- - - - - - H A L F - - - - - - [ Y a o i ]
เขียนโดย Suhadelle
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 01.51 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 02.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) Prologue
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
แสงแดดยามโพล้เพล้ส่องกระทบผิวน้ำลำธารสายเล็ก จนดูระยิบระยับดุจเพชรล้อแสง แมกไม้รายล้อมทั้งสองริมฝั่งที่บัดนี้ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีตามฤดูกาล ยิ่งดูเหมือนทะเลเพลิงเมื่อต้องแสงสุดท้ายของวัน
“เย็นขนาดนี้แล้วหรือนี่” เสียงหวานกระซิบขึ้นแผ่วเบา เหมือนอุทานกับตัวเอง
ร่างบางในชุดชาวบ้านธรรมดา ค่อยๆลุกขึ้นจากโคนต้นไม้ ที่เพิ่งผ่านการโดนเก็บสมุนไพรไปหมาดๆ ลมเย็นพัดผ่านหญิงสาวราวกับจะเตือนถึงความหนาวเหน็บในยามตกค่ำที่กำลังจะมาถึง
มือเรียวงามยกขึ้นทัดปอยผมสีดำขลับที่หลุดตามแรงลม เผยใบหน้างามชวนหลงไหล สมชื่ออดีตหญิงงามเมืองอันดับหนึ่ง ที่งามจนล่ำลือกันว่าแม้แต่ดอกไม้ยังมิกล้าบานแข่งกับความงามของนาง
อาซาเลีย ดอกไม้พราวเสน่ห์แห่งหอนางโลม
นัยน์ตาสีดำขลับคู่สวยจ้องมองทิวทัศน์ริมธารต้องแสงเพียงครู่เดียว ก่อนจะหันหลังให้และเดินจากมา รอยยิ้มเล็กๆแตะที่มุมปาก
หากเป็นเมื่อ3ปีก่อน นางคงนั่งชมและดื่มด่ำกับธรรมชาตินานกว่านี้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีเตาผิงอุ่นๆรอตนเมื่อกลับไปหรือไม่
แต่ในเวลานี้ ชีวิตของนางเปลี่ยนไปแล้ว เพราะสัญญาที่ให้ไว้กับผู้วิเศษ คาถาช่วยชีวิตจากโรคร้ายโดยแลกกับการที่นางยอมทิ้ง ‘โลกโลกีย์’ แล้วอุทิศตนให้กับ ‘โฮลี่’ ตามคำสอนของเหล่าผู้วิเศษ
ชะตาชีวิตช่างน่าแปลกนัก อาซาเลียไม่เคยคิดเลยว่าลูกผสมระหว่างผู้วิเศษและมนุษย์ที่แทบจะไม่มีพลังอย่างนาง อุตส่าห์เลือกใช้ชีวิตแบบมนุษย์ไร้เวทย์มาตลอด แต่สุดท้ายก็ต้องมารับใช้เหล่าผู้วิเศษจนได้
อาซาเลียไม่ได้รังเกียจงานเก็บสมุนไพรและทำยาให้กับวิหารโฮลี่แลนด์หรอก นางเป็นคนปรับตัวเร็วอยู่แล้ว อาจจะมีขัดใจบ้างกับคำดูถูกอาชีพเก่าของนาง
นางภูมิใจกับอาชีพหญิงงามเมือง ที่มีมานานกว่าคำสอนของเหล่าผู้วิเศษ ที่ถึงแม้จะไม่สนับสนุนการคลุกคลีกับ ‘โลกโลกีย์’ แต่กลับมีผู้วิเศษมาแอบใช้บริการหอนางโลมอย่างไม่ขาดเสีย แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นลูกค้ากระเป๋าหนักอีกด้วย
อาซาเลียเดินกลับมาถึงกระท่อมหลังน้อยๆใต้ร่มเงาของป่าหลังวิหารโฮลี่แลนด์ แม้จะยังไม่ถึงเวลาตกค่ำ แต่ความหนาทึบของต้นไม้สูงใหญ่เหนือกระท่อมน้อย ก็ทำให้แสงแดดสุดท้ายของวันสาดส่องผ่านม่านไม้ลงมาได้ไม่เต็มที่ อาซาเลียจุดตะเกียงพกพา แล้วเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย
นางค่อนข้างชอบที่ตั้งของกระท่อม เนื่องจากในหน้าฝนและเวลาหิมะตก แถวนี้มักจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก สาเหตุมาจากม่านไม้หนาเหนือหัว จนบางครั้งที่มีฝนตกเบาๆ เธอแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำ จนกว่าจะออกนอกเขต
“เอ็ม ข้ากลับมาแล้ว” อาซาเลียส่งเสียงเมื่อเริ่มเข้าใกล้กระท่อมหลังเล็ก
เอ็มเป็นรุ่นน้องที่นางคอยดูแลจากหอนางโลม อาซาเลียไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความผูกพันธ์ที่เอ็มมีให้กับนางนั้น จะมากพอจนอีกฝ่ายยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อจะติดตามนางมา
กระท่อมยังคงมืดอยู่ แถมไม่มีเสียงร้องต้อนรับของเจ้าดอนนี่จากคอกอีกด้วย สงสัยว่าเอ็มยังไม่กลับจากการนำสมุนไพรกับยาไปส่ง เย็นนี้อาซาเลียจึงต้องทำหน้าที่จุดฟืนแทน
หญิงสาวเลือกเดินเข้าทางหลังกระท่อม ที่มีห้องเก็บสมุนไพรแยกออกมาจากตัวกระท่อมอีกที
แต่ก่อนที่อาซาเลียจะทันเปิดรั้วไม้เข้าไป ตาของนางก็สังเกตเห็นคราบอะไรบางอย่าง...
เลือด
แถมคราบไม่ได้หยุดอยู่แค่รั้วไม้ ตามพื้นดินยังมีคราบที่ดูเหมือนกับกองเลือดที่ยังไม่แข็งตัวอยู่ด้วย เป็นจุดๆไปจนหยุดอยู่หน้าห้องเก็บสมุนไพร ที่ประตูเปิดแง้มๆอยู่ ทั้งที่อาซาเลียและเอ็มจะล็อคเอาไว้ประจำเวลาออกไปนอกกระท่อม
มีอะไรบางอย่างบาดเจ็บแล้วเข้าไปในห้องเก็บสมุนไพร
อาซาเลียหายใจลึกๆเพื่อคุมสติ ก่อนจะวางตะกร้าสมุนไพร แล้วหยิบคราดที่ใช้ตักฟางให้ดอนนี่จากมุมกำแพงของคอกมา ร่างบางค่อยๆย่องไปยังประตูที่แง้มไว้ แล้วค่อยๆเปิดอย่างระวัง
แสงจากตะเกียงพกพาเผยให้เห็นเจ้าของคราบเลือด ที่นอนกองอยู่กับพื้น
ชายในสภาพโชกเลือด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาซาเลียเห็นเลือดหรือคนบาดเจ็บ แต่นางก็ยังไม่เคยได้เห็นศพในระยะเผาขนแบบนี้ แม้จะตกใจ แต่อาซาเลียก็รวบรวมความกล้า ใช้คลาดลองสะกิดชายปริศนาที่นอนหน้าคว่ำอยู่
สะกิดอยู่สองสามที ชายปริศนาก็ส่งเสียงแปลกๆออกมา แม้จะยังไม่ได้สติ แต่ก็มั่นใจได้ว่ายังไม่ตาย ยกเว้นว่านางจะปล่อยให้อีกฝ่ายนอนจมกองเลือดต่อไปเรื่อยๆ
แม้ชายตรงหน้าจะมีหนวดเคราดกหนาจนเห็นใบหน้าลำบาก แต่อาซาเลียค่อนข้างมั่นใจว่าคนแปลกหน้าบนพื้นไม่น่าจะใช่โจรป่า เพราะป่าแถบนี้ขึ้นชื่อว่าไร้โจร เนื่องจากใครๆก็รู้กันดีว่าเป็นป่าสมุนไพรของเหล่าผู้วิเศษ ที่ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูด้วย
ดูจากเสื้อผ้าคร่าวๆแล้ว ดูเหมือนชาวบ้านไม่ก็คนหาฟืนหรือนายพราน แม้นางจะไม่เห็นขวานหรือธนูติดตัวอีกฝ่าย อาวุธเดียวที่พอจะเห็นได้คือมีดเล็กที่เหน็บไว้ข้างเอว ซึ่งชาวบ้านทั่วไปก็มีติดตัวไว้ใช้ป้องกันตัวได้
เมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้ารายนี้ไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อนาง อาซาเลียจึงตัดสินใจว่าจะช่วยรักษาชายตรงหน้า นางไม่มีเวลาพอที่จะไปตามผู้วิเศษมา ต่อให้มีดอนนี่ในตอนนี้ อาการของอีกฝ่ายก็หนักเกินกว่าที่จะปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ นางคงต้องลงมือเองเสียแล้ว
อาซาเลียปลดมีดเล็กของชายแปลกหน้าออกจากตัวมาเก็บไว้เองก่อน ถือว่ากันไว้ดีกว่าแก้ พร้อมกับสำรวจร่างกายตรงหน้า พบแผลด้านหลังแถวเอวที่เป็นรูใหญ่อยู่พอสมควร
นางพยายามพลิกร่างชายปริศนาอย่างเบามือที่สุด เพื่อหาบาดแผลอื่น โชคดีที่ดูเหมือนว่าจะมีแผลที่หลังแค่จุดเดียวเท่านั้น
อาซาเลียไม่แน่ใจว่าแผลเกิดจากอะไร มันดูไม่เหมือนกับรอยดาบ บางทีอาจจะเป็นรอยเขี้ยวของสัตว์ป่าก็เป็นได้ นางไม่เคยข้ามเข้าไปในเขตอันตรายที่มีสัตว์ป่าอันตรายชุกชุมอยู่มาก่อน ถึงกระนั้นก็พอจะเคยได้ยินมาบ้างว่ามีทั้งหมีและหมูป่า
เมื่อตรวจเสร็จ อาซาเลียก็เริ่มห้ามเลือด ก่อนจะออกไปจุดฟืนต้มน้ำร้อน และกลับเข้าบ้านไปเอาผ้าห่มและหมอนเท่าที่จะหาได้ มาทำเตียงดัดแปลงที่มุมห้องสมุนไพร นางคิดถึงเอ็มตอนที่ต้องออกแรงพยายามพาชายปริศนาไปนอนหน้าคว่ำบนเตียงดัดแปลงต่อ รุ่นน้องของนางแรงเยอะกว่ามาแต่ไหนแต่ไร เต้นรำทีอยู่ได้เป็นชั่วโมง
คิดถึงอีกฝ่ายแล้วก็ไม่แน่ใจว่าวันนี้เพื่อนสาวจะกลับมาเมื่อใด เนื่องจากทุกสุดสัปดาห์ ทางวิหารโฮลี่แลนด์จะมีการจัดเลี้ยงอาหารฟรีให้กับเหล่าผู้ศรัทธาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวในสัปดาห์ที่พวกนางจะได้เนื้อสัตว์กลับมากิน
แม้ทางผู้วิเศษอนุญาตให้ผู้เก็บสมุนไพรในป่าสามารถตกปลามากินได้ ต่างจากชาวบ้านหลายรายที่ต้องถ่อออกไปไกลเพื่อล่าสัตว์หรือตกปลานอกป่าของผู้วิเศษ ถึงพวกนางจะนับว่าโชคดี หากเนื้อปลาก็ไม่ได้ให้พลังงานได้มากเท่ากับเนื้อสัตว์
อาซาเลียมักจะขบขันกับตนเองและเอ็มเสมอ ว่าตั้งแต่ทั้งสองออกจากหอนางโลมมา ในหัวมักจะมีเรื่องความหิวและอาหารการกินเพิ่มขึ้นมาเกินกว่าครึ่ง
แม้ในหัวของอาซาเลียจะมีภาพเนื้อลอยคว้างอยู่ หากร่างบางกลับเคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องแคล่ว จัดเตรียมและฆ่าเชื้ออุปกรณ์เย็บแผล แล้วบดสมุนไพรตามที่เคยฝึกมาสองปี ก่อนจะได้แยกมาทำงานในป่า
อาซาเลียได้แต่หวังว่าความรู้และประสบการณ์เท่าที่นางมี จะช่วยให้อีกฝ่ายมีชีวิตรอดไปจนถึงรุ่งเช้า
“อ...อา...อาซาเลีย”
เสียงคุ้นหูของเพื่อนสาว ปลุกเจ้าของชื่อให้ตื่นจากนิทรา
“พี่มานอนทำอะไรตรงนี้?”
หญิงสาวผมทองใบหน้าสวยหวานเอ่ยถาม นัยน์ตาสีเขียวของนางสังเกตสภาพห้องที่ดูเหมือนเพิ่งถูกใช้เป็นที่รักษาฉุกเฉินมา
ที่บดสมุนไพรยังคงวางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง รวมทั้งกล่องใส่อุปกรณ์การแพทย์ และเตาเล็กต้มน้ำแบบพกพาที่เชื้อเพลิงยังคุกกรุ่น ตั้งอยู่ใกล้ๆกับอาซาเลียที่นั่งหลับข้างกองผ้าห่มกับหมอนที่หายไปจากที่นอนในกระท่อม
“เอ็ม...ช่วยเปลี่ยนสมุนไพรบนแผลต่อที ข้าขอไปล้างหน้าก่อน เดี๋ยวจะกลับมาอธิบาย”
อาซาเลียเอ่ยอย่างเหนื่อยๆ ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย นางไม่คิดว่าตัวเองจะเผลอหลับไป หลังจากเย็บแผลแล้วทำความสะอาดห้องและอุปกรณ์
“เปลี่ยนให้ใครล่ะ พี่ไม่ได้บาดเจ็บนี่” เอ็มตอบกลับแบบงงๆ
อาซาเลียหันไปมองบนเตียงคนป่วยที่บัดนี้กลับว่างเปล่า!
“นี่กี่ยามแล้ว?”
อาซาเลียถามพร้อมกับเดินออกไปดูนอกห้องสมุนไพร ว่าคนไข้ของนางแอบออกไปแถวนี้หรือไม่ ด้านนอกมืดสนิทเป็นเวลาค่ำ
“ข้าไม่แน่ใจ แต่พระอาทิตย์น่าจะตกได้2ชั่วโมงแล้ว วันนี้ข้ากลับช้า เพราะถูกเรียกให้ไปช่วยแจกอาหารด้วย”
เอ็มตอบพลางเดินตามอาซาเลีย ตะเกียงพกพาในมือคอยส่องทางให้อีกฝ่าย
จากคำตอบของเอ็ม ทำให้อาซาเลียพอคำนวนออก ว่านางเผลอหลับไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แล้วคนที่บาดเจ็บหนักขนาดนั้น ไม่น่ามีทางที่จะฟื้นได้เร็วถึงขั้นลุกขึ้นเดินไปเดินมาในไม่กี่ชั่วโมงแน่
เมื่อค้นกระท่อมเล็กๆดูแล้วไม่มีวี่แววของชายแปลกหน้า อาซาเลียก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นให้ฟัง ก่อนทั้งสองจะลองเดินหาในระแวกใกล้ๆกระท่อม แต่ก็ไม่พบชายคนนั้น อาซาเลียจึงจำต้องถอดใจ แล้วกลับไปพักผ่อน
อย่างน้อยถ้าอีกฝ่ายลุกเดินออกไปเองได้ ก็คงจะรอดชีวิต
ก่อนเข้านอนคืนนั้น อาซาเลียเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าตัวเองยังไม่ได้คืนมีดพกเล่มเล็กให้กับชายปริศนาคนนั้น
เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ หญิงสาวทั้งสองยังคงใช้ชีวิตและทำหน้าที่เก็บสมุนไพรต่อไป โดยที่อาจจะมีการพูดคุยและคาดเดาที่มาของชายแปลกหน้าคนนั้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกนางกังวลอะไร ไม่ถึงเดือนพวกนางอาจจะลืมเรื่องนี้ไปเลยก็เป็นได้
หากในเช้าวันหนึ่ง อาซาเลียตื่นมาให้อาหารดอนนี่ ตรงหน้าประตูห้องสมุนไพรที่นางต้องเดินผ่านก่อนจะไปคอก กลับมีช่อดอกอาซาเลียสีแดงผูกโบว์สีขาววางอยู่
หญิงสาวจ้องมองดอกไม้ที่มีชื่อเดียวกับตนอย่างสนใจ ช่อดอกไม้ตรงหน้า ดูอย่างไรก็เหมือนกับของขวัญ ถ้าเอ็มเป็นคนเก็บมา คงแค่ใช้ฟางผูกแล้วไม่มาวางทิ้งไว้แบบนี้แน่นอน
มือเรียวบางหยิบช่อดอกไม้ขึ้นมา จึงสังเกตเห็นกระดาษแผ่นเล็ก ที่มีข้อความสั้นๆว่า ‘ขอบคุณ’
ริมฝีปากงามเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนยกช่อดอกไม้ขึ้นสูดกลิ่นหอมจางๆ
อาซาเลียมั่นใจแล้วว่าคนไข้ปริศนาของนางมีชีวิตรอดปลอดภัย
หลังจากนั้นเป็นเวลา3เดือน หญิงสาวจะได้รับช่อดอกอาซาเลียในยามเช้า หนึ่งช่อต่อหนึ่งสัปดาห์ โดยไม่มีวันตายตัวว่าจะเป็นวันใด แต่ละครั้งจะเป็นช่อดอกอาซาเลียที่ต่างสีไปจากเดิม รวมถึงสีของโบว์ที่ผูกเอาไว้
แม้อาซาเลียจะคุ้นชินกับการได้รับของขวัญ แต่คงเพราะความเป็นปริศนาของอีกฝ่าย ใบหน้าที่ไม่ได้มองดูให้ชัดเจน และชื่อที่ไม่ได้รู้ ทำให้นางอดรู้สึกตื่นเต้นที่จะค้นหาเสียมิได้
อาซาเลียปลดโบว์สีขาวที่ผูกผมเอาไว้ ก่อนจัดเรียงลงไปในกล่องไม้ ร่วมกับโบว์เส้นอื่น ที่เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนอาจจะล้นกล่องไม้เล็กๆของนางได้ เนื้อผ้าที่ใช้สัมผัสได้ว่าเป็นของดีมีราคา
เป็นใครกันแน่นะ...
หญิงสาวครุ่นคิด พลางจ้องมองไปยังแจกันดอกไม้ที่ว่างเปล่า หากเป็นเมื่อสองคืนก่อน แสงจันทร์คงได้ส่องกระทบช่อดอกอาซาเลียสีฟ้า แม้จะเสียดายที่ต้องนำไปตากแห้งทำเป็นสมุนไพรก่อนที่มันจะเหี่ยวแห้งไปเอง
มือเรียวงามหยิบกระดาษข้อความสั้นๆแผ่นแรกและแผ่นเดียวที่ได้รับขึ้นมาจากกล่องไม้ มองคำขอบคุณที่ได้อ่านซ้ำไปซ้ำมา
ใครกัน...
คืนนั้นอาซาเลียหิ้วหมอนและผ้าห่มไปนอนในห้องเก็บสมุนไพร นางมั่นใจว่าอีกไม่กี่วัน เจ้าของช่อดอกอาซาเลีย จะมาปรากฏตัวอีกครั้ง และคราวนี้นางจะต้องคืนมีดพกเล่มเล็กนั้นกับเขาให้จนได้
สามวันหลังจากนั้น อาซาเลียก็สมหวัง
หญิงสาวตื่นมารอในห้องเก็บสมุนไพรตั้งแต่ก่อนฟ้าสางถึง2ชั่วโมง หลังจากที่ต้องลดเวลานอนติดต่อกันมาหลายวัน การรอคอยของนางก็สิ้นสุดลง
ทันทีที่เห็นเงาคนเคลื่อนไหวอยู่นอกหน้าต่างห้องสมุนไพร อาซาเลียไม่รอช้า รีบเปิดประตูออกไปด้วยความเร็วดุจเสือตะครุบเหยื่อ
วินาทีแรกที่หญิงสาวมองเห็นเจ้าของเงา นางแทบจะจำไม่ได้ว่าเป็นใคร เนื่องจากแทนที่จะมีชายหนวดเฟิ้มรกรุงรัง กลับกลายเป็นชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลาแทน ช่อดอกอาซาเลียสีชมพูอ่อนในมือ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขากับคนไข้ปริศนาของอาซาเลีย
ชายหนุ่มในชุดชาวบ้านตรงหน้าอายุอ่อนกว่าที่นางคาดไว้ ดูไปแล้วน่าจะอ่อนกว่านางไม่กี่ปี แต่ก็โตเกินกว่าจะเป็นวัยรุ่นแล้ว แม้จะไม่ได้หล่อเหลาถึงขั้นสะดุดตา แต่ใบหน้าคมเข้มก็ดูมีเสน่ห์อยู่พอควร ผมสีน้ำตาลเข้มหยักศกสั้นกว่าบ่าเล็กน้อย เข้ากับดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่นางไม่เคยพบเจอ หากสิ่งที่สะดุดตาที่สุด เห็นจะเป็นจมูกโด่งที่บิดเบี้ยวเล็กน้อย เหมือนเคยหักมาครั้งนึง กลายเป็นเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ
ชายหนุ่มดูตะลึงกับการปรากฏตัวของอาซาเลีย ก่อนนัยน์ตาจะฉายแววไม่แน่ใจ เหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป
อาซาเลียพบเจอบุรุษมามากพอที่จะดูออก ว่าหากพลาดโอกาสครั้งนี้ นางอาจไม่มีสิทธิ์ได้พบอีกฝ่ายอีก คิดดูซิว่าคนตรงหน้าใช้เวลาหลายเดือนยังไม่กล้ามาคุยกับนางซึ่งๆหน้าเลย
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร ก่อนจะยื่นมือเรียวบางทั้งสองออกไปรอรับของขวัญจากอีกฝ่าย
ชายหนุ่มเหมือนรู้สึกตัว รีบยื่นช่อดอกไม้ให้ กลิ่นหอมจางๆในอ้อมแขนเรียกรอยยิ้มหวานของหญิงงาม
อาซาเลียชอบกลิ่นหอมจางๆแบบนี้ มากกว่ากลิ่นหอมจัด ดอกอาซาเลียมีหลายสายพันธุ์ บ้างก็มีกลิ่นหอมจัดหรือไม่มีเลย แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะพยายามหาแบบที่มีกลิ่นหอมจางๆมาให้นางได้เสมอ
“แผลหายดีแล้วซินะคะ ข้านึกว่าคืนนั้นท่านจะไม่รอดแล้ว” อาซาเลียชวนคุยต่อ หวังช่วยให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลง
“ข...ข้ามียาของผู้วิเศษน่ะ แต่หมดสติไปก่อนจะได้ทาน ต้องขอบคุณแม่นางมากที่ช่วยรักษาข้าจนได้สติ”
อาซาเลียยิ้มรับคำตอบเกร็งๆของอีกฝ่าย แม้จะเป็นคำตอบที่ทิ้งจุดน่าสงสัยไว้อยู่ไม่น้อย แต่นางรู้ดีว่าเค้นไปตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
มือเรียวบางหยิบมีดพกเล่มเล็กที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมา แล้วส่งคืนให้กับเจ้าของ
“วันนั้นข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร เลยเก็บเอาไว้ กะว่าจะคืนให้หลังรักษาเสร็จ ท่านก็จากไปเสียก่อน”
“แม่นางเก็บไว้เถิด ถือว่าเป็นค่ารักษา ข้ายังมีสำรองอีก” ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“ท่านชื่ออะไร” อาซาเลียเอ่ยถามอย่างสบายๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูผ่อนคลายลงตามที่นางต้องการ
“เจท”
“ข้าคงไม่ต้องแนะนำตัวสินะ”
อาซาเลียหยอกล้อพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาอีกฝ่ายหน้าแดง ไม่รู้ว่าเพราะรอยยิ้มของนางหรือเพราะถูกจับได้
“ข้าได้ยินเพื่อนท่านเรียก เลยจำได้” เจทพยายามแก้ตัว
“ท่านแอบดูข้าจนได้ยินหรือ” คนหน้าแดงก็ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ แต่เจทก็ไม่ได้พยายามจะปฏิเสธต่อ
บรรยากาศเงียบๆผสมขัดเขิน โดยที่เจทไม่กล้าสู้สายตาของนาง ภาพของชายหนุ่มตรงหน้าที่อาซาเลียพอจะจินตนาการออก ว่าอีกฝ่ายคงวกกลับมาหาในช่วงอาทิตย์แรกที่หายไป แต่ไม่กล้ามาหานางซักที จนสุดท้ายได้ชื่อนางไปแล้วส่งช่อดอกไม้มาแทน
อาซาเลียอดยิ้มให้กับพ่อหนุ่มขี้อายตรงหน้าเสียมิได้
“ท่านสนใจดื่มชาดอกอาซาเลียไหม”
หนึ่งปีผ่านไป...
จากคนแปลกหน้า แปรเปลี่ยนเป็นคนรู้จัก
จากคนรู้จักกลายเป็นมิตรสหาย
จากมิตรสหายพัฒนาเป็นคนรู้ใจ
จากคนรู้ใจงอกงามเป็นคนรัก
อาซาเลียเหม่อมองกระดาษข้อความแผ่นเล็กๆที่แนบมากับช่อดอกอาซาเลียสีขาว ข้อความสั้นๆที่เอ่ยเพียงคำว่า
‘รัก’
ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนบอกก่อน ที่จริงหากรออีกซักพัก นางก็จะเป็นคนเอ่ยปากเองอยู่แล้ว
อาซาเลียมีประสบการณ์มามากพอที่จะรู้ว่าความรักเป็นเช่นไร และไม่ชอบเสียเวลาที่จะโกหกความรู้สึกของตัวเอง เพราะรักของหญิงงามเมืองนั้น มักไม่ยั่งยืน หากมีโอกาสก็จงคว้าไว้ และดื่มด่ำกับมันก่อนที่จะสลายไป
คำตอบของอาซาเลีย ไม่ได้จบแค่ชวนดื่มน้ำชาแน่
คืนนั้นอาซาเลียนัดเจทไปพบที่ริมทะเลสาบ เพื่อให้คำตอบกับข้อความสั้นๆที่อีกฝ่ายมอบให้
นางมั่นใจว่าเจทจะไปถึงก่อน เขามักจะมาก่อนเวลานัดเสมอ เพื่อไม่ต้องให้นางรออยู่เพียงลำพัง แต่สิ่งที่อาซาเลียไม่ได้คาดไว้ คือภาพทิวทัศน์ตรงหน้าที่สวยงามราวกับเนรมิต
ทุ่งดอกอาซาเลียหลากสีสันเบ่งบานทั่วริมทะเลสาบ กลิ่นหอมจางๆในอากาศหนาวของค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วง พระจันทร์เต็มดวงทอแสงนวล ดาวดั่งเพชรกระจายเต็มฟ้า ภาพสะท้อนบนผิวทะเลสาบที่สงบนิ่ง ดูราวกับสองโลกที่บรรจบคู่ขนาน
ท่ามกลางพุ่มดอกอาซาเลียที่แหวกออกเหมือนจุดชมวิวที่ดีที่สุด คือร่างชายหนุ่มที่นั่งรออยู่ มีพื้นที่ว่างข้างกายรอมาเติมเต็ม
ที่ของอาซาเลีย
ภาพตรงหน้าดูสวยงามจนอยากร้องไห้
ร่างบางตรงไปนั่งข้างๆชายหนุ่ม ทั้งสองดื่มด่ำกับทิวทัศน์และบรรยากาศเงียบๆ อาซาเลียรู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังรวบรวมความกล้าที่จะเริ่มบทสนทนา นางพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะบอกสิ่งใด
“อาซาเลีย...ข้ามีเรื่องจะสารภาพ”
เจทยอมเอ่ยขึ้นในที่สุด นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มยังไม่ยอมละจากทะเลสาบตรงหน้า
“เจ้าจะขอข้าแต่งงานหรือ”
อาซาเลียเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม พลางหัวเราะเสียงใสเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าที่แดงไปถึงหูของอีกฝ่าย
“นั่นก็ใช่ แต่ข้ามีอีกเรื่อง”
อาซาเลียเงียบลง นางต้องการให้เจทพูดออกมาด้วยปากของตัวเอง
ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกๆเหมือนรวบรวมความกล้า เขายอมหันมาสบตากับนางในที่สุด ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
”ข้าเป็นพ่อมดดำ”
อาซาเลียมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่ดูหวั่นไหว เกรงว่าคำพูดของตนจะทำลายความผูกพันที่มีให้แก่กัน
มือเรียวงามยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าของชายหนุ่มอย่างรักใคร่ ก่อนโน้มศีรษะของอีกฝ่ายลงมา แล้วมอบจูบอันแสนหวานให้
“ข้ารู้” อาซาเลียกระซิบแผ่วเบาบนริมฝีปากของคนรัก
“ข้าก็สงสัยว่าเจ้าเองก็รู้” สองมือแกร่งประคองใบหน้างามราวกับไม่ต้องการให้จากไปไหน
“เจ้าโกหกไม่เก่ง”
“ข้าโกหกเก่ง แต่เจ้าจับผิดคนเก่งกว่าต่างหากเล่า”
อาซาเลียหัวเราะเสียงใส แล้วขโมยจูบเล็กๆไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจทจะทันโต้ตอบ หญิงสาวก็หันมาใช้อกเขาเป็นที่พิงหลังไปแล้วเรียบร้อย
อาซาเลียไม่เชื่อมานานแล้ว ว่าเจทเป็นนายพรานคอยล่าสัตว์ให้กับเหล่าผู้วิเศษตามที่เจ้าตัวเคยบอกไว้ เรื่องที่บอกว่าโดนหมูป่าทำร้ายบาดเจ็บจนต้องหนีมาเจอกระท่อมของนาง แถมแผลใหญ่ที่หายเร็วเพราะยาของผู้วิเศษ
ยาที่ดีขนาดรักษาแผลใหญ่ขนาดนั้นได้ ผู้วิเศษไม่มีทางเอามาให้ชาวบ้านหรือลูกจ้างทั่วไปพกเอาไว้ใช้เองแน่ และต่อให้จะได้ยามาจริง ทำไมไม่ทานไปเสียเลย จะทนหนีมาสลบแถวกระท่อมนางทำไม แม้จะพยายามบอกว่าเป็นของหายากเลยไม่กล้ากินให้เสียของก็ตาม แต่คนใกล้ตาย ยังไงก็ต้องพยายามช่วยชีวิตตัวเองอยู่แล้ว
หากเจทไม่ได้ใช้ยาของผู้วิเศษรักษา การที่เขาฟื้นตัวได้เร็วกว่าปกติ ก็หมายความว่าเขาต้องเป็นผู้ใช้เวทย์ โดยเฉพาะพวกพ่อมดแม่มดดำที่ขึ้นชื่อในความสามารถการฟื้นฟูของร่างกายที่เร็วกว่าพวกผู้วิเศษ
ดังนั้นถ้าบอกว่าระหว่าง เจทพยายามหนีพร้อมกับบาดแผลใหญ่ขนาดนั้นจากป่าลึกมาถึงเขตกระท่อมของนางได้ หรือเจทพยายามหนีการตามล่าของเหล่าผู้วิเศษจากวิหารโฮลี่แลนด์ ที่อยู่ใกล้กับกระท่อมของนางมากกว่า ข้อสันนิษฐานอย่างหลังดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด
“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เจทกอดร่างบางจากข้างหลัง ไออุ่นจากทั้งสองช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บของค่ำคืน
“สงสัยแต่แรกแล้ว ดอกอาซาเลียบางพันธุ์ที่เจ้าเอามาให้ มันเป็นดอกไม้ต่างถิ่น ไม่มีทางอยู่รอดและบานได้นานเกือบเป็นอาทิตย์หรอก แล้วยิ่งเห็นดอกอาซาเลียรอบๆนี้ ข้ายิ่งมั่นใจ พวกผู้วิเศษไม่สามารถเอาดอกไม้ต่างถิ่นแถมยังนอกฤดูมาปลูก แล้วฝืนให้ดอกไม้พวกนี้บานในกลางคืนแบบนี้ได้แน่นอน”
อาซาเลียกุมมือแกร่งที่โอบกอดนางไว้ แล้วหันไปมองใบหน้าของคนรักเบื้องหลัง
“มีแค่พ่อมดแม่มดดำเท่านั้น ที่ใช้เวทย์แห่งกาลเวลาได้” แม้นางจะไร้เวทย์ แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้เรื่องเวทมนตร์เลย
“ไม่กลัวหรือ ข้าอาจจะมาแย่งเวลาของเจ้าไปก็ได้นะ”
“เอาไปแล้ว เจ้าจะรักใครล่ะ”
อาซาเลียเอ่ยพร้อมรอยยิ้มท้าทาย เรียกเสียงหัวเราะของเจท ก่อนเขาจะหอมแก้มอย่างหมั่นเขี้ยว แล้วคลายอ้อมแขนลง
ร่างบางหันกลับไปเผชิญหน้าอีกฝ่าย ที่กำลังถอดสร้อยคอซึ่งคล้องแหวนเรียบๆสีทองสองวงเอาไว้
“นี่เป็น ‘แหวนคู่รัก’ ที่ข้าทำขึ้นเอง มันไม่สามารถใช้ร่ายเวทย์อะไรได้ สิ่งเดียวที่มันทำได้ คือการทำให้ผู้สวมใส่ทั้งสอง สามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะอยู่กันคนละฟากโลก ก็สามารถกลับมาหากันเจอ หากถอดออก มันก็กลายเป็นแค่แหวนธรรมดา”
เจทยื่นแหวนวงนึงมาหยุดตรงหน้าของอาซาเลีย และกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก่อนเจ้าจะตัดสินใจว่าจะรับแหวนวงนี้ไหม ข้าอยากให้เจ้าสัญญากับข้าก่อน หากเจ้าคิดว่าทำไม่ได้ ก็อย่ารับแหวน”
อาซาเลียนั่งฟังอย่างตั้งใจ นางไม่เคยเห็นเจทจริงจังเท่านี้มาก่อน นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่นางรัก บัดนี้เต็มไปด้วยความแน่วแน่
“เมื่อใดที่มีผู้วิเศษมาตามตัวข้า เจ้าต้องถอดแหวนทิ้ง จะซ่อนไว้อย่างไรก็ได้ มันจะไม่มีไอเวทย์ตราบเท่าที่เจ้าไม่ได้สวมมัน แต่ข้าจะยังสามารถสัมผัสได้ว่าแหวนอยู่ที่ใด หากปลอดภัยแล้ว ค่อยสวมแหวนอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะกลับมาหาเจ้าให้ได้”
ชีวิตของพ่อมดแม่มดดำ คือการถูกไล่ล่า นางไม่ควรจะแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ และชะตากรรมของคนรักพ่อมดแม่มดดำนั้น ก็คงไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ
“แล้วถ้าข้าตายล่ะ”
แววตาเจ็บปวดของอีกฝ่าย ทำให้อาซาเลียอยากเขียนคำว่า ‘โกหก’ คำโตบนหนังสือตำราและนิทานสอนเด็กทุกเล่ม ที่บอกว่าพ่อมดดำนั้นไร้หัวใจและเจ็บปวดไม่เป็น
“ถ้าฝ่ายใดฝ่ายนึงเสียชีวิต อีกฝ่ายจะไม่สามารถสัมผัสตัวตนของคู่ตัวเองได้อีกเลย”
อาซาเลียมองลึกเข้าไปในดวงตาของเจท นางเห็นสิ่งที่อยากเห็น
แววตาของคนที่อยู่ในห้วงของความรัก แววตาที่แสดงความจริงใจ แววตาที่ดูห่วงใย ผสมกับความกลัวที่จะโดนปฏิเสธ
เวลาที่อาซาเลียได้ทำความรู้จักกับเจทตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ทำให้คำสอนแต่เด็กที่ย้ำเตือนให้รังเกียจและหวาดกลัวเหล่าพ่อมดแม่มดดำนั้นสั่นคลอน จนมลายหายสิ้นไปในที่สุด พ่อมดดำตรงหน้าก็ไม่ได้ต่างจากมนุษย์หรือผู้วิเศษนัก
เขา รัก โลภ โกรธ หลง ยิ้ม หัวเราะ เศร้า อาย และห่วงใยเป็น ไม่ใช่ปีศาจเลือดเย็นที่พร้อมจะฆ่า ทรมาน และล่อลวงใครต่อใครโดยไม่เลือกหน้า
มือเรียวบางยื่นไปหาพร้อมคำตอบรับว่า
“ข้าสัญญา”
คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่นางร่วมรักใต้แสงจันทร์ท่ามกลางดอกอาซาเลีย
“เจท”
เสียงหวานเรียกชื่อคนรักที่นอนเปลือยกายอยู่เคียงข้าง ทั้งสองนอนกอดดูดาวบนฟ้า
“หากข้าเป็นฝ่ายจากไปก่อน เจ้าจะอัญเชิญข้ากลับมาไหม ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าหากตายไป ข้าจะได้เป็นปีศาจ”
“ปีศาจชอบกินเด็กหนุ่มซินะ” อาซาเลียขำไปกับคำหยอกล้อของอีกฝ่าย เพราะจะว่าไปแล้วนางก็กำลังกินเด็กอยู่จริงๆ ดันมารักหนุ่มที่อ่อนกว่าแบบนี้
“ข้ากินได้หมดแหล่ะ ข้าเป็นมืออาชีพ”
คำพูดของอาซาเลียเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากเจท นางเคยบอกเรื่องอาชีพเก่ากับเขามานานแล้ว แววตาที่ไร้ความรังเกียจยามมองนางหลังจากทราบอดีตของหญิงงามเมือง เป็นอีกเหตุผลนึงที่อาซาเลียรักชายตรงหน้า
นัยน์ตาสีดำขลับจ้องอีกฝ่ายเหมือนจะบอกกลายๆว่า ‘อย่านอกเรื่อง’
“ถ้าเจ้าได้เป็น ‘ทูตดำ’ ละก็ ข้าไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาอัญเชิญไปแน่ แต่ถ้าเจ้าได้เป็น ‘ทูตขาว’ แทนล่ะ เท่าที่ข้าเห็น จิตใจเจ้าสวยงามยิ่งกว่าใครที่ข้าเคยพบเจอ”
ดูเหมือนว่า ‘ทูตดำ’ จะหมายถึง ‘ปีศาจ’ ในขณะที่ ‘ทูตขาว’ คือ ‘ทูตสวรรค์’ ดูท่าว่าพวกพ่อมดแม่มดดำจะมีการใช้คำที่ต่างกัน
“เจ้าก็เช่นกัน ไหนนิทานบอกว่าพ่อมดแม่มดดำใจร้าย ชอบกินเด็กและหญิงสาวไง”
“ข้าก็กินไปแล้วนี่”
เจทหยอกแล้วพลิกอาซาเลียกลับมาอยู่ใต้ร่างแบบไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว เรียกเสียงร้องของหญิงสาว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างซุกซนและแรงตีบนอกแกร่งอย่างไม่จริงจังนัก
“แต่เจ้าไม่ใจร้าย” แขนเรียวบางยกขึ้นคล้องคอชายหนุ่มอย่างรักใคร่
“ใครว่าข้าไม่ร้าย” เจทโน้มลงเข้าหา พร้อมรอยยิ้มกระหายแบบนักล่า
“เจ้าไม่ร้ายกับข้า”
อาซาเลียเอ่ยพร้อมรอยยิ้มและจุมพิตพ่อมดดำ แล้วเพลงรักก็เริ่มขึ้นอีกครั้งภายใต้แสงจันทร์
เป็นเวลาถึงสองปี ที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน
เจทยังคงไปๆมาๆ ทุกครั้งที่พบเจอก็ไม่สามารถอยู่ได้เกินหนึ่งคืน ความที่เป็นพ่อมดดำซึ่งถูกตามล่าเสมอ ทำให้เขาไม่สามารถลงหลักปักฐานที่ไหนได้นาน
แต่อาซาเลียชินเสียแล้วที่คนรักไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ตอนเป็นหญิงงามเมืองก็เช่นกัน รักใครก็ทำได้แค่รอให้อีกฝ่ายมาหาในฐานะลูกค้า บางครั้งก็เผลอรักคนมีเจ้าของ ต้องแบ่งกับคนอื่น
แต่เพราะเวลาที่สามารถอยู่ร่วมกันมีน้อยนัก จึงทำให้ทุกครั้งที่พบเจอนั้นหอมหวาน
ถึงจะมีโอกาสพบกันไม่มาก หากอาซาเลียก็ยังคงกังวล ที่เจทยังหาทางมาพบนางในป่าของผู้วิเศษ แม้เหล่าผู้วิเศษจะไม่เคยแวะมาในเขตนี้ก็ตาม เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ศรัทธาและลูกจ้างระดับล่าง ที่จะคอยหาวัตถุดิบจากในป่ามาให้
ความกังวลของอาซาเลีย ทำให้เจทพยายามกล่อมให้นางออกเดินทางไปกับเขาด้วย แต่อาซาเลียปฏิเสธเขาเสมอ เพราะนางรู้ดีว่าตัวเองจะกลายเป็นตัวถ่วง พ่อมดแม่มดดำนั้นต้องคอยหนีการไล่ล่าจากเหล่าผู้วิเศษเสมอ
นางไม่สามารถใช้เวทย์ได้ วิชาป้องกันตัวก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร ถึงจะมีความรู้ในเรื่องสมุนไพรและการรักษาอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับความสามารถในการรักษาตัวของพ่อมดดำเช่นเจท
นางไม่อยากเป็นภาระ
แม้จะไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันแบบคนทั่วไปได้ แต่อาซาเลียก็ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดี นอกจากนางจะมีคนรักแล้ว ยังมีเพื่อนแท้อย่างเอ็ม
รุ่นน้องของนางได้รู้จักกับเจทตั้งแต่วันแรกที่อาซาเลียชวนเขาเข้าไปดื่มชาในบ้าน และดูออกว่าพ่อหนุ่มเจ้าของช่อดอกไม้ปริศนาคนนี้ แอบชอบรุ่นพี่ของนางเข้าเต็มเปา
เอ็มคอยสนับสนุนความสัมพันธ์ของทั้งสองตั้งแต่ต้น แม้ที่มาของเจทจะดูน่าสงสัยอยู่บ้าง แต่เอ็มก็เคยยอมรับกับอาซาเลีย ว่านางรู้สึกว่าไว้ใจเจทได้
เอ็มมีประสบการณ์มามากพอจะดูออก ว่าความรักของเจทไม่ใช่รักแบบเด็กหนุ่มที่เฝ้าเพ้อถึงหญิงงาม มันคือความรักแบบที่พร้อมจะเข้าใจซึ่งกันและกัน รักแบบให้เกียรติที่มาพร้อมกับความเชื่อใจ รักแบบคนรู้ใจที่ต้องการอยู่เคียงข้าง
เจทจะไม่มีทางทรยศอาซาเลีย
และอาซาเลียก็มั่นใจ ว่าเอ็มจะไม่ทรยศนางเช่นกัน
ในช่วงแรกที่อาซาเลียบอกเอ็มว่าเจทเป็นพ่อมดดำนั้น รุ่นน้องสาวของนางเหมือนจะทำตัวไม่ถูกอยู่หลายวัน แต่อาซาเลียพอจะดูออกว่าเอ็มไม่ได้รังเกียจเจท พวกเขาเข้ากันได้ดี สาเหตุน่าจะมาจากคำสอนสั่งที่ทำให้เกลียดและกลัวบรรดาพ่อมดแม่มดดำที่ถูกปลูกฝังมาแต่เด็ก
มีนิทานและเพลงสอนเด็กมากมายที่มีเนื้อร้องทางด้านลบเกี่ยวพ่อมดแม่มดดำ ความหมายหลักๆส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นว่า
‘อย่าไว้ใจ’
‘อย่าเข้าใกล้’
‘ทำลายมัน’
‘มันเป็นปีศาจ’
ความกลัวที่ถูกปลูกฝังมาแต่เด็ก ชวนให้สับสนกับความผูกพันธ์ ความเกลียดชังพยายามครอบงำความถูกใจ แม้สำนึกจะบอกว่าไว้ใจได้ แต่คำสอนกลับบอกให้ตีห่าง
อาซาเลียเคยผ่านความรู้สึกนี้มาก่อน จึงพอเข้าใจอยู่บ้าง นางจึงไม่ได้คะยั้นคะยออะไรกับเอ็ม ปล่อยให้เพื่อนสาวได้ตัดสินใจและรวบรวมความคิดเอาเอง
ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เอ็มยอมรับเจทในที่สุด แต่ที่น่าซึ้งใจยิ่งกว่า คือการที่เอ็มมาขอบคุณอาซาเลียที่ไว้ใจนางมากพอที่จะบอกความจริง
อาซาเลียยอมรับโดยตรงว่านอกจากที่นางอยากให้เอ็มรู้ เพื่อแสดงความจริงใจด้วยแล้ว นางยังสังหรณ์ว่าในอนาคตข้างหน้า นางต้องได้พึ่งพาอีกฝ่ายแน่ จึงอยากให้รู้ความจริงไว้ก่อน
เอ็มเพียงยิ้ม เหมือนเป็นคำตอบพร้อมจะแบกรับความรับผิดชอบในอนาคตข้างหน้า
รุ่นน้องนางยังมอบของขวัญแต่งงานให้กับอาซาเลียและเจท ซึ่งก็ออกจะเป็นของขวัญที่พิศดารนัก เนื่องจากอาซาเลียไม่เคยจัดงานแต่ง เพราะพิธีงานแต่งอย่างเป็นทางการ ต้องมีผู้วิเศษมาให้พรคู่สมรสด้วย อาซาเลียและเจทจึงแลกแค่แหวนกับคำสัญญาเท่านั้น
แต่เอ็มกลับทำอาหารเลี้ยงมื้อใหญ่ แล้วจัดพิธีง่ายๆตรงริมทะเลสาบที่คู่บ่าวสาวได้แลกแหวนกัน เป็นงานแต่งเล็กๆ ที่มีอดีตหญิงงามเมืองทำหน้าที่ให้พรแทนผู้วิเศษ
อาซาเลียรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีที่สุด
มีผู้วิเศษสิบรายมารออยู่หน้ากระท่อม
อาซาเลียที่ตื่นมาเปิดประตูต้อนรับ รู้สึกแปลกใจที่มีคนถ่อมาไกลถึงกระท่อมนางแต่เช้าตรู่ หากภาพตรงหน้าก็ทำให้นางตื่นเต็มตัว ความหวาดกลัวเลื้อยคลานเข้าครอบคลุมร่างบาง หากนางยังตั้งสติไว้ได้
อาซาเลียยังคงอยู่หลังประตู จึงใช้โอกาสนั้นปลดแหวนที่ใส่ได้เพียงสามปีออก แล้วเอ่ยต้อนรับอย่างเป็นธรรมชาติ เชื้อเชิญให้เหล่าผู้วิเศษเข้ามาในกระท่อม
ระหว่างที่เปิดประตูไม้บานเก่าที่ส่งเสียงดัง นางก็ใช้โอกาสนั้นยัดแหวนใส่ซอกไม้ในกำแพงผุๆของกระท่อมอย่างแนบเนียน แม้จะต้องมาแงะหาทีหลัง แต่ก็น่าจะโดนหายากกว่าโยนใส่เข้าตะกร้าหรือแจกันแถวประตู
เหล่าผู้วิเศษเข้ามาในกระท่อม แล้วเริ่มทำการค้นหาโดยไม่ขออนุญาต เสียงดังอึกทึกครึกโครมจนเอ็มตื่นขึ้น
อาซาเลียรู้ดีว่าผู้บุกรุกมาหาใคร แต่นางก็แสร้งทำเป็นตกใจและไม่รู้เรื่อง
คนที่ท่าทางเหมือนหัวหน้ากลุ่มเดินตรงมาที่อาซาเลีย แล้วแสดงภาพวาดเหมือนของเจท ขอบกระดาษสีแดงและราคาค่าหัวสูงลิ่ว บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคนในภาพเป็นพ่อมดดำอันตรายระดับต้นๆ
“คนรักของเจ้าเป็นพ่อมดดำ”
อาซาเลียและเอ็มดูตกใจกับข่าวร้ายอย่างสมจริง
หนึ่งเดือนต่อมา อาซาเลียและเอ็มยังคงทำหน้าที่เก็บสมุนไพรและจัดเตรียมยาให้แก่โฮลี่แลนด์เหมือนที่ผ่านมา แต่ต่างไปจากเดิมตรงที่มีผู้วิเศษอย่างน้อยสามคนคอยติดตามพวกนางเสมอ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่ว่าจะทำอะไรก็อยู่ภายใต้สายตาของผู้วิเศษ
แม้จะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ทั้งสองก็เลือกที่จะให้ความร่วมมือและแสดงความเป็นมิตรแทนการต่อต้านเพื่อความอยู่รอด
เมื่อเดือนก่อนที่เหล่าผู้วิเศษมาหาเจท หากอาซาเลียและเอ็มไม่ตีบทแตกทั้งคู่ พวกนางคงได้โดนจับไปสอบปากคำจนตายคาคุกแน่นอน
วันนั้นผู้วิเศษได้แสดงภาพเหมือนของเจท แล้วบอกพวกนางว่าพ่อมดดำรายนี้ได้ขโมยของสำคัญ แล้วหายไปเมื่อ4ปีก่อน จนเริ่มได้เบาะแสว่ามีการพบเห็นในป่าระแวกนี้ แล้วสืบไปสืบมาจึงรู้ว่านางมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับเขา หลักๆแล้วพวกผู้วิเศษต้องการจับเป็น เพื่อนำของที่ถูกขโมยกลับมา
อาซาเลียร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร ดูอย่างไรก็เหมือนกับหญิงงามที่ถูกล่อลวง โดยพ่อมดดำที่นางเชื่อว่าเป็นนายพรานทั่วไป ตัวนางนั้นอยู่ในป่ากับเพื่อนเพียงสองคน จึงเหงาและโหยหาความรัก เมื่อได้เจอกับชายหนุ่มจึงเผลอใจไป โดยไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าอีกฝ่ายเป็นอาชญากร
อาซาเลียและเอ็มใช้น้ำตากับเสน่ห์ในการอ้อนวอนให้เหล่าผู้วิเศษยอมใจอ่อน หญิงสาวทั้งสองดูไม่มีพิษมีภัย แถมพร้อมจะให้ความร่วมมือกับผู้วิเศษ ในการจับตัวพ่อมดดำที่มาหลอกลวงพวกนาง
อาซาเลียเป็นคนเสนอเองด้วยซ้ำ ว่าให้ผู้วิเศษมาคอยตามพวกนาง เผื่อว่าเจทจะกลับมาหา แล้วเปิดโอกาสให้โดนผู้วิเศษจับกุม เป็นข้อเสนอของอาซาเลียเพื่อซื้อความเชื่อใจของอีกฝ่าย
สมกับเป็นดอกไม้พราวเสน่ห์อันดับหนึ่ง อาซาเลียสามารถโน้มนาวผู้วิเศษทั้งสิบให้เอ็นดูและสงสารพวกนางได้สำเร็จ
สองเดือนผ่านไป ยังมีผู้วิเศษคอยติดตามพวกนางอยู่ หากลดจำนวนลงเหลือแค่สองคน และดูผ่อนคลายพอให้อาซาเลียและเอ็มเริ่มตีสนิทได้
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อาซาเลียเริ่มมีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ แม้จะยังทำงานได้เท่าเดิม เพียงแต่เหนื่อยเร็วขึ้น และต้องคอยพักเป็นระยะ แต่ที่นางสงสัยและตกใจมากที่สุด คือเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นรอบตัว
แรกๆนางสังเกตว่าสิ่งของต่างๆที่ตั้งหรือวางอยู่ใกล้ๆนั้น บางทีก็ล้มลงเองโดยที่นางไม่ได้สัมผัสหรือมีลมมาพัดตก
นางสามารถมองเห็นได้ไกลขึ้น ได้ยินเสียงที่ปกติเบาเกินรับรู้ ลิ้นรับรสชาติได้มากกว่าเดิม จมูกดีขึ้น และปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายไวขึ้น
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้นางตื่นกลัว คือเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน ที่นางฝันว่าตัวเองกำลังโบยบิน ก่อนจะลืมตาตื่นมาพบว่าตัวเองลอยอยู่กลางอากาศเหนือเตียงเป็นคืบ!
โชคดีที่ผู้วิเศษซึ่งควรจะเฝ้าพวกนางอยู่นั้น เผลอหลับเป็นประจำ จึงไม่ได้สังเกตเห็น
อาซาเลียอยากพบเจทใจจะขาด
ในเวลานี้นางอยากพูดคุยและขอความเห็นของผู้ใช้เวทย์อย่างเจทมากที่สุด
แต่อาซาเลียไม่สามารถทำได้ดั่งใจ นางจึงเลือกที่จะมาหาหมอแทน หลังจากที่นางมีอาการหน้ามืดระหว่างบดสมุนไพร
“แม่นางท้องได้สี่เดือนแล้ว”
อาซาเลียนิ่งไปเกือบนาที ก่อนจะเผยยิ้มอย่างดีใจ
นางอยากให้เจทได้ยิน และกอดนางไว้ อยากให้เขาได้สัมผัสลูกที่กำลังจะเกิดมา อยากเห็นสีหน้าตื่นเต้นของชายหนุ่มที่กำลังจะเป็นพ่อ
หมอชายสูงวัยที่ตรวจอาการของนางเตรียมสมุนไพรบำรุงครรภ์ให้ พลางแนะนำข้อควรปฏิบัติต่างๆ รวมถึงอาหารที่ต้องเลี่ยงหรือหามารับประทาน เสียงเนิ่บๆของหมอเรียกสตินางกลับมา
หลังจากที่รู้ว่าตัวเองท้อง เหตุการณ์ประหลาดต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัวก็เริ่มปะติดปะต่อกัน ยิ่งผสมเข้ากับข่าวลือที่นางเคยได้ยินมาก่อน อาซาเลียจึงเริ่มเข้าใจ
นางกำลังมีพลังเวทย์
“ท่านหมอ ข้าเคยได้ยินมาว่าถ้าได้ท้องเด็กที่มีพลังเวทย์ มารดาจะมีพลังเวทย์ตามไปด้วย ท่านว่าเป็นไปได้ไหม” อาซาเลียลองหยอดถาม
หมอชายที่กำลังห่อสมุนไพรที่เตรียมไว้ให้เสร็จ หันมามองนาง ก่อนยิ้มอย่างขบขัน
“แม่นางไปฟังข่าวลือมาซินะ ข้าก็เคยอ่านเจอมาเช่นกัน ว่าลูกที่มีเวทย์แก่กล้ามากๆ คนเป็นแม่จะมีพลังเวทย์เพิ่มขึ้นตอนตั้งครรภ์ แต่ก็เกิดขึ้นเฉพาะกับพวกผู้วิเศษระดับสูง มารดาที่มีครรภ์จะต้องมีพลังเวทย์เยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงจะเกิดกรณีเช่นนี้ได้ แถมโอกาสเกิดยังน้อยมาก ในกรณีของแม่นางที่เป็นลูกผสมไร้เวทย์คงไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน ต่อให้แม่นางจะมีลูกของผู้วิเศษระดับสูงแค่ไหนก็เถอะ ที่ถามข้าเป็นเพราะเจ้าเริ่มบินได้รึ”
หมอชายถามทิ้งท้ายอย่างไม่จริงจังนัก ดูจะขบขันกับความเป็นไปไม่ได้เสียมากกว่า
“ข้าแค่แอบหวังไว้น่ะ ท่านก็รู้ดีว่าพวกบริดช์อยู่กินดีกว่าชาวบ้านแค่ไหน” อาซาเลียตอบแบบเลี่ยงๆ โดยให้เหตุผลที่แม้แต่หมอชายยังพยักหน้าเห็นด้วย
บริดช์เป็นคำใช้เรียกตำแหน่งที่รับใช้และเผยแพร่คำสอนของโฮลี่ ซึ่งรับโดยพวกลูกผสมระหว่างผู้วิเศษและมนุษย์ที่มีพลังเวทย์มากพอ จนสามารถเรียนการใช้เวทย์กับผู้วิเศษ และได้ตำแหน่งสูงขึ้นมา
แม้จะได้ยินถึงความเป็นไปไม่ได้ในการที่นางจะมีพลังเวทย์เมื่อตั้งครรถ์ แต่อาซาเลียค่อนข้างมั่นใจ ว่าการที่นางลอยได้เมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น เป็นเพราะลูกในท้องอย่างแน่นอน
ขนาดนางเป็นลูกผสมไร้เวทย์ เด็กคนนี้ยังสามารถเพิ่มพลังเวทย์ให้ได้ แล้วถ้าเกิดมาล่ะ จะแข็งแกร่งขนาดไหน
หากเป็นแม่ทั่วไปที่รู้เข้า คงดีใจไม่น้อย เพราะเด็กที่มีพลังเวทย์แก่กล้า จะได้รับการดูแลอย่างดี พร้อมตำแหน่งระดับสูงที่รออยู่ของเหล่าผู้วิเศษ แต่สำหรับอาซาเลียแล้ว
นางกลัวจับใจ
แม้นางจะมีเลือดผู้วิเศษอยู่เพียงครึ่งเดียว แต่ลูกผสมคนใดก็ตามที่มีเลือดของพ่อมดหรือแม่มดดำกับผู้วิเศษ แล้วเกิดมามีพลังแก่กล้า
เด็กคนนั้นจะไม่มีโอกาสได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่
บางทีพลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นของนาง อาจจะใช้ทำอะไรเพื่อช่วยลูกที่กำลังจะเกิดมาได้
อาซาเลียหวังว่ามันจะยังไม่สายเกินไป
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา อาซาเลียไปสวดอ้อนวอนเพื่อขอไถ่บาปที่วิหารโฮลี่แลนด์บ่อยขึ้น
แม้ในยามที่นางเริ่มท้องโต ลุกยืนและเดินเหินได้ไม่สะดวกเท่าเดิม แต่นางก็ยังคงคุกเข่าสวดขอพรอย่างไม่ย่อท้อ จนเหล่าผู้วิเศษยังอดชื่นชมกับศรัทธาอันแรงกล้าของนางเสียมิได้ เริ่มแสดงความเห็นใจและเป็นมิตรกับนางมากขึ้น
ในสายตาของพวกเขา อาซาเลียเป็นเหยื่อที่น่าสงสาร พลาดท่าให้กับพ่อมดดำจนต้องแบกรับลูกผสมต้องห้าม
แต่ด้วยศรัทธาในคำสอนของโฮลี่ ที่ไม่ควรฆ่าหรือเอาชีวิตผู้อื่น ทำให้นางเลือกที่จะไม่ทำแท้งเด็ก ต่อให้มันจะทำให้นางลำบากเท่าไหร่ก็ตาม
หลังจากที่ท้องของนางเริ่มโต อาซาเลียก็ออกอาการวิตกกังวลมากขึ้น นางขอร้องผู้วิเศษที่เริ่มสนิทและเห็นใจ ให้ช่วยหาหนังสือเกี่ยวกับคำสอนของโฮลี่มาให้อ่านเพื่อคลายความเครียด เพราะชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถเข้าไปใช้หอสมุดของผู้วิเศษ
ไม่มีใครปฏิเสธอาซาเลียที่ใช้สายตาน่าสงสารและน้ำเสียงอ่อนหวานได้
แรกๆที่ได้หนังสือมา อาซาเลียนั่งอ่านคัมภีร์ที่เน้นคำสอนของโฮลี่ต่อหน้าหรือบางครั้งก็อ่านให้ผู้วิเศษฟัง
พออ่านเล่มแรกจบ เล่มที่สองก็ตามมา ต่อด้วยเล่มที่สาม ที่สี่ พอถึงเล่มที่ห้า ผู้วิเศษก็เริ่มหมดความสนใจ แล้วปล่อยให้นางอ่านไปเองคนเดียว วางใจนางมากพอที่จะดูแลหนังสือและส่งคืนคนที่ยืมให้เมื่อครบกำหนด
พอเข้าเล่มที่สิบ อาซาเลียเริ่มออกปากขอให้ช่วยหาหนังสือเกี่ยวกับการทำเครื่องรางของขลัง เนื่องจากนางไม่สบายใจที่อาจจะเริ่มโดนพ่อมดดำที่เป็นอดีตคนรัก ส่งคำสาปมาเพื่อแก้แค้น ถึงจะเป็นของเล็กๆน้อยๆแค่ไหน แต่นางต้องการจะหาอะไรทำเพื่อลดความกังวล
ผู้วิเศษดูจะเห็นใจนาง นอกจากยืมหนังสือมาให้แล้ว ยังหากระดิ่งไล่ปีศาจมาช่วยแขวนหน้ากระท่อมของนางอีก
หนังสือผ่านไปแค่สามเล่ม กระท่อมของอาซาเลียก็เริ่มดูเหมือนร้านขายเครื่องราง
จุดใดที่ห้อยเครื่องรางได้ นางก็ห้อย จุดใดแขวนได้ นางก็แขวน บนกำแพงทั้งนอกและในกระท่อม มีเขียนสัญลักษณ์ป้องกันบ้านจากปีศาจ มีคทาทำด้วยมือปักตามจุดต่างๆ ตามคำแนะนำว่าจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไป
สภาพของกระท่อมเริ่มทำให้ผู้วิเศษบางรายเริ่มคิดว่าอาซาเลียเสียสติไป เพราะความกลัวอดีตคู่รัก ซึ่งมันทำให้เหล่าผู้วิเศษประมาทมากขึ้น
แม้เอ็มจะรู้ดีว่าอาซาเลียไม่ใช่คนเชื่อเรื่องแบบนี้ แต่นางก็ยอมช่วยเหลือเพื่อน ทำเครื่องรางชิ้นใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ บางทียังทำมากพอจะมอบให้ผู้วิเศษเป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆ ควบไปกับชาสมุนไพรที่พวกนางทำเอง ที่ถูกปากเหล่าผู้วิเศษ จนบางครั้งไม่ถึงเวรมาเฝ้าพวกนางก็มีบางรายแวะมาดื่มก่อน สองหญิงงามช่างเอาใจจึงยิ่งสนิทสนม และได้รับความไว้วางใจจากเหล่าผู้วิเศษ
แน่นอนว่าเอ็มเข้าใจถูก เป้าหมายที่แท้จริงของอาซาเลียอยู่ในเล่มที่สิบหก
อาซาเลียเอ่ยปากขอหนังสือเวทย์
คนทั่วไปและลูกผสมไร้เวทย์อย่างนางไม่มีทางที่จะใช้หนังสือเล่มนี้ทำอะไรได้ แค่จะหามาอ่านยังแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมีแค่พวกผู้วิเศษที่ศึกษาการใช้เวทย์เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้อ่าน
แต่อาซาเลียได้ให้เหตุผลไว้ว่า แม้นางจะไม่สามารถใช้เวทย์ได้ แต่นางอาจจะช่วยหาวิธีที่จะจับพ่อมดดำได้
นางต้องการหาวิธีสะกดพลังเวทย์เอาไว้ จะได้ป้องกันคำสาปจากปีศาจ หรือสร้างกับดักให้พ่อมดดำไม่สามารถสำแดงฤทธิ์ได้ นางรู้ว่าเหล่าผู้วิเศษนั้นมีงานสำคัญมากมายที่ต้องรับผิดชอบ จึงอยากช่วยแบ่งเบาภาระ และช่วยกำจัดศัตรูของโฮลี่
ด้วยความไว้วางใจและความสนิทสนมจากผู้วิเศษที่อาซาเลียได้สะสมมาหลายเดือน รวมกับภาพพจน์ของผู้ศรัทธาที่เคร่งครัด ทำให้นางได้หนังสือเล่มนั้นมา
แน่นอนว่าอาซาเลียรู้ดี ว่าเจทจะไม่กลับมา แหวนคู่รักของนางยังคงอยู่ในซอกกำแพง
เป้าหมายของอาซาเลีย คือการหาทางที่จะสะกดพลังของลูกเอาไว้ อย่างน้อยต้องให้ได้นานพอที่จะให้ลูกน้อยผ่านวัยสิบหกปีไปให้ได้
ไม่ว่าจะเป็นผู้วิเศษสายตรงหรือลูกผสมก็ตาม หากโตจนเลยอายุสิบหกปีไป แล้วยังไม่มีวี่แววที่ใช้พลังเวทย์ได้ ก็ถือว่าเป็นคนไร้เวทย์ จะไม่ได้รับความสนใจจากเหล่าผู้วิเศษ และปล่อยให้ไปใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ไร้เวทย์ที่มีอิสระมากกว่า
อาซาเลียค้นพบเวทย์ที่ต้องการในที่สุด และรู้ดีว่านางต้องแลกด้วยอะไร
“เอ็ม เจ้าให้สัญญากับข้าได้ไหม”
อาซาเลียเอ่ยขึ้นในคืนหนึ่ง ระหว่างเอ็มนอนพิงท้องที่แก่จวนคลอดของนาง โดยพยายามแนบหูฟังความเคลื่อนไหวของเด็กอย่างเพลิดเพลิน มือเรียวบางลูบเรือนผมสีทองของเพื่อนรักอย่างเอ็นดู
“สัญญาซิ” เอ็มตอบโดยไม่เสียเวลาคิด เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากอาซาเลีย
“เจ้าไม่คิดจะฟังก่อนแล้วค่อยตัดสินใจหรือ”
“แล้วพี่คิดว่าข้าจะปฏิเสธคำขอของพี่หรือ”
อาซาเลียยิ้มรับ นางรู้คำตอบของอีกฝ่ายดี
นัยน์ตาสีดำขลับเหลือบมองไปทางประตู เมื่อเห็นว่ายังไม่มีวี่แววของผู้วิเศษที่แวะไปปลดทุกข์ข้างนอกจะกลับเข้ามา นางก็ก้มลงมองรุ่นน้องบนตัก
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าตั้งชื่อให้ลูกของข้าอย่างเด็ดขาด”
เอ็มเงยหน้าขึ้นสบตาอาซาเลียเหมือนไม่เชื่อหู
“พี่ทำไมพูดเหมือนพี่จะไม่อยู่อย่างนั้นล่ะ พี่จะทิ้งลูกไว้แล้วไปตามหาเขาหรือ?”
อาซาเลียแย้มรอยยิ้มบางๆ “ข้าอยากให้เจทเป็นคนตั้งชื่อลูก”
เอ็มพอจะเข้าใจความรู้สึกที่อยากไปตามหาคนรัก และทารกจะเป็นภาระอย่างมาก หากต้องไปใช้ชีวิตแบบคอยหลบหนีแบบพ่อมดแม่มดดำที่ถูกไล่ล่าตลอดเวลา
“ข้ายังมีอีกอย่างให้เจ้าช่วย ตอนที่ข้าคลอดลูก ผู้วิเศษที่เป็นชายจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเฝ้าพวกเราในบ้านได้ จะมีเพียงเจ้า ที่ทำหน้าที่เป็นหมอตำแย กับข้าที่คลอดลูกอยู่แค่สองคน ตอนนั้นรบกวนเจ้าช่วยหาแหวนของข้าด้วย”
ว่าแล้วนางก็ชี้ไปยังซอกกำแพงไม้ผุๆข้างประตูหน้ากระท่อม เอ็มมองตามมือไป แล้วเข้าใจในที่สุดว่าทำไมอาซาเลียไม่ยอมซ่อมกำแพงผุๆนั้นเสียที ได้แต่เอาตู้เล็กวางของมาตั้งบังเอาไว้ไม่ให้ดูน่าเกลียดเกินไป
เอ็มรับปากที่จะช่วยหาแหวนให้ อาซาเลียเคยบอกเรื่องคุณสมบัติของแหวนคู่รักให้กับรุ่นน้องแล้ว ทำให้เอ็มรู้ว่าหากอาซาเลียอยากหาเจทให้เจอ แหวนวงนี้จะมีความสำคัญเป็นที่สุด
“พี่จะไปนานไหม”
“ไม่รู้ซิ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลลูกให้พี่เอง”
เอ็มที่ยังนอนอยู่บนตัก ยกวงแขนขึ้นโอบรอบเอวอาซาเลีย ราวกับได้กอดทั้งแม่และลูกที่ยังอยู่ในท้อง พร้อมคำมั่นสัญญา
อาซาเลียโน้มลงโอบกอดเพื่อนรัก
เทศกาลนีโวลาห์ เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดของฤดูเก็บเกี่ยว และเตรียมตัวเข้าสู่ฤดูหนาว โดยมีความเชื่อว่าในวันนี้ เขตแดนระหว่างภพมนุษย์ สวรรค์และนรกจะบรรจบเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถติดต่อกับญาติมิตรสหายที่จากไปแล้ว รวมไปถึงการเปิดประตูนรกให้เหล่าวิญญาณชั่วร้ายมาทำลายพืชผลและทำให้เจ็บป่วย
ความเชื่อนี้ทำให้เกิดธรรมเนียมในการแบ่งผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ มาใช้ไหว้บรรพบุรุษ และถวายให้แก่โฮลี่ เพื่อขอพรให้ช่วยคุ้มครองตัวเองกับครอบครัว และผลิตผลจากเหล่าวิญญาณร้าย
ในวันนี้ผู้คนจะสนุกสนานไปกับการแต่งตัวเลียนแบบภูตผีปีศาจ ดื่มกินและเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง เพื่อทำให้วิญญาณชั่วร้ายหวาดกลัวและไม่กล้าทำร้าย ซึ่งคงจะเป็นช่วงเวลาเดียวในปีที่เหล่าผู้วิเศษจะยอมให้ผู้ศรัทธาสนุกกับการเป็นปีศาจได้
ท่ามกลางการฉลองของเทศกาลนีโวลาห์ ไกลออกไปในป่าของผู้วิเศษ กลับมีเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากในกระท่อมไม้เก่าๆ
อาซาเลียเริ่มเจ็บท้องคลอดตั้งแต่เช้ามืด และได้เอ็มมาช่วยเป็นหมอตำแย เนื่องจากหมอตำแยส่วนมากจะไม่ยอมทำคลอดให้กับเด็กที่มีเลือดของพ่อมดแม่มดดำอยู่ เพราะเชื่อว่าจะทำให้โชคร้าย
เป็นดังที่อาซาเลียคาด ผู้วิเศษชายซึ่งมีหน้าที่เฝ้าพวกนาง ได้แต่รออยู่นอกกระท่อม ตามธรรมเนียมที่ห้ามผู้ชายเข้ามาดูเวลาผู้หญิงคลอดลูก
เอ็มได้ยกน้ำชาและขนมเทศกาลนีโวลาห์ พ่วงด้วยเตาเล็กแบบพกพาไปให้ผู้วิเศษในห้องเก็บสมุนไพร โดยให้เหตุผลว่าจะได้หลบอากาศหนาว และมีที่นั่งรอ ทำให้สบายกว่ายืนเฝ้านอกประตู และห้องสมุนไพรก็ได้ยินเสียงรบกวนจากในกระท่อมน้อยกว่า
ผู้วิเศษรายนี้มาเฝ้าพวกนางอยู่บ่อยครั้ง จึงได้สนิทกันในระดับนึง เขารับข้อเสนอของเอ็มโดยไม่คิดมาก แถมหญิงที่กำลังคลอดลูกนั้น จะทำอะไรได้มากมายเชียว
แต่การที่ผู้วิเศษยอมไปรอในห้องเก็บสมุนไพร ก็เปิดโอกาสให้เอ็มมีโอกาสแงะกำแพงไม้ผุๆใกล้ประตูหน้ากระท่อม เพื่อหาแหวนให้อาซาเลีย โดยไม่ต้องกังวลว่าเสียงจะดังจนผู้วิเศษได้ยิน
อาซาเลียใช้โอกาสในขณะที่นางกำลังจะคลอด กรีดร้องเสียงดัง เพื่อกลบเสียงย้ายตู้ที่บังซอกกำแพงออก และเสียงแงะกำแพงไม้ ใช้เวลาอยู่ซักพักเอ็มก็หาแหวนได้สำเร็จ เศษกำแพงไม้ที่หลุดออกมา ผุเกินกว่าจะซ่อมได้ จึงโดนโยนทำเป็นเป็นฟืนต้มน้ำร้อนไป ตู้เล็กถูกเลื่อนไปปิดกำแพงไว้เหมือนเดิม เดี๋ยวค่อยหาข้ออ้างมาซ่อมอีกที
เมื่อเอ็มได้แหวนมาแล้ว นางรีบเก็บไว้ก่อน แล้วไปช่วยอาซาเลียคลอดลูก
อาซาเลียทรมานอยู่หลายชั่วโมง จากเช้ามืดแปรเปลี่ยนเป็นยามสาย กว่าเสียงเด็กจะร้องก็ปาเข้าไปเที่ยงวัน
ทารกน้อยเพศชายแผดเสียงร้องสนั่น สองหญิงมองร่างน้อยๆที่เพิ่งเกิดมาอย่างดีใจ
เอ็มตัดสายสะดือแล้วล้างน้ำคร่ำออก ห่อตัวทารกอย่างทะนุถนอม แล้วมอบให้กับคุณแม่มือใหม่
“พี่รู้ว่าข้าไม่ชอบเด็กเท่าไหร่ แต่ทำไมลูกพี่ดูน่ารักจัง” เอ็มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มยามจ้องมองร่างเล็กๆในอ้อมแขนของอาซาเลีย
“แม่สวยขนาดนี้ ลูกก็ต้องน่ารักเป็นธรรมดา”
เอ็มหัวเราะกับคำชมตัวเองและลูกของอาซาเลีย
“ดีแล้วที่เหมือนแม่ ข้ายังเกรงอยู่เลยว่าลูกพี่จะเกิดมาจมูกเบี้ยวเหมือนพ่อ”
เอ็มหยอกล้อกลับ เรียกเสียงหัวเราะจากคุณแม่ที่ทั้งเจ็บและเหนื่อย แต่ดูเป็นสุขยิ่งนัก นางรู้ดีว่าอาซาเลียชอบจมูกที่เป็นเอกลักษญ์ของเจท บางทีอาจจะชอบใจด้วยซ้ำหากลูกได้รับจุดเด่นนี้มา
เอ็มหยุดคุย และปล่อยให้คุณแม่หมาดๆได้พักระหว่างทำความสะอาด
อาซาเลียจ้องมองทารกน้อยไม่วางตา ราวกับพยายามจดจำทุกรายละเอียด ร่างเล็กๆอุ่นๆแสนนุ่มนิ่ม ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย
ดูท่าว่าลูกของนางจะได้รูปร่างของแม่มาจนหมด น่าเสียดายที่เด็กน้อยยังไม่ลืมตา อาซาเลียจึงไม่สามารถรู้ได้เลย ว่าลูกน้อยได้ดวงตามาจากใคร
อาซาเลียก้มลงจูบหน้าผากมนอุ่นๆของลูกน้อยในอ้อมแขนอย่างรักใคร่
ไม่ต้องห่วง ข้าจะปกป้องเจ้าเอง
“เอ็ม...ขอบคุณมากนะ”
เอ็มที่ทำความสะอาดเสร็จ และกำลังล้างมืออยู่ หันมาสบตากับอาซาเลีย ก่อนจะเช็ดมือให้แห้ง แล้วยื่นมากุมมือนางไว้
“รีบหาเจทให้เจอล่ะ ข้าอยากเรียกชื่อหลาน”
เอ็มเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม อาซาเลียบีบมือเรียวบางที่แสนแข็งแกร่งนั้นไว้
ก่อนจะยอมปล่อยในที่สุด
“ข้าอยากดื่มชาดอกอาซาเลีย ใส่น้ำผึ้งให้ข้าเยอะๆนะ”
คุณแม่หมาดๆขอด้วยเสียงอ่อนเพลีย ชาดอกอาซาเลียต้องไปเอาเพิ่มจากในห้องเก็บสมุนไพร ซึ่งเอ็มคงเลี่ยงที่จะสนทนากับผู้วิเศษที่รออยู่ในนั้นเสียมิได้ นางต้องเตรียมเครื่องดื่มและของว่างไปเพิ่มให้ด้วย คงใช้เวลาซักพักกว่าจะกลับมาดูแลอาซาเลียต่อได้
เอ็มลุกขึ้นไปเตรียมของตามคำขอของอาซาเลีย ปล่อยให้ร่างบางกับทารกอยู่ตามลำพังเพียงสองคน
ทันทีที่เอ็มออกจากกระท่อมไป เสียงหวานอันอ่อนแรงก็เริ่มร่ายเวทย์ที่นางท่องจำจนขึ้นใจ
ระหว่างร่ายมนตร์ มือเรียวบางหยิบมีดพกเล่มเล็กของเจท ที่นางเก็บติดตัวไว้ตลอดตั้งแต่ได้รับมา ใช้กรีดนิ้วชี้จนเลือดซึม แล้วป้ายนิ้วชุ่มเลือดลงบนหน้าผากของลูกน้อย ลากเส้นไล่ลงมาจรดจมูกและปาก
เมื่อบทเวทย์จบลง เลือดที่ถูกวาดเป็นเส้นยาวจากหน้าผากจรดริมฝีปากก็เรืองแสงอ่อนๆ ก่อนจะซึมหายไปใต้ผิวอย่างอัศจรรย์ พร้อมกับแผลตรงนิ้วของอาซาเลียที่สมานเข้าด้วยกัน จากพลังเวทย์ที่นางมีเพิ่มขึ้นจนร่างกายรักษาตัวเองได้เร็วกว่าคนทั่วไป
พิธีสะกดพลังจบลงแล้ว
ด้วยเวทย์บทนี้ อาซาเลียมั่นใจว่าบุตรชายของตนจะมีชีวิตอย่างคนไร้เวทย์จนเลยอายุสิบหกปี หากมันก็แลกมากับการที่เขาต้องเป็นคนไร้ตัวตนตลอดเวลาที่พลังถูกสะกด นั่นเป็นสาเหตุที่อาซาเลียไม่ยอมตั้งชื่อให้ลูกน้อย และการไร้ชื่อไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยนเดียวที่นางต้องทำ
อาซาเลียรู้สึกถึงพละกำลังที่ค่อยๆสูญหาย ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาจนรวยริน
แม้หลายเดือนที่ตั้งท้องนางจะมีพลังเวทย์เพิ่มขึ้น แต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะใช้สะกดพลังเวทย์ของลูกน้อยได้เลยสิบหกปี
นางตัดสินใจ ยอมแลกการสะกดพลังเป็นเวลาที่ยาวนานขึ้น ด้วยเวลาของตัวเอง
อาซาเลียมอบชีวิตให้กับลูก
ก่อนที่สติและลมหายใจสุดท้ายของนางจะหมดลง อาซาเลียยิ้มให้กับความคิดอันขบขันของตน
นางหวังว่าจะกลายเป็นปีศาจ ให้เจทได้อัญเชิญนางไปอยู่เคียงข้าง และกลับมารับลูกกับเอ็มไปใช้ชีวิตให้ไกลห่างจากพวกผู้วิเศษ
น่าสงสัยจริงๆว่าถ้านางกลายเป็นปีศาจ นางจะได้พลังอะไรมาช่วยปกป้องคนสำคัญทั้งสาม บางทีเวทย์ของนางหลังจากได้เป็นปีศาจอาจจะแก่กล้ากว่าเจทด้วยซ้ำ
เจท...เจ้าต้องอัญเชิญข้ามาให้ได้นะ
เอ็มนั่งช็อคค้างอยู่ข้างร่างไร้ชีวิตของเพื่อนสนิท
นางเร่งรีบวิ่งกลับมาตอนได้ยินเสียงร้องของทารก ก่อนจะพบอาซาเลียที่หมดลมหายใจ ดูเผินๆราวกับหญิงงามที่หลับไหล โดยมีทารกตัวน้อยในอ้อมแขนส่งเสียงร้องไม่หยุด
เอ็มอุ้มร่างน้อยๆขึ้นมาจากวงแขนที่ยังอุ่นอยู่ พยายามช่วยกล่อมให้ทารกน้อยหยุดร้อง ในหัวของนางโล่งขาวโพลน เหมือนร่างกายเคลื่อนไหวไปเอง โดยพยายามปิดกั้นความคิดใดๆก็ตาม ราวกับว่ามันจะช่วยกั้นความจริงที่จ้องมองนางอยู่ตรงหน้าได้
ผู้วิเศษที่ตามเอ็มเข้ามาในกระท่อมด้วย แสดงความเสียใจกับนาง เขาเองก็รู้จักทั้งสองมาหลายเดือน จะรู้สึกผูกพันบ้างก็ไม่แปลกอะไร แต่เขายังมีหน้าที่ต้องทำ
ผู้วิเศษทำการจดบันทึกเวลาตายตามหน้าที่ การเสียชีวิตระหว่างคลอดลูกนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกในหมู่ชาวบ้าน ที่ไม่มีพลังเวทย์มาช่วยฟื้นฟูร่างกาย หรือมีผู้วิเศษมาคอยติดตามช่วยใช้เวทย์รักษา
หากหน้าที่หลักของผู้วิเศษในวันนี้ คือการบันทึกการเกิดของลูกผสมพ่อมดดำ ในอนาคตข้างหน้า เด็กคนนี้จะต้องอยู่ภายใต้สายตาของผู้วิเศษ เพื่อพิจารณาว่าจะเป็นอันตรายต่อสังคมหรือไม่
เมื่อเขาถามชื่อของทารกแรกเกิด เอ็มใช้เวลาซักพัก ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ
“นางไม่ได้ตั้งชื่อไว้”
ผู้วิเศษส่ายหน้าอย่างตำหนิ แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรที่เป็นแง่ลบเกี่ยวกับคนตายที่เพิ่งจากไป
ชื่อถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะชื่อนั้นมีพลังอยู่ในตัว ยิ่งเป็นผู้มีเวทย์ ชื่อยิ่งสำคัญ เพราะเวทย์บางบทจำเป็นต้องใช้ชื่อในการร่าย โดยเฉพาะการอัญเชิญทูตสวรรค์หรือปีศาจ ก็จำเป็นต้องใช้ชื่อในการทำสัญญาด้วย
ชื่อสามารถตั้งโดยพ่อหรือแม่ของเด็กเท่านั้น ชื่อถึงจะมีพลัง หากให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดมาตั้งให้ ชื่อก็จะเป็นเพียงนามที่ไร้พลัง ขนาดเป็นคนธรรมดาไร้เวทย์ยังถือกันว่าชื่อที่ไร้พลังนั้นจะไม่สามารถเอาไปใช้ขอพรได้ด้วยซ้ำ จึงมีธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน ว่าจะไม่ตั้งชื่อให้คนที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง มิเช่นนั้นแล้วจะโชคร้าย จะยกเว้นให้เพียงเด็กกำพร้าเท่านั้น ที่พ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นคนนอกสายเลือดจะมีสิทธิ์ตั้งชื่อให้ได้
แต่ทารกน้อยในอ้อมแขนของเอ็มยังมีพ่ออยู่ หน้าที่ในการตั้งชื่อจึงตกไปอยู่ที่เจท ซึ่งก็ยังคงหายสาบสูญ ไม่สามารถตามจับตัวได้ ต่อให้จะยกเด็กเป็นลูกบุญธรรมของใครก็ตาม แต่ตราบเท่าที่เจทยังมีชีวิตอยู่ คนอื่นก็ไม่สามารถมาตั้งชื่อให้กับทารกน้อยคนนี้ได้
ข้อมูลของลูกผสมรายนี้ ผู้วิเศษได้แต่ปล่อยให้ช่องใส่ชื่อว่างไว้ แล้ววงลักษณะลูกผสมเป็นแบบ ‘ฮาฟ’ คำเรียกของลูกผสมระหว่างพ่อมดหรือแม่มดดำกับผู้มีเชื้อสายของผู้วิเศษ
“ตอนเด็กเกิด ฝนตกหรือไม่”
เป็นคำถามที่แปลก จนแม้แต่ตัวผู้ถามเองยังดูงงๆกับคำถามที่ถูกกำกับมา เพราะปกติลูกผสมรายอื่นก็ไม่มีคำถามเรื่องดินฟ้าอากาศแบบนี้ หรือว่าคนแนบแบบสอบถามจะนึกสนุกอยากแกล้งคนให้งงเล่น ตามธรรมเนียมชอบเล่นสนุกและหยอกล้อคนในแบบที่ยามปกติจะทำไม่ได้ หากไม่ใช่ในวันปล่อยผีอย่างเทศกาลนีโวลาห์
เอ็มเพียงส่ายหัวอีกครั้ง
ตัวผู้วิเศษเองที่รออยู่ในห้องสมุนไพรก็จำได้ว่าไม่มีฝนตกในบริเวณนี้ แต่ทั้งสองไม่สามารถรับรู้ได้ เพราะม่านไม้หนาทึบเหนือหัวทำให้ไม่เห็นหรือได้ยินสายฝนเบาๆ ที่ตกในช่วงเวลาสั้นๆระหว่างทำคลอด
แถมไม่สามารถเห็นพระอาทิตย์ทรงกลดที่มาพร้อมกับสายฝน
ไกลจากบรรยากาศแสนเศร้าหมองในกระท่อม ณ วิหารโฮลี่แลนด์กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มิใช่เพียงจากเทศกาลนีโวลาห์เท่านั้น แต่เป็นความยินดีในการคลอดบุตรชายของผู้วิเศษระดับสูง
ทารกที่เกิดมาภายใต้พระอาทิตย์ทรงกลดและสายฝน ในวันที่สามภพบรรจบกันเป็นหนึ่ง
ทารกที่เกิดมาหลังครบรอบสงครามพันปีระหว่างพ่อมดแม่มดดำและผู้วิเศษ
ทารกที่เกิดมาตามคำทำนาย
ทางสองสายได้เกิดขึ้นแล้ว
-------------
เรื่องนี้วายแน่ค่ะ แค่บทนำมันยังไม่วายเท่านั้นเอง
ขอปูทางเรื่องเอาไว้ก่อน ในอนาคตจะเข้าใจเองค่ะว่าทำไมเริ่มบทนำนิยายวายด้วยฉากรักของชายหญิง
ส่วนรูปด้านล่างนี่ภาพดอกอาซาเลียค่ะ ที่จริงแล้วมีหลายสายพันธุ์ มีหลายสี บางชนิดก็มีกลิ่น หรือบางชนิดก็ไม่มีเลย
ถ้าสังเกตกัน น่าจะเห็นได้ว่าวันนีโวลาห์มีธรรมเนียมคล้ายๆกับวันฮาโลวัน
วันนีโวลาห์สะกดแบบนี้
NEEWOLLAH = HALLOWEEN
เล่นกลับคำเอาดื้อๆเลย
ที่เลือกเอาวันฮาโลวีนมาใช้ เพราะดูจากประวัติแล้ว คิดว่าเข้ากับคำทำนายดี
วันฮาโลวีนที่เป็นความเชื่อของชาวเควทิก (Celtic) ที่คนไอริชกับสก็อตนับถือกันก่อนศาสนาคริสต์ เป็นช่วงฉลองการจบลงของฤดูเก็บเกี่ยว แล้วเตรียมตัวเข้าสู่ฤดูหนาว เชื่อกันว่าเป็นวันที่เขตแดนของคนเป็นกับคนตายจะเชื่อมหรือบรรจบเข้าด้วยกัน เลยเป็นวันปล่อยผีให้ออกมาทำลายพืชผลและทำให้ผู้คนเจ็บป่วย (สมัยก่อนก็เข้าใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแบบนี้ เป็นคำอธิบายว่าทำไมช่วงฤดูหนาวพืชผลไม่ดีและคนป่วยง่าย) คนเลยแต่งตัวเลียนแบบภูตผี เพื่อทำให้พอใจหรือไม่เข้ามาทำร้าย
วัฒนธรรมนี้ติดไปกับพวกผู้อพยพชาวไอริชและสก็อตที่ย้ายไปอเมริกา แล้วค่อยเป็นที่นิยมจนจัดกันในหลายส่วนของโลกในที่สุดค่ะ
ที่จริงประวัติวันฮาโลวีนยังอีกยาว แต่นี่ตัดเอามาแค่บางส่วน แล้วก็เพิ่มเติมอย่างอื่นเสริมเข้าไปด้วย
ตอนแรกแต่งไว้คร่าวๆก็ไม่คิดว่าบทนำจะยาวได้ขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วชอบบทนำนี้มาก แต่งไปแต่งมาแล้วหลงเสน่ห์อาซาเลีย 555 สมกับเป็นหญิงงามพราวเสน่ห์จริงๆ ทั้งเอ็มและเจทก็น่าสนใจ ถึงบทจะน้อยแต่ก็เป็นบทสำคัญ
หวังว่าจะสนุกกันนะคะ
บทต่อไปตัวเอกจะได้ออกโรงแล้ว รอติดตาม!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ