ทาสรักซาตาน
8.3
เขียนโดย zusuran
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 13.32 น.
15 ตอน
2 วิจารณ์
13.19K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.52 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) ภาพเลือนราง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความปลายเท้าเหยียบย่างจากเงาทะมึนออกมาสู่แสงสว่างเลือนราง เส้นผมพลิ้วไหวโบกสะบัดแม้ไร้ลมต้องผ่าน ปกปิดเรือนร่างครึ่งสัตว์เอาไว้อย่างหมิ่นเหม่
เลเดียร์คุกเข่าลงข้างเตียงที่มีร่างเด็กหนุ่มนอนคู้ตัวอยู่อย่างน่าสงสาร
ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมสีขนกานั้นออกจากใบหน้าขาวอย่างเบามือ
“…….”
พรึ่บ!
ดวงตาสีหวานเบิกกว้าง และสิ่งแรกที่มองเห็นคือใบหน้าละอ่อนปนซุกซนอันแสนคุ้นเคย
“เดียร์!!!”
เพียวดีดตัวลุกและพุ่งเข้าสวมกอดเพื่อนสนิทด้วยร่างกายที่สั่นเทา
“โล่งอกไปที โล่งอกไปที”
เด็กสาวน่ารักจิ้มลิ้มกลับมาแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือกลิ่นของการเติบโตจากกายเด็กสาวนั้นแผ่กำจายออกมาราวกับยกดอกไม้ทั้งสวนมาไว้รอบตัว มันทำให้เพียวสบายใจขึ้นมาอย่างประหลาด
“ฮ้า…..ตัวเดียร์หอมจัง”
“เพียวฝันร้ายเหรอ”
เพียวส่ายหัวและพยายามปาดน้ำตาทิ้งไวๆ
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ เราเป็นห่วง”
“อื้ม ไม่ทำอีกแล้วล่ะ”
เดียร์กอดเพียวเอาไว้และตบไหล่เบาๆเหมือนปลอบประโลมเด็กเสียขวัญ นายน้อยของเธอช่างเปราะบางเหลือเกิน เปราะบางเสียจนไม่อยากแตะต้องเพราะกลัวจะแตกสลาย แต่ในทางตรงข้าม ที่เขาต้องเป็นแบบนี้เพราะถูกซุกซ่อนพลังเอาไว้ต่างหาก หากว่าเมื่อไหร่พลังนั้นถูกเอาออกมาใช้ ร่างกายมนุษย์แสนบอบบางน่าทะนุถนอมนี้คงจะแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ขอโทษนะ…ข้าขอโทษ วันเดอเรอร์……….
จงใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ และหลับใหลจากโลกนี้ไปพร้อมกับความเป็นมนุษย์เถอะ….
ถ้าโชคชะตาจะนำพาเด็กหนุ่มกลับเข้าไปในโลกของความโหดร้าย เลเดียร์ก็จะขัดขวางชะตานั้นถึงที่สุดเอง
แต่มันจะง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ…………….
การใช้ชีวิตของเพียวยังเป็นไปเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือความรู้สึกค้างคาในใจแปลกๆ ที่ไม่ว่าจะพยายามนึกถึงมันเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกสักที
“เป็นอะไรไปเหรอ”
“อื้ม เปล่าหรอก แค่มึนหัวนิดหน่อย สงสัยจะนอนน้อย”
“จะกลับก็ได้นะ เดียร์ไม่อยากดูหนังแล้ว”
เพียวยิ้มอ่อนยกมือลูบหัวเด็กสาวข้างๆอย่างเอ็นดู บอกว่าไม่อยากดูแต่ในมือถือถังป๊อบคอร์นถังใหญ่ซะไม่มี
“ไปนั่งหลับในโรงหนังก็ได้ ไหนๆก็มาแล้ว”
“ฮิๆๆๆ”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่คนที่ไม่มีกะใจจะดูที่สุดกลับเป็นเพียวเสียเอง เพราะบางอย่างที่ค้างคาใจมาตลอด พยายามนึกถึงมันเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
มันคืออะไรกันนะ…
ชึ่บ!
แรงกระตุกๆเบาๆที่แขนเสื้อสะกิดเด็กหนุ่มให้หันไปมอง
“ออกไปกันเถอะ ไม่อยากดูแล้ว”
“อืม….”
เพียวไม่ปฎิเสธและลุกอย่างไม่อิดออด ยังไงซะตอนนี้อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์
“ฮื้มมมมมม!!!! เมื่อยแล้ว เรากลับกันเลยไหม”
เดียร์บิดขี้เกียจพร้อมกับถามมาอย่างส่งๆ แต่เพียวกลับเงียบเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่เด็กสาวพูดเลย
“เพียว?”
“อ่า…โทษทีนะ เราขอไปเข้าห้องนำก่อน เดียร์ช้อปปิ้งรอเราก่อนได้เลย”
“อื้ม รีบกลับมานะ”
“จ้า”
เพียวปลีกตัวออกไปอีกทาง เข้าห้องน้ำวักน้ำล้างหน้าก่อนจะมองเงาตัวเองในกระจก
วูบ..
“อ๊ะ!!!”
เงาของใครบางคนที่สูงตัวเข้ามาทาบอยู่ด้านหลัง เพียวเอี้ยวตัวหันกลับไปมองหากแต่ข้างหลังไม่มีใครยืนอยู่แม้แต่คนเดียว หรือว่าเขาจะตาฝาด เพียวหันกลับมามองที่กระจกอีกครั้ง คราวนี้กลับมองไม่เห็นเงาสูงๆนั่นแล้ว
“เฮ้อ สงสัยจะเหนื่อยเกินไปจริงๆ……”
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองพร้อมกับบีบนวดขมับตัวเองวนไปวนมาเบาๆ
บึ้มมมมมม!!!!!!
ครืนนนนน!!!
เพล้ง!!!!!
เสียงระเบิดกับแรงสั่นสะเทือนทำให้เพียวหลุดจากภวังค์ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องน้ำโดยไม่ทันได้สังเกตเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก
และเมื่อออกมาถึงใจกลางห้างก็เห็นผู้คนที่กำลังอลหม่านวิ่งหาที่หลบลี้บ้างก็หาทางออกกันจ้าละหวั่น ข้าวของในห้างหล่นกระจายไม่รู้ทิศทาง ในขณะที่ชั้นเพดานและกระจกทางเดินชั้นบนหล่นลงมาแตกกระจายบนพื้น
“ฮืออออ!!!! แม่จ๋า”
เสียงเด็กร้องออกมาท่ามกลางความวุ่นวาย ไม่ไกลจากจุดที่เพียงยืนอยู่มาก เด็กหนุ่มวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปอุ้มเด็กน้อยที่กำลังเสียขวัญออกมาจากจุดอันตรายนั้นอย่างทุลักทุเล
“ไม่เป็นไรนะ”
“ฮืออออ…..หนูเห็นสัตว์ประหลาดกำลังสู้กันด้วย”
เด็กน้อยพูดทั้งที่ยังสะอึกสะอื้นไม่หาย เพียวยิ้มน้อยๆเอ็นดูในความไร้เดียงสา หลังจากส่งเด็กน้อยให้คนเป็นแม่แล้วเพียวก็สอดส่ายสายตาหาเพื่อนสาวคนสนิทอีกคน
เดียร์อยู่ที่ไหน จะเป็นอันตรายไหมนะ
เด็กหนุ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนพยายามมองหาเพื่อนสาวท่ามกลางผู้คนที่กรีดร้องเพราะเสียขวัญ
“เดียร์….เดียร์!!!!”
อยู่ไหนนะ เธออยู่ที่ไหน
………………………………………
ควาก!!!
ตุ้บ!
ร่างของปีศาจขาดสองท่อนหล่นกองบนพื้น จมกองเลือดอยู่ในที่อับโดยที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถมองเห็น
เพราะถูกโจมตีกะทันหันทำให้เกิดความเสียหายสะเทือนไปถึงมิติของพวกมนุษย์อยู่ด้วย เดียร์จำเป็นต้องล่อพวกมันออกมาและกำจัดพวกมันข้างนอกในที่อับสายตาคน แต่เพราะจำนวนมันเยอะขึ้นและแต่ละตนที่ทะลุมิติออกมาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่พวกกระจอกที่เคยเจอ
“แฮ่กๆๆๆๆ….ให้ตายเถอะ ร่างนี้ท่าทางจะไปต่อไม่ไหวแล้วสิ”
ตุ้บ!
ร่างเล็กๆของเด็กสาวทรุดลงพิงกำแพงที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำใต้สะพานที่มีธารน้ำไหลผ่าน
ป่านนี้เพียวจะเป็นยังไงบ้าง ถ้าไม่รีบกลับรักษษแผลแล้วไป เพียวก็จะเป็นห่วงเธออีกแน่ๆ”
กึก…
“วันนี้ก็โหดอีกแล้วนะท่านหญิง”
เสียงทุ้มเนิบนาบแทรกเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศน่าสะอิดสะเอียดที่กำลังถูกขับไล่ให้หายไป
ร่างสูงโปร่งสวมชุดราคาแพงมาดคุณชายเดินออกมาจากเงามืดของสะพาน ใบหน้าคมคายแต่แฝงไว้ด้วยความร้ายกาจยิ้มน้อยๆพร้อมกับดวงตาที่ถูกย้อมให้เหมือนมนุษย์ส่งมายังสาวน้อยที่ตอบรับด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
“แฮ่กๆๆ…..มีธุระอะไร”
“ข้าไม่มีธุระอะไร แล้วจะมาหาเจ้าไมได้เชียวเหรอ”
“ข้าไม่ว่างจะเล่นกับเจ้า กลับไปซะ”
เดียร์ยันกายลุกขึ้นยืน ปัดสิ่งสกปรกออกลวกๆก่อนสะบัดร่างน้อยๆของเธอเดินออกไปโดยไม่สนใจใยดีชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง แต่ทว่า
สวบ…..
วงแขนแกร่งสวมกอดร่างน้อยๆของเอและรั้งกลับเข้าไปในเงามืดอีกครั้ง เร้นกายจากสายตาของผู้คนที่เดินผ่านมาได้อย่างแนบเนียน
“ข้าคิดถึงเจ้า”
ริมฝีปากของเดียร์ถูกประกบปิดเอาไว้ด้วยริมฝีปากของอีกฝ่าย วงแขนกอดรัดเรือนร่างละอ่อนของสาวน้อยนั้นเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ก่อนที่มันจะซุกซนลูบไล้เค้นคลึงอย่างเอาใจ
“อื้ม!.....ปล่อยนะเจ้าหมาบ้า เจ้าถือสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้กับข้า!”
เดียร์ผลักลูฟออกไปให้พ้นตัว และด้วยพลังที่เหนือมนุษย์ร่างของไลแคนท์หนุ่มจึงกระเด็นไปอัดกำแพงอย่างแรง
ตึง!
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูฟจะระคาย เมื่อเทียบกับการตักตวงความหวานล้ำจากเด็กสาว(แค่ภายนอก) ตรงหน้า
“กลับไปซะ ลูฟ ข้ากับเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องพบเจอกันอีก”
“ทั้งที่สัญญาของเรายังเหลืออีกตั้งสองเดือนเนี่ยนะ”
“ไม่มีประโยชน์หรอก”
“เพราะเด็กคนนั้นเหรอ”
“…….”
“ชีวิตของเจ้ามีไว้เพื่อเด็กอ่อนแอนั่นคนเดียวงั้นเหรอ ท่านหญิง”
“ถ้าใช่ แล้วจะทำไม”
“เจ้าจะปกปิดเจ้าเด็กนั่นไปได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว ถึงเจ้าจะลบความทรงจำของมันออกไป แล้วยังไง เจ้าคิดว่าจะปกป้องมันไปได้ตลอดรึ”
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเข้ามายุ่ง”
“เลเดียร์!”
กึก!
เป็นครั้งแรกที่ลูฟเริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียว กลิ่นอายสังหารกระตุ้นให้เด็กสาวเปลี่ยนร่างมาเป็นจิ้งจอกอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
พรึ่บ!
ดวงตาสีทองวาวโรจน์ชำเลืองมองชายหนุ่มอย่างเย็นชาและเย่อหยิ่ง หากเป็นปีศาจชั้นปลายแถว เพียงแค่จ้องดวงตานั้นก็มีอันต้องดับสูญไปแล้ว แต่ไม่ใช่สำหรับลูฟ กลิ่นอายสังหารยังแผ่กำจายออกมาจากร่างของทั้งสองฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร
“เจ้าจะสู้กับข้าจริงๆรึ”
“หากมันจะทำให้เจ้าไม่ต้องมาที่นี่อีก จะสับเจ้าเป็นชิ้นๆแล้วส่งไปให้พี่ชายเจ้าดูต่างหน้ามันก็ไม่ได้เกินแรงของข้า”
“เจ้าพูดเองนะ เลเดียร์!”
แล้วร่างของลูฟก็กลายเป็นไลแคนท์ตัวใหญ่ขนสีดำแซมเงิน ดวงตาสีแดงกร้าวสะท้อนร่างสีขาวของจิ้งจอกเก้าหางที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับเขี้ยวแหลมราวกับมีดดาบ
ทว่า….ก่อนที่อสุรกายทั้งสองจะได้เข้าปะทะกัน เสียงกรีดร้องก็ดังเสียดแทงเข้ามาในโสตประสาท
กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!!
เพล้ง!!!
และสัญชาตญาณของผู้พิทัษ์ก็ทำงานนำพาร่างจิ้งจอกเก้าหางมุ่งตรงไปที่ตึกที่กำลังถล่ม
ดวงตาสีทองของจิ้งจอกเรียวโอไนน์กลับเบิกกว้างสุดชีวิตเมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มที่สับสนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่วุ่นวาย และชิ้นส่วนของตึกชั้นบนกำลังร่วงลงมา
“เดียร์! อยู่ไหนน่ะ เดียร์!!!”
เพียวหันซ้ายหันขวาพยายามมองหาเพื่อนสนิทท่ามกลางฝูงชนที่กำลังแตกตื่นวิ่งไม่รู้ทิศ บ้างก็เบียดเสียดและชนจนเพียวเซถลาไปซ้ายทีขวาที
“เพียว!!!”
เสียงก้องกังวานคุ้นหูเรียกให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมอง และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เพียวนิ่งค้างไปทันที
“เอ๋?”
จิ้งจอก สิ่งที่กำลังพุ่งตรงมาที่เพียวตอนนี้คือ จิ้งจอกเก้าหาง!
โครม!!!!
ตู้มมมมมมม!!!!!
แรงระเบิดหม้อแปลงหลายหม้อแปลงพร้อมๆกันสร้างแรงสั่นสะเทือนจนอาคารบางส่วนได้ถล่มลงมากลายเป็นซากปรักหักพังบนพื้น
“อึก……อือ”
“เพียว…”
เสียงสั่นกระเส่ากระซฺบเรียกสติเพียวให้ตื่น เด็กหนุ่มค่อยๆลืมตามองเศษซากของอิฐปูนที่ทับถมปิดกั้นไว้หลายชั้น มีเพียงแสงเล็ดลอดลงมาเลือนราง และบนตัวของเพียวก็มีร่างของอีกคนที่คร่อมทับและประคองกอดเขาเอาไว้อยู่
“เดียร์……”
“ไม่เป็นไรนะ”
“อื้ม”
“ดีแล้ว….”
เสียงเด็กสาวสั่นกระเส่าและแผ่วเบา เพียวเอื้อมมือขึ้นจะประคองเพื่อนสนิทให้ลุกจากตัวแต่แล้วปลายนิ้วก็สัมผัสได้ถึงความชื้นแฉะเหนียวเหนอะแปลกๆ และเมื่อยกมือกลับมามองเด็กหนุ่มก็ถึงกับนิ่งค้างไปชั่วขณะและเมื่อโฟกัสจนชัดเจนแล้วเพียวก็ถึงกับนิ่งค้างไปทันที
“ดะ……เดียร์ เดียร์!!!!”
ร่างของเดียร์นอนพาดอยู่บนตัวของเพียวและเธอก็มีเหล็กแหลมเสียบทะลุเข้าทีสะบักด้านหลังทะลุออกมายังอกด้านหน้า
“ไม่…..ไม่นะ”
ตึกตักๆๆๆๆ!!!!!
หัวใจของเพียวเต้นแรงขึ้นและเร็วขึ้น เด็กหนุ่มกอดร่างที่เริ่มเย็นของเพื่อนสาวเอาไว้แน่น ภาพเบื้องหน้าค่อยๆกลายเป็นสีแดงฉานเหมือนถูกย้อมชโลมด้วยโลหิต
“ฮี่ๆๆๆๆ…..กลิ่นหอมจัง ข้าจะกินไม่ให้เหลือกระดูกเลย”
“คริๆๆๆ เอาเลย กินมันทั้งคู่เลย”
เสียงหัวเราะน่าสะอิดสะเอียนดังระงมพร้อมๆกับร่างกายแปลกประหลาดที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาและยื่นมือนับสิบข้างกำลังแทรกผ่านซากปรักหักพังลงมาเพื่อนคว้าร่างของเพียวกับเดียร์
เพียวมองเห็นน้าตาน่าเกลียดของพวกมัน เขาได้ยินเสียงหัวเราะน่ารังเกียจนั้นเต็มสองหู
สัตว์ประหลาดน่ารังเกียจพวกนี้มันมาจากไหน พวกมันเป็นใคร ยมทูตเหรอ สัตว์ที่มานรกเหรอ หรือว่าไม่ใช่
…………………..
โอเอซิสต์…
“ท่านพี่ พวกซาตานที่อยู่ทางใต้เริ่มตั้งกองทัพกันแล้ว ท่านจะว่าอย่างไร”
ธิดาโลกันตร์เอ่ยถามร่างสูงของผู้เป็นพี่ที่ยังยืนเอามือไพร่หลังและเหม่อลอยอยุ่ในห้องเพียงลำพัง
อาการแบบนี้มีเหรอเธอจะดูไม่ออก ตั้งแต่การปะทะกับผู้พิทักษ์วันนั้น เอลเดอร์ก็มักจะเก็บตัว และเหม่อลอยอยุ่บ่อยครั้ง
“ท่านพี่…ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป น่ากลัวว่าเราจะต้องทำสงครามครั้งใหญ่แล้ว”
“ข้ารู้…”
“แล้วเหตุใดท่านยังสงบใจไม่ได้อีก มีอะไรกวนใจท่านรึ”
“ฮื่อ…..หัวใจของราชัน ถ้ามันตื่นขึ้นมาจริงๆล่ะก็…..”
“ในเมื่อมีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งคอยคุ้มครอง เด็กนั่นคงไม่เป็นอะไรหรอก”
“…..” เอลเดอร์ไม่ตอบได้แต่ถอนหายใจอย่างค้างๆคาๆ
จะอย่างนั้นก็เถอะ เขาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
ครืนนนน!!!!
เพล้ง!!!!
จู่ๆปราสาทก็สั่นสะเทือน โคมไฟระย้ากลางห้องหล่นลงมาแตกกระจาย แม้แต่ธิดาโลกันตร์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ยังต้องเซถลาไปจับขอบโต๊ะเอาไว้แน่น
“เกิดอะไรขึ้น ศัตรูบุกรึ!”
“ไม่ใช่! นี่มันพลังปะทุใหม่….หรือว่า!!!!!”
เอลเดอร์สบถแรงๆก่อนจะเรียกประตูมิติออกมาและพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเล จุดหมายปลายทางคือ
โลกมนุษย์
“อย่ามาแตะต้อง……”
เสียงแหบพล่าสั่นเทาเค้นออกมาจากลำคอของเพียว เสียงหัวใจเต้นแรงจนกลบเสียงหัวเราะน่ารังเกียจเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น เพียวรู้สึกร้อน รู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก
ตัวของเดียร์เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เพียวสัมผัสลมหายใจของเธอไม่ได้อีกแล้ว มันยิ่งทำให้เพียวรู้สึกเจ็บ เจ็บมาก
เจ็บเหลือเกิน!!!!
“อ๊ากกกกกกกกกกก!!!!!!”
ตูมมมมมมมมมมมม!!!!!!!
เพียวกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ยิ่งกรีดร้องความเจ็บกลางอกยิ่งทวีคูณ เสียงกรีดร้องกลายเป็นเสียงคำรามของสัตว์ร้ายทำลายล้างทุกอย่างจนกลายเป็นฝุ่นผง ทั้งกองซากปรักหักพังและอสุรกายปีศาจที่เข้ามารายล้อม
ตุ้บ!
“ไอ้เด็กบ้านั่น!”
ลูฟหลบเหล็กแหลมที่พุ่งเข้ามาอย่างหวุดหวิดและร่อนลงเหยียบบนยอดเสาไฟแรงสูง ดวงตาสีทองหรี่ลงจดจ้องเด็กหนุ่มที่กำลังระเบิดพลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง
สาเหตุที่เพียวสติหลุดเป็นเพราะเดียร์อย่างไม่ต้องสงสัย เหล็กแหลมเสียบทะลุร่างขนาดนั้น ร่างกายมนุษย์ร่างนั้นคงจะใช้การต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ฟึ่บ!
เอลเดอร์สัมผัสได้ถึงพลังร้ายที่สะเทือนไปถึงปราสาท และเมื่อมาดูลางสังหรณ์ของเขาก็เป็นความจริง เพียวคุกเข่าอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มมีร่างอาบโชกเลือดสีแดงของเด็กสาวอยู่
ร่างเลือนรางพุ่งออกมาโอบอุ้มเพียวเอาไว้ ถึงจะเป็นแค่เงา ในบรรดาอสุรกายในโลกซาตานไม่มีใครที่ไม่รู้จักเงานั่น
ราชาซาตาน เจเซียส!!!!!
“นี่มัน เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น”
เอลเดอร์สบถอย่างหัวเสีย เขาต้องหยุดอาการบ้าคลั่งของเด็กหนุ่มก่อนที่ร่างกายน้อยๆนั้นจะแตกละเอียด
“วันเดอเรอร์…”
มีคนกำลังกำลังร้องเรียกเพียวอยู่ แต่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของเพียวเป็นใครกัน
“ไม่เป็นไรแล้ว….วันเดอเรอร์!”
พรึ่บ!!!
“เฮือก!!!”
เพียวลืมตาตื่นพร้อมกับหอบเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ราวกับเพิ่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ และพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉิน
“ฝันเหรอ”
เพียวหยัดกายลุกแต่ก็ต้องชะงักและล้มตึงกลับไปนอนอีกรอบเพราะอาการบ้านหมุนและเจ็บแปลบกลางศีรษะ และพอยกมือลบตรงจุดที่เจ็บ ก็สัมผัสเข้ากับผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะ
ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างไหลย้อนกลับเข้ามาเหมือนน้ำในถ้ำ เพียวนิ่งค้าง มองมือสองข้าของตัวเอง ภาพเหตุการณ์ที่ติดอยู่ในกองซากปรักหักพัง และเดียร์ถูกเหล็กทิ่มจนร่างพรุนเลือดอาบนองกับพื้น
แล้วตอนนี้เดียร์อยู่ที่ไหนแล้วล่ะ
“มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นจริงๆค่ะ”
“แจ้งครอบครัวเขาหรือยัง”
“ยังติดต่อไม่ได้ค่ะ”
“จัดการตามขั้นตอน”
“ทราบแล้วค่ะ”
เสียงหมอคนหนึ่งพูดอยู่อีกฝั่งหนึ่งที่มีผ้าม่านกั้น เพียวรู้สึกใจเต้นแปลกๆ
พรึ่บ!
โครม!!!
เพียวกระเสือกกระสนลงจากเตียงแต่ขาสองข้างเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงไปเสียดื้อๆ
สองแขนพยายามค้ำยันกายให้ลุกขึ้นยืน ครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะเดินได้เพียวก็ต้องล้มไปและลุกขึ้นมาใหม่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
ทีมแพทย์กำลังยืนล้อมเตียงๆหนึ่งเอาไว้ เพียวพยายามแทรกกายเข้าไปจนถึงเตียง สองตามองใบหน้าซีดขาวและร่างกายเย็นชืดที่อาบชโลมไปด้วยเลือดสีแดงที่เริ่มแห้งกรังบางจุด
“เดียร์……”
“ไม่ได้นะเพียว อย่าแตะต้องเธอ”
“ปล่อยผมนะ!”
“เพียว!”
อาจารย์แพทย์หนึ่งในทีมคนหนึ่งพยายามดึงเพียวออกห่างจากเตียง เพียวดิ้นรน ปัดป่ายร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ปล่อยผมนะ ปล่อยผม!!!!!”
“สงบสติอารมณ์หน่อยเถอะเพียว เรารู้ว่าเธอเสียใจเสียใจแค่ไหน แต่เดียร์ตายแล้ว”
“ไม่จริง!!”
เพียวร้องแล้วก็ร้อง จนไม่เหลือเสียงที่จะร้องออกมาได้อีก เวลาไหลผ่านไป เพียวยังนั่งอยู่หน้าห้องดับจิต เด็กหนุ่มไม่อยากไปไหน ไม่แม้จะขยับเลยสักนิด
“กลับบ้านเถอะเพียว”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเพียว แต่เด็กหนุ่มก็ยังนิ่งและก้มหน้าเงียบราวกับตอนนี้เขากลายเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เวลาผ่านไปและผ่านไป ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า เข็มนาฬิกาชี้ตรงบอกเวลาเที่ยงคืน เพียวเงยหน้าขึ้นผ่อนลมหายใจออกพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ยังหลงเหลือ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันกลับไปมองประตูห้องดับจิตอีกครั้ง
“แล้วเพียวจะมารับกลับบ้านนะ เดียร์”
เพียวบอกลาเพื่อนสาวเสียงแผ่วก่อนจะหันกายเดินจากไป แต่ทว่า เสียงกุกกักแปลกๆดังเล็ดลอดออกมาจากในห้องนั้นทำให้เท้าสองข้างหยุดชะงัก
และในระหว่างที่เพียวมองไป ประตูห้องดับจิตก็ถูกปิดออพร้อมกับร่างของไลแคนท์สีดำตัวเขื่อง
“อะ!!!!”
กรรรรร….
เพียวขาสั่นจนแทบล้มทั้งยืน ตาสีทองวาวโรจน์จ้องมองเพียวพร้อมเสียงขู่คำราม แต่ทว่า ความกลัวของเด็กหนุ่มกลับหายวับไปทันตา เมื่อมองเห็นสิ่งที่ไลแคนท์ตัวนั้นคาบอยู่
ร่างของเดียร์!
“แก!!!! เอาคืนมานะ”
“หึ”
หึ เหรอ เพียวไม่ได้หูฝาด เจ้าหมาป่าสีดำตัวนั้นแค่นเสียงหัวเราะในลำคอราวกับเยาะเย้ยเพียว ก่อนที่มันจะกระโจนผ่านร่างของเพียวออกไป
“หยุดนะ!”
เพียวคว้าเข้าที่หางของมันเต็มกำมือ ทำให้เด็กหนุ่มถูกกระชากลอยละลิ่วตามร่างของหมาป่าตัวนั้นไปด้วย
“อึก!”
ร่างของเพียวไถลครูดไปตามทางเดินในตึก แต่มือของเด็กหนุ่มกลับยิ่งกระชับพวงหางสีดำนั้นเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“เจ้าเด็กน่ารำคาญ!”
เสียงคำรามดังมา ทำให้เพียวต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง และเห็นแววตาน่ากลัวของหมาป่าที่หันมาจดจ้องเพียวอย่างแค้นเคือง ทว่า ตอนนี้ความกลัวทั้งหมดของเพียวถูกลบเลือนไปหมดสิ้น เหลือไว้แต่ความตั้งใจที่จะแย่งร่างของเพื่อนสาวกลับคืนมาให้ได้เท่านั้น
“เอาเพื่อนฉันคืนมานะ ไอ้หมาบ้า”
“ว่าข้าหมาอย่างนั้นเหรอ ไอ้เด็กไร้ประโยชน์”
แล้วร่างของหมาป่าก็กระโจนขึ้นกลางอากาศพร้อมกับสะบัดจนเพียวปลิวละลิ่วไปตามแรง สุดท้ายมือสองข้างก็จับพวงหางสีดำนั้นต่อไปไม่ไหว พร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มที่ร่วงดิ่งลงมาสู่พื้น
เฮือก!!!
เพียวใจหายวูบพอๆกับความเร็วที่ดิ่งลงพื้น สายตาพล่าเลือนมองร่างสีดำทะมึนนั้นหายไปในความมืด ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
ตุบ!
ร่างเด็กหนุ่มร่วงลงสู่อ้อมแขนที่รอรับอยู่ด้านล่างได้อย่างพอดิบพอดี สายตาห่วงใยปนกังวลยังจดจ้องใบหน้าอิดโรยที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนอย่างสงสาร
……………..
เพียวลืมตาตื่นขึ้นมาบนที่นอนในห้องพักของโรงพยาบาล สิ่งแรกที่ได้เห็นคือใบหน้าของแพทย์ฝึกหัดรุ่นพี่ผู้หญิงที่มองเพียวอย่างจดจ่อ
“ตื่นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”
“เดียร์….”
“เพียว ฟังพี่นะ”
“ผมรู้…แต่ว่า”
“ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างแก้ไขไม่ได้แล้ว มีแต่จะปล่อยให้มันผ่านไป เข้าใจไหม พี่รู้ว่าเธอเสียใจ เธอยังเด็ก แต่อีกหน่อยพอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเธอจะต้องเจอเรื่องแบบนี้อีกมาก ตอนนี้พักผ่อนให้มากๆ น้ำเกลือหมดกระปุกแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องซะนะ อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก เข้าใจไหม”
หมอรุ่นพี่พล่ามเสร็จก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมตรวจอาการบนชาร์ตประวัติคนไข้ของเพียวและจดบันทึกต่อไปเงียบๆ
เพียวจะบอกยังไงดีว่าบาดแผลกับความบอบช้ำบนตัวของเพียวมาจากการไล่ตามเจ้าหมาป่าสีดำที่คาบเอาร่างของเดียร์ไปเมื่อคืน เด็กหนุ่มหลับตาก่อนจะหลุดเสียงออกมาบางประโยค
“เอลเดอร์ อยู่ที่ไหน….เอ๊ะ?”
“ฮืม…..เธอละเมอชื่อนี้มาตั้งแต่เมื่อคืน ญาติเหรอ”
เอลเดอร์เหรอ…แล้วใครคือเอลเดอร์ล่ะ
เขากำลังเรียกหาใครกัน….
เพียวกลับมาที่หอพัก เด็กหนุ่มไม่เคยที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวเท่านี้มาก่อนเลย บอบบางนอนคู้ตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนพื้นข้างเตียง ร้องไห้จนเผลอหลับไป
พรึ่บ!
ประตูมิติถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงสวมชุดเกราะที่เดินออกมาและคุกเข่าลงข้างๆร่างเล็กที่นอนไม่ได้สติ ปลายนิ้วปาดคราบน้ำตาน้อยๆออกจากใบหน้าซีดเซียวนั้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะช้อนร่างหลับใหลนั้นขึ้นมาและส่งกลับไปนอนบนเตียง
“ข้าขอโทษ…..”
เสียงทุ้มเปล่งออกมาแผ่วเบาก่อนจะหายไปเหลือไว้เพียงละอองจากแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
เพียวลืมตาตื่นขึ้นมา มองซ้ายทีขวาที ก่อนจะก้มหน้ายิ้มขื่นกับตัวเอง ตอนนี้มีแค่เขาคนเดียวที่ยังอยู่ ร่างของเดียร์ก็ถูกตัวหมาป่าสีดำประหลาดลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา แล้วตอนนี้เพียวจะทำยังไง จะกลับไปที่หมู่บ้านหาลุงเดย์ดีไหมนะ
“ถ้าเจ้าอยากกลับไปที่หมู่บ้าน ข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง”
เสียงทุ้มหนักแน่นดังมาจากมุมห้องเรียกสายตาเด็กหนุ่มให้หันไปมอง เพียวเพ่งสายตามองร่างสูงที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เพียวรู้สึกคุ้นเคยกับคนคนนี้แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเคยรู้จัก
เอลเดอร์มองท่าทางหวาดระแวงปนสงสัยของเด็กหนุ่ม เขาถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนเตียงและมองใบหน้าละอ่อนนั้นอย่างห้ามใจ
เขาสามารถปลดผนึกของผู้พิทักษ์ได้ แค่ทำให้เพียวกลับมาจำเขาได้มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เพราะเขากลัว กลัวว่าความทรงจำของเพียวที่ถูกเขาทำทารุณเมื่อคราวก่อนจะทำให้เพียวเกลียดเขา
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”
“ใช่”
“คุณเป็นใครครับ”
“ข้าชื่อเอลเดอร์ เป็น…”
“ปีศาจเหรอ”
เอลเดอร์ถึงกับชะงักไปหลายวินาทีก่อนที่สีหน้าจะกลับมาโทนเดิม
“ใช่”
หมับ!
เพียวพุ่งเข้ามาจับแขนเสื้อของเขาเอาไว้แน่น จ้องมองเขาอย่างมีความหวัง
“ช่วยเพื่อนผมด้วย ถ้าคุณเป็นปีศาจคุณต้องช่วยเพื่อนผมได้แน่ๆ เพื่อนของผมถูกลักพาตัวไป คุณช่วยเอาเธอกลับมานะ ผมขอร้องล่ะ ช่วยผมที”
เพียวสั่นไปทั้งตัวพูดซ้ำๆในประโยคเดิมๆ สองมือขยุ้มอาภรณ์ของราชาหนุ่มจนยับย่น เอลเดอร์มองเด็กน้อยไร้เดียงสาตรงหน้าอย่างสงสาร เขาควรจะเรียกความทรงจำของเพียวมาดีไหม หรือเขาจะยอมปล่อยให้เพียวอยู่ในสภาพที่น่าสงสารนี้ต่อไป
“เอลเดอร์ ช่วยผมด้วยเถอะ จะให้ผมทำอะไรผมก็ยอม ขอร้องช่วยเอาร่างของเพื่อนผมกลับมาที”
“ทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ”
“อื้ม ทำอะไรก็ได้ จะให้ผมเป็นทาสของคุณก็ได้ ทำอะไรก็ได้”
เขารู้ว่าเพียวพูดไม่ทันคิด แต่มันก็คือโอกาสของเอลเดอร์แล้วไม่ใช่เหรอ เขาสามารถพาความทรงจำของเพียวกลับมาได้และใส่ความทรงจำปัจจุบันเข้าไปด้วย ทีนี้ลองดูซิว่าร่างน้อยๆบอบบางตรงหน้าเขาจะว่าอย่างไร
“เจ้ารับปากข้าแล้วนะ เพียว”
“เหะ? คุณรู้จัก….”
วูบ….
ฝ่ามือหนาวางบนศีรษะงามอย่างแผ่วเบาก่อนที่แสงวูบวาบจะโปรยปรายละอองสีใสลงมาชโลม ไม่นานเพียวก็อ่อนแรงและซบลงบนอกของเอลเดอร์ที่กางแขนรอรับไว้อยู่แล้ว
“อึก…”
“รู้สึกเหมือนจะหลับไปนานเลยนะ”
“เอลเดอร์ นี่ผม…เป็นอะไรไป”
“เจ้าแค่ฝันร้ายน่ะ”
“คุณทำร้ายผมแล้วก็ทิ้งผมไป!”
“ตอนนี้ข้ากลับมาแล้วนี่ไง”
“…ผมคิดถึงคุณ”
“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า คิดถึงใจจะขาด”
เอลเดอร์ช้อนร่างบอบบางขึ้นนั่งบนตักก่อนจะประกบจูบบนเรียวปากบางนั้นอย่างโหยหา เพียวกอดคอเขาเอาไว้และตอบสนองลิ้นร้ายที่รุกรานในโพรงปากเล็กๆนั้นอย่างเต็มใจ
ฟุ่บ!
จากจูบแลกน้ำลายหวานล้ำนำพาให้ร่างของทั้งคู่กอดเกี่ยวล้มตัวลงนอนบนเตียงภายในไม่กี่นาที
“จะตรงนี้ หรือไปที่ปราสาท”
เอลเดอร์ถามร่างเล็กที่เขินจนหน้าแดง
เพียวหันหน้าหนีกลบเกลื่อนความเขินอาย
“ผมยังโกรธที่คุณทำร้ายผม”
“ข้าขอโทษ”
“เดียร์ตายแล้วแถมร่างของเดียร์ยังถูกขโมยไปอีก”
“นางไม่ตายหรอก แค่ร่างนั้นจะใช้ไม่ได้สำหรับนางอีกต่อไปเท่านั้น”
“จริงเหรอ แล้วเดียร์อยู่ไหน พาผมไปเจอเดียร์หน่อยสิ นะ เอลเดอร์ นะ”
เห็นได้ชัดว่าเพียวดีใจจนเก็บไม่มิด
“ตอนนี้ไม่ได้”
“ว่าไงนะ”
“ถึงนางจะยังไม่ตาย แต่ตอนนี้นางบาดเจ็บก็ต้องรักษาตัวอยู่ดี และนางก็ยังถูกลูฟกักขังเอาไว้อีก จะออกมาจากปราสาทไลแคนท์ไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ”
“คุณต้องช่วยผมพาเธอกลับมาให้ได้ ผมถึงจะให้อภัยคุณ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ข้าทำแน่ แต่ตอนนี้ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ว่าจบเอลเดอร์ก็ฝังเขี้ยวแหลมลงบนต้นคอของเพียวและดูดดื่มเลือดหอมหวานอย่างตระกรุมตระกราม
“เฮือก!”
เพียวหลุดเสียงร้องออกมาแต่ทันทีทันใดก็ถูกฝ่ามือหนาปิดปากเอาไว้ จนต้องกลืนเสียงทั้งหมดกลับลงไปในคอดังเดิม เอลเดอร์ยังละเลียดดื่มความหวานล้ำจากโลหิตสีสดบนเรือนร่างของเพียวอย่างหิวกระหาย จนเพียวเริ่มวิงเวียนและอ่อนป้อแป้จมที่นอนอย่างไร้ทางต้าน
เลเดียร์คุกเข่าลงข้างเตียงที่มีร่างเด็กหนุ่มนอนคู้ตัวอยู่อย่างน่าสงสาร
ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมสีขนกานั้นออกจากใบหน้าขาวอย่างเบามือ
“…….”
พรึ่บ!
ดวงตาสีหวานเบิกกว้าง และสิ่งแรกที่มองเห็นคือใบหน้าละอ่อนปนซุกซนอันแสนคุ้นเคย
“เดียร์!!!”
เพียวดีดตัวลุกและพุ่งเข้าสวมกอดเพื่อนสนิทด้วยร่างกายที่สั่นเทา
“โล่งอกไปที โล่งอกไปที”
เด็กสาวน่ารักจิ้มลิ้มกลับมาแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือกลิ่นของการเติบโตจากกายเด็กสาวนั้นแผ่กำจายออกมาราวกับยกดอกไม้ทั้งสวนมาไว้รอบตัว มันทำให้เพียวสบายใจขึ้นมาอย่างประหลาด
“ฮ้า…..ตัวเดียร์หอมจัง”
“เพียวฝันร้ายเหรอ”
เพียวส่ายหัวและพยายามปาดน้ำตาทิ้งไวๆ
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ เราเป็นห่วง”
“อื้ม ไม่ทำอีกแล้วล่ะ”
เดียร์กอดเพียวเอาไว้และตบไหล่เบาๆเหมือนปลอบประโลมเด็กเสียขวัญ นายน้อยของเธอช่างเปราะบางเหลือเกิน เปราะบางเสียจนไม่อยากแตะต้องเพราะกลัวจะแตกสลาย แต่ในทางตรงข้าม ที่เขาต้องเป็นแบบนี้เพราะถูกซุกซ่อนพลังเอาไว้ต่างหาก หากว่าเมื่อไหร่พลังนั้นถูกเอาออกมาใช้ ร่างกายมนุษย์แสนบอบบางน่าทะนุถนอมนี้คงจะแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ขอโทษนะ…ข้าขอโทษ วันเดอเรอร์……….
จงใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ และหลับใหลจากโลกนี้ไปพร้อมกับความเป็นมนุษย์เถอะ….
ถ้าโชคชะตาจะนำพาเด็กหนุ่มกลับเข้าไปในโลกของความโหดร้าย เลเดียร์ก็จะขัดขวางชะตานั้นถึงที่สุดเอง
แต่มันจะง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ…………….
การใช้ชีวิตของเพียวยังเป็นไปเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือความรู้สึกค้างคาในใจแปลกๆ ที่ไม่ว่าจะพยายามนึกถึงมันเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกสักที
“เป็นอะไรไปเหรอ”
“อื้ม เปล่าหรอก แค่มึนหัวนิดหน่อย สงสัยจะนอนน้อย”
“จะกลับก็ได้นะ เดียร์ไม่อยากดูหนังแล้ว”
เพียวยิ้มอ่อนยกมือลูบหัวเด็กสาวข้างๆอย่างเอ็นดู บอกว่าไม่อยากดูแต่ในมือถือถังป๊อบคอร์นถังใหญ่ซะไม่มี
“ไปนั่งหลับในโรงหนังก็ได้ ไหนๆก็มาแล้ว”
“ฮิๆๆๆ”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่คนที่ไม่มีกะใจจะดูที่สุดกลับเป็นเพียวเสียเอง เพราะบางอย่างที่ค้างคาใจมาตลอด พยายามนึกถึงมันเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
มันคืออะไรกันนะ…
ชึ่บ!
แรงกระตุกๆเบาๆที่แขนเสื้อสะกิดเด็กหนุ่มให้หันไปมอง
“ออกไปกันเถอะ ไม่อยากดูแล้ว”
“อืม….”
เพียวไม่ปฎิเสธและลุกอย่างไม่อิดออด ยังไงซะตอนนี้อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์
“ฮื้มมมมมม!!!! เมื่อยแล้ว เรากลับกันเลยไหม”
เดียร์บิดขี้เกียจพร้อมกับถามมาอย่างส่งๆ แต่เพียวกลับเงียบเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่เด็กสาวพูดเลย
“เพียว?”
“อ่า…โทษทีนะ เราขอไปเข้าห้องนำก่อน เดียร์ช้อปปิ้งรอเราก่อนได้เลย”
“อื้ม รีบกลับมานะ”
“จ้า”
เพียวปลีกตัวออกไปอีกทาง เข้าห้องน้ำวักน้ำล้างหน้าก่อนจะมองเงาตัวเองในกระจก
วูบ..
“อ๊ะ!!!”
เงาของใครบางคนที่สูงตัวเข้ามาทาบอยู่ด้านหลัง เพียวเอี้ยวตัวหันกลับไปมองหากแต่ข้างหลังไม่มีใครยืนอยู่แม้แต่คนเดียว หรือว่าเขาจะตาฝาด เพียวหันกลับมามองที่กระจกอีกครั้ง คราวนี้กลับมองไม่เห็นเงาสูงๆนั่นแล้ว
“เฮ้อ สงสัยจะเหนื่อยเกินไปจริงๆ……”
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองพร้อมกับบีบนวดขมับตัวเองวนไปวนมาเบาๆ
บึ้มมมมมม!!!!!!
ครืนนนนน!!!
เพล้ง!!!!!
เสียงระเบิดกับแรงสั่นสะเทือนทำให้เพียวหลุดจากภวังค์ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องน้ำโดยไม่ทันได้สังเกตเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก
และเมื่อออกมาถึงใจกลางห้างก็เห็นผู้คนที่กำลังอลหม่านวิ่งหาที่หลบลี้บ้างก็หาทางออกกันจ้าละหวั่น ข้าวของในห้างหล่นกระจายไม่รู้ทิศทาง ในขณะที่ชั้นเพดานและกระจกทางเดินชั้นบนหล่นลงมาแตกกระจายบนพื้น
“ฮืออออ!!!! แม่จ๋า”
เสียงเด็กร้องออกมาท่ามกลางความวุ่นวาย ไม่ไกลจากจุดที่เพียงยืนอยู่มาก เด็กหนุ่มวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปอุ้มเด็กน้อยที่กำลังเสียขวัญออกมาจากจุดอันตรายนั้นอย่างทุลักทุเล
“ไม่เป็นไรนะ”
“ฮืออออ…..หนูเห็นสัตว์ประหลาดกำลังสู้กันด้วย”
เด็กน้อยพูดทั้งที่ยังสะอึกสะอื้นไม่หาย เพียวยิ้มน้อยๆเอ็นดูในความไร้เดียงสา หลังจากส่งเด็กน้อยให้คนเป็นแม่แล้วเพียวก็สอดส่ายสายตาหาเพื่อนสาวคนสนิทอีกคน
เดียร์อยู่ที่ไหน จะเป็นอันตรายไหมนะ
เด็กหนุ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนพยายามมองหาเพื่อนสาวท่ามกลางผู้คนที่กรีดร้องเพราะเสียขวัญ
“เดียร์….เดียร์!!!!”
อยู่ไหนนะ เธออยู่ที่ไหน
………………………………………
ควาก!!!
ตุ้บ!
ร่างของปีศาจขาดสองท่อนหล่นกองบนพื้น จมกองเลือดอยู่ในที่อับโดยที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถมองเห็น
เพราะถูกโจมตีกะทันหันทำให้เกิดความเสียหายสะเทือนไปถึงมิติของพวกมนุษย์อยู่ด้วย เดียร์จำเป็นต้องล่อพวกมันออกมาและกำจัดพวกมันข้างนอกในที่อับสายตาคน แต่เพราะจำนวนมันเยอะขึ้นและแต่ละตนที่ทะลุมิติออกมาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่พวกกระจอกที่เคยเจอ
“แฮ่กๆๆๆๆ….ให้ตายเถอะ ร่างนี้ท่าทางจะไปต่อไม่ไหวแล้วสิ”
ตุ้บ!
ร่างเล็กๆของเด็กสาวทรุดลงพิงกำแพงที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำใต้สะพานที่มีธารน้ำไหลผ่าน
ป่านนี้เพียวจะเป็นยังไงบ้าง ถ้าไม่รีบกลับรักษษแผลแล้วไป เพียวก็จะเป็นห่วงเธออีกแน่ๆ”
กึก…
“วันนี้ก็โหดอีกแล้วนะท่านหญิง”
เสียงทุ้มเนิบนาบแทรกเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศน่าสะอิดสะเอียดที่กำลังถูกขับไล่ให้หายไป
ร่างสูงโปร่งสวมชุดราคาแพงมาดคุณชายเดินออกมาจากเงามืดของสะพาน ใบหน้าคมคายแต่แฝงไว้ด้วยความร้ายกาจยิ้มน้อยๆพร้อมกับดวงตาที่ถูกย้อมให้เหมือนมนุษย์ส่งมายังสาวน้อยที่ตอบรับด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
“แฮ่กๆๆ…..มีธุระอะไร”
“ข้าไม่มีธุระอะไร แล้วจะมาหาเจ้าไมได้เชียวเหรอ”
“ข้าไม่ว่างจะเล่นกับเจ้า กลับไปซะ”
เดียร์ยันกายลุกขึ้นยืน ปัดสิ่งสกปรกออกลวกๆก่อนสะบัดร่างน้อยๆของเธอเดินออกไปโดยไม่สนใจใยดีชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง แต่ทว่า
สวบ…..
วงแขนแกร่งสวมกอดร่างน้อยๆของเอและรั้งกลับเข้าไปในเงามืดอีกครั้ง เร้นกายจากสายตาของผู้คนที่เดินผ่านมาได้อย่างแนบเนียน
“ข้าคิดถึงเจ้า”
ริมฝีปากของเดียร์ถูกประกบปิดเอาไว้ด้วยริมฝีปากของอีกฝ่าย วงแขนกอดรัดเรือนร่างละอ่อนของสาวน้อยนั้นเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ก่อนที่มันจะซุกซนลูบไล้เค้นคลึงอย่างเอาใจ
“อื้ม!.....ปล่อยนะเจ้าหมาบ้า เจ้าถือสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้กับข้า!”
เดียร์ผลักลูฟออกไปให้พ้นตัว และด้วยพลังที่เหนือมนุษย์ร่างของไลแคนท์หนุ่มจึงกระเด็นไปอัดกำแพงอย่างแรง
ตึง!
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูฟจะระคาย เมื่อเทียบกับการตักตวงความหวานล้ำจากเด็กสาว(แค่ภายนอก) ตรงหน้า
“กลับไปซะ ลูฟ ข้ากับเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องพบเจอกันอีก”
“ทั้งที่สัญญาของเรายังเหลืออีกตั้งสองเดือนเนี่ยนะ”
“ไม่มีประโยชน์หรอก”
“เพราะเด็กคนนั้นเหรอ”
“…….”
“ชีวิตของเจ้ามีไว้เพื่อเด็กอ่อนแอนั่นคนเดียวงั้นเหรอ ท่านหญิง”
“ถ้าใช่ แล้วจะทำไม”
“เจ้าจะปกปิดเจ้าเด็กนั่นไปได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว ถึงเจ้าจะลบความทรงจำของมันออกไป แล้วยังไง เจ้าคิดว่าจะปกป้องมันไปได้ตลอดรึ”
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเข้ามายุ่ง”
“เลเดียร์!”
กึก!
เป็นครั้งแรกที่ลูฟเริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียว กลิ่นอายสังหารกระตุ้นให้เด็กสาวเปลี่ยนร่างมาเป็นจิ้งจอกอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
พรึ่บ!
ดวงตาสีทองวาวโรจน์ชำเลืองมองชายหนุ่มอย่างเย็นชาและเย่อหยิ่ง หากเป็นปีศาจชั้นปลายแถว เพียงแค่จ้องดวงตานั้นก็มีอันต้องดับสูญไปแล้ว แต่ไม่ใช่สำหรับลูฟ กลิ่นอายสังหารยังแผ่กำจายออกมาจากร่างของทั้งสองฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร
“เจ้าจะสู้กับข้าจริงๆรึ”
“หากมันจะทำให้เจ้าไม่ต้องมาที่นี่อีก จะสับเจ้าเป็นชิ้นๆแล้วส่งไปให้พี่ชายเจ้าดูต่างหน้ามันก็ไม่ได้เกินแรงของข้า”
“เจ้าพูดเองนะ เลเดียร์!”
แล้วร่างของลูฟก็กลายเป็นไลแคนท์ตัวใหญ่ขนสีดำแซมเงิน ดวงตาสีแดงกร้าวสะท้อนร่างสีขาวของจิ้งจอกเก้าหางที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับเขี้ยวแหลมราวกับมีดดาบ
ทว่า….ก่อนที่อสุรกายทั้งสองจะได้เข้าปะทะกัน เสียงกรีดร้องก็ดังเสียดแทงเข้ามาในโสตประสาท
กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!!
เพล้ง!!!
และสัญชาตญาณของผู้พิทัษ์ก็ทำงานนำพาร่างจิ้งจอกเก้าหางมุ่งตรงไปที่ตึกที่กำลังถล่ม
ดวงตาสีทองของจิ้งจอกเรียวโอไนน์กลับเบิกกว้างสุดชีวิตเมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มที่สับสนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่วุ่นวาย และชิ้นส่วนของตึกชั้นบนกำลังร่วงลงมา
“เดียร์! อยู่ไหนน่ะ เดียร์!!!”
เพียวหันซ้ายหันขวาพยายามมองหาเพื่อนสนิทท่ามกลางฝูงชนที่กำลังแตกตื่นวิ่งไม่รู้ทิศ บ้างก็เบียดเสียดและชนจนเพียวเซถลาไปซ้ายทีขวาที
“เพียว!!!”
เสียงก้องกังวานคุ้นหูเรียกให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมอง และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เพียวนิ่งค้างไปทันที
“เอ๋?”
จิ้งจอก สิ่งที่กำลังพุ่งตรงมาที่เพียวตอนนี้คือ จิ้งจอกเก้าหาง!
โครม!!!!
ตู้มมมมมมม!!!!!
แรงระเบิดหม้อแปลงหลายหม้อแปลงพร้อมๆกันสร้างแรงสั่นสะเทือนจนอาคารบางส่วนได้ถล่มลงมากลายเป็นซากปรักหักพังบนพื้น
“อึก……อือ”
“เพียว…”
เสียงสั่นกระเส่ากระซฺบเรียกสติเพียวให้ตื่น เด็กหนุ่มค่อยๆลืมตามองเศษซากของอิฐปูนที่ทับถมปิดกั้นไว้หลายชั้น มีเพียงแสงเล็ดลอดลงมาเลือนราง และบนตัวของเพียวก็มีร่างของอีกคนที่คร่อมทับและประคองกอดเขาเอาไว้อยู่
“เดียร์……”
“ไม่เป็นไรนะ”
“อื้ม”
“ดีแล้ว….”
เสียงเด็กสาวสั่นกระเส่าและแผ่วเบา เพียวเอื้อมมือขึ้นจะประคองเพื่อนสนิทให้ลุกจากตัวแต่แล้วปลายนิ้วก็สัมผัสได้ถึงความชื้นแฉะเหนียวเหนอะแปลกๆ และเมื่อยกมือกลับมามองเด็กหนุ่มก็ถึงกับนิ่งค้างไปชั่วขณะและเมื่อโฟกัสจนชัดเจนแล้วเพียวก็ถึงกับนิ่งค้างไปทันที
“ดะ……เดียร์ เดียร์!!!!”
ร่างของเดียร์นอนพาดอยู่บนตัวของเพียวและเธอก็มีเหล็กแหลมเสียบทะลุเข้าทีสะบักด้านหลังทะลุออกมายังอกด้านหน้า
“ไม่…..ไม่นะ”
ตึกตักๆๆๆๆ!!!!!
หัวใจของเพียวเต้นแรงขึ้นและเร็วขึ้น เด็กหนุ่มกอดร่างที่เริ่มเย็นของเพื่อนสาวเอาไว้แน่น ภาพเบื้องหน้าค่อยๆกลายเป็นสีแดงฉานเหมือนถูกย้อมชโลมด้วยโลหิต
“ฮี่ๆๆๆๆ…..กลิ่นหอมจัง ข้าจะกินไม่ให้เหลือกระดูกเลย”
“คริๆๆๆ เอาเลย กินมันทั้งคู่เลย”
เสียงหัวเราะน่าสะอิดสะเอียนดังระงมพร้อมๆกับร่างกายแปลกประหลาดที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาและยื่นมือนับสิบข้างกำลังแทรกผ่านซากปรักหักพังลงมาเพื่อนคว้าร่างของเพียวกับเดียร์
เพียวมองเห็นน้าตาน่าเกลียดของพวกมัน เขาได้ยินเสียงหัวเราะน่ารังเกียจนั้นเต็มสองหู
สัตว์ประหลาดน่ารังเกียจพวกนี้มันมาจากไหน พวกมันเป็นใคร ยมทูตเหรอ สัตว์ที่มานรกเหรอ หรือว่าไม่ใช่
…………………..
โอเอซิสต์…
“ท่านพี่ พวกซาตานที่อยู่ทางใต้เริ่มตั้งกองทัพกันแล้ว ท่านจะว่าอย่างไร”
ธิดาโลกันตร์เอ่ยถามร่างสูงของผู้เป็นพี่ที่ยังยืนเอามือไพร่หลังและเหม่อลอยอยุ่ในห้องเพียงลำพัง
อาการแบบนี้มีเหรอเธอจะดูไม่ออก ตั้งแต่การปะทะกับผู้พิทักษ์วันนั้น เอลเดอร์ก็มักจะเก็บตัว และเหม่อลอยอยุ่บ่อยครั้ง
“ท่านพี่…ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป น่ากลัวว่าเราจะต้องทำสงครามครั้งใหญ่แล้ว”
“ข้ารู้…”
“แล้วเหตุใดท่านยังสงบใจไม่ได้อีก มีอะไรกวนใจท่านรึ”
“ฮื่อ…..หัวใจของราชัน ถ้ามันตื่นขึ้นมาจริงๆล่ะก็…..”
“ในเมื่อมีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งคอยคุ้มครอง เด็กนั่นคงไม่เป็นอะไรหรอก”
“…..” เอลเดอร์ไม่ตอบได้แต่ถอนหายใจอย่างค้างๆคาๆ
จะอย่างนั้นก็เถอะ เขาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
ครืนนนน!!!!
เพล้ง!!!!
จู่ๆปราสาทก็สั่นสะเทือน โคมไฟระย้ากลางห้องหล่นลงมาแตกกระจาย แม้แต่ธิดาโลกันตร์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ยังต้องเซถลาไปจับขอบโต๊ะเอาไว้แน่น
“เกิดอะไรขึ้น ศัตรูบุกรึ!”
“ไม่ใช่! นี่มันพลังปะทุใหม่….หรือว่า!!!!!”
เอลเดอร์สบถแรงๆก่อนจะเรียกประตูมิติออกมาและพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเล จุดหมายปลายทางคือ
โลกมนุษย์
“อย่ามาแตะต้อง……”
เสียงแหบพล่าสั่นเทาเค้นออกมาจากลำคอของเพียว เสียงหัวใจเต้นแรงจนกลบเสียงหัวเราะน่ารังเกียจเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น เพียวรู้สึกร้อน รู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก
ตัวของเดียร์เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เพียวสัมผัสลมหายใจของเธอไม่ได้อีกแล้ว มันยิ่งทำให้เพียวรู้สึกเจ็บ เจ็บมาก
เจ็บเหลือเกิน!!!!
“อ๊ากกกกกกกกกกก!!!!!!”
ตูมมมมมมมมมมมม!!!!!!!
เพียวกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ยิ่งกรีดร้องความเจ็บกลางอกยิ่งทวีคูณ เสียงกรีดร้องกลายเป็นเสียงคำรามของสัตว์ร้ายทำลายล้างทุกอย่างจนกลายเป็นฝุ่นผง ทั้งกองซากปรักหักพังและอสุรกายปีศาจที่เข้ามารายล้อม
ตุ้บ!
“ไอ้เด็กบ้านั่น!”
ลูฟหลบเหล็กแหลมที่พุ่งเข้ามาอย่างหวุดหวิดและร่อนลงเหยียบบนยอดเสาไฟแรงสูง ดวงตาสีทองหรี่ลงจดจ้องเด็กหนุ่มที่กำลังระเบิดพลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง
สาเหตุที่เพียวสติหลุดเป็นเพราะเดียร์อย่างไม่ต้องสงสัย เหล็กแหลมเสียบทะลุร่างขนาดนั้น ร่างกายมนุษย์ร่างนั้นคงจะใช้การต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ฟึ่บ!
เอลเดอร์สัมผัสได้ถึงพลังร้ายที่สะเทือนไปถึงปราสาท และเมื่อมาดูลางสังหรณ์ของเขาก็เป็นความจริง เพียวคุกเข่าอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มมีร่างอาบโชกเลือดสีแดงของเด็กสาวอยู่
ร่างเลือนรางพุ่งออกมาโอบอุ้มเพียวเอาไว้ ถึงจะเป็นแค่เงา ในบรรดาอสุรกายในโลกซาตานไม่มีใครที่ไม่รู้จักเงานั่น
ราชาซาตาน เจเซียส!!!!!
“นี่มัน เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น”
เอลเดอร์สบถอย่างหัวเสีย เขาต้องหยุดอาการบ้าคลั่งของเด็กหนุ่มก่อนที่ร่างกายน้อยๆนั้นจะแตกละเอียด
“วันเดอเรอร์…”
มีคนกำลังกำลังร้องเรียกเพียวอยู่ แต่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของเพียวเป็นใครกัน
“ไม่เป็นไรแล้ว….วันเดอเรอร์!”
พรึ่บ!!!
“เฮือก!!!”
เพียวลืมตาตื่นพร้อมกับหอบเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ราวกับเพิ่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ และพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉิน
“ฝันเหรอ”
เพียวหยัดกายลุกแต่ก็ต้องชะงักและล้มตึงกลับไปนอนอีกรอบเพราะอาการบ้านหมุนและเจ็บแปลบกลางศีรษะ และพอยกมือลบตรงจุดที่เจ็บ ก็สัมผัสเข้ากับผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะ
ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างไหลย้อนกลับเข้ามาเหมือนน้ำในถ้ำ เพียวนิ่งค้าง มองมือสองข้าของตัวเอง ภาพเหตุการณ์ที่ติดอยู่ในกองซากปรักหักพัง และเดียร์ถูกเหล็กทิ่มจนร่างพรุนเลือดอาบนองกับพื้น
แล้วตอนนี้เดียร์อยู่ที่ไหนแล้วล่ะ
“มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นจริงๆค่ะ”
“แจ้งครอบครัวเขาหรือยัง”
“ยังติดต่อไม่ได้ค่ะ”
“จัดการตามขั้นตอน”
“ทราบแล้วค่ะ”
เสียงหมอคนหนึ่งพูดอยู่อีกฝั่งหนึ่งที่มีผ้าม่านกั้น เพียวรู้สึกใจเต้นแปลกๆ
พรึ่บ!
โครม!!!
เพียวกระเสือกกระสนลงจากเตียงแต่ขาสองข้างเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงไปเสียดื้อๆ
สองแขนพยายามค้ำยันกายให้ลุกขึ้นยืน ครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะเดินได้เพียวก็ต้องล้มไปและลุกขึ้นมาใหม่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
ทีมแพทย์กำลังยืนล้อมเตียงๆหนึ่งเอาไว้ เพียวพยายามแทรกกายเข้าไปจนถึงเตียง สองตามองใบหน้าซีดขาวและร่างกายเย็นชืดที่อาบชโลมไปด้วยเลือดสีแดงที่เริ่มแห้งกรังบางจุด
“เดียร์……”
“ไม่ได้นะเพียว อย่าแตะต้องเธอ”
“ปล่อยผมนะ!”
“เพียว!”
อาจารย์แพทย์หนึ่งในทีมคนหนึ่งพยายามดึงเพียวออกห่างจากเตียง เพียวดิ้นรน ปัดป่ายร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ปล่อยผมนะ ปล่อยผม!!!!!”
“สงบสติอารมณ์หน่อยเถอะเพียว เรารู้ว่าเธอเสียใจเสียใจแค่ไหน แต่เดียร์ตายแล้ว”
“ไม่จริง!!”
เพียวร้องแล้วก็ร้อง จนไม่เหลือเสียงที่จะร้องออกมาได้อีก เวลาไหลผ่านไป เพียวยังนั่งอยู่หน้าห้องดับจิต เด็กหนุ่มไม่อยากไปไหน ไม่แม้จะขยับเลยสักนิด
“กลับบ้านเถอะเพียว”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเพียว แต่เด็กหนุ่มก็ยังนิ่งและก้มหน้าเงียบราวกับตอนนี้เขากลายเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เวลาผ่านไปและผ่านไป ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า เข็มนาฬิกาชี้ตรงบอกเวลาเที่ยงคืน เพียวเงยหน้าขึ้นผ่อนลมหายใจออกพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ยังหลงเหลือ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันกลับไปมองประตูห้องดับจิตอีกครั้ง
“แล้วเพียวจะมารับกลับบ้านนะ เดียร์”
เพียวบอกลาเพื่อนสาวเสียงแผ่วก่อนจะหันกายเดินจากไป แต่ทว่า เสียงกุกกักแปลกๆดังเล็ดลอดออกมาจากในห้องนั้นทำให้เท้าสองข้างหยุดชะงัก
และในระหว่างที่เพียวมองไป ประตูห้องดับจิตก็ถูกปิดออพร้อมกับร่างของไลแคนท์สีดำตัวเขื่อง
“อะ!!!!”
กรรรรร….
เพียวขาสั่นจนแทบล้มทั้งยืน ตาสีทองวาวโรจน์จ้องมองเพียวพร้อมเสียงขู่คำราม แต่ทว่า ความกลัวของเด็กหนุ่มกลับหายวับไปทันตา เมื่อมองเห็นสิ่งที่ไลแคนท์ตัวนั้นคาบอยู่
ร่างของเดียร์!
“แก!!!! เอาคืนมานะ”
“หึ”
หึ เหรอ เพียวไม่ได้หูฝาด เจ้าหมาป่าสีดำตัวนั้นแค่นเสียงหัวเราะในลำคอราวกับเยาะเย้ยเพียว ก่อนที่มันจะกระโจนผ่านร่างของเพียวออกไป
“หยุดนะ!”
เพียวคว้าเข้าที่หางของมันเต็มกำมือ ทำให้เด็กหนุ่มถูกกระชากลอยละลิ่วตามร่างของหมาป่าตัวนั้นไปด้วย
“อึก!”
ร่างของเพียวไถลครูดไปตามทางเดินในตึก แต่มือของเด็กหนุ่มกลับยิ่งกระชับพวงหางสีดำนั้นเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“เจ้าเด็กน่ารำคาญ!”
เสียงคำรามดังมา ทำให้เพียวต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง และเห็นแววตาน่ากลัวของหมาป่าที่หันมาจดจ้องเพียวอย่างแค้นเคือง ทว่า ตอนนี้ความกลัวทั้งหมดของเพียวถูกลบเลือนไปหมดสิ้น เหลือไว้แต่ความตั้งใจที่จะแย่งร่างของเพื่อนสาวกลับคืนมาให้ได้เท่านั้น
“เอาเพื่อนฉันคืนมานะ ไอ้หมาบ้า”
“ว่าข้าหมาอย่างนั้นเหรอ ไอ้เด็กไร้ประโยชน์”
แล้วร่างของหมาป่าก็กระโจนขึ้นกลางอากาศพร้อมกับสะบัดจนเพียวปลิวละลิ่วไปตามแรง สุดท้ายมือสองข้างก็จับพวงหางสีดำนั้นต่อไปไม่ไหว พร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มที่ร่วงดิ่งลงมาสู่พื้น
เฮือก!!!
เพียวใจหายวูบพอๆกับความเร็วที่ดิ่งลงพื้น สายตาพล่าเลือนมองร่างสีดำทะมึนนั้นหายไปในความมืด ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
ตุบ!
ร่างเด็กหนุ่มร่วงลงสู่อ้อมแขนที่รอรับอยู่ด้านล่างได้อย่างพอดิบพอดี สายตาห่วงใยปนกังวลยังจดจ้องใบหน้าอิดโรยที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนอย่างสงสาร
……………..
เพียวลืมตาตื่นขึ้นมาบนที่นอนในห้องพักของโรงพยาบาล สิ่งแรกที่ได้เห็นคือใบหน้าของแพทย์ฝึกหัดรุ่นพี่ผู้หญิงที่มองเพียวอย่างจดจ่อ
“ตื่นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”
“เดียร์….”
“เพียว ฟังพี่นะ”
“ผมรู้…แต่ว่า”
“ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างแก้ไขไม่ได้แล้ว มีแต่จะปล่อยให้มันผ่านไป เข้าใจไหม พี่รู้ว่าเธอเสียใจ เธอยังเด็ก แต่อีกหน่อยพอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเธอจะต้องเจอเรื่องแบบนี้อีกมาก ตอนนี้พักผ่อนให้มากๆ น้ำเกลือหมดกระปุกแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องซะนะ อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก เข้าใจไหม”
หมอรุ่นพี่พล่ามเสร็จก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมตรวจอาการบนชาร์ตประวัติคนไข้ของเพียวและจดบันทึกต่อไปเงียบๆ
เพียวจะบอกยังไงดีว่าบาดแผลกับความบอบช้ำบนตัวของเพียวมาจากการไล่ตามเจ้าหมาป่าสีดำที่คาบเอาร่างของเดียร์ไปเมื่อคืน เด็กหนุ่มหลับตาก่อนจะหลุดเสียงออกมาบางประโยค
“เอลเดอร์ อยู่ที่ไหน….เอ๊ะ?”
“ฮืม…..เธอละเมอชื่อนี้มาตั้งแต่เมื่อคืน ญาติเหรอ”
เอลเดอร์เหรอ…แล้วใครคือเอลเดอร์ล่ะ
เขากำลังเรียกหาใครกัน….
เพียวกลับมาที่หอพัก เด็กหนุ่มไม่เคยที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวเท่านี้มาก่อนเลย บอบบางนอนคู้ตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนพื้นข้างเตียง ร้องไห้จนเผลอหลับไป
พรึ่บ!
ประตูมิติถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงสวมชุดเกราะที่เดินออกมาและคุกเข่าลงข้างๆร่างเล็กที่นอนไม่ได้สติ ปลายนิ้วปาดคราบน้ำตาน้อยๆออกจากใบหน้าซีดเซียวนั้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะช้อนร่างหลับใหลนั้นขึ้นมาและส่งกลับไปนอนบนเตียง
“ข้าขอโทษ…..”
เสียงทุ้มเปล่งออกมาแผ่วเบาก่อนจะหายไปเหลือไว้เพียงละอองจากแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
เพียวลืมตาตื่นขึ้นมา มองซ้ายทีขวาที ก่อนจะก้มหน้ายิ้มขื่นกับตัวเอง ตอนนี้มีแค่เขาคนเดียวที่ยังอยู่ ร่างของเดียร์ก็ถูกตัวหมาป่าสีดำประหลาดลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา แล้วตอนนี้เพียวจะทำยังไง จะกลับไปที่หมู่บ้านหาลุงเดย์ดีไหมนะ
“ถ้าเจ้าอยากกลับไปที่หมู่บ้าน ข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง”
เสียงทุ้มหนักแน่นดังมาจากมุมห้องเรียกสายตาเด็กหนุ่มให้หันไปมอง เพียวเพ่งสายตามองร่างสูงที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เพียวรู้สึกคุ้นเคยกับคนคนนี้แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเคยรู้จัก
เอลเดอร์มองท่าทางหวาดระแวงปนสงสัยของเด็กหนุ่ม เขาถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนเตียงและมองใบหน้าละอ่อนนั้นอย่างห้ามใจ
เขาสามารถปลดผนึกของผู้พิทักษ์ได้ แค่ทำให้เพียวกลับมาจำเขาได้มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เพราะเขากลัว กลัวว่าความทรงจำของเพียวที่ถูกเขาทำทารุณเมื่อคราวก่อนจะทำให้เพียวเกลียดเขา
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”
“ใช่”
“คุณเป็นใครครับ”
“ข้าชื่อเอลเดอร์ เป็น…”
“ปีศาจเหรอ”
เอลเดอร์ถึงกับชะงักไปหลายวินาทีก่อนที่สีหน้าจะกลับมาโทนเดิม
“ใช่”
หมับ!
เพียวพุ่งเข้ามาจับแขนเสื้อของเขาเอาไว้แน่น จ้องมองเขาอย่างมีความหวัง
“ช่วยเพื่อนผมด้วย ถ้าคุณเป็นปีศาจคุณต้องช่วยเพื่อนผมได้แน่ๆ เพื่อนของผมถูกลักพาตัวไป คุณช่วยเอาเธอกลับมานะ ผมขอร้องล่ะ ช่วยผมที”
เพียวสั่นไปทั้งตัวพูดซ้ำๆในประโยคเดิมๆ สองมือขยุ้มอาภรณ์ของราชาหนุ่มจนยับย่น เอลเดอร์มองเด็กน้อยไร้เดียงสาตรงหน้าอย่างสงสาร เขาควรจะเรียกความทรงจำของเพียวมาดีไหม หรือเขาจะยอมปล่อยให้เพียวอยู่ในสภาพที่น่าสงสารนี้ต่อไป
“เอลเดอร์ ช่วยผมด้วยเถอะ จะให้ผมทำอะไรผมก็ยอม ขอร้องช่วยเอาร่างของเพื่อนผมกลับมาที”
“ทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ”
“อื้ม ทำอะไรก็ได้ จะให้ผมเป็นทาสของคุณก็ได้ ทำอะไรก็ได้”
เขารู้ว่าเพียวพูดไม่ทันคิด แต่มันก็คือโอกาสของเอลเดอร์แล้วไม่ใช่เหรอ เขาสามารถพาความทรงจำของเพียวกลับมาได้และใส่ความทรงจำปัจจุบันเข้าไปด้วย ทีนี้ลองดูซิว่าร่างน้อยๆบอบบางตรงหน้าเขาจะว่าอย่างไร
“เจ้ารับปากข้าแล้วนะ เพียว”
“เหะ? คุณรู้จัก….”
วูบ….
ฝ่ามือหนาวางบนศีรษะงามอย่างแผ่วเบาก่อนที่แสงวูบวาบจะโปรยปรายละอองสีใสลงมาชโลม ไม่นานเพียวก็อ่อนแรงและซบลงบนอกของเอลเดอร์ที่กางแขนรอรับไว้อยู่แล้ว
“อึก…”
“รู้สึกเหมือนจะหลับไปนานเลยนะ”
“เอลเดอร์ นี่ผม…เป็นอะไรไป”
“เจ้าแค่ฝันร้ายน่ะ”
“คุณทำร้ายผมแล้วก็ทิ้งผมไป!”
“ตอนนี้ข้ากลับมาแล้วนี่ไง”
“…ผมคิดถึงคุณ”
“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า คิดถึงใจจะขาด”
เอลเดอร์ช้อนร่างบอบบางขึ้นนั่งบนตักก่อนจะประกบจูบบนเรียวปากบางนั้นอย่างโหยหา เพียวกอดคอเขาเอาไว้และตอบสนองลิ้นร้ายที่รุกรานในโพรงปากเล็กๆนั้นอย่างเต็มใจ
ฟุ่บ!
จากจูบแลกน้ำลายหวานล้ำนำพาให้ร่างของทั้งคู่กอดเกี่ยวล้มตัวลงนอนบนเตียงภายในไม่กี่นาที
“จะตรงนี้ หรือไปที่ปราสาท”
เอลเดอร์ถามร่างเล็กที่เขินจนหน้าแดง
เพียวหันหน้าหนีกลบเกลื่อนความเขินอาย
“ผมยังโกรธที่คุณทำร้ายผม”
“ข้าขอโทษ”
“เดียร์ตายแล้วแถมร่างของเดียร์ยังถูกขโมยไปอีก”
“นางไม่ตายหรอก แค่ร่างนั้นจะใช้ไม่ได้สำหรับนางอีกต่อไปเท่านั้น”
“จริงเหรอ แล้วเดียร์อยู่ไหน พาผมไปเจอเดียร์หน่อยสิ นะ เอลเดอร์ นะ”
เห็นได้ชัดว่าเพียวดีใจจนเก็บไม่มิด
“ตอนนี้ไม่ได้”
“ว่าไงนะ”
“ถึงนางจะยังไม่ตาย แต่ตอนนี้นางบาดเจ็บก็ต้องรักษาตัวอยู่ดี และนางก็ยังถูกลูฟกักขังเอาไว้อีก จะออกมาจากปราสาทไลแคนท์ไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ”
“คุณต้องช่วยผมพาเธอกลับมาให้ได้ ผมถึงจะให้อภัยคุณ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ข้าทำแน่ แต่ตอนนี้ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ว่าจบเอลเดอร์ก็ฝังเขี้ยวแหลมลงบนต้นคอของเพียวและดูดดื่มเลือดหอมหวานอย่างตระกรุมตระกราม
“เฮือก!”
เพียวหลุดเสียงร้องออกมาแต่ทันทีทันใดก็ถูกฝ่ามือหนาปิดปากเอาไว้ จนต้องกลืนเสียงทั้งหมดกลับลงไปในคอดังเดิม เอลเดอร์ยังละเลียดดื่มความหวานล้ำจากโลหิตสีสดบนเรือนร่างของเพียวอย่างหิวกระหาย จนเพียวเริ่มวิงเวียนและอ่อนป้อแป้จมที่นอนอย่างไร้ทางต้าน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ