชั่วโมง
ภารกิจเสร็จสมบูรณ์และถูกเก็บกวาดในเวลาไม่นาน
“เฮ้อ เหนื่อยตัวจะขาดอยู่แล้ว ฉันเดินกลับโรงเรียนไม่ไหวแล้ว”
ไรรีย์โอดครวญพร้อมกับร่างกายที่สวมเกราะเงินทรุดนั่งลงพิงต้นไม้ข้างทางเหมือนทหารคนอื่นๆ
เลล่ากับบรุ๊คหลับไปเรียบร้อย
“บ่นได้ทั้งวี่ทั้งวันจริงๆ เล้ย เธอนี่ เหนื่อยก็นอนพักไปสิ”
คู่กัดตลอดกาลอย่างคีระไม่วายจะแขวะสักที
“ชิ ใช่สิ ใครจะเหมือนนายกันห๊ะ! ต่อสู้สามวันสามคืนไม่รู้จักเหนื่อย อย่างกับเคยผ่านสงครามเทพเจ้ามาอย่างนั้นล่ะ”
“หึ ก็ฉันมันเก่ง”
“เหรอ”
“เฮ้อ”
เสียงถอนหายใจจากผู้ที่นั่งพักอยู่ใกล้ดังขึ้นมาแทรกให้ทั้งคู่หยุดได้ ภารกิจครั้งนี้ไม่มีโลเวลมาด้วยจึงไม่มีใครคอยห้ามทัพน้ำลายของทั้งคู่ จาเลนจึงรับบทหนักแทน
ชายหนุ่มผู้เงียบสงัดเช็ดดาบสั้นของตัวเองจนเงาวับก่อนจะเก็บมันเข้าฝักหนังเสร็จสรรพ
“เอาล่ะ เจ้าพวกตัวแสบทั้งหลายลุกขึ้นได้แล้ว”
ไรเกอร์เดินเข้ามาปรบมือให้สัญญาณเหล่าลูกศิษย์ของตัวเอง
“เราจะไปพักที่เมืองใกล้ๆ นี้ก่อนกลับฟีนิกส์ รีบลุกซะ ยานจะมาถึงชายป่าข้างหน้าอีกห้านาที เพราะฉะนั้นเราต้องวิ่ง!”
“ว่าไงน้า!!!!”
“เอ้า! เร็ว ถ้าตกยานละก็ ฉันจะปล่อยให้พวกเธอเดินหลงป่าอยู่ที่นี่แหละ”
บทจะโหดก็โหดเกิ๊น ครูนะครู
ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำสั่ง ไม่อย่างนั้นคงได้ตายเป็นผีเฝ้าป่าแน่ๆ
“บอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่แบกเธอหรอก”
“ใครอยากให้นายแบกมิทราบ”
“เอ้า! เกาะกลุ่มกันไว้อย่าให้คลาดสายตา วิ่ง!!!!!”
กองทัพภารกิจออกตัววิ่งสุดกำลัง และด้วยพละกำลังที่เหนือคนธรรมดา การวิ่งของพวกเขาจึงไม่ต่างจากสายลมพัดไปตามแนวต้นไม้บนเขา
ฟึ่บ!
ฟึ่บ!
ซ่า!!!!
ใช้เวลาแค่สามนาทีก็ถึงแนวชายป่า จุดนัดพบของยานที่มาถึงและกำลังลงจอดพอดี
“แฮ่กๆๆ กลับไปนะ ฉันจะแช่น้ำร้อนให้หนำใจเลย”
“แฮ่กๆๆ ....”
“อะไร หมดแรงแล้วเหรอ คุณเจ้าชาย”
“อึ่ก!”
“คีระ!”
“อั่ก!!!”
จู่ๆ คนที่ดูจะแข็งแรงที่สุดก็ล้มฮวบลงต่อหน้าต่อตาเพื่อน
ตุ้บ!
มือสองข้างพยายามดึงทึ้งเกราะเงินที่สวมอยู่ออกแต่ก็ไม่เป็นเป็นผล ร่างสูงล้มลงกลิ้งทุรนทุรายไปบนพื้นหญ้าต่อหน้าต่อตาทีมภารกิจ
“คีระ! เฮ้!!!”
“เกิดอะไรขึ้น เขาได้รับบาดเจ็บรึไง”
“จับเขาไว้”
“อ๊ากกกกกกกกกก!!!!”
ทั้งจาเลนและบรุ๊คช่วยกันกดร่างทุรนทุรายของคีระเอาไว้ให้นิ่ง ก่อนที่ไรเกอร์จะถอดชุดเกราะออกและสำรวจร่างกายของลูกศิษย์ ไม่มีร่องรอยของอาการบาดเจ็บ แต่เขากลับทรมานเหมือนกำลังจิกทึ้งหัวใจตัวเองยังไงอย่างนั้น
ฉับพลัน ร่างที่ดิ้นทุรนทุรายก็กระตุกเฮือกและแน่นิ่งไปพร้อมกับท้องฟ้าครึ้มจนกลายเป็นสีดำและปล่อยเม็ดฝนลงมาเป็นสายมอบความชุ่มฉ่ำให้ผืนดินเบื้องล่าง
ครืนนนนนนน.........
แปะๆๆๆๆ .........
ซ่า...........................
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา