- - - - - - H A L F - - - - - - [ Y a o i ]
7.2
เขียนโดย Suhadelle
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 01.51 น.
6 ตอน
3 วิจารณ์
8,732 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 02.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) Chapter: 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแสงอาทิตย์ยามสายสาดส่องมอบความอบอุ่นแก่ผืนป่าในฤดูใบไม้ผลิ เสียงนกร้องกระจัดกระจาย ท่ามกลางความเขียวขจีและสีสันอันหลากหลายของดอกไม้แรกแย้มที่เริ่มเบ่งบาน
ทั้งที่ธรรมชาติออกจะสวยงาม รวมถึงอากาศดีๆที่มีเพียงไม่กี่เดือนในปี กลับมีเสียงสะอื้นไห้ดังคลอไปกับเสียงธารน้ำสายเล็ก
ใต้โคนต้นไม้ที่ออกดอกสีขาวบานสะพรั่ง มีเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบในชุดผ้าเนื้อดีสีขาวสะอาดตา ที่เจ้าตัวไม่ใส่ใจว่าดินตรงโคนต้นจะทำชุดราคาแพงนี้เปราะเปื้อนหรือไม่
ผมหยักศกตัดสั้นระต้นคอสีทองสว่างจนเกือบเป็นสีเงิน สั่นไหวตามแรงสะอื้น ดวงตาสีฟ้าใสกลมโตแดงชื้น น้ำตาไหลเป็นสายบนใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กชาย ภาพพจน์ที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าโนวาดูเหมือนเทวดาน้อยที่สมบูรณ์แบบตามภาพวาดในวิหาร
น้ำตายังคงไหลอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด เนื่องจากถูกสะสมมาแรมปี น้ำตาคือความอ่อนแอที่เขา ‘ห้าม’ แสดงให้ใครเห็น แม้กระทั่งกับแม่นมก็ตาม
ทั้งที่พยายามทำตัวดี ไม่งอแง เชื่อฟังคำสอน ตั้งใจเรียน ยอมตื่นเช้ามาฝึกเวทย์จนเหงื่อโทรมทุกวัน แต่มันไม่เคยพอเลยสำหรับท่านแม่หรือท่านพ่อ
ท่านแม่ตั้งเป้าหมายใหม่เสมอ ให้ฝึกหนักขึ้น เรียนหนักขึ้น เข้มงวดมากขึ้น ราวกับว่าผลงานของบุตรชายนั้นไม่เคยมากพอ
ในขณะที่ท่านพ่อนั้น แม้จะอยู่ในวิหารเดียวกัน ได้เจอหน้ากันทุกวัน สวดขอพรร่วมกัน อ่านคำสอนของโฮลี่ให้ฟัง แต่มันเป็นการใช้เวลาร่วมกันแบบเป็นพิธีการ ร่วมกับผู้วิเศษและผู้ศรัทธาคนอื่นมากกว่า ทั้งสองแทบจะไม่ได้ใช้เวลาส่วนตัวด้วยกัน จนโนวารู้สึกว่าเข้าไม่ถึง
เขาไม่เข้าใจท่านพ่อ และท่านพ่อก็ไม่เข้าใจหรือสนใจที่จะเข้าใจเขา
โนวารู้ว่าตำแหน่งผู้วิเศษระดับสูงของท่านพ่อ ทำให้อีกฝ่ายงานยุ่งและต้องพบเจอแขกมากหน้าหลายตาทุกวัน แต่อย่างน้อยก็ขอเวลาให้บุตรชายคนนี้ซักหน่อยหรือไม่ได้อย่างไร จนเขารู้สึกว่าตัวเองได้รับความสนใจจากท่านพ่อน้อยเสียยิ่งกว่างานบนโต๊ะ
โนวารู้ดีว่าตัวเองเป็นที่คาดหวังของท่านพ่อและท่านแม่ เพราะพลังเวทย์ที่แก่กล้ากว่าผู้วิเศษทั่วไปของเขา แม้จะมีแรงกดดันมากแค่ไหนก็ตาม แต่อย่างน้อยขอแค่คำชมซักคำ หรือรอยยิ้มภาคภูมิใจนิดๆก็ยังดี
ขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกเลยว่ามันงี่เง่าขนาดไหน ที่ตัวเองหนีการฝึกเวทย์มานั่งบ่อน้ำตาแตกในป่าตามลำพัง เพียงเพราะท่านแม่แค่มองเขาใช้เวทย์บทที่อุตส่าห์ฝึกอย่างยากลำบากมาเป็นเดือนจนสำเร็จ
คำชมของอาจารย์ ที่บอกว่าโนวานั้นมีพรสวรรค์ สามารถใช้เวทย์บทนี้ได้สำเร็จด้วยอายุเพียงเท่านี้ ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บในอก เมื่อได้เห็นท่านแม่ที่ไร้รอยยิ้ม นางดูผิดหวังเสียมากกว่าที่เขาใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะใช้เวทย์บทนี้ได้
ส่วนท่านพ่อไม่ได้หาโอกาสมาดูโนวาด้วยซ้ำ ทั้งที่เขาได้บอกไว้ล่วงหน้า และคาดหวังว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายน่าจะอยากเห็นบุตรชายที่ตั้งความหวังไว้สูง สามารถใช้เวทย์ที่ปกติผู้วิเศษอายุมากกว่าเขาเป็นสิบปีถึงจะใช้ได้
ความพยายามและการอดนอนเพื่อฝึกมาตลอดหนึ่งเดือน ช่างสูญเปล่านัก เขาโง่เง่าสิ้นดีที่คาดหวัง
พยายามไปเท่าไหร่ ก็ไม่ได้รับการยอมรับเสียที...
โนวายังคงร้องไห้อย่างอัดอั้นใจไม่สิ้นสุด แต่อยู่ๆก็มีเสียงกิ่งไม้หักขึ้นเหนือหัว ก่อนจะทันได้ตั้งตัว ต้นเหตุก็ร่วงหล่นลงมากองตรงหน้า!
กลีบดอกไม้สีขาวกระจายทั่วบริเวณ ดูสวยงามราวกับเกล็ดหิมะที่ร่วงโรย แต่สิ่งที่ทำให้เด็กชายตกตะลึง คือร่างตรงหน้า
ใบหน้างามราวจิตรกรสรรค์สร้าง ทั้งหวานทั้งคมทั้งทรงเสน่ห์ ผิวขาวนวลชวนสัมผัส ตัดกับเรือนผมสีดำขลับ ที่ดูนุ่มราวกับเส้นไหม
นางฟ้าแสนสวยท่ามกลางกลีบดอกไม้สีขาวที่บัดนี้ดูเหมือนปีกขนนกในสายตาของโนวา ช่างสวยงามราวกับภาพลวงตา ทั้งดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั้งชวนให้หลงไหล
วินาทีแรกที่สายตาได้ประจักษ์ โนวานึกว่าตัวเองเผลออัญเชิญทูตสวรรค์ลงมา
แม้ปกติแล้วผู้วิเศษต้องรอจนอายุสิบปี ถึงจะเริ่มพยายามอัญเชิญทูตสวรรค์มาได้ และหากเลยอายุสิบหกปีไปแล้ว ยังอัญเชิญไม่ได้ ก็จะถือว่าไม่มีพลังเพียงพอที่จะอัญเชิญทูตสวรรค์ ตัวโนวาที่มีพลังเวทย์มากกว่าผู้วิเศษวัยเดียวกัน ทำให้ทุกคนมั่นใจว่าเขาจะทำได้สำเร็จ แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้สำเร็จก่อนเวลาถึงสามปี!
ระหว่างที่โนวาได้แต่ตกตะลึงกับทูตสวรรค์ตรงหน้า ร่างเล็กๆก็ลุกขึ้นส่งเสียงครางจากความเจ็บที่ร่วงกระแทกพื้น ก่อนเปลือกตาบางจะเผยดวงตาสวยหวานสีดำเป็นประกาย ดุจราตรีที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือ?”
เสียงหวานเอ่ยถามโนวา ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายร่วงลงกระแทกพื้นจนเพิ่งจะลุกขึ้นเมื่อครู่นี้เอง
สีหน้างงๆปนตะลึงของโนวา ที่ทำไมอีกฝ่ายมาห่วงเขาก่อน ทำให้ร่างเล็กตรงหน้าคิดว่าเขาไม่ไว้ใจ
“ไม่ต้องห่วง ข้ามีสมุนไพรในย่าม แถมเป็นของดีด้วย คัดมาพิเศษเพื่อส่งให้โฮลี่แลนด์เชียวนะ”
ว่าแล้วร่างเล็กตรงหน้าก็ตบย่ามกระสอบเก่าๆที่สะพายอยู่เบาๆ โนวาจึงเริ่มได้สติ สังเกตเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่าย ที่ดูอย่างไรก็เหมือนกับชุดเด็กผู้ชายของชาวบ้าน
ไม่ใช่ทูตสวรรค์หรือนี่
โนวาได้แต่เสียดาย แต่ไม่แน่ใจว่าเสียดายที่ตัวเองไม่ได้เก่งกาจจนอัญเชิญทูตสวรรค์ได้ก่อนวัย หรือเสียดายที่อีกฝ่ายเป็นเด็กชายมากกว่ากันแน่
แต่คำพูดของเด็กตรงหน้า ก็ทำให้เขาพอเข้าใจว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นลูกหลานของพวกผู้ศรัทธาหรือลูกจ้าง ที่ทำหน้าที่เก็บสมุนไพรให้กับเหล่าผู้วิเศษในป่าแห่งนี้
“ข้าไม่เป็นไร” โนวายอมตอบในที่สุด
“แล้วร้องไห้ทำไม?”
อีกฝ่ายยังซักถามต่อ โนวาเริ่มรู้สึกขัดเขิน เพราะเท่าที่เขาจำความได้ เขาไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าใครมาก่อน แล้วนี่มาโดนคนแปลกหน้าเห็นด้านที่อ่อนแอเข้าอย่างจัง โนวาทั้งอายทั้งโกรธราวกับโดนอีกฝ่ายเห็นตัวเองแก้ผ้า
โนวานิ่งเงียบ
นางฟ้าถ้ำมองที่เห็นโนวาเงียบไป กลับล้วงมือเข้าไปหาอะไรบางอย่างในย่ามกระสอบเก่าๆ แล้วหยิบแอปเปิลป่าสีเขียวผสมแดงที่มีขนาดเล็กมาเช็ด
“ข้าไม่ได้คิดจะแอบดูหรอก แต่ข้าต้องปีนขึ้นมาเก็บดอกตูมของต้นอาสลันไปทำยา วิวบนนี้ดี ข้าเลยพักกินของว่าง จนกระทั่งเจ้ามานี่แหล่ะ ข้าไม่รู้ว่าจะอยู่หรือจะไปดี ยังไม่ทันตัดสินใจก็ร่วงลงมาเสียก่อน”
เด็กน้อยสารภาพเสียงแผ่ว ด้วยสีหน้าหงอยๆอย่างสำนึกผิด ราวกับว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้โนวาร้องไห้ซะงั้น ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย เขาไม่ควรเอาความน้อยใจที่ตัวเองมีให้กับคนอื่นมาใส่คนแปลกหน้าแบบนี้
“อร่อยนะ ข้าเพิ่งเก็บเมื่อเช้านี้เอง”
จังหวะที่ยื่นแอปเปิลป่าไปให้ โนวาสังเกตเห็นรอยแผลถลอกจนเลือดซึมตรงข้อศอก คงได้มาจากตอนตกต้นไม้
“ข้าไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้ไกลหัวใจ”
แม้อีกฝ่ายจะบอกเช่นนั้น แต่โนวาก็แอบรู้สึกผิดเล็กน้อย ที่ตัวเองมาทีหลังแล้วยังทำอีกฝ่ายตกต้นไม้อีก
โนวายื่นมือไปแตะศอกของร่างเล็กที่มองเขาอย่างงงๆ ก่อนจะใช้พลังเวทย์ของตัวเองรักษาแผลให้สมานกัน จนไร้ร่องรอยบนผิวขาวเนียน แล้วค่อยหยิบผลไม้ลูกเล็กมากัดกิน รสชาติหวานกรอบเปรี้ยวนิดๆอย่างลงตัว อร่อยกว่าที่เขาคาดไว้
“ว้าว! เจ้าใช้เวทย์รักษาได้ด้วย เจ้าเป็นผู้วิเศษซินะ ข้าไม่เคยเห็นผู้วิเศษเด็กขนาดนี้มาก่อนเลย”
ใบหน้างามแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจ เล่นเอาโนวาหน้าร้อนผ่าวโดยไม่ตั้งตัว
“จริงซิ ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเลย ข้าชื่อโนวา เจ้าล่ะ” เขาชวนคุยแก้เขิน ผู้วิเศษตัวน้อยไม่กล้าสบสายตาคู่งามที่เปล่งประกายอย่างชื่นชมตรงๆได้
อีกฝ่ายเงียบไป จนโนวาสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เขาหันไปเจอสีหน้าที่ดูลังเล เหมือนอายที่จะตอบคำถามง่ายๆของเขา
“ข้าไม่มีชื่อ”
โนวาเคยศึกษาเรื่องพลังของชื่อมา จึงพอจะรู้ทางเป็นคนไร้ชื่อมาบ้าง แต่เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นกรณีใด ไม่ว่าอย่างไร การเป็นคนไร้ชื่อนั้นเป็นเรื่องเสียเปรียบอย่างมาก ทั้งสำหรับผู้ใช้เวทย์และบุคคลทั่วไป
“แล้วจะให้ข้าเรียกว่าอะไรดีล่ะ” โนวาพยายามลบสีหน้าหดหู่ของอีกฝ่าย
“คนอื่นเรียกข้าว่าฮาฟ เจ้าจะเรียกข้าแบบนั้นก็ได้”
ในตอนแรกที่โนวาได้ยินคำว่าฮาฟ เขาไม่แน่ใจว่าหูตัวเองได้ยินถูกต้องหรือไม่
“เจ้าเป็นลูกผสมเหรอ”
ถ้าใช่ ฮาฟน่าจะหมายถึง...ลูกผสมพ่อมดหรือแม่มดดำ
“อืม”
ฮาฟตอบกลับพร้อมรอยยิ้มแสนน่ารัก ท่าทางดีใจที่โนวายังคุยด้วยอยู่อย่างเป็นมิตร ไม่ตีห่างตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นคนไร้ชื่อ เล่นเอาโนวาหน้าแดงแบบไม่ทราบสาเหตุ ต้องรีบหันหน้าหลบสายตา ความคิดในหัวก่อนหน้าฟุ้งกระจายละลายหายไปในอากาศ
โนวาพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยพลางกินแอปเปิลป่า ฮาฟหยิบผลไม้ป่าอย่างอื่นออกมากินไปด้วย พลางพูดคุยกันอย่างถูกคอ ทั้งๆที่ทั้งสองมีชีวิตที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม้โนวาจะยังเด็กอยู่ แต่เขาก็ถูกฝึกให้อ่านคนเป็น และมีโอกาสพบปะผู้คนมากมาย ตั้งแต่ทารกยันคนชรา บางคนอ่านง่าย บางคนอ่านยาก และฮาฟเป็นคนประเภทที่รู้สึกอย่างไร ก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด ทำให้เดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายต้องโกหกไม่เก่ง
ฮาฟเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ก็ไวต่อความรู้สึกของคนอื่น ที่โนวาไม่เข้าใจคือท่าทางเหมือนสำนึกผิดของอีกฝ่าย เวลาที่คนอื่นอารมณ์เสียหรือเศร้าใจ ฮาฟเหมือนพร้อมที่จะโทษตัวเอง ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรผิด เขาพยายามไม่ถามละลาบละล้วงโนวาต่อ ราวกับเกรงว่าจะโดนโมโหใส่ได้ทุกเมื่อ
ฮาฟจึงเป็นฝ่ายเปิดเผย จนโนวาแอบรู้สึกเป็นห่วงเสียมิได้ ว่าอีกฝ่ายไว้ใจคนง่ายเกินไป
รู้จักกันไม่ทันไร โนวาก็รู้ถึงสถานะเด็กกำพร้าของฮาฟ ที่เติบโตมาในป่าผู้วิเศษกับแม่บุญธรรมสุดสวยนามว่า ‘เอ็ม’ ทั้งสองทำหน้าที่เก็บสมุนไพรและทำยาส่งให้กับวิหารโฮลี่แลนด์
โนวาอยากเห็นแม่แท้ๆของฮาฟเหลือเกิน ว่าจะเป็นหญิงงามขนาดไหน เพราะฮาฟบอกว่าตัวเองถอดรูปของแม่มาเต็มๆ
และถึงแม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ฮาฟก็บอกเขามากพอที่จะสรุปได้ว่า ฮาฟเป็นลูกผสมของพ่อมดดำ เนื่องจากแม่ของฮาฟเคยทำหน้าที่เป็นคนเก็บสมุนไพรให้วิหารโฮลี่แลนด์มาก่อน ทางผู้วิเศษไม่มีทางจ้างแม่มดดำไว้เก็บสมุนไพรแล้วปรุงยาให้อย่างแน่นอน แม่ของฮาฟจึงน่าจะเป็นลูกผสมของผู้วิเศษและมนุษย์เสียมากกว่า เพราะผู้วิเศษสายตรงนั้นมักจะมีพลังเวทย์มากพอ จนไม่ต้องมารับงานระดับล่างแบบนี้
แม้จะเปิดเผยหลายอย่าง แต่ฮาฟไม่เคยพูดถึงพ่อ โนวาไม่แน่ใจว่าเพราะอีกฝ่ายรังเกียจที่จะพูดถึง หรือแค่ไม่รู้จักกันแน่ พ่อมดและแม่มดดำที่ต้องคอยหลบหนีตลอดเวลา มักจะทิ้งลูกๆของตัวเองไว้เบื้องหลัง โดยเฉพาะพวกลูกผสม ที่พลังเวทย์มักไม่แก่กล้าเท่ากับพวกสายเลือดตรง
โนวาไม่เคยรู้จักกับลูกผสมพ่อมดหรือแม่มดดำมาก่อน คำสอนต่างๆบอกให้เขาต้องหวาดระแวง แต่มันช่างง่ายเหลือเกิน ที่จะรู้สึกสบายใจและอยากไว้ใจคนตรงหน้า เขาไม่เคยเห็นใครยิ้มอย่างจริงใจด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างซื่อตรงขนาดนี้มาก่อน
เป็นครั้งแรกที่โนวารู้สึกผ่อนคลายกับคนอื่นมากเท่านี้ รู้ตัวอีกที เขาก็เริ่มเปิดใจกับอีกฝ่ายแล้ว ว่าตัวเองหนีเรียนมา
“ครูเจ้าดุขนาดนั้นเชียวรึ?”
ฮาฟเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ โนวายังไม่พร้อมจะสารภาพกับอีกฝ่ายที่เพิ่งรู้จักกัน ถึงสาเหตุที่เขามานั่งร้องไห้อย่างน้อยใจ จึงปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจเช่นนั้น
“ดุมาก ไม้เรียวยาวเท่านี้”
โนวาไม่พูดเปล่า วาดสองมือออกห่างเพื่อบอกความยาวแสนน่ากลัวของไม้เรียว ฮาฟตาโตกับขนาดของไม้ ก่อนจะสบตาเขาอย่างอายๆ แล้วพูดถึงสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ
“แต่ข้าอิจฉาเจ้านะ ที่ได้เรียนกับผู้วิเศษ ข้าน่ะเลยห้าขวบมาแล้วยังใช้เวทย์อะไรไม่ได้เลย รักษาแผลเล็กๆให้ตัวเองยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ผู้ใช้เวทย์นั้น ส่วนใหญ่จะต้องปรากฏวี่แววของพลังเวทย์ในช่วงห้าปีแรกของชีวิต หาไม่แล้วก็มักจะกลายเป็นคนไร้เวทย์ไป
“แล้วฮาฟจะอยากเป็นผู้วิเศษไปทำไมล่ะ น่าเบื่อจะตาย” โนวาเริ่มผ่อนคลายจนพูดอย่างเป็นกันเองกับอีกฝ่ายมากขึ้น
ฮาฟตอบกลับอย่างกระตือลืนล้น “ก็ถ้าข้าเป็นผู้วิเศษ จะรักษาคนได้เยอะๆไง ต่อให้เป็นหมอ พยายามยังไงก็สู้ฝีมือผู้วิเศษไม่ได้ แต่อย่างข้า...“ ดวงตาสีดำขลับที่เป็นประกายในตอนแรกดูหมองลงในช่วงท้าย
“เฮ้! ลูกผสมบางคนก็โตช้านะ ข้ายังเคยได้ยินเลยว่าบางคนกว่าจะใช้เวทย์ได้ ก็เลย10ขวบไปแล้ว” โนวาพยายามปลอบ
ฮาฟหันมามองเขาอย่างมีความหวัง “จริงเหรอ?!”
“จริงซิ! ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม เอาอย่างงี้แล้วกัน ทุกครั้งที่ข้าโดดเรียน ข้าจะมาสอนเจ้าใช้เวทย์ ตกลงไหม”
ทั้งที่ตัวเองเพิ่งโดดเรียนเป็นครั้งแรก แต่ดันพูดเหมือนจะทำอีก จนโนวายังตกใจที่ตัวเองพูดออกไปได้ แต่คนตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกอยากหนีเรียนมาเล่นด้วยจริงๆ
“เจ้าแค่แวะมาก็ได้ ไม่ต้องโดดเรียนหรอก”
“เออน่า เอาตอนข้าว่างก็ได้ จะเรียนหรือไม่เรียน”
ฮาฟพยักหน้าแล้วส่งยิ้มอย่างสดใส ที่สว่างไสวจนโนวารู้สึกตาพร่า
หลังจากวันนั้น โนวาก็ฝึกเวทย์ธาตุลมเป็นพิเศษ เพื่อจะได้แอบหลบมาหาเพื่อนใหม่ในป่าผู้วิเศษ
-------------------
ฮึๆๆ สมกับเป็นลูกของอาซาเลีย เจ็ดขวบก็จีบหนุ่มติดแล้ว
บทนำยาวมาก มาบทนี้เลยของเปลี่ยนอารมณ์ เอาสั้นๆลงมา เน้นที่การพบกันครั้งแรกของฮาฟและโนวา
บทต่อๆไปจะเป็นช่วงวัยเด็กของฮาฟและโนวาก่อนนะคะ
ทั้งที่ธรรมชาติออกจะสวยงาม รวมถึงอากาศดีๆที่มีเพียงไม่กี่เดือนในปี กลับมีเสียงสะอื้นไห้ดังคลอไปกับเสียงธารน้ำสายเล็ก
ใต้โคนต้นไม้ที่ออกดอกสีขาวบานสะพรั่ง มีเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบในชุดผ้าเนื้อดีสีขาวสะอาดตา ที่เจ้าตัวไม่ใส่ใจว่าดินตรงโคนต้นจะทำชุดราคาแพงนี้เปราะเปื้อนหรือไม่
ผมหยักศกตัดสั้นระต้นคอสีทองสว่างจนเกือบเป็นสีเงิน สั่นไหวตามแรงสะอื้น ดวงตาสีฟ้าใสกลมโตแดงชื้น น้ำตาไหลเป็นสายบนใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กชาย ภาพพจน์ที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าโนวาดูเหมือนเทวดาน้อยที่สมบูรณ์แบบตามภาพวาดในวิหาร
น้ำตายังคงไหลอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด เนื่องจากถูกสะสมมาแรมปี น้ำตาคือความอ่อนแอที่เขา ‘ห้าม’ แสดงให้ใครเห็น แม้กระทั่งกับแม่นมก็ตาม
ทั้งที่พยายามทำตัวดี ไม่งอแง เชื่อฟังคำสอน ตั้งใจเรียน ยอมตื่นเช้ามาฝึกเวทย์จนเหงื่อโทรมทุกวัน แต่มันไม่เคยพอเลยสำหรับท่านแม่หรือท่านพ่อ
ท่านแม่ตั้งเป้าหมายใหม่เสมอ ให้ฝึกหนักขึ้น เรียนหนักขึ้น เข้มงวดมากขึ้น ราวกับว่าผลงานของบุตรชายนั้นไม่เคยมากพอ
ในขณะที่ท่านพ่อนั้น แม้จะอยู่ในวิหารเดียวกัน ได้เจอหน้ากันทุกวัน สวดขอพรร่วมกัน อ่านคำสอนของโฮลี่ให้ฟัง แต่มันเป็นการใช้เวลาร่วมกันแบบเป็นพิธีการ ร่วมกับผู้วิเศษและผู้ศรัทธาคนอื่นมากกว่า ทั้งสองแทบจะไม่ได้ใช้เวลาส่วนตัวด้วยกัน จนโนวารู้สึกว่าเข้าไม่ถึง
เขาไม่เข้าใจท่านพ่อ และท่านพ่อก็ไม่เข้าใจหรือสนใจที่จะเข้าใจเขา
โนวารู้ว่าตำแหน่งผู้วิเศษระดับสูงของท่านพ่อ ทำให้อีกฝ่ายงานยุ่งและต้องพบเจอแขกมากหน้าหลายตาทุกวัน แต่อย่างน้อยก็ขอเวลาให้บุตรชายคนนี้ซักหน่อยหรือไม่ได้อย่างไร จนเขารู้สึกว่าตัวเองได้รับความสนใจจากท่านพ่อน้อยเสียยิ่งกว่างานบนโต๊ะ
โนวารู้ดีว่าตัวเองเป็นที่คาดหวังของท่านพ่อและท่านแม่ เพราะพลังเวทย์ที่แก่กล้ากว่าผู้วิเศษทั่วไปของเขา แม้จะมีแรงกดดันมากแค่ไหนก็ตาม แต่อย่างน้อยขอแค่คำชมซักคำ หรือรอยยิ้มภาคภูมิใจนิดๆก็ยังดี
ขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกเลยว่ามันงี่เง่าขนาดไหน ที่ตัวเองหนีการฝึกเวทย์มานั่งบ่อน้ำตาแตกในป่าตามลำพัง เพียงเพราะท่านแม่แค่มองเขาใช้เวทย์บทที่อุตส่าห์ฝึกอย่างยากลำบากมาเป็นเดือนจนสำเร็จ
คำชมของอาจารย์ ที่บอกว่าโนวานั้นมีพรสวรรค์ สามารถใช้เวทย์บทนี้ได้สำเร็จด้วยอายุเพียงเท่านี้ ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บในอก เมื่อได้เห็นท่านแม่ที่ไร้รอยยิ้ม นางดูผิดหวังเสียมากกว่าที่เขาใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะใช้เวทย์บทนี้ได้
ส่วนท่านพ่อไม่ได้หาโอกาสมาดูโนวาด้วยซ้ำ ทั้งที่เขาได้บอกไว้ล่วงหน้า และคาดหวังว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายน่าจะอยากเห็นบุตรชายที่ตั้งความหวังไว้สูง สามารถใช้เวทย์ที่ปกติผู้วิเศษอายุมากกว่าเขาเป็นสิบปีถึงจะใช้ได้
ความพยายามและการอดนอนเพื่อฝึกมาตลอดหนึ่งเดือน ช่างสูญเปล่านัก เขาโง่เง่าสิ้นดีที่คาดหวัง
พยายามไปเท่าไหร่ ก็ไม่ได้รับการยอมรับเสียที...
โนวายังคงร้องไห้อย่างอัดอั้นใจไม่สิ้นสุด แต่อยู่ๆก็มีเสียงกิ่งไม้หักขึ้นเหนือหัว ก่อนจะทันได้ตั้งตัว ต้นเหตุก็ร่วงหล่นลงมากองตรงหน้า!
กลีบดอกไม้สีขาวกระจายทั่วบริเวณ ดูสวยงามราวกับเกล็ดหิมะที่ร่วงโรย แต่สิ่งที่ทำให้เด็กชายตกตะลึง คือร่างตรงหน้า
ใบหน้างามราวจิตรกรสรรค์สร้าง ทั้งหวานทั้งคมทั้งทรงเสน่ห์ ผิวขาวนวลชวนสัมผัส ตัดกับเรือนผมสีดำขลับ ที่ดูนุ่มราวกับเส้นไหม
นางฟ้าแสนสวยท่ามกลางกลีบดอกไม้สีขาวที่บัดนี้ดูเหมือนปีกขนนกในสายตาของโนวา ช่างสวยงามราวกับภาพลวงตา ทั้งดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั้งชวนให้หลงไหล
วินาทีแรกที่สายตาได้ประจักษ์ โนวานึกว่าตัวเองเผลออัญเชิญทูตสวรรค์ลงมา
แม้ปกติแล้วผู้วิเศษต้องรอจนอายุสิบปี ถึงจะเริ่มพยายามอัญเชิญทูตสวรรค์มาได้ และหากเลยอายุสิบหกปีไปแล้ว ยังอัญเชิญไม่ได้ ก็จะถือว่าไม่มีพลังเพียงพอที่จะอัญเชิญทูตสวรรค์ ตัวโนวาที่มีพลังเวทย์มากกว่าผู้วิเศษวัยเดียวกัน ทำให้ทุกคนมั่นใจว่าเขาจะทำได้สำเร็จ แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้สำเร็จก่อนเวลาถึงสามปี!
ระหว่างที่โนวาได้แต่ตกตะลึงกับทูตสวรรค์ตรงหน้า ร่างเล็กๆก็ลุกขึ้นส่งเสียงครางจากความเจ็บที่ร่วงกระแทกพื้น ก่อนเปลือกตาบางจะเผยดวงตาสวยหวานสีดำเป็นประกาย ดุจราตรีที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือ?”
เสียงหวานเอ่ยถามโนวา ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายร่วงลงกระแทกพื้นจนเพิ่งจะลุกขึ้นเมื่อครู่นี้เอง
สีหน้างงๆปนตะลึงของโนวา ที่ทำไมอีกฝ่ายมาห่วงเขาก่อน ทำให้ร่างเล็กตรงหน้าคิดว่าเขาไม่ไว้ใจ
“ไม่ต้องห่วง ข้ามีสมุนไพรในย่าม แถมเป็นของดีด้วย คัดมาพิเศษเพื่อส่งให้โฮลี่แลนด์เชียวนะ”
ว่าแล้วร่างเล็กตรงหน้าก็ตบย่ามกระสอบเก่าๆที่สะพายอยู่เบาๆ โนวาจึงเริ่มได้สติ สังเกตเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่าย ที่ดูอย่างไรก็เหมือนกับชุดเด็กผู้ชายของชาวบ้าน
ไม่ใช่ทูตสวรรค์หรือนี่
โนวาได้แต่เสียดาย แต่ไม่แน่ใจว่าเสียดายที่ตัวเองไม่ได้เก่งกาจจนอัญเชิญทูตสวรรค์ได้ก่อนวัย หรือเสียดายที่อีกฝ่ายเป็นเด็กชายมากกว่ากันแน่
แต่คำพูดของเด็กตรงหน้า ก็ทำให้เขาพอเข้าใจว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นลูกหลานของพวกผู้ศรัทธาหรือลูกจ้าง ที่ทำหน้าที่เก็บสมุนไพรให้กับเหล่าผู้วิเศษในป่าแห่งนี้
“ข้าไม่เป็นไร” โนวายอมตอบในที่สุด
“แล้วร้องไห้ทำไม?”
อีกฝ่ายยังซักถามต่อ โนวาเริ่มรู้สึกขัดเขิน เพราะเท่าที่เขาจำความได้ เขาไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าใครมาก่อน แล้วนี่มาโดนคนแปลกหน้าเห็นด้านที่อ่อนแอเข้าอย่างจัง โนวาทั้งอายทั้งโกรธราวกับโดนอีกฝ่ายเห็นตัวเองแก้ผ้า
โนวานิ่งเงียบ
นางฟ้าถ้ำมองที่เห็นโนวาเงียบไป กลับล้วงมือเข้าไปหาอะไรบางอย่างในย่ามกระสอบเก่าๆ แล้วหยิบแอปเปิลป่าสีเขียวผสมแดงที่มีขนาดเล็กมาเช็ด
“ข้าไม่ได้คิดจะแอบดูหรอก แต่ข้าต้องปีนขึ้นมาเก็บดอกตูมของต้นอาสลันไปทำยา วิวบนนี้ดี ข้าเลยพักกินของว่าง จนกระทั่งเจ้ามานี่แหล่ะ ข้าไม่รู้ว่าจะอยู่หรือจะไปดี ยังไม่ทันตัดสินใจก็ร่วงลงมาเสียก่อน”
เด็กน้อยสารภาพเสียงแผ่ว ด้วยสีหน้าหงอยๆอย่างสำนึกผิด ราวกับว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้โนวาร้องไห้ซะงั้น ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย เขาไม่ควรเอาความน้อยใจที่ตัวเองมีให้กับคนอื่นมาใส่คนแปลกหน้าแบบนี้
“อร่อยนะ ข้าเพิ่งเก็บเมื่อเช้านี้เอง”
จังหวะที่ยื่นแอปเปิลป่าไปให้ โนวาสังเกตเห็นรอยแผลถลอกจนเลือดซึมตรงข้อศอก คงได้มาจากตอนตกต้นไม้
“ข้าไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้ไกลหัวใจ”
แม้อีกฝ่ายจะบอกเช่นนั้น แต่โนวาก็แอบรู้สึกผิดเล็กน้อย ที่ตัวเองมาทีหลังแล้วยังทำอีกฝ่ายตกต้นไม้อีก
โนวายื่นมือไปแตะศอกของร่างเล็กที่มองเขาอย่างงงๆ ก่อนจะใช้พลังเวทย์ของตัวเองรักษาแผลให้สมานกัน จนไร้ร่องรอยบนผิวขาวเนียน แล้วค่อยหยิบผลไม้ลูกเล็กมากัดกิน รสชาติหวานกรอบเปรี้ยวนิดๆอย่างลงตัว อร่อยกว่าที่เขาคาดไว้
“ว้าว! เจ้าใช้เวทย์รักษาได้ด้วย เจ้าเป็นผู้วิเศษซินะ ข้าไม่เคยเห็นผู้วิเศษเด็กขนาดนี้มาก่อนเลย”
ใบหน้างามแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจ เล่นเอาโนวาหน้าร้อนผ่าวโดยไม่ตั้งตัว
“จริงซิ ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเลย ข้าชื่อโนวา เจ้าล่ะ” เขาชวนคุยแก้เขิน ผู้วิเศษตัวน้อยไม่กล้าสบสายตาคู่งามที่เปล่งประกายอย่างชื่นชมตรงๆได้
อีกฝ่ายเงียบไป จนโนวาสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เขาหันไปเจอสีหน้าที่ดูลังเล เหมือนอายที่จะตอบคำถามง่ายๆของเขา
“ข้าไม่มีชื่อ”
โนวาเคยศึกษาเรื่องพลังของชื่อมา จึงพอจะรู้ทางเป็นคนไร้ชื่อมาบ้าง แต่เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นกรณีใด ไม่ว่าอย่างไร การเป็นคนไร้ชื่อนั้นเป็นเรื่องเสียเปรียบอย่างมาก ทั้งสำหรับผู้ใช้เวทย์และบุคคลทั่วไป
“แล้วจะให้ข้าเรียกว่าอะไรดีล่ะ” โนวาพยายามลบสีหน้าหดหู่ของอีกฝ่าย
“คนอื่นเรียกข้าว่าฮาฟ เจ้าจะเรียกข้าแบบนั้นก็ได้”
ในตอนแรกที่โนวาได้ยินคำว่าฮาฟ เขาไม่แน่ใจว่าหูตัวเองได้ยินถูกต้องหรือไม่
“เจ้าเป็นลูกผสมเหรอ”
ถ้าใช่ ฮาฟน่าจะหมายถึง...ลูกผสมพ่อมดหรือแม่มดดำ
“อืม”
ฮาฟตอบกลับพร้อมรอยยิ้มแสนน่ารัก ท่าทางดีใจที่โนวายังคุยด้วยอยู่อย่างเป็นมิตร ไม่ตีห่างตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นคนไร้ชื่อ เล่นเอาโนวาหน้าแดงแบบไม่ทราบสาเหตุ ต้องรีบหันหน้าหลบสายตา ความคิดในหัวก่อนหน้าฟุ้งกระจายละลายหายไปในอากาศ
โนวาพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยพลางกินแอปเปิลป่า ฮาฟหยิบผลไม้ป่าอย่างอื่นออกมากินไปด้วย พลางพูดคุยกันอย่างถูกคอ ทั้งๆที่ทั้งสองมีชีวิตที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม้โนวาจะยังเด็กอยู่ แต่เขาก็ถูกฝึกให้อ่านคนเป็น และมีโอกาสพบปะผู้คนมากมาย ตั้งแต่ทารกยันคนชรา บางคนอ่านง่าย บางคนอ่านยาก และฮาฟเป็นคนประเภทที่รู้สึกอย่างไร ก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด ทำให้เดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายต้องโกหกไม่เก่ง
ฮาฟเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ก็ไวต่อความรู้สึกของคนอื่น ที่โนวาไม่เข้าใจคือท่าทางเหมือนสำนึกผิดของอีกฝ่าย เวลาที่คนอื่นอารมณ์เสียหรือเศร้าใจ ฮาฟเหมือนพร้อมที่จะโทษตัวเอง ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรผิด เขาพยายามไม่ถามละลาบละล้วงโนวาต่อ ราวกับเกรงว่าจะโดนโมโหใส่ได้ทุกเมื่อ
ฮาฟจึงเป็นฝ่ายเปิดเผย จนโนวาแอบรู้สึกเป็นห่วงเสียมิได้ ว่าอีกฝ่ายไว้ใจคนง่ายเกินไป
รู้จักกันไม่ทันไร โนวาก็รู้ถึงสถานะเด็กกำพร้าของฮาฟ ที่เติบโตมาในป่าผู้วิเศษกับแม่บุญธรรมสุดสวยนามว่า ‘เอ็ม’ ทั้งสองทำหน้าที่เก็บสมุนไพรและทำยาส่งให้กับวิหารโฮลี่แลนด์
โนวาอยากเห็นแม่แท้ๆของฮาฟเหลือเกิน ว่าจะเป็นหญิงงามขนาดไหน เพราะฮาฟบอกว่าตัวเองถอดรูปของแม่มาเต็มๆ
และถึงแม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ฮาฟก็บอกเขามากพอที่จะสรุปได้ว่า ฮาฟเป็นลูกผสมของพ่อมดดำ เนื่องจากแม่ของฮาฟเคยทำหน้าที่เป็นคนเก็บสมุนไพรให้วิหารโฮลี่แลนด์มาก่อน ทางผู้วิเศษไม่มีทางจ้างแม่มดดำไว้เก็บสมุนไพรแล้วปรุงยาให้อย่างแน่นอน แม่ของฮาฟจึงน่าจะเป็นลูกผสมของผู้วิเศษและมนุษย์เสียมากกว่า เพราะผู้วิเศษสายตรงนั้นมักจะมีพลังเวทย์มากพอ จนไม่ต้องมารับงานระดับล่างแบบนี้
แม้จะเปิดเผยหลายอย่าง แต่ฮาฟไม่เคยพูดถึงพ่อ โนวาไม่แน่ใจว่าเพราะอีกฝ่ายรังเกียจที่จะพูดถึง หรือแค่ไม่รู้จักกันแน่ พ่อมดและแม่มดดำที่ต้องคอยหลบหนีตลอดเวลา มักจะทิ้งลูกๆของตัวเองไว้เบื้องหลัง โดยเฉพาะพวกลูกผสม ที่พลังเวทย์มักไม่แก่กล้าเท่ากับพวกสายเลือดตรง
โนวาไม่เคยรู้จักกับลูกผสมพ่อมดหรือแม่มดดำมาก่อน คำสอนต่างๆบอกให้เขาต้องหวาดระแวง แต่มันช่างง่ายเหลือเกิน ที่จะรู้สึกสบายใจและอยากไว้ใจคนตรงหน้า เขาไม่เคยเห็นใครยิ้มอย่างจริงใจด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างซื่อตรงขนาดนี้มาก่อน
เป็นครั้งแรกที่โนวารู้สึกผ่อนคลายกับคนอื่นมากเท่านี้ รู้ตัวอีกที เขาก็เริ่มเปิดใจกับอีกฝ่ายแล้ว ว่าตัวเองหนีเรียนมา
“ครูเจ้าดุขนาดนั้นเชียวรึ?”
ฮาฟเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ โนวายังไม่พร้อมจะสารภาพกับอีกฝ่ายที่เพิ่งรู้จักกัน ถึงสาเหตุที่เขามานั่งร้องไห้อย่างน้อยใจ จึงปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจเช่นนั้น
“ดุมาก ไม้เรียวยาวเท่านี้”
โนวาไม่พูดเปล่า วาดสองมือออกห่างเพื่อบอกความยาวแสนน่ากลัวของไม้เรียว ฮาฟตาโตกับขนาดของไม้ ก่อนจะสบตาเขาอย่างอายๆ แล้วพูดถึงสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ
“แต่ข้าอิจฉาเจ้านะ ที่ได้เรียนกับผู้วิเศษ ข้าน่ะเลยห้าขวบมาแล้วยังใช้เวทย์อะไรไม่ได้เลย รักษาแผลเล็กๆให้ตัวเองยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ผู้ใช้เวทย์นั้น ส่วนใหญ่จะต้องปรากฏวี่แววของพลังเวทย์ในช่วงห้าปีแรกของชีวิต หาไม่แล้วก็มักจะกลายเป็นคนไร้เวทย์ไป
“แล้วฮาฟจะอยากเป็นผู้วิเศษไปทำไมล่ะ น่าเบื่อจะตาย” โนวาเริ่มผ่อนคลายจนพูดอย่างเป็นกันเองกับอีกฝ่ายมากขึ้น
ฮาฟตอบกลับอย่างกระตือลืนล้น “ก็ถ้าข้าเป็นผู้วิเศษ จะรักษาคนได้เยอะๆไง ต่อให้เป็นหมอ พยายามยังไงก็สู้ฝีมือผู้วิเศษไม่ได้ แต่อย่างข้า...“ ดวงตาสีดำขลับที่เป็นประกายในตอนแรกดูหมองลงในช่วงท้าย
“เฮ้! ลูกผสมบางคนก็โตช้านะ ข้ายังเคยได้ยินเลยว่าบางคนกว่าจะใช้เวทย์ได้ ก็เลย10ขวบไปแล้ว” โนวาพยายามปลอบ
ฮาฟหันมามองเขาอย่างมีความหวัง “จริงเหรอ?!”
“จริงซิ! ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม เอาอย่างงี้แล้วกัน ทุกครั้งที่ข้าโดดเรียน ข้าจะมาสอนเจ้าใช้เวทย์ ตกลงไหม”
ทั้งที่ตัวเองเพิ่งโดดเรียนเป็นครั้งแรก แต่ดันพูดเหมือนจะทำอีก จนโนวายังตกใจที่ตัวเองพูดออกไปได้ แต่คนตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกอยากหนีเรียนมาเล่นด้วยจริงๆ
“เจ้าแค่แวะมาก็ได้ ไม่ต้องโดดเรียนหรอก”
“เออน่า เอาตอนข้าว่างก็ได้ จะเรียนหรือไม่เรียน”
ฮาฟพยักหน้าแล้วส่งยิ้มอย่างสดใส ที่สว่างไสวจนโนวารู้สึกตาพร่า
หลังจากวันนั้น โนวาก็ฝึกเวทย์ธาตุลมเป็นพิเศษ เพื่อจะได้แอบหลบมาหาเพื่อนใหม่ในป่าผู้วิเศษ
-------------------
ฮึๆๆ สมกับเป็นลูกของอาซาเลีย เจ็ดขวบก็จีบหนุ่มติดแล้ว
บทนำยาวมาก มาบทนี้เลยของเปลี่ยนอารมณ์ เอาสั้นๆลงมา เน้นที่การพบกันครั้งแรกของฮาฟและโนวา
บทต่อๆไปจะเป็นช่วงวัยเด็กของฮาฟและโนวาก่อนนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ