XENON LIFER อมนุษย์พันธุ์ทมิฬ
8.3
เขียนโดย TwentySIX
วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.59 น.
13 chapter
1 วิจารณ์
15.02K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 11.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Abyss Hell
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในวันสายฝนโปรยปรายยามค่ำคืน แสงดาวถูกบดบังจากก้อนเมฆ ดวงจันทร์ฉายแสงเล็ดลอดผ่านลงมาพักหนึ่ง จากนั้นจึงถูกกลืนกินไปกับมวลหมู่เมฆหมอก พื้นดินเปียกแฉะจากหยาดฝนจนกลายเป็นขี้โคลน น้ำคล่ำโสโครกจากสิ่งสกปรกไหลผสมปนเปกับแอ่งน้ำ ท่ามกลางสภาพอากาศอันย่ำแย่ หญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างดีกำลังวิ่งหนีชายฉกรรจ์สามคนอย่างสุดชีวิต เธอไม่ได้สนใจเลยว่าเสื้อผ้าตัวโปรด จะเปื้อนดินโคลนมากน้อยเพียงใด
สุดท้ายเธอก็สะดุดขาตัวเองล้ม ชายฉกรรจ์หัวโล้นซึ่งสักลายประหลาดๆบนเรือนหน้า กระโดดตะครุบถึงตัว ก่อนอีกสองคนจะส่งเสียงเฮอย่างบ้าคลั่ง พวกมันช่วยกันลากหญิงสาวเข้าไปในตรอกซอยมืด จากนั้นจึงลงมือฉีกทึ้งเสื้อผ้าบางๆออก มือหยาบกร้านลูบไล้ตามส่วนโค้งเว้าของหญิงสาวด้วยความกระหายอยาก
"อย่า!"
เธอหวีดร้อง ขณะที่ชายหัวโล้นเริ่มปลดกางเกง และดึงกางเกงในเธอร่นต่ำ
"อ๋อ อย่าช้าใช่มั้ย ได้เลยเดี๋ยวพี่จัดให้!"
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ มันนำสิ่งที่แสดงความเป็นชายออกมาจ่อระหว่างขาหญิงสาว เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น ท่ามกลางเสียงของสายฝนที่ค่อยๆโหมกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง
"ใครก็ได้ ช่วยด้วย!!"
เธอหวังให้คำขอร้องวิงวอนนี้ ส่งตรงไปถึงพระผู้เป็นเจ้า หรือคนดีๆสักคนในระแวกนี้
ทว่า...ผู้ที่ตอบรับคำขอร้องนั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับทั้งสองอย่างโดยสิ้นเชิง
แอ่งน้ำถูกย่ำด้วยรองเท้าบูท ชายฉกรรจ์หันมองต้นเสียงอย่างไม่ได้นัดหมาย ตรงหัวมุมทางเข้าตรอกซอย ปรากฏร่างชายปริศนาสวมกางเกงขายาวสีทึบ ใส่เสื้อโค้ทคอปกตั้งชันสีดำด้าน หมวกคนเดินป่าสีนิลเลื่อนต่ำจรดสายตา ใบหน้าซีกล่างถูกปกปิดด้วยผ้าผืนเก่าๆ มือสองข้างสวมถุงมือหนังสีเดียวกับความมืด มีเพียงนัยน์ตาสีแดงฉานเท่านั้น ที่สามารถสังเกตเห็นได้จากสีดำทั้งหมด
ทันใดนั้น ก็มีฟ้าผ่าลงมาเปรี้ยงหนึ่งที่ด้านหลังชายคนนั้น แสงวูบวาบแสดงให้เห็นถึงกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ในมือซ้าย ที่สลักตราสัญลักษณ์รูปดาวห้าแฉกกลับหัว แต่ถูกขีดฆ่ากากบาทด้วยสีแดงเลือด
เขาคนนี้ถือสัญลักษณ์ของซาตาน
ชายปริศนาตรงหน้า ไม่ใช่ผู้ศรัทธาพระเจ้า!
"มองอะไรวะ"
ชายหัวโล้นลุกขึ้นใส่กางเกงด้วยความหงุดหงิด ทว่าชายปริศนายังยืนนิ่งไม่ให้คำตอบ มันจึงเดินเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย แล้วจ้องตาสีแดงคู่นั้นอย่างเอาเรื่อง
"ฉันถามว่าแกมองห่าอะไรวะ ไอ้เบื้อก! คิดว่านี่เป็นโชว์หรือไง!" มันชักมีดออกจากซองข้างเอว ไปจ่อยังลำคอชายปริศนา นัยน์ตาสีแดงของเขาเหลือบมองอย่างไม่วิตกกังวล ลักษณะอาการที่เยือกเย็นผิดมนุษย์นั้น ยิ่งบันดาลโทสะแก่ชายหัวโล้นมากยิ่งขึ้น
"คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่าคนหรือไง ฉันน่ะฆ่ามาเป็นโหลแล้วนะโว้ย!" สิ้นประโยค ชายปริศนาก็คว้าจับข้อมืออีกฝ่าย แล้วออกแรงบีบอย่างมหาศาล จนกระดูกข้อมือมันแหลกเป็นเสี่ยงๆ เขาฉวยหยิบมีดจากมือมันไปสะบั้นฟันช่วงท้อง ก่อนจะฟันทแยงขึ้นตัดผ่านลำคอ เลือดสีแดงข้นไหลทะลัก ลำไส้อ้วนๆบริเวณไหลออกมากองพื้นอย่างน่าสยดสยอง บางส่วนฉีกขาดเผยให้เห็นเศษอาหารค่ำ ดูแล้วชวนให้เกิดอาการคลื่นเหี้ยนอาเจียน
ชายปริศนากำมีดสลับด้าน ก่อนปักคมมีดเข้ากลางหน้าผากชายหัวโล้น ร่างไร้วิญญาณนั้นถอยร่นติดข้างกำแพง แล้วครูดลงนั่งทั้งๆที่ยังมีมีดปักคาหน้าผากจนมิดด้าม
"พวกแกฆ่ามาเท่าไหร่ ฉันไม่สน..."
ชายปริศนาบอกก่อนปล่อยมือทิ้งกระเป๋า มือขวาล้วงใต้เสื้อโค้ท เพื่อหยิบปืนลูกซองพกพาขนาดเล็กออกมาจากซองปืนที่เหน็บไว้หลังเอว เขาหักลำกล้องแล้วบรรจุกระสุนลงรังเพลิง จากนั้นจึงนำไปจ่อหัวชายฉกรรจ์อีกคนซึ่งยืนขาสั่นเป็นเจ้าเข้า
"แต่ที่แน่ๆ ฉันฆ่ามาเยอะกว่าพวกแก"
ปัง!!
กระสุนลูกปลายนับสิบเม็ด เจาะเข้ากะโหลกและระเบิดกันภายในนั้น ศีรษะมันแตกกระจายราวกับลูกแตงโมถูกทุบ เศษเนื้อ มันสมอง กระดูกชิ้นเล็กๆ แหลกเละป่นปี้ไม่มีชิ้นดี คราบเลือดกระเซ็นเปรอะเปื้อนเต็มเสื้อผ้าชายปริศนา
กริ๊ก...
เสียงหักลำกล้องดังขึ้น พร้อมกับส่งปลอกกระสุนเปล่าเด้งออก ชายปริศนาบรรจุกระสุนนัดใหม่ลงไป พร้อมสืบเท้าเข้าหาคนสุดท้าย มันคนนั้นตัวสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกกว้างค้างขณะถอยหลังสะเปะสะปะ จนสะดุดล้มก้นจ้ำเบ้ากับน้ำโคลน
"ม..ไม่นะ.. ด..ได้โปรด อย่าฆ่าฉันเลย ฉันยังไม่อยากตาย"
เจ้าคนสุดท้ายถึงกับฉี่ราดกางเกง มันร้องอ้อนวอนขอชีวิต ก่อนจะลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีอย่างไม่ต้องคิดอะไร ชายปริศนาพ่นลมหายใจ จากนั้นจึงหันปืนลูกซองไปทางเป้าหมาย สำหรับเขาแล้วการยิงนัดนี้ไม่ได้หวังผลอะไรเลย
ปัง!!
กระสุนลูกปลายพุ่งทะลุผ่านขาสองข้างของมัน ชายฉกรรจ์ผู้โชคร้ายล้มกลิ้งคลุกแอ่งน้ำสกปรก ก่อนจะเสียงแผดร้องลั่นอย่างแสนสาหัส หญิงสาวซึ่งนั่งหลบมุมอยู่ข้างๆถังขยะ ยังอดทนมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าแทบไม่ได้ เธอกอดหัวไหล่แล้วหลับตาปี๋ และถึงแม้ว่ามันจะเจ็บเจียนตายถึงเพียงไร มันก็ยังต้องพยายามคลานหนีต่อไป ทั้งๆที่ขาสองข้างไม่อาจใช้การได้
ชายปริศนาเดินเข้ามายืนค้ำหัว ก่อนจะบรรจงใช้ฝ่าเท้าเหยียบลงไปที่ศีรษะของชายฉกรรจ์ เขาหมุนข้อเท้าขยี้เนื้อหนังมันเล็กน้อย เพื่อสร้างความเจ็บปวดขนาดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
"อ้ากกก!! ด...ได้โปรด...ว..ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว!!"
ชายปริศนาทอดสายตามองลงมา ก่อนเพิ่มแรงกดลงไปยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“...ไว้ชีวิต?” เขาทวนคำพูดเมื่อสักครู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ความรู้สึกของชายฉกรรจ์ขณะนี้ คงเหมือนกำลังถูกเครื่องบีบศีรษะกดลงมาที่ขมับเรื่อยๆ หนังใบหน้าที่แนบพื้นเกิดรอยแผลจากการเสียดสีกับเศษหิน เลือดเริ่มไหลออกจากทางจมูกและดวงตา
"อ้าก!!! จ..เจ็บ!!! ไม่นะ!! ข้ายังไม่อยากตาย!! ข้ายังไม่อยากตาย!! ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!!"
มันร้องขอชีวิตได้ทุเรศมาก ทั้งศักดิ์ศรี ทั้งความหย่อหยิ่ง ไม่มีให้เห็นอย่างเมื่อสักครู่นี้เลย
ชายปริศนายังคงเพิ่มแรงเหยียบมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านั้น เป็นเพียงแค่ผ้าเช็ดเท้าราคาถูก
"กับคนที่ร้องขอชีวิตจากแก...แกทำยังไงกับพวกเขาล่ะ?"
"ไม่!!!!!"
กร๊อบ!!!....
ถึงจะมองไม่เห็น แต่เสียงอันน่าสยดสยองก็ยังดังชัดในโสตประสาท ชายปริศนายกฝ่าเท้าชุ่มเลือดออก แล้วพบว่าร่างกายที่นอนหมอบอยู่ตรงนี้ ไม่ทำการเคลื่อนไหวใดๆอีก และไม่มีแม้แต่เสียงอันน่ารำคาญให้ได้ยิน
มันเป็นเพียงแค่ก้อนเนื้อ ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์เท่านั้น
ชายปริศนาเก็บปืนลูกซองเข้าที่เดิม ท่าทีเขาสงบนิ่ง ไม่ดีใจ หรือสะใจ เขาเพียงแค่เดินย่ำน้ำโคลน ผ่านร่างหญิงสาวที่นั่งตากสายฝนจนเปียกปอน
ยามค่ำคืนฟ้าหม่นหมอง แอ่งน้ำเฉอะแฉะไปด้วยสิ่งสกปรก สายฝนสีดำร่วงโรยสู่พื้นดิน เสียงกรีดร้องของเหล่าผู้ตกเป็นเหยื่อความชั่วร้ายยังดังอยู่มิรู้จบ นั่นแหละคือเรื่องราวอันน่าเวทนา ที่ไม่เคยละหายไปจากโลกใบนี้
สายฝนหยุดตกเมื่อถึงตอนเช้า เส้นสายทั้งเจ็ดสีทอดยาวเหนือก้อนเมฆ ชาวบ้านหลายคนนั้นได้ให้ความช่วยเหลือแก่หญิงสาว โดยให้เธอหลบอาศัยในบาร์เหล้าใจกลางเมืองชั่วคราว หลังจากนั้นจึงพบศพชายฉกรรจ์ทั้งสามนอนตายอยู่ในตรอกซอย ซึ่งสภาพศพนั้นน่าสยดสยองเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นฝีมือของมนุษย์
แต่ก็ช่างมันปะไร เพราะไอ้พวกเดนคนนี่ก็สมควรตายมานานแล้ว ชาวบ้านคิดคำนึงก่อนลากศพทั้งสามไปฝังแบบลวกๆไว้ข้างนอกตัวเมือง
"เอ่อ...คือ คนที่ช่วยฉันไว้ เป็นใครเหรอคะ?"
หญิงสาวถามขณะยืนมองชาวบ้าน ช่วยกันกลบหลุมศพด้วยกองดิน
ทอชชายร่างสูงใหญ่หัวโล้น ใส่แว่นตากรอบสี่เหลี่ยมไว้หนวดเครา สีผิวที่เคยขาวได้คล้ำจนเกือบดำเพราะแสงแดด แขนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแล้วรอยแผลขีดข่วนเล็กๆ เขาใส่เสื้อสีขาวที่พับแขนเสื้อถึงข้อศอก ชายหนุ่มชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วหันกลับมาตอบด้วยเสียงติดตลก
"คนที่ช่วยเธอไว้ ก็ฉันน่ะสิ"
ใช่ เขาคือคนที่ช่วยหาที่หลบฝนในบาร์เหล้าให้แก่เธอ
หญิงสาวยิ้มแห้งๆ พร้อมเบือนหน้าออกไปจากภาพหลุมฝังศพของพวกชายฉกรรจ์
"คือฉันหมายถึงอีกคนน่ะค่ะ... คนที่ฆ่าไอ้พวกนี้"
"อ๋อ ไอ้หมอนั่นน่ะเหรอ ฉันว่าเธอไม่ควรใช้คำว่าคนกับมันหรอกนะ"
ทอชลูบคางเมื่อนึกถึงชายปริศนา ใช่ เขารู้จักมันดีเลยทีเดียว
"หมายความว่าไงเหรอคะ?"
หญิงสาวเอียงคอสงสัย ด้วยท่าทางเหมือนสาวน้อยไร้เดียงสา
"เอางี้ดีกว่า เธออยากรู้ไปทำไม ไอ้หมอนั่นมันเป็นฆาตกรเชียวนะ"
"ก็เขาช่วยฉันเอาไว้นี่"
ทอชส่ายหน้าพลางส่งเสียงจุ๊ๆในลำคอ คล้ายกับต้องการบอกเป็นนัยๆว่า 'เธอนี่มันไม่รู้เรื่องอะไรเอาเสียเลย'
"อย่าสำคัญตัวเองไปหน่อยเลยสาวน้อย ไอ้หมอนั่นมันเสพติดการฆ่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเมื่อคืนมันก็ตั้งใจจะไปฆ่าไอ้พวกนี้ตั้งแต่แรก ส่วนที่เธอถูกช่วยเอาไว้ มันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น"
ชายปริศนาคนนั้นเลวร้าย จนถึงขั้นโดนเรียกว่าไอ้หมอนั่นแทนคำว่าคนเชียวหรือ แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้นเขาก็ช่วยเธอเอาไว้ และเราก็ไม่ควรตอบแทนผู้มีพระคุณ ด้วยสายตาดูหมิ่นเหยียดหยาม
หญิงสาวจ้องตาทอชอย่างต้องการความจริง แม้จะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ชายหนุ่มก็รู้ได้เลยว่า เธอต้องการอะไร เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางใช้มือลูบหัวที่โล้นเลี่ยนของตัวเอง
"ถ้าเธออยากรู้ถึงขนาดนั้นละก็..."
หญิงสาวเดินเข้าไปในสุสานหลังเมืองคาล อย่างหวาดๆว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมา บริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ตายซาก ป้ายหลุมศพตั้งตระหง่านเรียงรายเป็นแถวๆ อีกทั้งยังมีฝูงอีกาโบยบินเหนือฟ้าอย่างบ้าคลั่ง และมีหลายตัวกำลังจับจ้องการมาของเธออยู่ตามกิ่งไม้ ราวกับว่ามันเป็นนกแห่งความตายที่คอยเฝ้าสุสานแห่งนี้
'ไอ้หมอนั่น มันชอบไปคลุกอยู่ที่สุสานหลังเมือง ถ้าเธอคิดจะไปหามัน ก็ระมัดระวังตัวเอาไว้หน่อยแล้วกัน'
นั่นคือสิ่งที่ทอชบอกกับเธอ ก่อนหญิงสาวจะเดินทางมายังสุสานแห่งนี้
หญิงสาวหันรีหันขวาง เพื่อตามหาร่องรอยของผู้มีพระคุณ แต่ก็ไม่เจออะไรนอกจากความว่างเปล่า ครั้นหันหลังกลับก็ถูกปากกระบอกปืนลูกซองจ่อหน้าผาก นิ้วชี้อีกฝ่ายเหนี่ยวรั้งไกปืน เธอสะดุ้งสุดตัวยืนนิ่งตาเบิกค้างทำอะไรไม่ถูก เธอจำได้ดีเลยทีเดียว ว่าปืนนี้เคยใช้ทำอะไรบ้าง รวมไปถึงตัวผู้ใช้ด้วย
เพียงแต่...
ดวงตาของชายปริศนากลับมีสีขาวขุ่นเหมือนคนตาบอด ทั้งๆที่เมื่อคืนยังมีสีแดงสุกสว่าง
"ใคร.."
เขาถาม ใบหน้าซีกล่างยังคงปกปิดเอาไว้ด้วยผ้าผืนเก่าๆชุ่มเลือด ทำให้หญิงสาวไม่อาจเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้
"ฉันเอง คนที่นายช่วยเอาไว้เมื่อคืน"
เธอชี้นิ้วมาที่ตัวเอง แล้วบอกด้วยอาการใจดีสู้เสือ
ชายปริศนาหรี่ตาเอียงคอครุ่นคิดก่อนจะเก็บปืนลง แล้วเดินผ่านตัวหญิงสาวไปอย่างไม่คิดจะพูดอะไรสักคำ เธอเดาว่าเขาคงจะจำได้แล้วล่ะว่าเธอเป็นใคร
หญิงสาวมองข้ามไหล่ตามด้วยแววตาฉงน เมื่อเห็นว่าชายปริศนายังอาบเลือดจนตัวเปียกโชก สีดำทั้งหมดบนตัวเขาแทบจะย้อมไปด้วยสีแดงเลือด ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าชายปริศนาไม่เพียงแค่ละเลงเลือดในเมืองคาล เพราะสายฝนเมื่อคืนน่าจะเพียงพอแก่การชะล้างคราบเลือด
"นายตาบอดเหรอ?"
หญิงสาวถามไล่หลังอย่างใคร่รู้
"...เปล่า"
ชายปริศนาหยุดให้คำตอบ แล้วค่อยเดินลึกเข้าไปข้างในสุสาน หญิงสาวก้าวเท้าเดินตามไม่ลดละ ชายปริศนาจึงพูดขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องหันมอง พร้อมทำเสียงในลำคอด้วยความรำคาญ
"...มีธุระอะไร"
เขาว่าแล้วเดินต่อไปไม่หยุด
"ฉันอยากจะมาขอบคุณ เรื่องเมื่อคืนนี้น่ะ"
"ไม่จำเป็น..."
เขาตัดบทจบอย่างไร้มารยาท แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ว่าอะไร ตรงกันข้ามเธอยิ่งพยายามจะชวนคุยเสียด้วยซ้ำ
"คือฉันอยากตอบแทนนายน่ะ..แบบว่า พอมีอะไรให้ฉันทำเพื่อนายได้บ้างมั้ย"
"ไสหัวไปซะ"
ชายปริศนาเอ่ยปากไล่อย่างไม่รักษาน้ำใจ หญิงสาวหัวเราะแหะๆ ก่อนเดินคอตกกลับไปแบบช่วยไม่ได้
หญิงสาวเดินหงอยๆกลับเมืองคาล โดยเธอแวะบาร์เหล้าที่เคยเข้ามาหลบฝนก่อน ชายหนุ่มรูปร่างล้ำสันเห็นดังนั้น เลยตรงดิ่งเข้ามาต้อนรับด้วยตัวเอง สีหน้าเขาอมยิ้มเหมือนเตรียมรอรับฟังข่าวร้ายอย่างเต็มที่
"เป็นไงบ้างล่ะ"
เขาถามสั้นๆ หญิงสาวได้ยินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
"โดนไล่กลับมาน่ะสิคะ"
"อื้ม...ก็ไม่แปลกอะไร พอดีไอ้หมอนั่นมันคบด้วยยาก”
ทอชพูดปนเสียงตัวS เพื่อให้คำมันดูมีน้ำหนัก ส่วนหญิงสาวเองก็หัวเราะแห้งๆ เมื่อได้ยินคำพูดลักษณะแบบดัดจริตของทอช
เธอก้มหน้ามองพื้น ภาพแววตาสีแดงอันว่างเปล่านั้นยังติดตาเธอ คนเลวมักจะมีเพื่อนน้อย แต่คนเลวที่ห้ำหั่นคนเลวด้วยกัน คงจะยิ่งมีเพื่อนน้อยกว่า หญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความคิดด้านลบไปจากหัว
"สงสัยฉันคงต้องไปหาเขาใหม่ทีหลัง"
ว่าจบก็วิ่งออกนอกร้านด้วยท่าทางกระตือรือร้น ทอชเห็นแล้วถึงกลับกุมขมับแล้วส่ายหน้าเซ็งๆ ยัยนั่นเอาไอ้ตัวประหลาดไม่รู้จักตายไม่อยู่หรอก! เขาแทบอยากจะตะโกนออกมาดังๆ
ชายปริศนานั่งรอเวลากลางคืน ดวงตาสีขาวขุ่นเริ่มเปล่งแสงสีแดง เขากระพริบตาหลายครั้ง จนกระทั่งมั่นใจว่าตนสามารถมองเห็นได้ดีเหมือนเดิม วันนี้เขาอาจไม่ได้ออกไปล่า เพราะรายชื่อในบัญชีดำถูกขีดฆ่าจนหมดสิ้น
ชายหนุ่มถอดหมวกออกเผยผมสั้นสีดำสนิท จากนั้นจึงถอดเสื้อโค้ทแล้วนำไปคลุมป้ายสุสานของใครก็ไม่รู้ ก่อนเร่งการตรวจเช็คอาวุธทั้งหมดที่เขามี
ปืนลูกซองขนาดเล็กที่เก็บไว้ด้านหลังเอวถูกถอดออก ปืนลูกโม่ข้างลำตัวซึ่งใหญ่กว่าของปกติหนึ่งเท่าได้ดึงออกจากซองปืน และชักมีดสั้นห้าเล่มที่เก็บไว้ในซองมีด ซึ่งพาดทแยงหัวไหล่จรดเข็มขัดกางเกง ชายปริศนาหยิบมันขึ้นมาส่องดู จากนั้นค่อยวางลงพื้น
มือสองข้างดึงมีดคูครีที่แบบไขว้กลับหัวตรงกลางหลังออกมา เขาจับจ้องคมมีดซึ่งเงาวับไร้รอยบิ่น ก่อนวางลงและกระตุกข้อมือซ้าย เรียกใบมีดที่ซ่อนในสนับแขนกล พอเขากระตุกข้อมืออีกข้าง ท่อนเหล็กขนาดพอดีมือก็ร่วงออกมา ชายหนุ่มสะบัดมันแรงๆ เผยใบมีดเรียวยาวออกจากกระบอง จนกลายเป็นดาบสั้นสีเงิน
ชายหนุ่มยังตรวจสอบอาวุธชุดสุดท้าย นั่นก็คือปืนปากกาอันเล็กๆสิบกระบอก ซึ่งเหน็บเอาไว้รอบๆเข็มขัด โดยปืนจิ๋วพวกนี้สามารถยิงได้เพียงครั้งละหนึ่งนัด แต่ก็ถือว่าเป็นอาวุธเอาไว้ใช้ยามวิกฤติได้ดีมาก และในส่วนของกระสุนปืน ชายหนุ่มจะเก็บเอาไว้ใต้ชายเสื้อโค้ทเป็นจำนวนมหาศาล
เขาเริ่มกิจวัตรเดิมๆ ตั้งแต่ถอดชิ้นส่วนปืนมานั่งขัดถู ลับอาวุธมีคมให้คมกริบ ตรวจสอบการทำงานของสนับแขนกลที่มักจะพังง่ายที่สุดเสมอ แม้ว่าคืนนี้จะมืดสนิท แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเขาเลย
"นี่ๆ นายน่ะ"
เสียงหญิงสาวดังแว่วๆจากเงามืด เธอคนที่เขาเคยเจอเมื่อเช้าค่อยๆย่องตอดออกจากพุ่มไม้ มือเล็กๆอันแสนบอบบางได้ถือตะกร้าใส่ของกินมาด้วย
ยัยนี่อีกแล้ว...
ตอนเช้ามองไม่ค่อยเห็นหน้าเธอสักเท่าไหร่ แต่พอได้มาเห็นตัวจริงเข้า จึงรู้สึกว่าเธอช่างเป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ ผิวกายเธอขาดผุดผ่อง ดวงตาสีฟ้าคราม ผมยาวสลวยสีน้ำตาลปากนิดจมูกน้อยทำให้ดูน่ารักแบบเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์
"มีอะไร"
ชายปริศนาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาค่อยๆทยอยเก็บอาวุธบางส่วนให้เข้าที่เข้าทาง แต่กระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมเขากลับไม่ได้แตะต้องมันเลยแม้แต่นิดเดียว
หญิงสาวแอบมองเงียบๆ ก่อนชูตะกร้าใส่ของกิน ที่มีทั้งขนมปัง ผลไม้ และซุปร้อนๆในถุงน้ำที่ทำจากกระเพาะแพะ
"ฉันเอานี่มาให้"
หญิงสาวยัดเหยียดตะกร้าส่งไปแบบกล้าๆกลัวๆ จนเผลอดันไปกระแทกหน้าชายปริศนา เขาลูบจมูกตัวเองก่อนผลักตะกร้ากลับคืนไปแบบไม่ชอบใจ
"ไม่เอา"
"ทำไมล่ะ ฉันอุตส่าห์ทำสุดฝีมือเลยนะ..ถึงขนมปังกับผลไม้จะไปต่อคิวซื้อมาก็เหอะ"
ชายปริศนาถลึงตาจ้องอย่างเอาเรื่อง หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ก่อนเธอจะถอยกรูดกลับไปอย่างเชื่องช้า ทว่าชายหนุ่มกลับฉกตะกร้าไปถือครองเอาไว้ ราวกับรับรู้ความรู้สึกของหญิงสาวที่ต้องการตอบแทนบุญคุณได้ ดวงตาสีแดงเลือดคล้ายจะอ่อนแสงลง
"เปลี่ยนใจแล้ว"
หญิงสาวคลี่รอยยิ้มที่มุมปาก ยามได้เห็นตะกร้าใส่ของกินวางเอาไว้ข้างลำตัวชายปริศนา เธอขยับเข้ามานั่งพับเพียบใกล้ๆเขา โดยพยายามรักษาระยะเอาไว้บ้าง เพราะรู้ดีว่าคนที่มีบรรยากาศเช่นนี้ ไม่ค่อยชอบการคบค้าสมาคมสักเท่าไหร่
"ฉันชื่อจิลนะ นายล่ะชื่ออะไร"
หญิงสาวชวนคุย
ทว่าเขากลับสะบัดมีดคูครีผ่านหน้าเธอ ก่อนนำกลับมาไขว้ไว้กลางหลังเช่นเคย
"อย่า...ถาม"
"...นายนี่มนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเลยนะ"
"ศพที่แล้วก็พูดแบบนี้แหละ..."
ชายปริศนากดปุ่มอะไรก็ไม่รู้บนสนับแขนกล เรียกกรงเล็บสองเขี้ยวออกมา แล้วมันก็หดกลับคืนอย่างรวดเร็ว ราวกับต้องการบอกเป็นนัยๆว่า ถ้าไม่อยากโดนกะซวกก็หุบปากไปซะ
หมอนี่มันอาวุธมนุษย์ชัดๆ..
"แล้วจะให้ฉันเรียกนายว่าอะไรดีล่ะ คนชุดดำ? คนตาแดง?"
จิลเท้าคางมุ่ยหน้าแล้วพูดล้อเลียนด้วยเสียงเหนื่อยๆ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายยังคงยืนยันที่จะไม่ให้คำตอบเช่นเดิม แถมยังโชว์อาวุธสุดอันตรายประกอบด้วย
"เงียบไปซะ พูดมากน่ารำคาญ"
จิลเบ๊หน้าก่อนบ่นพึมพำออกมาเบาๆ แต่นั้นก็ไม่ได้พ้นหูชายปริศนาจอมโหดไปได้เลย
"จะเรียกว่านายโหดไปเลยดีมั้ยนะ"
"...ถ้าหมดเรื่องคุยก็ไปซะ"
ชายปริศนานั่งพิงป้ายสุสานคนตายอย่างไม่หวั่นเกรง เขาจับตามองจนจิลเดินจากไป คาดว่าเธอคงจะบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ในรอบหลายสิบปี เขาถอดถุงมือหนังก่อนเอื้อมหยิบขนมปัง จากนั้นจึงแหวกผ้าปิดปากเป็นช่องและกัดกินมันคำหนึ่ง แต่เขาก็ต้องส่ายหน้าแล้วถุยทิ้ง
ทำไมถึงกินไม่ได้สักที...
"ตลอดสามสิบกว่าปีมานี้ มันไม่ได้สอนอะไรให้แกเลยรึไง"
เสียงทุ้มต่ำดังแว่วจากเบื้องหลัง ทอชย่างเท้าเข้ามาอย่างเงียบกริบ ก่อนย่อตัวนั่งลงข้างๆชายปริศนา
ชายปริศนาจ้องตาเขา
นี่ไม่ใช่สายตาที่มีเอาไว้มองเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่มันคือสายตาที่พยายามซุกซ่อนความรังเกียจเอาไว้อย่างลึกๆ นายซ่อนเอาไว้ไม่อยู่หรอกนะ ชายหนุ่มคิดในใจ
"ก็แค่ลองไปงั้นๆ"
ชายปริศนาวางขนมปังลงบนตะกร้า เขากระแทกหลังพิงป้ายสุสาน เมื่อทอชเห็นดังนั้นจึงถือวิสาสะหยิบฉวยตะกร้าใส่อาหารไปกินเสียเอง โดยเจ้าของร้านเหล้าได้ฉีกขนมปังส่วนที่ถูกกัดออกทิ้ง
"แกไม่ใช่มนุษย์นะไอ้เกลอ อย่าลืมสิ"
ทอชกล่าวขณะปากยังเคี้ยวของกินไม่หยุด
ชายปริศนาแหงนหน้ามองดูฟ้าที่มืดสนิท ไม่มีดวงดาวให้เห็นสักดวง "นั่นสินะ..." เขาพูดเบาราวกระซิบ
ทอชเห็นชายปริศนานั่งเงียบไม่พูดไม่จา หากเป็นคนอื่นเขาอาจรู้สึกสงสาร แต่นั้นไม่ใช่กับบุรุษตรงหน้า เขาล้วงม้วนกระดาษสีเทาๆออกจากเสื้อ ชายปริศนาแบบมือขอรับเอาไว้อย่างรู้งาน พร้อมกับคลี่ออกมาอ่าน
"ศาสนจักรแสง (Light church) ต้องการตามหาคัมภีร์แห่งแสงน่ะ แต่ว่ามันดันไปอยู่ข้างใต้เขตอาคม ของเมืองๆหนึ่งซะงั้น"
ทอชอธิบายคร่าวๆ
"เมืองลอสท์ อาณาจักรต้องสาป (Lost land)" ชายปริศนาช่วยต่อประโยคให้สมบูรณ์
ทอชผงกหัวขึ้นลง “ใช่ และงานของแกก็คือ เข้าไปทำลายเขตอาคมจากด้านในเมืองลอสท์ แล้วก็เอาคัมภีร์แห่งแสงกลับคืนมา...เท่านี้แหละ”
ชายปริศนายกมือขอพูด ทอชพายมือรอรับฟัง
"งานนี้ฉันไม่รับรองความสำเร็จหรอกนะ..."
"อื้ม ฉันคิดว่าพวกนั้นคงจะไม่ได้หวังอะไรกับแกมากนักหรอก แต่ว่าสำหรับเรื่องผู้ช่วยของแกน่ะ คงต้องรอไปอีกสักระยะหนึ่ง หรือถ้าเกิดใจร้อนก็ไปก่อนได้เลย"
ชายปริศนายันตัวลุกขึ้น แล้วดึงเสื้อโค้ทออกจากป้ายสุสาน เขาโบกสะบัดมันก่อนสวมใส่ เท้าชักเตะหมวกคนเดินป่าลอยขึ้น พร้อมใช้มือรับแล้วค่อยนำมาคลุมศีรษะตนเอง จากนั้นจึงเก็บอาวุธทั้งหมดกลับเข้าที่เดิม โดยไม่ลืมที่จะหิ้วกระเปาทรงสี่เหลี่ยมติดมือไปด้วย
ชายหนุ่มเดินออกจากสุสานด้วยท่าทีองอาจ เสียงแมลงกรีดร้องดังระงม ไอความเย็นเริ่มแผ่ปกคลุม ขณะนั้นเองก้อนเมฆสีหม่นก็เคลื่อนคล้อยลอยออก เผยเหล่าดวงดารานับไม่ถ้วนบนฝากฟ้า รวมถึงแสงจันทร์ที่ช่วยส่องสว่างนำทางให้แก่นักเดินทางทุกคน
รุ่งเช้าวันถัดมา จิลรีบเร่งฝีเท้าไปเคาะประตูร้านเหล้าของทอชตั้งแต่ไก่โห่ ปกติแล้วผู้หญิงคนอื่นๆจะไม่มีพฤติกรรมประหลาดๆเช่นนี้ ทว่าสำหรับจิลคงเป็นข้อยกเว้น สักพักเจ้าของร้านก็แซะตัวลุกออกจากเตียงมาเปิดประตูต้อนรับ เขาขยี้ตางัวเงีย
"ทำอะไรของเธอเนี่ย คนกำลังจะหลับจะนอน"
ทอชป้องปากหาว พอมองสีท้องฟ้าแล้วแทบจะบ้าตาย นี่มันยังตีสี่เลยมั้งเนี่ย
"นายคนนั้นน่ะค่ะ นายคนนั้นน่ะ!"
"นั้นไหน?"
"ก็คนที่ใส่ชุดดำๆ ตาแดงๆ ไงคะ"
ทอชลูบปลายคาง ก่อนดีดนิ้วเมื่อรู้แล้วว่าจิลหมายถึงใคร เขาเชื้อเชิญให้หญิงสาวเข้าไปนั่งคุยในบาร์ก่อน จิลเดินตามมาอย่างว่าง่าย แล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ทอชจัดเตรียมเอาไว้ให้
"ถ้าหมายถึงไอ้หมอนั่นละก็ มันออกไปทำงานแล้ว"
"งานเหรอคะ?" จิลเลิกคิ้วสงสัย นายคนนั้นมีงานมีการกับใครเค้าด้วยหรือ
ทอชพยักหน้า "เธอเพิ่งมาอยู่เมืองคาลไม่กี่เดือน คงจะไม่รู้ล่ะสิว่าไอ้หมอนี่ มันทำงานให้กับศาสนจักรแสง"
จิลเรียงลำดับเรื่องราวแทบไม่ทัน เธอพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวให้เข้าที่เข้าทาง ชายปริศนาที่ฆ่าคนเป็นว่าเล่น แต่ทำงานให้กับศาสนจักรแสงที่เป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าผู้ศรัทธาในพระเจ้า...ฟังดูแล้วมันขัดๆกันยังไงไม่ชอบกล
"เขาทำงานอะไรเหรอคะ เป็นแบล็คครูเซเดอร์ หรือเปล่า? (Black crusader)"
งานฆ่าของศาสนจักรแสง เท่าที่นึกออกก็มีแค่นี้แหละ...
ทอชโบกมือ พลางส่ายหน้ายิกๆ
"เปล่าๆ ไอ้หมอนั่นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับศาสนจักรแสงด้วยซ้ำ"
จิลเริ่มออกอาการมึนงง สรุปแล้วนายคนนั้นเป็นตัวอะไรไม่ทราบ เธอปั้นหน้าเหลอหลาแบบที่ใครมาเห็นแล้วต้องเกิดอาการคันบาทา ซึ่งยังดีที่ทอชเก็บอาการไว้ได้ทัน
"ไอ้หมอนั่นน่ะ เป็นผู้ร่วงหล่นต่างหาก(Faller)"
ราวกับทุกสรรพสิ่งบนโลกหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
ผู้ร่วงหล่น...คำๆนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาคือบุคคลที่ไร้ศรัทธาต่อพระเจ้า ซาตาน และทุกๆสิ่งบนโลก มีเพียงแค่อาวุธและพลังของตนเองเท่านั้น ที่ผู้ร่วงหล่นจะเชื่อมั่น
ว่ากันว่าผู้ร่วงหล่นจะถูกพระเจ้าทอดทิ้ง และจะถูกซาตานสาปดวงวิญญาณ ทำให้วนเวียนอยู่บนโลกใบนี้อย่างทุกข์ทรมาน
"อย่างงั้นเหรอคะ..."
จิลใช้นิ้วแตะริมฝีปาก เธอไม่รู้สึกตกใจอย่างที่ใครหลายๆคนควรจะเป็น
"เธอไม่รู้สึกรังเกียจมันเลยเหรอ?" ทอชเบิกตาค้างอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่
จิลเงยหน้าไร้เดียงสา "ทำไมต้องรังเกียจด้วยล่ะคะ?"
"มันเป็นผู้ร่วงหล่นเชียวนะ"
หญิงสาวกอดอก ดวงตาสีน้ำครามฉายแววเศร้าสร้อย จากนั้นเธอก็เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา ที่ฟังดูแล้วราวกับเป็นการให้หลักธรรมคำสอนจากพวกเหล่าสาวก
"ผู้ร่วงหล่นก็เหมือนกับนกปีกหัก ที่ร่วงหล่นจากฝากฟ้าสู่พื้นดิน ทว่าไม่เพียงแค่นกปีกหักจะร่วงกระแทกพื้น แต่มันจะถูกธรณีสูบให้ดำดิ่งลงสู่ห้วงเหวลึกแห่งความเดี่ยวดาย...ช่างเป็นชีวิตที่น่าสงสารจริงๆ"
ทอชออกอาการอึ้งอยู่ไม่น้อย
เขาไม่เคยได้ยินคำสอนอะไรแบบนี้มาจากใครที่ไหนมาก่อน แม้แต่ศาสนจักรแสงก็ไม่เคยมีคำสอนที่กล่าวถึงผู้ร่วงหล่นไว้อย่างน่าสงสารเช่นนี้ด้วยซ้ำ
ความจริงเขาก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าเหตุผลของการสูญสิ้นศรัทธาน่ะ มันต้องเกิดจากการเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานมามากแค่ไหน ไอ้หมอนั่นก็คงเหมือนกัน มันคงจะทรมานมามาก และมากจนไม่อยากที่จะเชื่อมั่นในตัวของพระผู้เป็นเจ้าอีก
น่าสงสารจริงๆนั่นแหละ...
ทอชคิดในใจว่า หากหญิงสาวรายนี้ไปเป็นนักแสวงบุญละก็ คงสามารถบรรลุเป็นสาวกแห่งศาสนจักรแสงได้โดยไม่ยาก ชายหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาสีครามของจิลก่อนจะขยับรอยยิ้มที่มุมปาก คนที่คิดแบบนี้ได้ในรอบสามสิบปีคงมีเพียงแต่เธอเท่านั้น
"ฉันมีอะไรจะให้เธอ"
ชายหนุ่มบอกก่อนเดินไปหลังร้าน เพื่อหยิบสิ่งๆหนึ่งมาให้แก่จิล หญิงสาวแบมือรอรับเธอส่งสายตาฉงนกลับคืนมา ขณะมองสลับกับของที่อยู่บนฝ่ามือเล็กๆ
"นี่มัน..."
จิลอุทานออกมาเบาๆ
"ไอ้หมอนั่นมันก็เป็นเหมือนกับแกะดำตาบอด ที่มองไม่เห็นหนทาง ส่วนเธอก็เปรียบเสมือนลูกแกะขาว ที่จะมาคอยนำทางให้แก่มัน"
ทอชบอก ก่อนจะทอดสายตาไปมองกรอบรูปตรงริมฝาพนัง ในนั้นคือภาพเด็กหนุ่มผิวดำคล้ำแดด ยืนเก๊กท่าอยู่คู่กับชายปริศนา ตอนนี้ความทรงจำที่แสนเลือนลางเมื่อสมัยก่อน ก็ได้กลับมาชัดเจนใหม่อีกครั้งในวันนี้
ถ้าเป็นไปได้...เขาก็อยากจะเห็นรอยยิ้มจืดๆ บนใบหน้าของเจ้านั่นอีกสักครั้งหนึ่ง
เผื่อว่าสายสัมพันธุ์ของความเป็นเพื่อนอันนี้ มันจะไม่พังทลายไปเพราะเรื่องราวเมื่อครั้งในอดีต
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ