The red artifact part 1 :เจ้าชายสุธนกับห้าอาณาจักร

7.2

เขียนโดย หน้ากากเหล็ก

วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.25 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,141 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 18.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) นครลงกา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รุ่งอรุณวันใหม่ แสงอุทัยอ่อนเป็นสัญญาณว่าวันใหม่มาเยือนแล้ว ฝูงนกโบยบินจากรัง ผู้คนแห่งอินดัสตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตน

ที่่ราบกว้างแห่งหนึ่งในเขตนครหลวง เจ้าชายสุธนกำลังแข่งขันยิงธนูด้วยคันธนูใหญ่เท่าตัวคน และลูกธนูโปร่งใสอยู่กับลูกพี่ลูกน้องแดนไอยคุปต์  โดยมีข้าบริพารกับเจ้าหญิงองค์ใหม่ยืนสำรวมอยู่เบื้องหลัง

ระหว่างผลัดกันแข่งยิง แผ่นหินสลักอักขระลึกลับซ้อนกันหลายแผ่นอันแข็งแกร่ง ว่าใครจะยิงทะลุมากที่สุด

พอเห็นภาพหินเหล่านั้นฟื้นฟูส่วนที่เสียหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างน่าอัศจรรย์

เจ้าชายสองอาณาจักรจึงเริ่มสนทนากันด้วยภาษาชนชั้นสูง

**" หินพวกนั้นมาจากที่ใดกัน ?  ข้าไม่เคยประจักษ์อะไรเช่นนี้เลย  "**   ราเมสเซสถามขึ้นมา

" ท่านพ่อข้าซื้อมาจากอาณาจักรมิวน่ะ  ท่านเคยกล่าวไว้ว่ามันมีประโยชน์ต่อการฝึกพลธนูของอาณาจักร   "

" หึหึ พลธนูแห่งอินดัสอันเลื่องชื่อ และในอาณาจักรนี้คงหามีผู้ใดเทียบเจ้าได้สินะ สุธน !   "  สิ้นประโยคราเมสเซส

" เจ้าก็กล่าวเกินไปราเมสเซส  "  เจ้าชายสุธนส่งยิ้มตอบ

" เมื่อคืนในงานมหรสพยามราตรีข้าเห็น พลธนูชนชั้นล่าง ยิงลูกธนูลงอาคมบางอย่าง แล้วกลายเป็นประกายระยิบระยับ บางดอกกลายเป็นช่อดอกไม้นานาชนิดโปร่งใส นักบวช ไม่ใช่สิ พรามหณ์ของอาณาจักรเจ้าเป็นคนสร้างขึ้นมากระนั้นรึ  ?  ข้าใคร่รู้เสียจริงหากเป็นธนูสำหรับการศึกจะเป็นเช่นใด !!  " เจ้าชายแดนแม่น้ำไนล์แสดงทีท่าตื่นเต้น

" คงมีธนูโลกันต์ ธนูหมอก ธนูเสียงแหลมไว้ข่มขวัญศัตรู หรือไล่ฝูงสัตว์ร้ายกระมัง กล่าวถึงของวิเศษแล้วข้าเคยได้ยินนะว่า อาณาจักรมิวมีผู้รับใช้ผิวฟ้า อาศัยในตะเกียง สามารถเนรมิตธาตุดินให้เป็นทองคำได้   "

รุ่งอรุณดำเนินไปด้วยบทสนทนาอันรื่นรมย์ของเจ้าชายสองดินแดน กับการฝึกฝนอย่างหนักของเหล่าทหารประจำอาณาจักร

ทั้งเกร็งลมปราณแล้วให้ครูฝึกใช้ฝ่ามือกระแทก บ้างฝึกศาสตราวุธและโยคะบำเพ็ญตน

ยามเที่ยงสองเจ้าชายหันมาแข่งกันยิงธนูใส่เป้าหมายขนาดเล็กกลางอากาศหลายเป้า พระสุธนยิงด้วยความแม่นยำทุกดอกปักลงใจกลางเป้าหมาย ทว่าเป้าสุดท้ายกลับเคลื่อนไหวออกนอกวิถีอย่างน่าฉงนใจ

" นี่เจ้าต่อให้ข้ากระนั้นรึ ลูกพี่ลูกน้อง !?  แบบนี้ข้าคงปราชัยดังรอบที่แล้วมิได้เสียแล้ว  "

ราเมสเซสทิ่มศอกหยอก สุธนจึงยิ้มตอบ ทว่าใจรู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร เหลียวตาไปมองยังเจ้าหญิงจำแลงกายผู้อมยิ้มอยู่เบื้องหลัง  ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์รัตติกาลที่ผ่านมา

ภาพตนเองถูกกรงเล็บเหยี่ยวของสตรีครึ่งคนครึ่งปักษาผิวพรรณเปล่งแสง ล็อกคอบนแท่นบรรทม

" ฟังข้าให้ดีองค์ชาย ข้ามิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับท่าน !! ดังนั้นท่านไม่สามารถร่วมสังวาสกับข้าได้ดังสตรีอื่น  "

เจ้าชายมิได้ตื่นตระหนกกับกรงเล็บมัจจุราชที่จ่อคอกับคำพูดของนาง หนำซ้ำยังแสดงสีหน้าตื่นเต้น

" งั้นเแม่นางคืออะไรล่ะ หากมิใช่คนจากแดนไกลโบยบินด้วยมนตราบางอย่าง  "

" เผ่าพันธุ์ตัวข้ามีนามว่า ' กินรี '  และนี่คือร่างจำแลงยามเราจะต่อสู้  "  ระหว่างกล่าวกินรีเอามืออันเรียวงามทาบอกตัวเอง

พอสิ้นประโยคหล่อนกลับร่างเป็นมนุษย์ปกติแล้วเดินไปยังระเบียงส่วนเจ้าชายเดินตามไปติดๆ

สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน จนผมทั้งคู่พลิ้วไหวตามแรงลม

"  ตัวข้ามาที่แห่งนี้เพราะสายลมเหล่านี้  แม้นตอนนี้องค์ชายจะสัมผัสไม่ได้ แต่สายลมเหล่านี้เจือปนมนตราธาตุน้ำแข็ง จากเผ่าพันธุ์ของท่าน  " ระหว่างกล่าวเธออย่างเอาจริงเอาจังพลางยื่นมือขึ้นมา

ก่อนที่สายลมบริเวณนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าแล้วเปล่งไอเย็นออกมาเป็นรูปใบหน้าวิญญาณโหยหวน

เจ้าชายเห็นภาพนั้นเลยตกใจเล็กน้อย

" ที่ผ่านมาสภาพอากาศหนาวเหน็บขึ้นทุกปี แต่ข้านึกเพียงว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แม่นางกำลังจะบอกว่า หนึ่งในอาณาจักรของญาติข้าเป็นคนร่ายมนตรานี้ขึ้นมากระนั้นรึ ?  "

มโนราห์พยักหน้าตอบ ส่วนเจ้าชายถอนหายใจ

" ข้าขอไม่ปักใจเชื่อ จะให้ข้าสงสัยพี่น้องร่วมสาบานกระนั้นรึ  ยังไงเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ  "

" องค์ชายถึงภายนอกข้าจะเป็นสตรีแต่เราเหล่ากินรีต่างพึงรักษาเกียรติ์ และจะไม่โป้ปดให้เสื่อมเสียเป็นแน่

หากพระองค์ทรงใช้มนตราวายุได้ดั่งตัวข้าล่ะก็ พระองค์จะสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติที่เจือปนในสายลมหนาวเป็นแน่  ! "

พระสุธนสบสายอันแน่วแน่ของมโนราห์ครู่นึง จึงกล่าวขึ้นมา

" ถ้าเจ้าสงสัยว่าตระกูลข้าอยู่เบื้องหลัง ใยถึงมากับข้าเสีย ?   "

มโนราห์หลบสายตา ครุ่นคิด

" อาจจะเป็นเพราะฟ้าดลบันดาล เป็นหตุให้ตัวข้ารู้สึกถูกชะตากับท่าน   "  ทว่าถ้อยคำด้วยน้ำเสียงเพราะพริ้งเหล่านั้นมิใช่ความในใจทั้งหมด

ความจริงข้าทราบอยู่แล้วว่าอาณาจักรอินดัสนี้ มิได้อยู่เบื้องหลังเป็นแน่จาก ท่านพญานาคแห่งบ่อน้ำ แต่ยังมิไว้ใจในตัวมนุษย์ กระทั่งได้เจอะเจอท่าน

เจ้าชายเคอะเขินไปพักนึง แล้วกลับมาเคร่งขรึมดังเดิม

"  หากข้าจะพาแม่นางไปเยี่ยมเยียนอาณาจักรอื่น  แม่นางจำต้องไปในฐานะองค์ราชินีแห่งอาณาจักรนี้

ถึงจะถูกต้องตามราชประเพณีที่ได้บัญญัติเอาไว้ระหว่างอาณาจักร และ บัดนี้ข้าเองเป็นเพียงเจ้าชาย จำต้องรอหลายปีกว่าจะ

สืบทอดท่านพ่อ ผู้เป็นมหาราชาปกครองแผ่นดินนี้ด้วยธรรม "

มโนราห์อมยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินเอานิ้วอันเรียวงามมาแตะริมฝีปากเจ้าชาย

"   หากท่านสอนมารยาท ธรรมเนียมปฏิบัติแก่ตัวข้าแล้ว เจ้าหญิงผู้นี้จะสอนมนตราวายุแด่ท่าน ตกลงไหมเพคะ ?  "

" สุธน สุธน  !! "  เสียงลูกพี่ลูกน้องดึงเจ้าชายให้กลับมายังปัจจุบัน

ไม่ช้าราเมสเซสได้ขอตัวลากลับอาณาจักรของตน ด้วยเหตุว่าตนเองพักผ่อนมากพอแล้วจำเป็นต้องกลับไปช่วยพ่อของตนทำราชการแผ่นดิน

จากนั้นวันคืนระหว่างเจ้าชายกับเจ้าหญิงต่างเผ่าได้เริ่มต้นขึ้น

ในรุ่งเช้าของแต่ละวันทั้งสองพากันเข้าไปฝึกมนตราวายุในป่าลึก

" จงทำใจประหนึ่งสายลม แล้วจิตท่านจะบัญชามันได้ดังกายา  "

วันแล้ววันเล่าเจ้าชายตั้งใจฝึกฝนอย่างพากเพียร  ปราศจากความคิดฟุ้งซ่านใด กระทั่งวันนึงความรู้สึกว่าตนเองสัมผัสกับพลังมหาศาลบางอย่างเอ่อล้นจากภายใน

ดวงตาเห็นอนุภาคนานานับไม่ถ้วนในสายลมรอบตัวเพียงเสี้ยววินาที ในใจเปี่ยมด้วยความรู้สึกว่า สายลมรอบกายนั้นเป็นส่วนนึงของตนเอง

ทันใดนั้นเอง..

เจ้าชายควบคุมสายลมเพียงหยิบมือให้มารวบรวมรอบแขนตนเอง สร้างความประทับใจแก่เจ้าหญิงกินรีเป็นอย่างมาก

จากนั้นการฝึกฝนเริ่มหฤโหดมากขึ้น ฝีมือมนตราวายุพัฒนาควบคู่กับความใกล้ชิดระหว่างสอง จนทั้งคู่เอ่ยเพียงชื่อของกันและกันยามอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

ส่วนพรานบุญก็ออกไปทำภารกิจจากเจ้าแห่งบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ พร้อมฝึกปรือบ่วงนาคบาศ

ตกเย็นยามผีตากผ้าเหลืองของวันนึง  ณ ห้องโถงหนึ่งในพระราชวัง

เจ้าชายในสภาพอิดโรยนอนหันหลังให้สตรีงามผิวสีคล้ำในชุดสาหรี่แต่ลวดลาย เครื่องประดับประณีตน้อยกว่าเจ้าหญิง นวดกดจุดด้วยความเชี่ยวชาญ โดยมีเจ้าหญิงจำแลงกายนั่งคอยด้วยกิริยางดงาม กับข้าราชบริพาร คอยปรนนิบัติอย่างนอบน้อม

กระทั่งแว่วเสียงป่าวประกาศ

" พ่ออยู่หัวเสด็จมา !!!!   "  เหล่าราชบริพาร ต่างละทิ้งหน้าที่ของตนก้มลงไปกราบกับพื้นโดนพลัน ส่วนเจ้าชายเจ้าหญิงกับหมอนวดรีบยืนขึ้นมาในท่าสำรวม

ไม่ช้ามหาราชาแห่งอินดัสเดินเข้ามาพร้อมหญิงวัยกลางคนทว่าทีท่างามสง่าและน่าเกรงขามผู้เป็นราชินี กับชายวัยกลางคนไว้หนวดเฟิ้ม ไว้ผมจุก  นุ่งห่มขาวดุจพรามหณ์ ผู้เป็นปุโรหิตคนสนิทกำลังถวายคำปรึกษาแก่องค์ราชัน

พอทั้งสามเดินผ่านไปทุกคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตนดังเดิม

" มโนราห์ ข้าขอแนะนำ มาลัยกา เธอเป็นลูกสาวของที่ปรึกษาคนสนิทของท่านพ่อของข้า และเป็นเพื่อนกับข้าตั้งแต่เยาว์วัยด้วย  "

มาลัยกาก้มเคารพเจ้าหญิง

" มาลัยกา  ข้าขอไหว้วานให้เจ้าช่วยดูแลกับสอนธรรมเนียมต่างๆ แก่องค์หญิงมโนราห์ จะเป็นการรบกวนเจ้าเกินไปไหม ?  "

มาลัยกายิ้มตอบ ก้มรับ

" ข้าน้อยยินดีเพคะ องค์ชาย  "

" ไม่จำเป็นต้องเรียกองค์ชายหรอก มาลัยกา เจ้าเองเป็นดั่งน้องสาวของข้า "

หลังจากวันนั้น ระหว่างเจ้าชายไปเยี่ยมพสกนิกรในส่วนต่างๆของอาณาจักรตั้งแต่เที่ยงวันจนมืดค่ำ มโนราห์ใช้เวลากับมาลัยกา เรียนรู้เรื่องสังคมอินดัส และ ตัวตนของมาลัยกา จนพัฒนาความสัมพันธ์จนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

กิริยามารยาทตามอุดมคติสตรีแห่งอินดัสที่ได้รับการขัดเกลาของเจ้าหญิงยิ่งชวนให้เจ้าชายประทับใจในตัวนางมากขึ้น

เป็นเหตุให้ใคร่รู้เกี่ยวกับนางและมนตราวายุเป็นเท่าทวี

ยิ่งชำนาญในมนตราลมเท่าไร ยิ่งสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติในสายลมเย็นยะเยือก ดังที่นางกินรีได้กล่าวไว้

ทว่าทราบดีบัดนี้มิใช่โอกาสสมควรจะสอบสวนเรื่องนี้ จึงเก็บเอาไว้ในใจ

เวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็วหลายเดือน

ณ ราตรีนึง จันทราเต็มดวงส่องไสวงดงาม  บดบังรัศมีเหล่าดาราดวงเล็กดวงน้อย ท้องฟ้าโปร่งใส แลเห็นภาพระยิบระยับงดงามบนฟ้าโดยชัดเจน

" สุธน !! จงตื่นเถิด ตัวข้ามีอะไรสำคัญจะบอก   " เจ้าหญิงท่าทางตื่นเต้น เขย่าตัวเจ้าชายที่กำลังบรรทม

" ไว้บอกข้ายามตะวันขึ้นมิได้รึ มโนราห์  "  เจ้าชายงัวเงียจากความเหนื่อยล้าแห่งราชการแผ่นดิน

" มิได้ดอก  นี่เป็นเพลาที่เหมาะสมแล้ว  " จากนั้นองค์หญิงพยายามดึงตัวเจ้าชายขึ้นมา จนท่านจำยอมลุกขึ้นมาแล้วโดนลากไปยังระเบียงชมวิว

ก่อนจะทันได้ถามไถ่อะไร นางมโนราห์กลับเป็นร่างเดิม ผมเทายาวสลวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง  สยายปีกด้ายแสงออกมา ประสานมือจับเจ้าชายแล้วโบยบินขึ้นท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข

กระทั่งโบยบินขึ้นไประดับสูงเสียดฟ้า แม้นเทือกเขาหิมาลายันอันสูงใหญ่กลับเล็กกระจิ๋ว ยามมองจากจุดนี้

" มโนราห์ เจ้าจะพาข้าไปยังที่ใดกัน !!!!  "  ผมขององค์ชายโดนสายลมอันหนักหน่วงของชั้นนภา จนเสียทรงปิดใบหน้าสนิท

" อีกประเดี๋ยว สุธน  !!!  "

จนกระทั่งลมสลาตันเหล่านั้นได้จางหายไป เจ้าชายเอามือข้างที่มิได้ประสานกับมโนราห์ปัด เส้นผมยาวยุ่งจรดคอของตน

กลับต้องประหลาดใจ เมื่อสัมผัสการขยับแขนขาช่างเบาหวิว ราวกับทุกอย่างไร้น้ำหนักสิ้นเชิง กระทั่งเห็นบรรยากาศรอบกาย

อวกาศอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด ประดับด้วยละอองแสง ก้อนหินหลากขนาดล่องลอยไปมาอย่างไร้จุดหมาย กับดาวเคราะห์สีแดง (ดาวอังคาร) เด่นตระหง่าน ส่วนเบื้องหลังปรากฏดาวเคราะห์สีฟ้าอันเป็นบ้านเกิดของเจ้าชาย

เจ้าชายมองภาพรอบกายอย่างตกตะลึง ขณะมโนราห์ล่องลอยไปมาอย่างเพลิดเพลิน

" สถานที่นี้คือจักรวาล  อันเป็นต้นกำเนิดแห่งทุกสิ่ง พลังมนตราล้วนเป็นละอองจากใจกลางของมัน  "

" ขะ ข้า เคยเข้าใจเพียงว่า เลยจากนภาจะมีเพียงความว่างเปล่า ดวงดาราบนนภามีไว้เพียงศึกษาโหรศาสตร์เท่านั้น   เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้ามาจากที่แห่งนี้เช่นนั้นหรือ "

มโนราห์เข้ามาใกล้ชิดเจ้าชาย

"  มิใช่ แต่เป็นดวงดาราดวงนึงอันไกลโพ้น นามว่า ไกรลาส ที่ที่พฤกษาล้วนเรืองแสง ปราศจากราตรี นั่นคือบ้านเกิดของข้า  ดางดาราของพวกเราล้วนอยู่ในชมพูทวีปเพียงแต่คนละส่วนกัน (ทางช้างเผือกในภาษากินรี)  "

เจ้าชายฟังถ้อยคำเหล่านั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ

" แล้วในชมพูทวีปมีเพียงเผ่าพันธุ์แห่งสองเรากระนั้นหรือ ?   "   ส่วนเจ้าหญิงกินรีขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

" หาไม่ มีมากมายคณานับ ทว่าช่างมหัศจรรย์ยิ่งนักที่จักรวาลดลบันดาลให้พวกเรามีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกัน  "

" สำหรับข้า ไม่มีสิ่งจะมหัศจรรย์ไปกว่าการได้พบเจอเจ้ามโนราห์   "  เจ้าชายยกมือลูบหน้านางในดวงใจ

" เช่นนั้นข้าอยากให้ท่านสอนอะไรบางอย่าง ทรงคุณค่ายิ่งกว่าความลับเบื้องหลังท้องนภานี้ ได้ไหมเพคะ ? องค์ชายแห่งอินดัส " นางเข้ามาใกล้ชิดเจ้าชายมากขึ้นกายสัมผัสซึ่งกันและกัน

เจ้าชายหลับตาแล้วยิ้มอย่างสุขใจแล้วโอบกอดนาง

" ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ข้าพร้อมองค์หญิงกินรีของข้า  "

" สอนข้าทีว่า มนุษย์นั้นแสดงความรักกันเช่นใด  "

ทั้งสองสบตากันอย่างรู้ใจ ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้ชิดกันอย่างเชื่องช้า มือสัมผัสกายของอีกฝ่าย

เพียงดาวเคราะห์สีฟ้าเบื้องหลังเป็นสักขีพยาน ยามสองดวงวิญญาณได้เติมเต็มกันและกัน ขณะอีกด้านนึง ณ

มุมมืดแห่งพระราชวังหลวง ก็มีการเจรจาเพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานในใจ

" อนาคตได้ถูกกำหนดไว้แล้ว หากท่านรับข้อเสนอข้า คนๆนั้นจะได้เป็นราชีนีองค์ถัดไปแทนที่เจ้าหญิงองค์นี้เป็นแน่   "

เงาบุคคลลึกลับคนนั้นปรากฏสัญลักณ์ดวงตาเปล่งแสงบนใจกลางหน้าผาก ยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่าย

" เช่นนั้นข้าขอตกลง !!!!!  "

วันรุ่งขึ้น ...

ว่ากันว่า ยามก่อนพายุถาโถมทะเลมักสงบเสมอ

พรานบุญ ชายร่างกำยำหน้าเหี้ยม ผิวคล้ำ กำลังขี่หลังเต่าทะเลยักษ์ตัวนึง มุ่งไปยังเกาะกลางทะเลใหญ่เกาะหนึ่งทางใต้แห่งอาณาจักรอินดัส  ที่คนรุ่นหลังจะรู้จักในนาม "ศรีลังกา"

ไกลออกไปบนเกาะ แลเห็นนครร้างโบราณ เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอินเดีย เจดีย์งดงามเรียงราย

ทว่าปราศจากสิ่งใดจะโดดเด่นไปกว่ารูปปั้นยักษ์หน้าขมึง สวมใส่หมวกสิบเศียร ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเมือง

" นี่นะหรือ นครลงกา !! "

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา