The God เทพีแห่งความหวัง(Hope)

6.3

เขียนโดย WindyWizzard

วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.54 น.

  5 chapter
  0 วิจารณ์
  7,243 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2560 19.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ตำนานสงครามเซลูเลลัส

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
อา..จากใจผู้เขียนนะคะเนื่องจากตอนที่3นั้นมีปัญหาเกิดขึ้นนิดหน่อยเลยรีบแต่งและคิดว่ายาวแล้วเลยลงไปทั้งอย่างงั้นแต่พอมาดูมันน้อยมากกว่าตอนอื่นๆเพราะฉะนั้นในตอนนี้ก็เลยแต่งให้มันยาวๆกว่าตอนอื่นๆเพราะรวมส่วนของตอนที่3ไปด้วยค่ะ ขออภัยทุกๆท่านด้วยนะคะT^T Windy
ความเดิมตอนที่แล้ว..หลังจากที่พวกคาซึกิได้ช่วยพวกมาซุมิจากเหตุการณ์ไฟไหม้ปริศนาที่ไม่ทราบว่าจุดประสงค์ของผู้ก่อเหตุคืออะไร..เพื่อความปลอดภัยมาซุมิจึงถูกนำมารักษาในวังและอาศัยอยู่ในวังไปก่อนจะเป็นอย่างไง เชิญอ่านได้เลยค่า(หวังว่าจะไม่สั้นเพราะพ่อขัดอีกนะTwT)
เสียงฝีเท้าของคาซึกิดังไปทั่วทางเดินที่เงียบโดยมีมาโมรุติดตามอย่างใกล้ชิด..และเสียงนั้นก็มาหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง..คาซึกิค่อยๆเอื้อมมือไปเคาะประตูสามทีก่อนจะได้ยินอนุญาติให้เข้ามาในห้องของอะซึโกะว่า"เชิญค่า"...เมื่อได้ยินดังนั้นคาซึกิจึงเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปก่อนที่จะเดินมาถามอะซึโกะว่า"อาการของเธอเป็นไงบ้าง?""พรุ่งนี้คงฟื้นแล้วล่ะแต่แผลที่เธอได้รับมันตรงกับหัวพอดีถ้าโชคไม่ดีเธออาจความจำเสื่อมได้.."อะสึโกะบอกพร้อมถอนหายใจ.."งั้นเหรอ..".."อ๊ะ!คาซึกิคุง..นายยังมีแผลจากการโดนไฟลวกอยู่ไม่ใช่เหรอแถมยังมีแผลที่โดนกระจกบาดด้วยนายไปพักเถอะ"อะสึโกะบอกคาซึกิด้วยความเป็นห่วง"แค่นี้เองไม่เป็นไรหรอก..เธอนี่ขี้ห่วงไม่เปลี่ยนเลยนะ"คาซึกิพูดพร้อมเบียนหน้าหนีไปทางเก้าอี้ที่ว่างเปล่าตัวหนึ่ง.."หือ..เด็กคนนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ?"คาซึกิถามด้วยความสงสัย"คิโยโกะน่ะเหรอ..เห็นบอกว่าจะออกไปอ่านหนังสือที่อื่นภายในวังนี้แหละแต่ฉันสังเกตว่าเธอน่าซึมๆด้วยนะฉันเองก็แอบเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน...เมื่ออะสึโกะพูดจบคาซึกิก็เหล่ตาไปทางมาโมรุที่ยืนอยู่ข้างๆ"ท..ทำไมเหรอครับ?"มาโมรุถามคาซึกิด้วยสีหน้าเหงื่อตกเล็กน้อย.."รู้อยู่แล้วนี่ไปหาเธอซะสิ"คาซึกิบอกพร้อมยิ้มอ่อนๆ"แต่ผมต้องไปซ้อม--""ถ้าเรื่องซ้อมดาบล่ะก็ให้อาซึชิจัดการก็ได้นี่..""เจ้านั้นไม่มีทางที่จะทำหรอกครับ!!"...แต่ทว่า..."อ๋อ..เรื่องซ้อมดาบให้กระผมจัดการเองขอรับ!>o<"อาซึชิตอบด้วยเสียงมั่นใจ.."ฮา ฮา งั้นฝากด้วยนะ..^^"คาซึกิพูดกับอาซึชิก่อนจะพูดกับมาโมรุที่ยืนเอามือกุมหน้าข้างหนึ่งอย่างหดหู่ว่า"ได้ยินแล้วใช่ไหมรีบไปเลยไป..".ครับ....".....
"เฮ้อ..ไม่เห็นจะเข้าใจประวัติบ้าๆบอๆนี้เลยถึงจะหาหนังสือมาหาข้อมูลเพิ่มก็ไม่เข้าใจเกี่ยวกับตำนานสงคราม'เซลูเลลัส'นี้เลย.."คิโยโกะถอนหายใจพร้อมเอาหนังสือมาวางปิดหน้าตัวเองแล้วเอาแต่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย..จนกระทั่ง..พึ่บ!..หนังสือที่อยู่บนหน้าของคิโยโกะยกขึ้นออกทำให้เธอเห็นหน้าคนที่ยกหนังสืออกได้อย่างชัดเจน"ม..มาโมรุ?".."ไง..."มาโมรุก้มมองพร้อมทักสั้นๆ"ค..คุณมาทำอะไรที่นี้เนี่ย!!"คิโยโกะที่ตั้งสติได้จึงกระเด้งตัวลุกขึ้นมา..."เรื่องอะไรฉันจะบอก"มาโมรุพูดพร้อมยิ้มเล็กน้อยให้กับคิโยโกะที่นั่งทำหน้าเงิบๆอยู่ตรงข้างหน้าของตนเอง
"ง่ะ..""เธอมาทำอะไรตรงกลางทุ่งหญ้าหลังวังคนเดียวล่ะ"มาโมรุถาม..คิโยโกะได้ยินดังนั้นจึงเปลี่ยนสีหน้าแล้วตอบว่า"ไม่มีอะไรทำก็เลยห่าหนังสือมาอ่านแล้วพออ่านไปอ่านมาก็ไปเจอเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเข้าก็เลยกะจะมาหารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนั้นและเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็เลยมาอ่านที่ร่มรื่นบ้างแทนที่จะอยู่แต่ในห้องสมุดแคบๆนั้น..""เฮ้ยๆ..นั้นแคบเหรอใหญ่จะตายไม่ใช่ว่าเธอไปหาหนังสือที่หอสมุดเล็กด้านล่างสุดน่ะ"มาโมรุพูด..คิโยโกะได้ยินจึงถามว่า"เอ๊ะ!มีที่อื่นอีกเหรอ"..."อืม..วันไหนว่างจะพาไปละกันที่นั้นมีหนังสือเยอะจนนับไม่ได้เลยล่ะ"..."จริงเหรองั้นถ้าฉันไปหาหนังสืออ่านในนั้นอาจจะทำให้เข้าใจเรื่องตำนานนี้ได้สินะ!"....มาโมรุฟังคิโยโกะก่อนที่จะหันไปมองกองหนังสือที่มีประมารหกเล่มวางอยู่ข้างๆคิโยโกะจึงตัดสินใจหยิบหนังสือที่ตัวเองยกออกมาแล้วเปิดอ่าน"ตำนานสงครามเซลูเลลัสเหรอ?"มาโมรุพูดด้วยความประหลาดใจ"อืมรู้แค่ว่าเป็นสงครามใหญ่ของเหล่ามวลมนุษย์ชาติกันเองแล้วมีเวลาทำสงครามยาวนานถึงสองร้อยยี่สิบสี่ปี...คุณรู้จักเรื่องนี้เหรอ"..."อา..ฉันเองก็ชอบเรื่องนี้นะเคยเปิดอ่านอยู่ประจำเลยตอนฉันเด็กๆน่ะ"เมื่อมาโมรุตอบ..คิโยโกะจึงทำตาเป็นประกายที่แฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้วพูดว่า"งั้นคุณช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิ"...."ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรหรอกแต่จะพยายามให้ข้อมูลกับเธอละกันนะ"มาโมรุตอบก่อนจะเริ่มเล่าเกี่ยวกับตำนานนี้..."ในช่วงยุคนั้นน่ะเป็นยุคที่เจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรหนึ่งที่ขึ้นชื่อด้านศิลปโบราณแห่งเทพเรียกชื่ออาณาจักรนั้นว่าอาณาจักร'ฟอสเวล'
แต่เพราะอาณาจักรนี้เป็นจุดศุนย์กลางของการค้าจึงมีพวกพ่อค้าแม่ค้ามาค้าขายมากมายจึงทำให้อาณาจักรฝั่งอื่นที่ไม่ได้เป็นพันธมิตรกับฟอสเวลต่างอิจฉาแล้วคิดจะชิงเมืองฟอสเวลจึงเกิดสงครามชิงเมืองขึ้นสงครามนี่ยาวนานมากแต่เมืองฟอสเวลก็ยังต้านได้จนมาถึงช่วงหนึ่งที่ฟอสเวลเริ่มอ่อนแอลงจักรพรรดิได้ล้มป่วยจากการทำงานหนักและคงอยู่ได้ไม่นานเหล่าประชาชนกับพวกเหล่าทหารได้ตกอยู่ในความหวาดกลัวและสิ้นหวังแต่ในท่ามความสิ้นหวังนั้นเองก็มีหญิงสาวผมสีเหลืองรุ่งอรุณกับดวงตาสีฟ้าอันงดงามดุจดั่งอัญมณีได้มาปลุกระดมคว่ามหวังขึ้นมาใหม่เธอมีชื่อว่า'เซลูเลลัส'เธอเป็นลูกสาวของนายทหารคนหนึ่งที่สละชีวิตให้กับสงครามทำให้เธอเป็นเด็กไร้พ่อ..การปลุกระดมความหวังนั้นถือเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่เหล่าทหารมีใจสู้เหล่าประชาชนต่างมีความหวัง..เซลูเลลัสได้เข้าร่วมสงครามครั้งที่เจ็ดสิบสองนั้นเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่เธอได้ร่วมสงครามเพราะเมื่อเธอรบชนะเสร็จเธอก็เกิดอาการล้มป่วยแล้วจากโลกนี้ไปอย่างสงบสุขแต่ถึงยังไงสงครามนั้นก็เป็นสงครามสุดท้ายของอาณาจักรนี้เช่นกันปัจจุบันอาณาจักรนี้ได้หายสาปสูญไปโดยไม่ทราบสาเหตุตอนนี้เองก็ไม่รู้ว่าอาณาจักรนี้อยู่ที่ไหนแต่คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าอาณาจักรนี้ต้องอยู่ที่ไหนซักแห่งบนโลกนี้อย่างแน่นอนและก็สงครามนั้นจึงถูกเล่าขานกันมายาวนานจนเป็นตำนานเลยตั้งชื่อสงครามนี้ว่าสงคราม'เซลูเลลัส'เพื่อระลึกถึงเซลูเลลัสที่ตอนนั้นถูกเรียกว่าเทพีแห่งความหวังของอาณาจักรฟอสเวล........เท่าที่รู้ก็รู้มาแค่นี้แหละนะ"มาโมรุบอกคิโยโกะที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ.."ว้าว!สนุกจังเลยขอบคุณนะฉันเข้าใจมันมากขึ้นเลยงั้นวันพรุ่งนี้คุณพาฉันไปห้องสมุดใหญ่ๆที่ว่าเลยนะ"คิโยโกะพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม"อา..แต่เธอต้องหยุดเรียกฉันว่าคุณซักทีฟังแล้วมันดูเหมือนฉันเป็นคนมีอำนาจสูงส่งน่ะ""ก..ก็พี่อะสึโกะบอกว่าคุณเป็นลูกชายลำดับสุดท้ายของกษัตริย์นี่คะ"....คิโยโกะพูด....และเมื่อมาโมรุได้ฟังก็พลันถอนหายใจเบาๆก่อนจะบอกว่า"ที่ว่านั้นก็จริงแต่เธอเป็นคนบอกเองนี่ว่าไม่ชอบคนมีอำนาจที่กดขี่ข่มเหงแล้วฉันเองก็ไม่ชอบทำตัวมีอำนาจด้วยเวลามีใครพูดสุภาพใส่มันดูแปลกๆน่ะโดยเฉพาะเธอ..." "แล้วจะให้ฉันเรียกคุณยังไงล่ะ?""ก็แล้วแต่เอาเหมือนตอนแรกๆที่เราเจอกันเลยก็ได้ขอแค่ไม่มีคำสุภาพ"มาโมรุบอกพร้อมจับหัวคิโยโกะ..."นายเป็นคนพูดเองนะ...""อา.."ทั้งคู่เงียบไปซักพักเพราะไม่มีอะไรจะคุยแล้วในวันนี้ก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงจนความเงียบได้พังทลายลงเพราะเสียงของมาโมรุ"...พูดถึงพรุ่งนี้นะได้ยินมาว่าพี่สาวของเธอน่าจะฟื้นแล้วล่ะ"คิโยโกะได้ฟังจึงหันมาทันที"จริงเหรอ!!!""อาได้ยินมาว่างั้นแหละ""ดีจังเลย!"คิโยโกะพูดพร้อมกอดมาโมรุ....."อ..เอ่อให้มันน้อยๆหน่อย- -;"
เมื่อคิโยโกะได้ยินที่มาโมรุพูดจึงสะดุ้งก่อนจะรีบผละออกจากตัวมาโมรุแล้วพูดด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน"ข...ข..ขอโทษนะ!คือดีใจมากไปหน่อย...น่ะ"มาโมรุมองคิโยโกะที่กำลังนั่งยิ้มด้วยความดีใจกับน้ำตาที่ไหลลงมา"ถ้าจะร้องเก็บไปร้องตอนที่พี่เธอตื่นดีกว่านะ"มาโมรุพูดพร้อมปาดน้ำตาให้คิโยโกะ"อืม!ขอบคุณนะ"คิโยโกะพูดขอบคุณมาโมรุ"ด้วยความยินดี"มาโมรุตอบพร้อมยิ้มอ่อนๆ...ทั่งคู่สนทนาไปมาอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่รู้ว่าคาซึกิที่ขี่ม้าอยู่ได้มองอยู่ไกลๆ"สนุกกันจังเลยนะสองคนนั้นนะสงสัยวันนี้ฉันคงต้องทำงานคนเดียวแล้วสินะ"คาซึกิพูดพึมพำก่อนจะขี่ม้าออกไปจากตรงนั้นไปยังประตูหน้าวัง..ทหารที่เฝ้าอยู่จึงถามว่า"ท่านจะไปไหนหรือขอรับองค์ชาย""ฉันจะไปทำธุระนิดหน่อยน่ะ"....."งั้นก็ขอให้กลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกดินด้วยก็แล้วกันนะขอรับ"...."อา..จะรีบไปรีบกลับนะ"เมื่อทหารเปิดประตูให้แล้วคาซึกิจึงควบม้าออกไปจากตรงนั้น..แล้วพูดเบาๆว่า"ธุระยาวเลยล่ะนะ"........To be continued

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา