XENON LIFER อมนุษย์พันธุ์ทมิฬ

8.3

เขียนโดย TwentySIX

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.59 น.

  13 chapter
  1 วิจารณ์
  15.01K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 11.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) Eccentric

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     บนทุ่งหญ้าที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์สีเลือด ยังมีเสียงต่อสู้ดังสนั่นหวั่นไหว เหล่าตุ๊กตาดินนับสิบตัวผุดขึ้นมาจากผิวดินอย่างไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด บนใบหน้าอันราบเรียบปรากฏแสงสีฟ้าสองจุดแทนตำแหน่งดวงตา พวกมันวิ่งทะยานเข้าหากลุ่มโกเลมที่ขึ้นมาก่อนหน้านั้น ทว่ายังไม่ทันได้วิ่งเข้าประชิด ก็มีคมดาบใหญ่สีแดงฟาดฟันแหวงทางออกมาจากภายใน
     ชายปริศนาสืบเท้าออกมาแล้ววิ่งไปจับหัวโกเลมตัวหนึ่ง ก่อนจะปักดาบแทงทะลุท้องมัน แล้วค่อยสลัดร่างโกเลมที่ยังติดคาอยู่บนปลายดาบลงพื้น จากนั้นเขาจึงจะเหยียบกระทืบที่ส่วนหัวมันจนแตกละเอียด
     เขากวาดสายตาไปรอบๆ ไม่ว่าซีน่อนจะทำลายพวกโกเลมนี่ไปสักกี่ครั้ง ซาลาสก็สามารถเรียกโกเลมชุดใหม่ออกมาได้เรื่อยๆ ชายปริศนาวางดาบใหญ่เรียดพื้น ตามคมดาบมีดวงตากลมเล็กติดอยู่ตั้งแต่กั่นดาบจรดปลาย
     ซีน่อนกระโจนเข้าหาพวกมันอีกหน เขาเหวี่ยงดาบใหญ่เพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถกวาดทำลายโกเลมให้กระจุยไปพร้อมกันเป็นสิบๆกว่าตัว ชายหนุ่มบิดข้อเท้าแล้วหมุนตัวตวัดฟันใส่สัตรูที่อยู่หลัง ลำตัวช่วงบนของเจ้าพวกนั้นกระเด็นหายไปอีกทาง บริเวณตำแหน่งดวงตาสีฟ้าค่อยๆดับแสงลง 
     น่ารำคาญชะมัด
     เขาบอกกับตัวเองแล้วกางมือขยุ้มเข้ากลางอกโกเลมอีกตัว ก่อนซีน่อนจะกระชากก้อนหินเรืองแสงสีฟ้า ที่เป็นเสมือนแกนกลางของโกเลมออกมา พอชายหนุ่มจัดการบีบก้อนหินจนแหลกคามือ เจ้าโกเลมที่ขาดแกนกลางของตนจึงสลายกลับคืนเป็นกองดินธรรมดาๆ
     ถ้าไม่ฆ่าซาลาสที่เป็นตัวคอยเสกโกเลมขึ้นมาเรื่อยๆ การต่อสู้นี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น
     พอคิดได้ดังนั้น ซีน่อนก็เหวี่ยงดาบใหญ่เป็นวงกว้าง เพื่อผลักให้ฝูงโกเลมออกไปจากเส้นทาง ทว่าเขายังไม่ทันขยับเท้าเพื่อก้าวเดิน ข้อเท้าทั้งสองก็ถูกมือศิลาที่ผุดขึ้นจากพื้นดินตรึงเอาไว้ ชายหนุ่มจึงแก้ทางด้วยการปักดาบใหญ่ลงที่พื้น ก่อนจะจัดการใช้ดาบงัดร่างโกเลมที่ซ่อนอยู่ใต้ดินขึ้นมาทั้งตัว แล้วจึงค่อยใช้ใบดาบตบไปที่ลำตัวมันจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ฝุ่นทรายร่วงกราวใส่เสื้อผ้าซีน่อน โดยที่ปกติแล้วเขาจะชอบการอาบเลือดมากกว่าการมาคลุกฝุ่นเสียอีก
     "หึหึหึ! เจ้าอยากจะทำลายสักเท่าไหร่ก็เชิญ แต่ข้าก็เรียกมันขึ้นมาได้เรื่อยๆนั่นแหละ!!"
     ชายปริศนาค้อมตัวลงแล้วงอเข่าเมื่อเหวี่ยงดาบเสร็จ สายตาชายหนุุ่มยังแข็งกร้าวไม่แสดงความย่อท้อ
     ในขณะนั้นเองก็มีโกเลมสองตัวพุ่งเข้ามาล็อคแขนทั้งสองข้างของเขา ซีน่อนปล่อยดาบใหญ่ร่วงตกพื้นแล้วใช้แขนล็อคคอโกเลมทั้งสอง ก่อนเขาจะตีลังกากลับหลังและทิ้งตัวกระแทกพื้น เพื่อจะได้หักคอเจ้าตุ๊กตาดินสองตัว ชายหนุ่มรีบดีดตัวลุกขึ้นยืนจากนั้นจึงคว้าดาบใหญ่มาฟันตัดลำตัวโกเลมไร้หัว เพื่อไม่ให้มันได้มีโอกาสฟื้นสภาพ
     ซีน่อนแหงนคอมองขึ้นฟ้า เขาเห็นฝูงโกเลมเป็นร้อยๆตัวกำลังปีนร่างพวกมันขึ้นไปสูงเสียดฟ้า จนดูคล้ายกับเป็นกำแพงศิลาที่สูงเกือบห้าสิบเมตร และกำแพงนั้นก็โอนเอียงตัวไปมาเตรียมพร้อมจะถล่มล้มทับชายปริศนา เงาดำถอดตัวบดบังร่างชายหนุ่มเสียจนเขาไม่สามารถมองเห็นแสงจันทร์
     ชักเริ่มเบื่อแล้วสิ...
     ชายปริศนาชูดาบเล่มใหญ่สีแดงขึ้น ดวงตาที่ติดอยู่บนคมดาบกระพริบปิดเปิดตามจังหวะ ก่อนเขาจะปักดาบลึกลงไปในพื้น เพียงแค่ชั่วพริบตาที่คมดาบสีแดงเพลิงปักแน่นติดกับพสุธา ที่ผืนดินแห่งทุ่งหญ้าวิญญาณหลอนก็ปรากฏลูกตาเปล่งแสงสีแดง กำลังกลืนกินพื้นที่เป็นรัศมีวงกว้าง โดยมีตำแหน่งที่ชายปริศนายืนอยู่เป็นจุดศูนย์กลางทั้งหมด
     "นั่นมันอะไรกันน่ะ?"
     ซาลาสเม้มริมฝีปาก ก่อนเขาจะตัดสินใจลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศ พ่อมดปีศาจเคยได้ยินว่ามีอาวุธในตำนานหลายชิ้น ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต่อกรกับปีศาจโดยเฉพาะ
    หรือมันจะเป็นอาวุธชิ้นนั้นด้วย?
     สักพักดวงตาทั้งหมดบนคมดาบใหญ่เล่มสีแดงก็หายไปหมด แทนที่ด้วยดวงเนตรนับหมื่นๆบนผืนดิน ซึ่งมันกินอาณาเขตเป็นวงกว้างหลายสิบกิโลเมตร ตอนนี้ตามพื้นเต็มไปด้วยแสงสีแดงจากนัยน์ตากลมเล็ก ที่ค่อยๆเพิ่มทวีแสงสีแดงให้เข้มขึ้นยิ่งกว่าเดิม
      ก่อนจากนั้นลูกตาทั้งหมดตามพื้นจึงจะทยอยไหลกลับคืนมาสู่ตัวดาบอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าปรากฏการณ์เมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ซีน่อนชักดาบใหญ่ออกมาเหวี่ยงลงข้างลำตัว เขาเสมองพื้นดินสีดำอันแห้งเหือดและเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ต้นหญ้าที่เคยตั้งตัวอยู่พากันเหี่ยวเฉาหมดสิ้น กองดินแตกสลายเป็นผงทราย เหล่าโกเลมนับร้อยที่ก่อตัวสูงเสียดฟ้าดุจกำแพงศิลา กลับพังทลายลงมาอย่างยากที่จะเชื่อ พวกมันทั้งหมดพากันแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี จากนั้นจึงค่อยลอยหายไปตามสายลม
     “ไม่เลวนี่ ซอมบี้บอย”
     ซาลาสกระตุกรอยยิ้มอย่างเตรียดจัด ในขณะที่ชายปริศนาเดินลางดาบมาทางเขา พ่อมดปีศาจก็สะบัดคทาไม้จ่อไปทางนั้น ริมฝีปากขมุบขมิบเป็นการร่ายคาถาบทใหม่อย่างรวดเร็ว
     ทว่า…
     มันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด
     ไม่ว่าซาลาสจะลองร่ายเวทใหม่อีกสักกี่ครั้ง หัวไม้คทาก็ไม่มีท่าว่าจะเปล่งแสงสีส้มเหมือนเคย เขาลองสังเกตอะไรให้มากกว่านี้ ว่าสาเหตุของการใช้เวทไม่ได้มันเกิดมาจากอะไรกันแน่ และจนกระทั่งสายตาฝ้าฟางได้เห็นชุดสีเขียวแก่ของเขา ที่ตอนนี้มีรอยถ่านดำๆเป็นรูปดวงตาหลายสิบรอย
     “...นึกว่าข้าจะหลบพ้นแล้วซะอีก”
     พ่อมดปีศาจปล่อยคทาในมือลงพื้นอย่างอ่อนแรง เขาล้มคุกเข่าอย่างยอมจำนน สิ่งที่ทำให้ซาลาสไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ คือสะกดมนตราของดาบที่ชายปริศนาใช้ และโดยปกติแล้วสะกดมนตรามันจะหายไปในไม่กี่นาที
     แต่สำหรับพ่อมดอย่างเขาแล้ว...การต้องมาต่อสู้กับนักล่าความชั่วร้าย ทั้งที่ตนเองไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้สัก2-3นาที นั่นก็หมายถึงความตายของเขานั่นเอง
 
     ไม่ค่อยชอบเลย...ไอ้อาวุธที่มักจะมีเวทโบราณติดตัวมาด้วยเนี่ย
 
     ชายปริศนาย่างสามขุมมายืนต่อหน้าซาลาส พร้อมนำดาบใหญ่ไปวางทาบคอพ่อมดปีศาจ สายตาชายหนุ่มจ้องมองลงมาอย่างไม่มีแววแห่งความเมตตา เขาคนนี้รู้จักแต่การฆ่าฟัน และเขาก็ทำมันมาตลอดทั้งห้าร้อยปีอย่างไม่มีการละเว้น ว่าสิ่งนั้นจะเป็นปีศาจแก่ๆ หรือผีผู้หญิงน่าสงสาร
     แต่หากว่าสิ่งนั้นคือความชั่วร้าย...เจ้าสิ่งนั้นก็สมควรตายกันทั้งสิ้น
     “มีอะไรจะพูดก่อนตายมั้ย...”
     ซีน่อนถามด้วยน้ำเสียงอันอำมหิต ตอนนี้เขากำลังกุมชีวิตของซาลาสเอาไว้ในกำมือ และเขาก็พร้อมที่จะบดขยี้ชีวิตนั้นได้ทุกเมื่อ
     “อะไรที่อยากจะพูดน่ะหรือ...ก็คงจะเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าออกล่าล่ะมั้ง” ซาลาสเปรยสั้นๆ ให้สิ่งที่เขากำลังจะพูดมันดูน่าสนใจ และซีน่อนเองก็ออกท่าทีสนใจด้วยเช่นกัน พอซาลาสรู้เช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
     “เจ้ากำลังตามหาความทรงจำที่ถูกผนึกอยู่ในตัวเจ้าล่ะสิ”
     “...แกรู้อะไร”
     ซีน่อนเอ่ยปากถาม ดวงเนตรสีแดงคล้ายจะสั่นระริกเบาๆ เหมือนกับว่าเขารู้สึกหวั่นไหวกับคำว่า ‘ความทรงจำที่ถูกปิดผนึก’ และเมื่อซาลาสจี้ได้ถูกจุดก็เตรียมจะยื่นข้อเสนอเป็นการแลกเปลี่ยน
     “ข้ารู้ถึงสิ่งที่เจ้าต้องการนะ ซอมบี้บอย ถ้าหากว่าเจ้า...” ยังไม่ทันที่ซาลาสจะพูดอะไรจบ ชายปริศนาก็พูดขัดขึ้นมาด้วยเสียงราบเรียบ
     “แต่แกยังรู้ไม่ลึกพอ”
     กล่าวจบ ชายปริศนาก็เหวี่ยงดาบใหญ่ลงมาในชั่วพริบตา คมดาบสีแดงบดยี้ตำแหน่งที่ซาลาสนั่งคุกเข่าจนแหลกละเอียด เสียงเนื้อถูกสับเป็นสองส่วน เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงท่อนกระดูกแตกหักจนไม่มีชิ้นดี ก่อนแขนข้างหนึ่งจะหมุนคว้างกลางอากาศ แล้วกระเด็นกลิ้งไปตกที่พื้น เลือดสีแดงกองใหญ่ไหลซึมผ่านผิวดินอย่างช้าๆ
     จิลรีบเร่งความเร็วในการบินมากขึ้น ตอนนี้เธอกลับเข้ามาในทุ่งหญ้าหลอนวิญญาณอีกครั้ง...ไม่สิ สภาพของที่นี่แทบจะไม่เรียกว่าเป็นทุ่งหญ้าแล้วด้วยซ้ำ เพราะพื้นดินนั้นแห้งแตก ต้นหญ้าที่เคยขึ้นเรียกรายเป็นแถวๆ ก็แห้งเหี่ยวกันไปตามๆกัน
     เธอพอจะเดาได้อยู่ ว่านี่คงจะเป็นผลมาจากการต่อสู้ ระหว่างซีน่อนกับพ่อมดปีศาจคนนั้นแน่ๆ
     จิลพยายามใช้พลังของสร้อยคอตามหาชายปริศนา ก่อนจะบินไปหายังจุดที่ชายหนุ่มยืนอยู่ เธอคลี่รอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้กลับมาเจอหน้าเขาอีกครั้ง แต่เขาคนนั้นกลับยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง ดวงตาสีแดงเลื่อยลอยจนอ่านไม่ออก มือซ้ายเขาถือดาบใหญ่เปื้อนเลือด และที่พื้นเบื้องหน้า...ก็เป็นซากศพของใครบางคนที่ถูกสับจนเละเป็นเศษเนื้อ
     หญิงสาวเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้ ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทาง นั่นคงจะเป็นศพ...ของพ่อมดปีศาจสินะ
     แต่สภาพนั้นมันดูโหดร้ายมากเกินไป
     “มัน...จบแล้วเหรอ”
     เธอถามโดยที่ไม่ได้หันมองมาทางซีน่อน ชายปริศนาเงก็พงกหัวขึ้นลงช้าๆ ก่อนเขาจะแบมือขวาออกเพื่อรองรับหยดน้ำที่ร่วงตกลงมา ก่อนจะมีหยดน้ำเม็ดอื่นร่วงลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นสายฝนตกพรำๆ ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ที่ขณะนี้มีแต่เมฆฝนอันมืดครึมเหมือนกับจิตใจอันดำมืดของตัวเขา
     “อือ...มันจบแล้ว...”
     เขาตอบสั้นก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังที่ๆมา หญิงสาวเองก็บินตามเขาไปพร้อมๆกัน โดยตลอดเส้นทางนั้นไม่มีใครปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น หรือแม้แต่ความคิดของซีน่อน ก็ยังว่างเปล่าถึงขนาดที่จิลไม่สามารถอ่านความคิดของเขาได้ เธอจึงได้แต่ตามไล่หลังเขาไป...โดยที่ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
     
     ซีน่อนย้อนกลับมาในหมู่บ้านที่ซีซาทำเขตอาคมเอาไว้ เมื่อเขามาถึงอาคัลก็พุ่งเข้ามาให้การต้อนรับทันที เด็กหนุ่มคนนั้นถามถึงการต่อสู้กับซาลาส แต่ชายปริศนาก็ไม่ยอมบอกอะไรทั้งสิ้น เขาเพียงแค่เดินเอาอัญมณีสีเขียวมรกต ไปมอบให้กับชายแก่ผู้สวมหมวกฟาง
     "ที่นี่คงพอจะมีคน ที่สามารถกางเขตอาคมได้ใหม่สินะ"
     ซีน่อนถามชายแก่คนนั้น และทุกคนในหมู่บ้านก็ออกมาให้การต้อนรับเขา เหมือนกับว่าชายปริศนาได้กลายเป็นฮีโร่ให้กับทุกคนในหมู่บ้าน เขากลอกตาไปทางซ้ายขวา จึงเห็นแม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆที่ส่งรอยยิ้มมาให้อย่างไร้เดียงสา
     "ขอบคุณพวกท่านมากจริงๆ นี่ทางศาสนจักรแสงคงจะส่งท่านมาช่วยพวกเราใช่มั้ย?"
     ชายแก่คนนั้นประคองมือรับอัญมณีเอาไว้ ทุกคนในหมู่บ้านส่งเสียงฮือฮาอย่างมีความหวัง ถ้าศาสนจักรแสงส่งชายคนนี้มาจริงๆ ก็หมายความว่าพวกเขาทุกคนก็อาจจะได้กลับออกไปจากเมืองลอสท์ในเร็ววันแน่ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทุกคนจึงทำมือเป็นรูปไม้กางเขนพร้อมกล่าวคำขอบคณแด่พระผู้เป็นเจ้า
     "ไม่ทราบว่าท่านมีชื่อว่าอะไรหรือ แล้วท่านเป็นภาคีใช่มั้ย?"
     ชายแก่เอ่ยปากถามอย่างต้องการคำตอบ พอพูดมาจนถึงตรงนี้จิลกับอาคัลก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าแท้จริงแล้วซีน่อนเป็นคนในศาสนจักรแสงจริงๆหรือไม่ หลายๆคนคาดหวังไว้ในใจ ว่าบุรุษผู้นี้อาจจะช่วยนำพาความสงบสุข กลับมาคืนสู่วันวานอันเช่นเคยได้
     แต่ราวกับว่าภาพที่วาดฝันเอาไว้นั้นถูกทำลาย ดวงตาซ้ายของซีน่อนที่มีลักษณะเป็นเสี้ยงแหลมๆนั้น เพิ่งจะเป็นที่สังเกตแก่คนทุกคน เด็กหนุ่มผมยาวสีทองเองก็เช่นกันที่มารู้สึกตัวเอาตอนนี้ เขาเหลือบมองไปทางชาวบ้านเพื่อดูปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงไป
     "ฉันไม่ใช่ภาคี..."
     ชายปริศนาตอบ ตอนนี้สายฝนที่ตกพรำๆก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ คบเพลิงที่จุดตามบริเวณโดยรอบพากันดับลง และแม้เสียงที่เขาพูดต่อไปนี้จะไม่ได้ดังมากมาย...แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ชาวบ้านทุกคน ต้องแสดงสีหน้าอันซีดเผือกออกมา
     "...ฉัน...เป็นผู้ร่วงหล่น"
     เหมือนกับว่าทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว จิลหันรีหันขวางไปรอบๆ สายตาชาวบ้านทุกคนที่พากันจับจ้องชายปริศนาด้วยความหวาดกลัวและความจงเกลียดจงชังนั้น ช่างแตกต่างจนเธอเกือบจะนึกภาพรอยยิ้มเมื่อสักครู่แทบไม่ออก หรือแม้แต่ชายแก่ผู้รับอัญมณีเม็ดสำคัญมาจากมือซีน่อนเอง ก็ก้าวถอยหลังสะเปะสะปะ
    นี่มันอะไรกันเนี่ย?
     จนในที่สุดก็มีใครบางคนทำลายความเงียบอันนี้ เมื่อก้อนหินขนาดพอเหมาะมือ ถูกขว้างออกไปโดนหัวซีน่อนอย่างจัง ศีรษะชายหนุ่มโยกตามแรงปะทะ เลือดสีดำสนิทไหลย้อยลงมาหยดพื้นที่เปียกเฉอะแฉะ เหตุการณ์เมื่อสักครู่ทำให้ชาวบ้านหลายๆคน เริ่มกล้าที่จะหยิบก้อนหินตามพื้นมาขว้างปาใส่เขา 
     นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!?
     จิลกับอาคัลปรับความเข้าใจไม่ทัน ทำไมเรื่องแบบนี้มันถึงเกิดขึ้นล่ะ ทั้งๆที่เมื่อกี้ทุกคนยังมีรอยยิ้มกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ!
     ไม่มีเวลาให้พวกเขาทำความเข้าใจมากนัก ซีน่อนขยับตัวมาบังร่างอาคัลเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กหนุ่มโดนลูกหลงจากการขว้างปาก้อนหินอันบ้าคลั่ง และตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่มีชาวบ้านบางคนกล้าจะนำของมีคมออกมาปาใส่บ้าง นั้นจึงทำให้ชายปริศนาต้องกางชายเสื้อโค้ทออก เพื่อไม่ให้อาวุธชิ้นใดผ่านไปทำร้ายโดนอาคัล
     แม้หญิงสาวจะไม่โดนอะไรไปด้วยเพราะเธอยังอยู่ในร่างจิต แต่จิลก็ยังเข้าไปหลบหลังซีน่อนเหมือนกับอาคัล เพราะเริ่มรู้สึกกลัวกับสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้น
     "ไอ้ปีศาจนอกรีต!!!"
     "ขับไล่มันออกไป!!!"
     "ออกไปซะ ไอ้ปีศาจ!!!"
     "แกมันไอ้ขยะโสโครก!!!"
     และอีกนาๆคำสบถและคำด่าแช่งที่พ่นออกมา หญิงสาวไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าเธอจะได้ถ้อยคำอันรุนแรงแบบนั้นทำ จนสุดท้ายซีน่อนก็ต้องตัดสินใจพาอาคัลเดินกลับออกไปจากหมู่บ้าน ในตอนนั้นจิลหันมาเหลือบมองพวกชาวบ้านที่กำลังขว้างปาสิ่งของมาเล็กน้อย ตอนนั้นเธอเห็นอะไรสักอย่างที่มันดูผิดแผกแปลกไป
     ไม่สิ...มันดูมีอะไรสักอย่างที่มันไม่ใช่ยังไงก็ไม่รู้
     ทั้งๆที่ซีน่อนเป็นคนช่วยหมู่บ้านนี้เอาไว้ แต่ทำไมพวกเขาถึงตอบแทนกับชายหนุ่มอย่างงี้ล่ะ
     นี่มันบ้าที่สุด...มัน...มันไม่น่าจะเป็นอย่างงี้เลยด้วยซ้ำ
     มันไม่น่าจะเป็นอย่างงี้เลยจริงๆ!
     ทุ่งหญ้าหลอนวิญญาณที่บัดนี้ไม่หลงเหลือเค้าเดิม ก็ได้มีเงาตะคุ่มๆที่รูปร่างสูงผอมผิดปกติ เดินหลังโก่งเข้ามายังจุดที่เคยเกิดการต่อสู้ ร่างที่ดำราวกับเงามืดก้มตัวหยิบแขนข้างหนึ่งที่ตกหล่นกับพื้นขึ้นมาดู เขาสังเกตรอยถูกของมีคมขนาดใหญ่ตัดขาดอย่างหมดจดที่แขน นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้ลงมือสังหารมีพละกำลังและความสามารถมากแค่ไหน
     "เจ้า..เป็นตัวการของเรื่องนี้ใช่มั้ย"
     ผู้ร่วงหล่นเปรยขึ้น พร้อมหันมองข้ามไหล่ไปด้านหลัง แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ก็มีชายผู้สวมชุดสีขาวเดินออกมาจากเงามืด ตรงอกซ้ายปักตราสัญลักษณ์ดอกกุหลาบสีแดง ซึ่งรับเข้ากับนัยน์ตาสีเงินที่เปล่งประกายในความมืดมิด เขาคนนั้นเสมองกองเลือดของซาลาสแบบไม่ไยดี ก่อนจะลากสายตากลับมาที่ผู้ร่วงหล่นอันน่ารังเกียจเช่นเดิม
     "ข้าได้ข่าวมา ว่ามีผู้ร่วงหล่นหลายคนในเมืองลอสท์ได้หายสาปสูญไป...และนั่นก็คงจะเป็นฝีมือของเจ้า"
     "...ก็ทำนองนั้น" 
     ชายนิรนามบอก ก่อนเขาจะใช้มือขวาชักดาบเรียวยาวสีเงินออกจากฝัก บริเวณกั่นดาบที่ดูคล้ายกับกลีบกุหลาบนั้นยังคงดูงดงามไม่สร่าง การชักอาวุธออกมานั้นแทบจะเป็นคำตอบของทุกๆสิ่ง ว่าชายผู้นี้มีเป้าหมายอะไร และเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่
     "นี่คงไม่ใช่แผนการทั้งหมดของเจ้าสินะ"
     ผู้ร่วงหล่นถามเป็นคำสุดท้าย ร่างของเขาขยายตัวขึ้นจนสูงกว่าสิบเมตร ดวงตากลมๆสีแดงเรียวเล็กลงเหมือนนัยน์ตาสัตว์ร้าย มือสองข้างเต็มไปด้วยมัดกล้ามและกรงเล็บอันแหลมคม ตอนนี้ผู้ร่วงหล่นที่ตอนแรกน่าจะดูเหมือนเป็นแค่เงาดำผอมๆ ทว่าในตอนนี้มันกลับกลายเป็นอสูรร้ายที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างให้สิ้นซาก 
     เสียงคำรามดังต่ำในลำคอผู้ร่วงหล่น สายตามันจ้องมองชายนิรนามอย่างกินเลือดกินเนื้อ ซึ่งบุรุษผู้สวมชุดสีขาวก็เพียงแค่สะบัดดาบไปจ่อหน้ามัน ก่อนจะกล่าวอะไรทิ้งท้ายเอาไว้
     "จงหายไปซะ..."
..................................................................
 
เพราะข้าเดินย่ำอยู่ในทะเลเลือด
ข้าจึงได้ถูกตราหน้าว่าเป็น "ไอ้ขยะโสโครก"
 
และเพราะข้าไม่อยากที่จะกลายเป็น "ไอ้ขยะโสโครก"
ข้าจึงได้พยายามทำทุกหนทางเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน
แต่สิ่งที่ข้าสามารถทำได้นั้น ล้วนมีเพียงแต่การทำลายล้างความชั่วร้าย
และยิ่งข้าค่อยเฝ้าทำลายล้างมันมากเท่าไหร่
ตัวข้าก็จะยิ่งจมดิ่งลงไปในทะเลเลือดมากเท่านั้น
และเมื่อข้ารู้สึกตัวอีกทีหนึ่ง...
ข้าก็ไม่สามารถ...หลีกหนีจากการเป็น "ไอ้ขยะโสโครก" 
 
..................................................................
     พวกซีน่อนพากันหนีออกไปจากป่าสนไร้ใบอย่างไม่คิดจะหวนกลับ ก่อนซีน่อนจะลองสังเกตตำแหน่งปัจจุบันที่ตัวเองอยู่ พบว่าที่นี่เป็นโบราณสถานที่ทำเอาไว้สักการะบูชาเทพเจ้า ประตูเหล็กตั้งปิดขวางทางเข้าเอาไว้อย่างหนาแน่น แผ่นศิลาที่ก่อตัวเป็นกำแพงเต็มไปด้วยคราบตะไขร่สีดำ ชายหนุ่มกวาดตามองดูรอบๆอีกครั้ง เพราะว่าโบราณสถานแห่งนี้ได้รับความเสียหายบางส่วน แถมรูปปั้นที่เคยประดับเอาไว้ด้านหน้าทางเข้า ก็ถูกได้รับความเสียหายจนเหลือเพียงแต่ส่วนขา
     เนื่องจากอาคัลได้เดินทางกันมาอย่างต่อเนื่อง แถมเด็กหนุ่มก็ยังไม่ได้หลับพักผ่อน ดังนั้นซีน่อนจึงตัดสินใจว่าพวกเขาจะพักแรมที่นี่สักพัก
     ซึ่งเขาควรจะไปตรวจสอบก่อน ว่าพื้นที่แห่งนี้ยังมีพวกปีศาจหลบซ่อนอยู่อีกหรือไม่
     แต่ยังไม่ทันที่ชายปริศนาจะดำเนินการอะไรต่อ จิลก็ลอยเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าร้อนร้น เธอใช้มือแตะไปที่ใบหน้าซีน่อนเบาๆ ก่อนจะนิ่วหน้าอย่างรู้สึกเป็นกังวล แม้เธอจะลอยทะลุร่างชายปริศนาได้ แต่เธอก็สามารถสัมผัสกับเขาโดยตรงได้เช่นกัน
     "ซีน่อน นายเจ็บตรงไหนบางมั้ย!"
     เธออุทานออกมาอย่างกลั้นกลุ้ม ซึ่งตอนแรกชายปริศนาก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าจิลจะถามเรื่องอาการบาดเจ็บกับเขาไปทำไม แต่พอมานึกได้ว่าที่แก้มเขายังมีตะปูฝังลึกอยู่ ประกอบกับเลือดสีดำที่ไหลอาบหน้า จึงทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
     "...ฉันไม่เจ็บหรอก ยัยเซ่อ"
     "แต่นายเลือดออกเยอะมากเลยนะ!!" จิลแสดงสีหน้าไม่เชื่อ เธอคิดว่าเขาต้องแกล้งทำเป็นไม่เจ็บเพื่อให้เธอสบายใจอยู่แน่ๆ เพราะว่านายคนนี้เป็นคนเย็นชาอยู่แล้ว เลยคิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้วเธออาจจะทำเป็นไม่สนใจเขาล่ะสิ!
     ชายหนุ่มประสานสายตากับหญิงสาวตรงๆ ซึ่งตอนนั้นเองชายปริศนาก็เพิ่งจะมาฉุกคิดอะไรบางอย่าง ว่าตั้งแต่ตอนที่เขาได้พบเจอกับหญิงสาวครั้งแรกมาถึงปัจจุบันนี้ เธอยังไม่รู้เลยสักครั้ง ว่าซีน่อนสามารถฟื้นฟูบาดแผลได้ทั้งหมด และสาเหตุที่ทำให้เธอไม่รู้ก็เพราะว่าเธอไม่ได้อยู่ดูทุกการต่อสู้ของเขานั่นเอง
     "นี่ อาคัล! นายช่วยฉีกเสื้อออกมาให้สักหน่อยสิ!"
     จิลหันไปขอความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากเด็กหนุ่มภูต เขาคนนั้นแอบเหล่มองซีน่อนคล้ายจะส่งคำถามไปให้ว่า 'จะไม่ยอมบอกอะไรหน่อยเหรอ' แต่ชายปริศนาเองก็ไม่ได้พูดอะไรกลับมา เพราะเขาดันถูกบังคับให้ไปนั่งพิงกำแพงศิลาของโบราณสถาน ส่วนจิลก็ไม่รอให้อาคัลช่วยแบ่งเศษเสื้อผ้าของตน เธอลอยถลาเข้าไปฉีกเสื้อเขาออกมาส่วนหนึ่งแบบตามอำเภอใจ
     "รอก่อนนะ...ด..ด..เดี๋ยวฉันจะช่วยทำแผลให้"
     หญิงสาวลอยกลับมานั่งข้างหน้าซีน่อน มือสองข้างประคองเศษผ้าสีขาวเปื้อนดิน แต่เธอก็จัดการใช้พลังวิญญาณช่วยชำระล้างให้มันกลับมาขาวสะอาดอีกครั้ง ก่อนตัวผ้าจะเรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆ ซึ่งนั่นก็คือเวทรักษาขั้นพื้นฐานในสาขาพลังวิญญาณ
     "พอเถอะน่า...ฉันไม่ได้เจ็บอะไรสักหน่อย" ซีน่อนปัดไม้ปัดมือไม่ขอรับการรักษา
     "โกหก! ก็เห็นอยู่ว่าเมื่อกี้นายโดนพวกเขาทำอะไรลงไปบ้าง!"
     เธอพูดใส่หน้าซีน่อนแบบไม่เชื่อแน่ๆ ก่อนมือบางๆของหล่อนจะดึงผ้าปิดปากเขาลง แล้วเอื้อมไปจับตะปูที่ฝังเข้าไปในแก้มชายหนุ่ม ซีน่อนสังเกตเห็นว่ามือเธอสั่นระริก เรือนหน้าที่งดงามปานนางฟ้ามีหยดน้ำตาไหลรินจากนัยน์ตาสีคราม สีหน้าของจิลในตอนนี้มีเพียงแต่ความผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่สุด
     'จิล...'
     ชายหนุ่มตัดสินใจนั่งนิ่งๆอยู่เช่นนั้น เขาปล่อยให้เธอดึงขยับตะปูในแก้มเขาออกอย่างเงอะงะ โดยตลอดเวลาจิลจะพยายามบอกให้ซีน่อนช่วยทนเจ็บหน่อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว...เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกแล้วต่างหาก
     "นี่มัน...ไม่ถูกต้องเลย...ทั้งๆที่นายช่วยพวกเขาเอาไว้แท้ๆ"
     หญิงสาวพรำบ่นตลอดการช่วยทำแผล เธอดูเหมือนจะเจ็บปวดยิ่งกว่าที่ซีน่อนได้เจอมาเป็นร้อยๆเท่า หญิงสาวบอกทุกความรู้สึกที่เธอกำลังคิดทั้งหมด แต่แปลก...ที่ซีน่อนไม่มีท่าทีว่าเขาจะรำคาญเธออย่างทุกที
     "นายคงจะ...รู้สึกเจ็บมากใช่มั้ย"
     เธอถามเสียงค่อยพร้อมใช้ผ้าเรืองแสงสีฟ้าอ่อนประคบไปที่แก้มของชายหนุ่ม พอจิลเอาผ้าที่เปื้อนเลือดสีดำออก ก็พบว่าบาดแผลที่ถูกตะปูทิ่มได้หายสนิทอย่างไม่ทิ้งรอยแผลเป็น โดยตอนนั้นจิลทึกทักในใจไปเองว่าพลังของเธอมันใช้ได้ผล ทั้งที่ความจริงแล้วบาดแผลได้หายดีตั้งแต่ตอนถอนตะปูออกไปแล้ว
     "...ไม่เจ็บสักหน่อย"
     ชายหนุ่มคอยจับตามองเธอชำระล้างผ้าผืนนั้น เพื่อนำมันกลับมาเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าเขา และมันก็ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่อาคัลยอมเดินไปยืนหลบอีกมุมหนึ่ง เหมือนกับว่าเด็กหนุ่มไม่อยากจะ
     "ถึงนายจะบอกว่ามันไม่เจ็บ แต่หัวใจของนาย...มันกรีดร้องอยู่ตลอดเวลาเลยนะ"
     จิลไม่ได้ว่าปากเปล่า เธอได้ใช้ฝ่ามือวางทาบลงตรงตำแหน่งหัวใจของชายหนุ่ม ถึงแม้ว่ามันจะเย็นเยียบและด้านชาความรู้สึก แต่วินาทีที่ชายหนุ่มได้รับการปฏิเสธจากชาวบ้านพวกนั้น ในแววตาสีแดงก่ำก็เต็มไปด้วยเสียงร่ำร้องแห่งความรวดร้าวใจ
     "...ไม่รู้สิ"
     ชายหนุ่มเอาหัวพิงกำแพงศิลาแล้วกล่าวออกมาอย่างเหนื่อยล้า ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวเหมือนดั่งปณิธานอันตั้งมั่น บัดนี้หลงเหลือเพียงแต่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายิ่งกว่าคนที่ผ่านมรสุมมาทั้งชีวิต เพราะว่าเขานั้นต้องผจญกับความรู้สึกเช่นนี้มานานนับร้อยปี
     "มันก็แค่...พูดอะไรไม่ออกเฉยๆ"
     นั่นเป็นบทสรุปเพียงหนึ่งเดียว ของผู้ที่กลายมาเป็นผู้ร่วงหล่น
     ตลอดชั่วชีวิตที่เขายังลืมตาแล้วยืนอยู่บนโลก
      เขาก็จะไม่ได้รับการยอมรับอีก...ตลอดกาล

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา