XENON LIFER อมนุษย์พันธุ์ทมิฬ

8.3

เขียนโดย TwentySIX

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.59 น.

  13 chapter
  1 วิจารณ์
  15.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 11.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) Time To Kill

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เสียงรถเกวียนวิ่งบดถนนดังตลอดเส้นทางลูกรัง แสงแดดยามเช้าสอดลอดผ่านกลีบเมฆลงมา ทำให้ผู้คนที่เดินทางเท้า สามารถสัมผัสได้ถึงช่วงเวลาแห่งชีวิตมากขึ้น โดยชายหนุ่มผมทองซึ่งนั่งอยู่ภายในเกวียนนั้น ก็ได้ทอดสายตามองออกไปด้วยความเบื่อหน่าย เขาเห็นผู้คนมากมายถือตะกร้าไม้สานและกำลังเดินเข้าไปในป่า หรือมีบางคนที่ถือคนธนูเดินตามไปด้วย

     ชายหนุ่มลากสายตากลับมา เมื่อเขาพบว่าเกวียนคันนี้ได้หยุดอยู่หน้าประตูเมืองแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มกระโดดลงมาจากเกวียน โดยไม่ลืมหยิบถุงย่ามอันเป็นสัมภาระของเขา ชายหนุ่มขยับคอปกเสื้อสีขาว ก่อนจะสะบัดผ้าคลุมไหล่สีแดงให้พลิ้วไสวไปตามแรงลม เขาจ้องเข้าไปในเมืองๆนั้นพร้อมขยับรอยยิ้มน้อยๆ

     “ไม่ได้กลับมาตั้งนานเลยนะ”

     มัสแตงบอกกับตัวเอง แล้วคอยนำถุงย่ามมาสะพายพาดบ่า จากนั้นจึงเดินไปจ่ายค่าโดยสารกับเจ้าของเกวียน ก่อนเขาจะเดินเข้าสู่เมืองคาลแล้วสอดส่องสายตาไปทุกซอกทุกมุมอย่างคิดถึง

     ซึ่งระหว่างทางมัสแตงก็ได้รับการต้อนรับจากชาวบ้านหลายๆคน บางคนถามถึงหน้าที่การงาน บางคนไถ่ถามเรื่องสุขภาพ หรือบางคนที่บอกว่าเขาคิดถึงมัสแตงมากมายเพียงไร

     “เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งนานแล้วนะ มัสแตง แล้วอยู่ที่ดอว์การ์ดสบายดีมั้ยล่ะ”

     ชายแก่หลังค่อมคนหนึ่งถามถึงหน้าที่การงานของชายหนุ่ม มัสแตงเองก็รีบตอบกลับทันที

     “สบายมากครับลุงมอร์แกน”

     จากนั้นมัสแตงก็ยืนตอบคำถามมากมายให้แก่ชาวบ้านชาวเมือง เพียงแต่ว่าชายหนุ่มกลับไม่ได้บอกด้วยตัวเองเลยว่า สาเหตุที่เขามาที่นี่มันคืออะไร

     พอได้ทักทายกันพอหอมปากหอมคอ มัสแตงก็ขอปลีกตัวแยกออกมาแล้วเดินลัดเลาะไปตามสถานที่ต่างๆในเมืองคาล อาจเป็นเพราะสภาพบ้านเมืองที่เปลี่ยนไปหรือเปล่า ถึงทำให้เขาเสียเวลาในการตามหาบาร์เหล้ามากกว่าปกติ

     แต่ในที่สุดมัสแตงก็เจอจนได้ ร้านบาร์เหล้าเล็กๆที่มีป้ายร้านชื่อว่าCarl Bar พร้อมกับมีเสียงโหวกเหวกเฮฮาดังมาจากข้างในนั้น โดยข้างหน้าประตูมีชายผิวคล้ำร่างโตยืนบิดขี้เกียจอยู่ ก่อนเขาจะหันมองมาทางที่มัสแตงยืนอยู่พอดิบพอดี ชายคนนั้นขยับแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาชายหนุ่มผมทอง

     “ไงเจ้าหนูมัสแตง เจ้ามาถึงนานรึยังล่ะ”

     “ก็เพิ่งมาถึงเองครับ ลุงทอช”

     "เห็นได้ยินมาว่า เจ้าได้เป็นหัวหน้าเรดพาลาดินแล้วสินะ ตอนนี้งานของเจ้าคงจะวุ่นวายน่าดูเลยสิ"

     "ก็เหมือนอย่างที่ลุงเคยบอกน่ะแหละครับ งานของเรดพาลาดินมันวุ่นวายจริงๆ"

     มัสแตงตอบด้วยน้ำเสียงเจื้อๆ ก่อนเขาจะตัดบทแล้วขอเข้าไปคุยกันต่อในบาร์ของทอช ซึ่งชายผิวคล้ำก็ต้อนรับมัสแตงเป็นอย่างดี โดยจัดเก้าอี้ให้มานั่งอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ ทั้งๆที่ลูกค้าคนอื่นจะได้นั่งตามโต๊ะภายในร้าน

     ชายผมทองวางสัมภาระลงข้างๆตัว ก่อนเหลือบมองโต๊ะเก้าอี้ตามร้านที่มีคนนั่งจับจองกันอย่างหนาแน่น เขาแหงนคอขึ้นไปดูฝ้าเพดานที่ทำจากแผ่นไม้เก่าๆ ก่อนเสียงวางแก้วน้ำจากทอช จะช่วยดึงความสนใจของมัสแตงกลับมาที่เดิม

     "ตั้งแต่ตอนที่เจ้าไป ข้าก็ไม่ได้ต่อเติมอะไรเพิ่มอีกเลย...เหมือนกับว่าข้าอยากให้ไอ้ร้านโทรมๆนี่ มีคนมาช่วยกันซ่อมต่อเติมด้วยกัน"

     ทอชว่าแล้วก็เทนมเย็นๆลงในแก้วน้ำ ก่อนยื่นส่งไปให้แก่มัสแตง ชายหนุ่มผมทองรับแก้วนมมาถือ พลางขยับรอยยิ้มเล็กน้อยๆ เขาค่อยๆจิบนมทีละอึกเพื่อจะได้ซึมซับกับรสชาติหวานๆเย็นๆ ที่ตนไม่ได้ลิ้มลองมาตั้งนานแสนนาน โดยในตอนนั้นทอชก็ได้เอ่ยอะไรบางอย่างออกมา

     "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ที่ทำให้เจ้ากลับมาที่นี่...แต่อย่างน้อยๆ เจ้าก็ต้องหักห้ามอดีตที่ผ่านมาซะบ้างนะ เผื่อว่ามันจะดีกับตัวของเจ้าและพ่อของเจ้าเอง"

     มัสแตงได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองกรอบรูปตรงริมฝาพนังเคาน์เตอร์ ภาพนั้นคือทอชในสมัยยังหนุ่มยืนเก๊กท่าคู่อยู่กับชายปริศนา ชายหนุ่มผมทองกุมขมับอย่างเหนื่อยทั้งกายและใจ เขาแทบจะไม่อยากนึกถึงความเป็นจริงที่ชายปริศนาซ่อนเอาไว้อยู่

     เพราะชายปริศนาเป็นคนที่เข้าใจยากมากๆ แถมคนที่เขาเปิดใจให้...ก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้วด้วย

     "ถ้าผมยังพอเข้าใจเหตุผลของอาจารย์ได้ละก็...ผมคงไม่ต้อง..."

     เจ้าของบาร์เหล้าทอดถอนหายใจ เขาเดินไปหลังร้านแล้วหยิบกรอบรูปหนึ่งขึ้นมาปัดฝุ่น ก่อนจะเดินกลับเข้ามาและนำกรอบรูปอันใหม่ไปลองแขวนอยู่ข้างๆรูปเดิม

     ซึ่งภาพในนั้นคือตัวเขายืนคู่กับชายผมทอง ทั้งสองใส่เสื้อคลุมสีแดงแบบเดียวกัน และที่อยู่ตรงมุมรูปสุดเป็นชายปริศนาที่ขยับรอยยิ้มจืดๆออกมา ผ้าปิดปากผืนเก่าของเขาเลื่อนลงอยู่ใต้คาง

     "เจ้าหนูมัสแตง...เจ้ารู้หรือเปล่า ว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราทำความเข้าใจไปกับมัน"

     มัสแตงปิดปากเงียบแล้วดันแก้วนมเปล่าๆไปด้านหน้า ก่อนจะหันกลับไปมองข้ามไหล่ที่ประตูทางเข้าร้าน ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก ดวงตาสีทองสั่นระริกอย่างไม่อาจเข้าใจ เขาพูดเบาราวกับกระซิบ เหมือนกับต้องการพล่ามบ่นให้ได้ยินแค่เพียงตัวเขาเอง

     "อาจารย์...ท่านกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่"

..................................................................

 

ยิ่งสูงส่งมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งชอบ

 

ยิ่งมียศฐาบรรดาศักดิ์มากแค่ไหน ข้าก็ยิ่งสน

เพราะยามที่คนเหล่านั้นต้องร่วงหล่นไปคลุกฝุ่น

 

มันก็จะยิ่งน่าสมเพชมากขึ้น ตามฐานะอันจอมปลอมของตัวมัน

 

..................................................................

     ชายสูงอายุใส่ชุดสีเขียวแก่คนหนึ่ง ยืนกุมคทาไม้หงิกงอตรงพื้นหญ้าสีเขียวแดง ท่าทางเขาดูราวกับรอใครสักคน ดวงเนตรสีดำใกล้จะฝ้าฟางมองไปเบื้องหน้า ซึ่งจู่ๆก็มีใครไม่รู้กระโดดลงจากที่สูงมานั่งชันเข่าด้วยเสียงหนักๆ เขาผู้นั้นลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนจะใช้นัยน์ตาสีเลือดจ้องมองไปยังซาลาส

     "ปล่อยให้ข้ารอเจ้าซะนานเลยนะ ซอมบี้บอย"

     ซีน่อนไม่ปริปากพูดอะไร เขาทิ้งกล่องมารกลั่นวิญญาณลง ก่อนจะใช้เท้ากระทืบกล่องแล้วดันออกไปอีกทาง เป็นการบอกนัยๆว่าเขาจะใช้ฝีมือจริงๆสู้แบบตัวต่อตัว ซึ่งมีไม่กี่ครั้งหรอกที่ชายปริศนาจะลุยด้วยอาวุธธรรมดาๆ พ่อมดปีศาจแสยะยิ้มเมื่อได้มาเห็นยอดนักรบตัวจริงผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม

     เขาเหล่มองจิลที่ลอยมายืนข้างๆ เรืองร่างโปรงแสงนั้นยังจับจ้องซาลาสเอาไว้อย่างระแวดระวัง

     "ข้ารอเวลาเช่นนี้มานานมาก...และเจ้าก็คงจะรอเวลานี้เช่นเดียวกัน"

     "คงจะเป็นอย่างงั้น..."

     ซีน่อนบอกด้วยเสียงราบเรียบ

     "หึหึหึ...แต่งานนี้ข้าไม่ต้องการมีสุภาพสตรี มาเข้าชมหรอกนะ"

     พ่อมดปีศาจชูอัญมณีสีเขียวมรกตขึ้น ก่อนจะใข้พลังเวทแรงโน้มถ่วง ช่วยเพิ่มกำลังในการขว้างมันออกไป จิลมองตามอัญมณีเม็ดนั้น ที่คาดว่าอาจลอยไปไกลหลายกิโลเมตร แล้วพอมองไปทางซีน่อน ชายหนุ่มก็เอียงคอเบาๆแทนคำพูดว่า 'ไปเอามา'

     "ไปเอามาซะ จิล"

     "แล้วนายจะสู้กับคนนั้นได้เหรอ?"

     จิลไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ ว่าคนธรรมดาๆจะสามารถต่อกรกับพ่อมดปีศาจได้ ซึ่งชายปริศนาก็ทำเพียงแค่ชักมีดคูครีทั้งสองเล่ม ออกจากซองมีดที่ไขว้ไว้กลางหลัง ก่อนเขาจะเน้นย้ำคำสั่ง

     "ไปซะ..."

     หญิงสาวมองสลับระหว่างชายปริศนา กับทิศทางที่อัญมณีถูกขว้างออกไป ก่อนเธอจะสับสนไปกว่านี้ ซีน่อนก็ช่วยชี้แจงว่าพวกเขาต้องรีบนำอัญมณีเม็ดกลับไปคืนที่หมู่บ้านดั่งเดิม เพื่อรักษาชีวิตของเหล่าชาวบ้านหลายร้อยคนที่นั่น

     พอจบประโยคสนทนาทางจิต หญิงสาวรายนั้นก็รีบลอยตัวหายไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยทิ้งให้คนสองคนยืนเผชิญหน้ากัน

     "ตัวเจ้ามีปริศนาเยอะไม่เบานะ ทั้งทักษะการใช้อาวุธแบบผสมผสาน วิธีการต่อสู้แบบบุกโจมตีไม่มีถอย...และกล่องมารกลั้นวิญญาณ"

     ซาลาสเดินวนรอบตัวซีน่อนแล้วชวนคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสงสัย

     "กล่องมารใบนั้น เดิมทีน่าจะถูกปิดผนึกเอาไว้ในสถานที่ลับที่สุด มันน่าจะถูกปิดผนึกเอาไว้นาน จนจะหลงเหลือเพียงแต่เรื่องราวเล่าขานถึงกล่องแห่งหายนะ"

     พ่อมดปีศาจหยุดเดิน แววตาจ้องจะค้นหาความจริงกำลังจับอยู่ที่ชายปริศนาแบบหัวจรดปลายเท้า ซึ่งชายหนุ่มไม่ตอบอะไร นอกเสียจากการกำมีดคูครีแบบกลับหัวกลับหาง พร้อมนำมาไขว้กากบาทระหว่างช่วงอก สองขาย่อลงแต่พอดี ท่าต่อสู้ของซีน่อนมีแต่การโจมตีเพียงอย่างเดียว และไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของการป้องกัน

     "เจ้าไปได้กล่องนั่นมาจากที่ไหนกันแน่ ซอมบี้บอย"

     "พูดจบแล้วรึยัง..."

     ชายปริศนาตอบเสียงเรียบ ผ้าปิดปากและชายเสื้อโค้ทโบกสะบัดตามทิศทางลม ดวงเนตรสีแดงหลุบต่ำลงเล็กน้อย ขนนกสีขาวที่ติดอยู่บนหมวกคนเดินป่าสีดำยังสะบัดไปมาตามแรงลมจนเกือบจะหลุดหล่น เครื่องแต่งกายสีปีกกานั้น ถูกเคลือบด้วยแสงสีแดงอ่อนๆจากดวงจันทร์โลหิต

     ซาลาสหัวเราะในลำคอ พลางยกคทาไม้ขึ้นมาจ่อหน้าซีน่อน ทั้งสองยืนอยู่ห่างกันประมาณสิบก้าว 

     "มีปากเอาไว้พูดแต่คำว่า'ตาย' และคำว่า 'ฆ่า' สินะ"

     พ่อมดปีศาจตนนั้น พูดเสียงเล็กแหลมแบบติดตลกด้วยความขบขัน

     "ถ้าหมดเรื่องคุย ก็ตายซะ"

     ซีน่อนวิ่งเข้าใส่ซาลาสอย่างบ้าเลือด มีดคูครีตวัดฟันลงมาหนึ่งครั้ง แต่พ่อมดปีศาจดีดตัวหลบหลีกได้ทันท่วงที ขอบหมวกปลายแหลมโดนฟันเป็นรอยขาดเล็กๆ ชายปริศนาใช้มีดคูครีอีกเล่มฟันกวาดลากขึ้นจากพื้น เศษดินและใบหญ้ากระจุยกระจาย ทว่าซาลาสยังคงหลบหลีกการโจมตีได้เช่นเคย

     "การต่อสู้ของเจ้านั้นแปลกมาก เจ้ายอมที่จะรับการโจมตีแบบแลกหมัด เพื่อที่จะได้สังหารในทันที สำหรับมนุษย์ทั่วไปคงจะไม่มีความกล้าเช่นนั้น แต่สำหรับผู้ร่วงหล่นผิดพลาดเช่นเจ้า คงจะไม่ใช่สินะ"

     ซาลาสพูดจบ ก็ทิ่มด้ามคทาใส่กลางอกชายปริศนา ผลลัพธ์ุคือช่วงลำตัวของเขาระเบิดออก เนื้อหนังและเครื่องในฉีกขาดออกจากกัน ตับไตไส้พุงแหละเละไม่มีชิ้นดี 

     ซีน่อนล้มทรุดอย่างไร้เรี่ยวแรง สายตาเขามองกลางอกที่มีแต่โครงกระดูกเปื้อนเลือดสีดำ ก่อนจะปักมีดคูครีลงพื้นทั้งสองเล่ม เพื่อจะได้ใช้มือหักกระดูกซี่โครงออกมาขว้างซัดใส่พ่อมดปีศาจ

     "พูดยังไม่ทันขาดคำเลย เห็นมั้ย"

     พื้นดินด้านหน้าซาลาสยกตัวขึ้น เพื่อป้องกันกระดูกซี่โครง เสียงของแหลมเจาะทะลุหินดังเสียงหนักๆ ก่อนซาลาสจะฟาดคทาใส่กำแพงหิน เพื่อระเบิดเสาอันแหลมคม พุ่งออกไปเสียบร่างชายปริศนาจนพรุน

     แต่ชายปริศนายังไม่ตายง่ายๆ เขายกมือที่สั่นเทาเพราะเส้นประสาทสั่งการขาดสะบั่น ก่อนจะทุบแขนใส่เสาหินแหลมจนแหลกละเอียด แล้วค่อยกระโดดถอยหลังกลับไปเก็บมีดคูครี พร้อมกำมีดแบบสลับหัวสลับท้ายในท่าเดิม

     "ข้าไม่รู้หรอก ว่าเมื่ออดีตกาลก่อนเจ้าเคยเป็นใคร แต่เจ้าคงจะเป็นนักรบที่บ้าบิ่นไม่แพ้ตอนนี้แน่ๆ...จริงมั้ย ซอมบี้บอย"

     คทาไม้ส่องแสงสีส้ม เสียงร่ายคาถาดังพึมพำ และทันทีที่สุรเสียงสิ้นสุดลง แรงกดอันมหาศาลก็บีบร่างซีน่อนจากทุกทิศทาง เส้นเลือดสีซีดปริบวมแล้วแตกออก กล้ามเนื้อบิดเป็นเกลียวในตัวเขาก่อนจะขาดสะบั้น เสียงอวัยวะทุกส่วนในร่างกายที่ค่อยๆถูกทำลาย ส่งเสียงดังอย่างไม่มีท่าว่าจะจบ

     "...หุบ...ปาก"

     ชายปริศนากระทืบพื้นด้วยพละกำลังเหนือมนุษย์ ส่งผลให้พื้นที่ยืนอยู่ทรุดตัวลง ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่วทุกพื้นที่ แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า นั่นก็คือเวทมนตร์แรงโน้มถ่วงที่ซาลาสร่ายเอาไว้ ถูกทำลายลงได้อย่างไม่ทราบสาเหตุ

     ไม่น่าเชื่อจริงๆ ที่เจ้าผู้ร่วงหล่นรายนี้ จะสามารถทำลายเวทมนตร์ของเขาได้ ด้วยพละกำลังล้วนๆ

     "มาลองดูกันสิ ว่าทำยังไงเจ้าถึงจะตาย"

     คทาไม้กระทุ้งด้ามลงพื้นอีกหน พร้อมแสยะยิ้มอย่างน่ารังเกียจ เสียงร่ายเวทดังพึมพำอย่างรวดเร็ว ไอพลังมนตร์ดำคละคลุ้งไปทั่วทุกอาณาบริเวณ แต่ซีน่อนไม่สนใจแต่อย่างใด ว่าซาลาสจะมีลูกไม้อะไรหลบซ่อนอยู่ ชายปริศนาทำการคว้าปืนลูกซองออกมาหักลำกล้อง ก่อนจะบรรจุลูกกระสุนแล้วหันปากกระบอกไปทางพ่อมดปีศาจ

     "ตาย..."

     ปัง!!!

     จิลล่องลอยไปตามหนองน้ำเน่าเสีย เธอพยายามสอดส่องสายตา เพื่อตามหาอัญมณีสีเขียวมรกตเม็ดนั้น แม้ว่าใจหนึ่งเธอจะนึกเป็นห่วงซีน่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ไม่รู้จักตายจริงๆ

     ตอนนี้สิ่งเดียวที่ช่วยส่องทางให้สว่าง คือแสงจากดวงจันทร์สีแดงฉาน หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล หันกลับไปมองดวงจันทร์บนฟ้า เธอไม่รู้ว่าตัวเธอเองนั้นมาได้ไกลสักแค่ไหน แต่ที่แน่ๆก็คือชายปริศนา คงกำลังสู้อยู่กับพ่อมดปีศาจคนนั้นเป็นแน่

     หญิงสาวออกค้นหาได้สักพัก ก็พบอัญมณีเม็ดนั้นจนได้ เธอดีใจออกนอกหน้า เธอรีบลอยไปหาต้นแสงสีเขียวมรกต ทว่าก่อนจะทันได้หยิบคว้าขึ้นมา ก็มีใครสักเดินออกมาจากจุดอับสายตา แล้วชิงอัญมณีเม็ดไปถือครองเอาซะดื้อๆ

     จิลจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ แต่ครั้นได้มาสังเกตเห็นว่า เขาคนนั้นมีแขนขาที่ยาวผิดปกติ หัวกลมเลี่ยน ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ ร่างทั้งร่างเป็นสีดำสนิทดุงเงามืด หญิงสาวพยายามหลบสายตาเขาเล็กน้อย

     คนๆนี้มีออร่าแบบเดียวกับซีน่อน...เขาไม่ใช่ทั้งคนเป็น และคนตาย...

     "สิ่งนี้มันคืออะไรกันน่ะ..."

     คนๆนั้นเอ่ยปากถามจิล ความจริงแล้วหากเป็นปีศาจทั่วๆไป จะไม่สามารถมองเห็นร่างจิตของเธอได้ ทว่าหากเป็นคนแบบเดียวกับซีน่อน ก็คงสามารถมองเห็นเธอได้อย่างถนัดชัดเจน

     เขาคนนี้...เป็นผู้ร่วงหล่นสินะ

     "มันเป็นของสำคัญ ที่ฉันต้องเอาไปคืนให้กับหมู่บ้านอีกที่หนึ่งน่ะ...ถ้ายังไงๆ ก็ช่วยคืนมาให้ฉันได้มั้ยคะ?" จิลบอกถึงจุดประสงค์

     ผู้ร่วงหล่นรายนั้นส่งเสียงลากยาวในลำคอ ก่อนจะตอบกลับมา โดยคำตอบนั้นถึงกับทำให้จิลเลิกคิ้วออกมาอย่างไม่เข้าใจ

     "อืมมมมมมมม...ไม่"

     "เอ๋? ทำไมล่ะ?" 

     อีกฝ่ายยังไม่ตอบคำถาม เขาใช้ปลายนิ้วจับอัญมณีขึ้นมาส่องดู เงาสะท้อนของอัญมณี แสดงภาพผู้ร่วงหล่นที่มีรูปลักษณ์ราวกับปีศาจเงาดำ

     "ข้าเก็บมันได้ก่อน เพราะงั้นมันก็ต้องเป็นของข้า"

     "แต่ว่ามัน..."

     "เจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งนี้มิใช่หรือ"

     หญิงสาวเม้มริมฝีปากอย่างจนปัญญา เธอพยายามคิดหาเหตุผลดีๆ ที่จะทำให้ผู้ร่วงหล่นรายนี้ยอมมอบอัญมณีมาให้แก่เธอ จิลลองถามอะไรสักอย่างกับเขา

     "คุณเป็นผู้ร่วงหล่นใช่มั้ย"

     "แค่เห็นก็น่าจะรู้"

     อีกฝ่ายตอบขณะเดินขึ้นจากหนองน้ำเน่าเสีย เขามาหยุดยืนที่พื้นหญ้าแห้งๆ ดวงตากลมโตเหลือบมองพระจันทร์สีเลือด มือขวาเขากำอัญมณีสีเขียวมรกตเอาไว้

     "งั้นคุณมีเหตุผลอะไร ที่จะเก็บมันเอาไว้ล่ะ" หญิงสาวถามแบบไม่เข้าใจ

     "ไม่มีเหตุผลอะไรมากเป็นพิเศษหรอก"

     เขาว่าแล้วขยับอัญมณีเข้าใกล้ดวงตา พลางมองภาพสะท้อนเงาของตัวเอง ก่อนผู้ร่วงหล่นจะตอบกลับมาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงคล้าบกับว่าเขาเหนื่อยๆกับอะไรสักอย่าง

     "ก็แค่อยากลองมีกิเลส เหมือนๆกับตอนที่ข้ายังเป็นมนุษย์เฉยๆ"

     ผู้ร่วงหล่นคนนั้นบอก พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเขาจะตัดสินใจโยนอัญมณีเม็ดนั้นไปให้แก่จิล หญิงสาวรีบแบมือรับเอาไว้ เธอกำของในมือเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าผู้ร่วงหล่นคนนั้นจะเอามันไปจากเธออีก

     "ข้าไม่ต้องการมันหรอก..."

     จิลมองเขาเดินหลังโก่งไปอีกทาง พลางคิดว่าพวกผู้ร่วงหล่นนั้นช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน เพราะนอกจากจะตายด้านในเรื่องของความรู้สึก พวกเขายังถูกสาปให้อยู่ในร่างของอมนุษย์ที่น่ารังเกียจเดียจฉันท์

     หญิงสาวลอยไล่หลังเขาไป ผู้ร่วงหล่นคนนั้นหันมามองข้ามไหล่

     "มีอะไรอีกล่ะ..."

     "เปล่าค่ะ...คือฉันอยากรู้ว่า ทำไมคุณถึงต้องมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ เพราะเมืองนี้มันดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่"

     "...เจ้าไม่กลัวข้าหรือ"

     ผู้ร่วงหล่นถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

     "แล้วทำไมต้องกลัวด้วยล่ะคะ"

     "...เจ้านี่ประหลาดดีเหลือเกินนะ"

     หากเอ่ยถึงผู้ร่วงหล่น ทั้งปีศาจและมนุษย์มักจะอกสั่นขวัญผวากันทั้งนั้น ทว่ากับหญิงสาวที่อยู่ในร่างจิตคนนี้ กลับมองเขาด้วยแววตาอันใสซื่อ เธอดูราวกับเด็กที่ไม่รู้ประสีประสา และชอบมองโลกด้วยสีสันอันงดงาม เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันหน้ากลับมาพูดคุยกับจิลใหม่อีกหน

     "ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่น่ะหรือ...ก็เพราะว่ามันเป็นที่แห่งเดียว ที่ข้าสามารถอยู่ได้น่ะสิ"

     เขาบอกก่อนจะหันหลังเดินไปอีกทางในเงามืด และไม่ว่าจิลจะส่งเสียงเรียกเขาสักแค่ไหน เขาก็ไม่สนใจจะหันกลับมา

     ซีน่อนวิ่งออกไปตวัดฟันด้วยมีดคูครีในมือขวา ซาลาสเองก็เบี่ยงตัวหลบหลีกได้ ก่อนชายหนุ่มชุดกายดำจะหมุนตัวตามแรงเหวี่ยงมีด แล้วใช้ปืนลูกซองในมือซ้ายลั่นไกออกไป ทว่าซาลาสเพียงแค่เคาะคทาไม้ลงพื้นเบาๆ กำแพงหินก็ผุดขึ้นมาบังลูกกระสุนที่กำลังจะเข้ามา

     ชายปริศนาเก็บปืนลูกซองกลับเข้าที่เดิม พร้อมชักมีดคูครีอีกเล่มมาถือ ดวงตาสีเลือดยังจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา ก่อนฝ่ายพ่อมดปีศาจจะเอ่ยถามชวนคุยระหว่างการต่อสู้

     "ทำไมเจ้าถึงยังต่อสู้"

     ซาลาสถาม พลางสลายกำแพงหินออกไป

     "ถึงเจ้าจะเอาชนะข้าลงได้ มันก็ไม่มีความหมายอะไรกับเจ้ามิใช่หรือ...ถ้าอย่างงั้น ทำไมเจ้าถึงยังต้องสู้อยู่อีกล่ะ"

     ซีน่อนเอียงคอก่อนเขาจะตอบคำถามนั้น

     "เพราะไม่มีความหมาย...ฉันถึงได้สู้เพื่อตามหามัน..."

     เขาบอกก่อนจะพุ่งเข้าไปตวัดฟันอย่างรวดเร็ว ซาลาสเห็นว่าตัวเองคงไม่สามารถหลบการโจมตีในครั้งนี้พ้น จึงได้ยืนร่ายคาถาประหลาดๆอยู่อย่างงั้น แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา อากาศเบื้องหน้าซาลาสก็บิดเบี้ยวเป็นรูปคลื่น ซึ่งมีดคูครีของซีน่อนที่ฟาดลงมานั้น ไม่สามารถทะลวงผ่านม่านอากาศนี้ไปได้

     ชายปริศนาออกแรงกดมากขึ้น เหมือนๆกับที่ซาลาสยังกำคทาเอาไว้ในมืออย่างเหนียวแน่น

     "ข้าเพิ่งจะรู้ ว่าผู้ร่วงหล่นก็ยังมีความอาลัยอาวรณ์ในใจด้วย"

     "...พล่ามมาก น่ารำคาญ"

     ซีน่อนง้างมีดแล้วตวัดฟันลงมาอีกครั้งเป็นคำรบสอง หนนี้อาวุธของเขาสามารถทำลายม่านอากาศของซาลาสลงได้ พ่อมดปีศาจแยกเขี้ยว ก่อนจะยกคทาไม้ขึ้นมารับการโจมตีของซีน่อน แต่ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของผู้ร่วงหล่น มันก็ส่งผลให้ร่างพ่อมดปีศาจต้องกระเด้นออกไปไกลหลายสิบเมตร พอซาลาสลองหันมาสำรวจคทาในมือตัวเอง จึงพอว่ามันมีรอยแตกร้าวตรงจุดที่ได้รับแรงปะทะเมื่อครู่

     พ่อมดปีศาจสบถในใจ เขาสะบัดฝ่ามือไปทางซีน่อนและกำหมัดเอาไว้แน่น สักพักอากาศรอบๆตัวชายปริศนาจึงบีบกดเข้าหากัน ชุดเสื้อโค้ทสีดำบีบรัดจนแนบเนื้อ ก่อนร่างกายทุกสัดส่วนจะถูกบีบจนเล็กลีบเหมือนกิ้งไม้ ผิวหนังแหลกสลายเป็นยางเหนียวๆ ใบหน้าชายหนุ่มถูกแรงกดอย่างหนักหน่วงจนระเบิดออกเป็นเศษเนื้อเละๆ

     แต่เวทมนตร์ของซาลาสก็หยุดชายปริศนาได้ไม่นาน เมื่อจู่ๆผู้ร่วงหล่นได้ปล่อยละอองสีดำออกจากปากแผลมาคลุมร่าง เพียงแค่ไม่กี่วินาที บาดแผลทั้งหมดของซีน่อนก็ฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม

     ทางฝ่ายซาลาสเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี พ่อมดปีศาจถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     "เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่ ซอมบี้บอย"

     ซาลาสเอ่ยปากถาม

     ซีน่อนควงมีดสองด้านก่อนจะไขว้อาวุธประจำกายไว้เป็นกากบาท ถึงแม้ว่าชายปริศนาจะไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น ซาลาสก็ยังกระตุกรอยยิ้มแล้วหัวเราะเสียงแหบแห้งออกมา ก่อนเจ้าพ่อมดปีศาจจะเอามือทุบบ่าตัวเองเพื่อแก้อาการปวดเมื่อย

     "อย่างงั้นเองหรือ ศาสนจักรแสงสั่งให้เจ้ามาทำลายเขตอาคมของเมืองนี้ และเจ้าก็ยอมมาโดยที่ไม่ได้รับอะไรตอบแทนเนี่ยนะ?"

     ซาลาสกระทุ้งคทาลงพื้นอีกครั้ง แล้วร่ายคาถาเป็นภาษาโบราณไม่คุ้นหู แต่เพียงแค่ชั่วพริบตา โกเลมที่มีความสูงเท่ามนุษย์ก็ผุดขึ้นมาจากใต้พื้นดินนับสิบตัว ชายปริศนาถึงกับลดอาวุธในมือตัวเองลง เขาหรี่ตาลงขณะมองเหล่าโกเลมที่สืบเท้าเดินล้อมรอบตัวเขา

     ในช่วงเวลานั้นเองซาลาสได้พูดอะไรทิ้งท้ายเอาไว้

     "ถ้าเป็นข้า ข้าจะไม่ทำอย่างงั้นแน่...เพราะข้าไม่มีพลังมากพอที่จะทำ"

     ซาลาสพูดจบก็ออกคำสั่งให้โกเลมทั้งหมดโจมตี ทางด้านชายหนุ่มก็เหลือบมองบริเวณโดยรอบ และตัดสินใจชักเท้าเตะกล่องมารกลั่นวิญญาณที่ตกหล่นอยู่ไม่ไกลขึ้นมารับเอาไว้ ก่อนเขาจะจัดการสลายกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมให้กลายเป็นละอองสีดำ

     แววตาอันเต็มไปด้วยจิตสังหารกำลังจับจ้องไปหาซาลาสอย่างต้องการฆ่า ริมฝีปากสีซีดที่อยู่ภายใต้ผ้าปิดปากผืนเก่าๆกำลังขยับขึ้นลง เพื่อเอ่ยคำพูดออกมาประโยคหนึ่ง

     "วันดีที่จะตาย..."

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา