The recorder ผู้พิทักษ์บันทึกแห่งชีวิต
8.3
เขียนโดย Ncherry
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.40 น.
6 บท
1 วิจารณ์
8,339 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559 21.49 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) คนรู้จักคนใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 2
คนรู้จักคนใหม่
"ปล่อยข้า! ไอ้พวกทหาร ปล่อยข้า!"
"..."แม้ยามสายตลาดจะเริ่มวายหากแต่ผู้คนกลับยังไม่ห่างหาย ทหารชุดผ้ายืดสวมเกราะเบา ดาบสั้นยาวเท่าศอกถูกยื่นออกไปจ่อหน้า ข่มขู่ให้หยุดทำเรื่องไร้ประโยชน์ แถมยังเชือกเวทมนตร์นั่นที่บังคับให้ชายฉกรรจ์ทำได้เพียงแค่ส่ายตัวดิ้นไปมา เพียงเท่านั้น
"ขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือ"
"..."เส้นผมสีฟ้าอมเขียวสั่นไหวตามการพยักหน้าของชายหนุ่ม ดวงสีน้ำเงินจ้องมองความโกลาหลตรงหน้านิ่งเงียบ ร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวฉายชัดขึ้นมา ก่อนเสียงคำรามของความโกรธจะดังลั่นขับไล่ชาวบ้านให้แตกกระเจิง ยิ่งพาลให้โซลันอดหรี่ตามองไม่ได้...
"ไป!"นายทหารสองคนช่วยกันลากชายฉกรรจ์ผู้นี้ไปได้ ตลอดทางนั้นเองที่เชือกเวทถูกลายแทนด้วยไอเย็นจากเหล็กบีบรัดข้อมือทั้งสอง เป็นเครื่องยืนยันว่าถ้าหากไม่ใช้เวทมนตร์ทำลายก็ต้องออกแรงมหาศาลทำจนมันแตก แต่ลำพัง...แค่ชาวบ้านระดับรากหญ้าจะมีปัญญาทำอะไรได้...
'เว้นเสียแต่ไอดำนั่น ดูยังไงก็มาจากพวกอิเรสชัด ๆ ไม่คิดว่าแค่วันเดียวมันจะลุกลามเข้ามาควบคุมเร็วขนาดนี้'ผู้บันทึกนั่งมองนิ่งเงียบ จับจี้ของตนด้วยความกังวล
'คงต้องรีบหาตัวต้นตอหน่อยแล้ว... แต่ก่อนอื่น'
"นายทำฉันเสียเวลากลับร้าน รู้ตัวไหม หนุ่มน้อย"
"อะ อึก..."แล้วก็ลงอีหรอบเดิม เมลทำเพียงแค่นั่งเท้าบ่นนิดหน่อยเด็กน้อยก็พลันพูดตะกุกตะกักด้วยความตื่นกลัว ทั้งสีหน้าขาวซีดดูอิดโรย ดวงตาสีแดงเลือดกับร่างกายซูบผอม พอดวงตาสีน้ำตาลส้มจ้องนิ่งเจ้าตัวก็ตั้งท่าจะพูดอะไรเสริม แววตาคู่นั้นเศร้าหมองลงไปฉายแววถึงความเหงา
หมับ
"ถ้าจะพูดภาษาเฮลมส์ของพวกมนุษย์แล้วลำบากใจก็เอาภาษาที่นายถนัดเถอะ"เมลเลื่อนไปสัมผัสหัวทุยของอีกคน ลูบอย่างแผ่วเบาก่อนจะอมยิ้มบาง
"ยังไงพวกเราก็เผ่าเดียวกันนี่นะ"
"!!"ถ้อยคำท้ายน้ำเสียงนุ่มทุ้มหูไม่กระฉับกระเฉง ถ้อยคำแปลกแต่คุ้นเคย มันเป็นภาษาขั้นพื้นฐานที่พวกภูตอย่างเขาใช้กันจึงง่ายที่คนในเผ่าจะเข้าใจ ดวงตาน้ำตาลอมส้มจ้องปฏิกิริยากระสับกระส่ายก่อนจะเหลียวมองไปยังคนใหม่ที่เดินหายลับไปไหนแล้วก็ไม่รู้ พอมีเวลาให้เขาได้คุยต่ออีกหน่อย
"ต้องใช้เวลาสังเกตพลังอยู่นานเลยนะถึงจะมั่นใจได้น่ะ"
"จู่ ๆ ก็มาพูดแบบนี้ใส่...ใครจะเชื่อ..."
"กะไว้อยู่แล้ว เพราะงั้นฉันถึงได้จะพูดต่อไงว่าถึงฉันโกหกนายไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี"เขายังพูดกลั้วหัวเราะ สังเกตท่าทีนั่นไปด้วย แม้จะเจอเรื่องมามากแต่ความอ่อนต่อโลกก็ยังอยู่เหนือกว่า จนเขาแสดงท่าทีลังเลออกมาให้เห็น เด็กหนอเด็ก...
"แล้วถ้าผมไม่เชื่อล่ะ"
"ฉันจะพิสูจน์ให้ดู แลกกับที่นายต้องยื่นแขนมา"
"...ไม่เอา..."
"ฉันจะรักษาแผลให้ คงถึงขั้นทำแผลให้หายไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกรอยช้ำของนายก็น่าจะพอลดลงได้บ้าง"ละมั้งนะ... ลอบต่อคำในใจก็ส่งยิ้มหวานปานน้ำเชื่อมมาให้ ไม่รอเด็กน้อยตอบอะไรอีกก็ยื่นมือเข้าไปจับหมับเข้าทันควัน คนตรงหน้าเสียวสันหลังวาบ ระแวงถึงท่าที่ไม่น่าใจ ออกแรงดิ้นสุดฤทธิ์แต่ก็เปล่าประโยชน์ และแน่นอนว่าผลสุดท้าย...
...สุดท้าย...
"ผมว่ามันไม่ค่อยจะต่างจากเดิมเท่าไหร่เลยนะครับ"
...บาดแผลทุกแผลยังคงอยู่ที่เดิมไม่เคยเปลี่ยนไป
"มั่นใจว่าท่องคาถาถูกแล้ว ทำไมกันนะ..."
"..."เด็กน้อยได้แต่กระพริบตามองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ตากลมโตจ้องมองเมลด้วยความประหลาดใจ คิ้วมุ่นเข้าหากันเมื่อเห็นถึงท่าทีเป็นมิตรขึ้นมาหน่อย แต่ไอพลังสีเขียวพวกนั้น แถมยังกลิ่นอายชวนให้โล่งใจ...
"ช่วยไม่ได้นะ คุยกันมาได้สักพักแล้ว ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย พี่ชื่อเมล แล้วนายล่ะ"
"ผม..."
"ไลรอนครับ พี่ชาย"
สีหน้าเด็กน้อยดูดีขึ้นมากจากท่าทีโล่งใจหน่อย ๆ เมลอดอมยิ้มไม่ได้กับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู เด็กหนุ่มเลื่อนไปลูบหัวอีกคนเบา ๆ สายตาสอดส่ายมองโดยรอบก่อนจะปรับหน้าเปื้อนยิ้มให้จางลง
"หมอนั่นมานู่นแล้วแฮะ"
"พี่ชายคนที่มาช่วยผมอีกคนนี่นา..."
"นายกำลังใช้ภาษาของพวกเราอยู่"
"ขะ ขอโทษครับ"อะไรหลายอย่างยังคงชวนให้สับสนจนปรับตัวไม่ทัน เสียแต่ตอนนี้สมองยังซับซ้อนไม่มากพอจึงได้แต่พยายามปรับตามอารมณ์ที่เปลี่ยนทันควันของเมล และทำตามคำแนะนำนั่นแต่โดยดี
เพราะนอกจากพวกเขาแล้ว หากไม่ใช่คนในก็ไม่มีใครเลยที่จะพูดภาษาพวกนี้เป็น
"ขอบใจที่ออกมาช่วยเมื่อตะกี้นะ นาย..."
"โซลัน เลสติน ส่วนเรื่องที่ช่วยนั่นฉันมาเพราะเด็กคนนั้น ไม่ใช่นาย"
เพล้ง!
เวลานั้นหนุ่มน้อยนักบันทึกรู้สึกว่าตัวเองจะหน้าแตกเสียให้ได้ สีหน้ายังนิ่งอยู่แต่ขีดอารมณ์จะพุ่งขึ้นมาอีกหน่อย ไหวไหล่ให้ทีหนึ่งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงหัวเราะใสของเด็กกับรอยยิ้มมุมปากเลยได้แต่อ่อนใจ นั่งนิ่งสักพักดูปฏิกิริยาของคนแกล้งถือถุงอะไรบางอย่างแนบอกมาด้วย ข้างในก็คงเป็นพวกขนมหรืออาหารที่เจ้าตัวไปหาซื้อมานั่นละ
'ที่หายไปนานก็เพราะงี้นี่เอง ใจดีกว่าที่คิดแฮะหมอนี่'
"เอาด้วยไหม"
"เอา? ฉันหรอ..."
"ก็เห็นนั่งจ้องฉันอยู่ หิวหรือไง"
"ฉันว่านายกำลังเข้าใจผิดแล้วละ โซลัน"เขาตอบทันควันพลางยิ้มแห้งให้ คนหัวฟ้าเขียวหันขวับมามองนิดหน่อยแล้วอมยิ้มบาง เรียกให้สีหน้าเย็นชาดูอ่อนโยนขึ้น ไลรอนนั่งเคี้ยวขนมปังหยุบหยับท่าทางหิวน่าดู จากสภาพแล้วคงไม่มีอะไรให้ต้องห่วงมาก เว้นเสียแต่เขา ตอนขามาน่ะดูคึกครื้นตั้งใจทำงาน แต่ขากลับร้านนี่ดันชักช้า ปล่อยเวลาให้สายจนป่านนี้เลย กลับไปคงได้โดนลุงบ่นจนหูชาแน่....หรือว่าจะอยู่ต่ออีกสักหน่อยดี
'แย่ชะมัด'
"ฮึบ"
"พี่ชายจะไปแล้วเหรอครับ"
"ก็ออกมาข้างนอกก็นานแล้วทั้งที่งานยังไม่เสร็จ ถ้ามัวแต่ช้าคงมีงานท่วมหัวแน่"ผิดคาดนิดหน่อยที่พ่อหนุ่มหน้านิ่งดันเป็นฝ่ายบอกลาพวกเขาไปก่อนคนนั่งเครียดซะแล้ว เมลส่งยิ้มบางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ตั้งท่าจะเดินจากไปก่อนจะเอ่ยคำลาและไลรอนก็โบกมือไปมาทั้งคำขอบคุณกับรอยยิ้มซึ้งใจ
"แล้วชื่อของนาย..."โซเรียน่าทักเป็นคำส่งท้าย ขนาดจะไปแล้วก็ยังไม่ลืมถามกันอีก หนุ่มน้อยนิ่งไปชั่วขณะอย่างครุ่นคิด กับแค่แนะนำตัวให้คนแปลกหน้าที่อาจจะไม่เจอกันอีกก็คงไม่เป็นอะไรเท่าไหร่...
"ฉันชื่อเมล โอนิกซ์ ยินดีที่ได้เจอกันนะ โซลัน"
"..."ตบท้ายก็ยังมิวายส่งยิ้มมาให้ก่อนอีกฝ่ายจะเดินจากไป
"ว่าแต่นายบ้านอยู่ไหนล่ะ พี่จะไปส่ง"ก่อนเมลจะหันมาสนใจเด็กต่อ
"คือผม..."ไลรอนอ้ำอึ้งนิ่งไป อึกอักก่อนจะก้มลงมองเข่าทั้งสองของตน...
"ผม?"
"ผม...ไม่มีบ้านหรอกครับ"
"หืม"เมลหรี่ตาจ้องมองตาใสซื่อของอีกคน หลังจากพูดประโยคนั้นจบ แววตาของเด็กน้อยก็เปลี่ยนไป อะไรบางสิ่งซึ่งสะท้อนบางสิ่งคล้ายกับใครคนหนึ่งที่เขารู้จัก...
แววตาที่ดูตัดพ้อต่อชีวิต ทั้งยังความเศร้าสร้อย ทุกอย่างที่สื่อผ่านสายตา คนกลางอย่างเขาควรจะถอยห่างแล้วปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่ควรเป็น
แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็อดทำคิดหนักไม่ได้อยู่ดี...
"แล้วนายมีที่ไปหรือเปล่า"
เมลมุ่นคิ้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย เด็กน้อยส่ายหัวไปมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีแดงหม่นหมองลงไป เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นิ่งเงียบไปอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยคำถามอย่างสุดท้ายเพื่อความแน่ใจ
"แล้วที่ผ่านมานายมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน"
....
...
..
.
"ไลรอน คาร์ไมล์ มีรายชื่อในนี้หรือเปล่านะ"ต้นไม้ใหญ่ไม่ห่างกันจากร้านมากนักถูกใช้เป็นที่นั่งพักพิงพลางอ่านไดอารี่บันทึกชีวิตผู้คนไปพลาง สมองครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ทั้งลักษณะกับรูปลักษณ์างอย่างที่แปลกตาถึงทำให้เขาต้องมานั่งติดแหง็กอยู่ตรงนี้ หลบซ่อนตัวมาหาความสงบชั่วคราว
ในเวลาก่อนหน้าไม่นานนัก ทันทีที่เด็กหนุ่มตัดสินใจพาไลรอนมาด้วยกัน ยังไม่ทันจะถึงหน้าร้านดีก็ได้รับเสียงบ่นนำลิ่วมาก่อนใครเพื่อน น้ำเสียงเอะอะโวยวายปะปนกับความเคร่งขรึมดูเจ้าระเบียบ ทั้งลุงนายจ้างกับหลานชายตัวแสบของเข้าพุ่งพรวดออกมาข้างกันตรงดิ่งมาเดินข้างกัน สีหน้าจริงจังซะจนนึกว่าจะโดนบ่นกับตัดเงินเดือนไปซะแล้ว แต่เรื่องตรงกันข้ามเลย
...ข่าวจากในเมืองแพร่กระจายมาถึงที่นี่รวดเร็วปานสายลมเสียจริง
"ถ้าผมละก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่เด็กคนนี้..."
"ก็ว่าจะถามอยู่ เด็กนี่ใคร"หลานชายเจ้าของร้านหันมาพูดด้วยน้ำเสียงติดจะดัง ตาดุพาลให้ไลรอนตรงดิ่งมาหลบหลังเขาแทบทันควัน ตัวสั่นงันงกอย่างหวาดกลัวแม้กระทั่งคุณลุงเองก็นิ่งไปเหมือนกัน สีหน้าเคร่งขรึมหันขวับมาจ้องเขาแทบจะในทันควัน
เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงว่าเขาจะไม่รับภาระอะไรมาเพิ่มอีกแต่อย่างใด...
...จนกว่าจะได้รับคำอธิบายเพิ่มที่น่าสนใจพอจะยอมรับ
แล้วก็นั่นละนะ...
ด้วยเหตุประการฉะนี้ เรื่องราวสุดรันทดที่ค่อนข้างน่าอัศจรรย์ใจ พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเล็กเพราะอาการป่วย... ต้องกลายเป็นทาสที่ถูกเก็บมาเลี้ยงแต่เด็กด้วยใครสักคนที่หวังผลประโยชน์ ใช้ความน่าสงสารของเด็กน้อยมาเป็นข้ออ้างหาเงินไปเรื่อย จนกระทั่งโดนซ้อมจนตายจากเจ้าหนี้... ในช่วงวัยเจ็ดขวบที่ควรจะใช้ชีวิตอย่างเด็กทั่วไปถูกสังคมรอบตัวกระทำอย่างโหดร้าย โลกรอบตัวก็ไม่ต่างอะไรกับไอสีเทาทะมึนวนล้อมอยู่ในความคิด...
ไอสีเทาทะมึนอยู่ในความคิด...ไม่ใช่ของเด็กหรอกนะ
คนที่โดนน่ะ เขาต่างหาก
"เมล!"
"ครับ..."ชีวิตนี้ทั้งชีวิตจะให้บุกน้ำลุยไฟแค่ไหนเขาก็ยังยืดอกยอมรับมันได้อย่างสบาย แต่กับตาลุงที่เขาสนิทชิดเชื้อมาเกือบจะสิบปีนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาเหยียบอาณาจักรนี่ ให้ตายยังไงก็ไม่กล้าขัดจริง ๆ
"รู้ใช่ไหมว่าลุงไม่รับภาระเพิ่มเพราะอะไร"
"ครับ..."
ก็เพราะรู้ดีนั่นแหละนะ เขาถึงได้ตัดสินใจพามาอยู่ตรงนี้ ในร้านสมุนไพรที่เขาทำงานอยู่
"ฉันขอเหตุผลดี ๆ สักข้อว่าทำไมถึงพาเขามา..."
"...เรื่องนั้น...ก็เพราะเขามีบางสิ่งที่เหมือนกับใครคนหนึ่งที่ผมรู้จัก พอรู้ตัวอีกทีก็ตัดสินใจพาไลรอนมาที่นี่แล้วครับ"
"เขาคงจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอสินะ"
"ก็พูดไม่ได้เต็มปากหรอกครับ เพราะพวกเราเพิ่งเจอหน้าแล้วก็คุยกันได้ไม่เท่าไหร่ และผมก็ตัดสินใจไว้แล้ว"นั่นเป็นเหตุผลที่ทำเมลอยากตบหน้าผากตัวเองซะให้ได้ ในชีวิตนี้เพิ่งจะพูดอะไรไร้เหตุผลที่สุดก็คราวนี้เลย ขอสัญญากับตัวเองเลยว่าถ้าพ้นจากสถานการณ์นี่ไปได้จะรีบค้นบันทึกชีวิตเด็กคนนี้มาอ่านให้มั่นใจเลย
"วันนี้ลุงจะให้..."
"ไลรอนครับ"
"อ่า นั่นแหละ เจ้าไลรอน ลุงจะให้เจ้าหนูนั่นมาพักด้วยกันไปก่อน เรื่องจะช่วยยังไงค่อยว่ากันอีกที"
เรื่องราวก่อนหน้าทั้งหมดก็จบลงด้วยประการฉะนี้ ขณะที่เขากำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับการไปเพิ่มภาระให้ใครสงสารแค่นั้น เสียงหัวเราะร่าจากข้างล่างก็ดังขึ้นมา เด็กหนุ่มผมสีดำสนิทกับดวงตาสีแดงสะดุดตา ท่าทีเกร็งก่อนหน้ายังคงฉายชัดพาลให้เด็กน้อยข้างกันหงุดหงิดนิดหน่อย
จนกระทั่งนิสัยทโมนตามประสาเด็กผู้ชายนั่นทำเรื่องเปิ่นให้เห็นออกมากับความปากตรงกับใจของเจ้าตัว สุดท้ายทั้งสองคนก็เข้ากันได้ดีเป็นปลี่เป็นขลุ่ย
เมลบิดตัวอีกสองสามที นั่งอ่านชีวิตของเด็กคนนี้พลางทบทวนเรื่องที่ไลรอนเคยพูดให้ ทั้งหมดล้วนแต่ตรงกับเนื้อหาภายในนี้ทั้งสิ้น
แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกันกว่าจะไล่หาเจอได้ เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่สมัยรุ่นก่อนทวดยาวไล่ตั้งแต่ครั้งอดีตถูกจดรวมไว้ภายในนี้ รายละเอียดปลีกย่อยเฉพาะเขตกลางเมืองเฮสเทียของมนุษย์ที่เขาดูแลมีมากมายจนน่าหน่ายใจ ถึงตัวรีคอร์เดอร์อาจจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยก็ตามที ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่อาศัยตัวกลางจากจี้ห้อยคอที่เขาพกติดตัวตลอดเวลาซึ่งเชื่อมกับขอบข่ายพลังของผู้ดูแลห้องสมุดแห่งชีวิต
ผ่านตัวกลางไปยังคริสตัลแห่งชีวิตของห้องสมุดกลายเป็นเรื่องราวเล่าขานชีวิตชาวบ้าน สู่บันทึกที่ไม่เคยเต็ม....
"แต่ตอนนี้มันกลายเป็นแค่อดีตไปแล้ว"
ดวงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยต่ำลงมามากแล้ว ร้านสมุนไพรถูกปิดลงตามเวลาที่กำหนดเมลตรงเข้าไปช่วยลุงจัดการเก็บกวาดร้าน ระหว่างนั้นก็เหลือบมองคนทั้งสองไปพลางแล้วอมยิ้ม
"เด็กพวกนี้นี่เข้ากันเร็วดีจริง ๆ นะ"คำพูดนั้นตรงกับใจเขาคิดอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลากันแยกย้าย ไลรอนในตอนแรกมีท่าทีเกร็งทีเดียวที่ต้องแยกจากกัน นอกจากเมลก็ไม่มีใครจะพุดภาษาภูตได้คล่องแคล่วอีกแล้ว ความกังวลจากความไม่คุ้นเคยทำให้เด็กน้อยเริ่มหวาดกลัวจนเกร็งอีกครั้ง หากแต่สัมผัสหยาบกร้านแต่อ่อนโยนจากคุณลุงก็พาลดึงอารมณ์ให้สงบลง เนลผู้เป็นหลานชายเองก็เช่นกัน นานทีจะได้เพื่อนใหม่ถูกคอก็หันมายิ้มร่าใส่แล้วตบบ่าแปะ ๆ ปลอบใจไม่ให้กังวล
"ไม่ต้องห่วงนะ ไล คุณลุงเราน่ะใจดีมากก มาอยู่ด้วยกันไลจะได้ที่นอนอุ่น ๆ แล้วก็อาหารอร่อยเยอะแยะเลย"
"แต่ว่า...พี่เมล"
"ไปเถอะ"เด็กหนุ่มตาน้ำตาลส้มเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นเจ้าบ้านเอ่ย ลุงตรงหน้าหันมามองเขาก่อนจะแย้มรอยยิ้มบางอันอบอุ่น แววตาคู่นั้นยังคงดูดุและเข้มงวดไปตามประสา ไม่บ่งบอกถึงการยอมรับมากอย่างที่หวัง แต่ว่าตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว
แค่สัมผัสเบา ๆ จากฝ่ามือบนหัวก็มากพอจะให้เด็กน้อยผู้ไร้ความอบอุ่นแต่เด็กยอมเชื่อใจไปโดยปริยาย
"ขอบคุณครับลุง"
"ไม่ต้องมาขอบคุณเลย ไว้หลังจากนี้โดนใช้งานหนักแน่"
ก่อนจะแยกกันก็ยังมิวายเอ่ยขู่ด้วยท่าทีน่ากลัว เมลส่งยิ้มแห้งรีบผงกหัวอีกทีให้เป็นการส่งท้ายแล้วแยกย้ายจากกันไปมิวายหันกลับไปมองแผ่นหลังนั้นแล้วลอบอมยิ้มบาง
วิ้ว...
สายลมยามเย็นโบกพัดผ่านเข้ามาตลอดทางเดินนั้น ลมอันเอื่ยเฉื่อยบ่งบอกถึงฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามาเยือน พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่แล่นริ้วเข้ามา ร่างสมส่วนพลันชะงักกึกหยุกนิ่งอยู่กับที่ เขาหันขวับไปมองทางขวาของตนก่อนจะจับจ้องถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ไม่เห็นแม้แต่เงาแต่กลับรู้สึกได้
"แม้แต่ทางฝั่งนั้นเองก็กำลังจะเริ่มแล้วสินะ"น้ำเสียงพึมพำได้ยินเพียงคนเดียวออกมาจากปาก ดวงตาน้ำตาลอมส้มฉายแววกังวล ก่อนสองเท้าจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้ายังทางกลับบ้าน ไม่แม้แต่จะสนใจสิ่งใดต่อไปอีก
'เราเองก็คงต้องรีบบ้างแล้ว'
...ทิ้งไว้แต่ผงฝุ่นสีดำสนิทล่องลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะร่วงลงสู่พื้นอย่างช้า ๆ
.......................................................................................................................................................................
ได้ฤกษ์อัพตอนสองสักที เหนื่อยทีเดียวกับการคงเนื้อเรื่องไม่ให้มากไปหรือน้อยไปนะคะ หลายคนอาจจะอ่านละขัดใจว่าเฮ้ย ทำไมปมมันเยอะจัง นั่นสิ ทำไมกันนะ...
ก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรนอกเสียจากจะบอกว่าเรื่องนี้เราค่อนข้างตั้งใจมากทีเดียว สำหรับมิตรรักนักอ่านทุกท่านอ่านแล้วก็อย่าลืมเม้นกันนะคะ เพื่อเป็นกำลังใจแด่ไรท์เตอร์ผู้นี้ ส่วนตัวเราแวบมาก็ถึงเวลาต้องจากลาเสียที ทุกคนก็ติดตามรอนิยายตอนใหม่กันได้อีกเร็ว ๆ นี้นะคะ
คนรู้จักคนใหม่
"ปล่อยข้า! ไอ้พวกทหาร ปล่อยข้า!"
"..."แม้ยามสายตลาดจะเริ่มวายหากแต่ผู้คนกลับยังไม่ห่างหาย ทหารชุดผ้ายืดสวมเกราะเบา ดาบสั้นยาวเท่าศอกถูกยื่นออกไปจ่อหน้า ข่มขู่ให้หยุดทำเรื่องไร้ประโยชน์ แถมยังเชือกเวทมนตร์นั่นที่บังคับให้ชายฉกรรจ์ทำได้เพียงแค่ส่ายตัวดิ้นไปมา เพียงเท่านั้น
"ขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือ"
"..."เส้นผมสีฟ้าอมเขียวสั่นไหวตามการพยักหน้าของชายหนุ่ม ดวงสีน้ำเงินจ้องมองความโกลาหลตรงหน้านิ่งเงียบ ร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวฉายชัดขึ้นมา ก่อนเสียงคำรามของความโกรธจะดังลั่นขับไล่ชาวบ้านให้แตกกระเจิง ยิ่งพาลให้โซลันอดหรี่ตามองไม่ได้...
"ไป!"นายทหารสองคนช่วยกันลากชายฉกรรจ์ผู้นี้ไปได้ ตลอดทางนั้นเองที่เชือกเวทถูกลายแทนด้วยไอเย็นจากเหล็กบีบรัดข้อมือทั้งสอง เป็นเครื่องยืนยันว่าถ้าหากไม่ใช้เวทมนตร์ทำลายก็ต้องออกแรงมหาศาลทำจนมันแตก แต่ลำพัง...แค่ชาวบ้านระดับรากหญ้าจะมีปัญญาทำอะไรได้...
'เว้นเสียแต่ไอดำนั่น ดูยังไงก็มาจากพวกอิเรสชัด ๆ ไม่คิดว่าแค่วันเดียวมันจะลุกลามเข้ามาควบคุมเร็วขนาดนี้'ผู้บันทึกนั่งมองนิ่งเงียบ จับจี้ของตนด้วยความกังวล
'คงต้องรีบหาตัวต้นตอหน่อยแล้ว... แต่ก่อนอื่น'
"นายทำฉันเสียเวลากลับร้าน รู้ตัวไหม หนุ่มน้อย"
"อะ อึก..."แล้วก็ลงอีหรอบเดิม เมลทำเพียงแค่นั่งเท้าบ่นนิดหน่อยเด็กน้อยก็พลันพูดตะกุกตะกักด้วยความตื่นกลัว ทั้งสีหน้าขาวซีดดูอิดโรย ดวงตาสีแดงเลือดกับร่างกายซูบผอม พอดวงตาสีน้ำตาลส้มจ้องนิ่งเจ้าตัวก็ตั้งท่าจะพูดอะไรเสริม แววตาคู่นั้นเศร้าหมองลงไปฉายแววถึงความเหงา
หมับ
"ถ้าจะพูดภาษาเฮลมส์ของพวกมนุษย์แล้วลำบากใจก็เอาภาษาที่นายถนัดเถอะ"เมลเลื่อนไปสัมผัสหัวทุยของอีกคน ลูบอย่างแผ่วเบาก่อนจะอมยิ้มบาง
"ยังไงพวกเราก็เผ่าเดียวกันนี่นะ"
"!!"ถ้อยคำท้ายน้ำเสียงนุ่มทุ้มหูไม่กระฉับกระเฉง ถ้อยคำแปลกแต่คุ้นเคย มันเป็นภาษาขั้นพื้นฐานที่พวกภูตอย่างเขาใช้กันจึงง่ายที่คนในเผ่าจะเข้าใจ ดวงตาน้ำตาลอมส้มจ้องปฏิกิริยากระสับกระส่ายก่อนจะเหลียวมองไปยังคนใหม่ที่เดินหายลับไปไหนแล้วก็ไม่รู้ พอมีเวลาให้เขาได้คุยต่ออีกหน่อย
"ต้องใช้เวลาสังเกตพลังอยู่นานเลยนะถึงจะมั่นใจได้น่ะ"
"จู่ ๆ ก็มาพูดแบบนี้ใส่...ใครจะเชื่อ..."
"กะไว้อยู่แล้ว เพราะงั้นฉันถึงได้จะพูดต่อไงว่าถึงฉันโกหกนายไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี"เขายังพูดกลั้วหัวเราะ สังเกตท่าทีนั่นไปด้วย แม้จะเจอเรื่องมามากแต่ความอ่อนต่อโลกก็ยังอยู่เหนือกว่า จนเขาแสดงท่าทีลังเลออกมาให้เห็น เด็กหนอเด็ก...
"แล้วถ้าผมไม่เชื่อล่ะ"
"ฉันจะพิสูจน์ให้ดู แลกกับที่นายต้องยื่นแขนมา"
"...ไม่เอา..."
"ฉันจะรักษาแผลให้ คงถึงขั้นทำแผลให้หายไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกรอยช้ำของนายก็น่าจะพอลดลงได้บ้าง"ละมั้งนะ... ลอบต่อคำในใจก็ส่งยิ้มหวานปานน้ำเชื่อมมาให้ ไม่รอเด็กน้อยตอบอะไรอีกก็ยื่นมือเข้าไปจับหมับเข้าทันควัน คนตรงหน้าเสียวสันหลังวาบ ระแวงถึงท่าที่ไม่น่าใจ ออกแรงดิ้นสุดฤทธิ์แต่ก็เปล่าประโยชน์ และแน่นอนว่าผลสุดท้าย...
...สุดท้าย...
"ผมว่ามันไม่ค่อยจะต่างจากเดิมเท่าไหร่เลยนะครับ"
...บาดแผลทุกแผลยังคงอยู่ที่เดิมไม่เคยเปลี่ยนไป
"มั่นใจว่าท่องคาถาถูกแล้ว ทำไมกันนะ..."
"..."เด็กน้อยได้แต่กระพริบตามองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ตากลมโตจ้องมองเมลด้วยความประหลาดใจ คิ้วมุ่นเข้าหากันเมื่อเห็นถึงท่าทีเป็นมิตรขึ้นมาหน่อย แต่ไอพลังสีเขียวพวกนั้น แถมยังกลิ่นอายชวนให้โล่งใจ...
"ช่วยไม่ได้นะ คุยกันมาได้สักพักแล้ว ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย พี่ชื่อเมล แล้วนายล่ะ"
"ผม..."
"ไลรอนครับ พี่ชาย"
สีหน้าเด็กน้อยดูดีขึ้นมากจากท่าทีโล่งใจหน่อย ๆ เมลอดอมยิ้มไม่ได้กับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู เด็กหนุ่มเลื่อนไปลูบหัวอีกคนเบา ๆ สายตาสอดส่ายมองโดยรอบก่อนจะปรับหน้าเปื้อนยิ้มให้จางลง
"หมอนั่นมานู่นแล้วแฮะ"
"พี่ชายคนที่มาช่วยผมอีกคนนี่นา..."
"นายกำลังใช้ภาษาของพวกเราอยู่"
"ขะ ขอโทษครับ"อะไรหลายอย่างยังคงชวนให้สับสนจนปรับตัวไม่ทัน เสียแต่ตอนนี้สมองยังซับซ้อนไม่มากพอจึงได้แต่พยายามปรับตามอารมณ์ที่เปลี่ยนทันควันของเมล และทำตามคำแนะนำนั่นแต่โดยดี
เพราะนอกจากพวกเขาแล้ว หากไม่ใช่คนในก็ไม่มีใครเลยที่จะพูดภาษาพวกนี้เป็น
"ขอบใจที่ออกมาช่วยเมื่อตะกี้นะ นาย..."
"โซลัน เลสติน ส่วนเรื่องที่ช่วยนั่นฉันมาเพราะเด็กคนนั้น ไม่ใช่นาย"
เพล้ง!
เวลานั้นหนุ่มน้อยนักบันทึกรู้สึกว่าตัวเองจะหน้าแตกเสียให้ได้ สีหน้ายังนิ่งอยู่แต่ขีดอารมณ์จะพุ่งขึ้นมาอีกหน่อย ไหวไหล่ให้ทีหนึ่งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงหัวเราะใสของเด็กกับรอยยิ้มมุมปากเลยได้แต่อ่อนใจ นั่งนิ่งสักพักดูปฏิกิริยาของคนแกล้งถือถุงอะไรบางอย่างแนบอกมาด้วย ข้างในก็คงเป็นพวกขนมหรืออาหารที่เจ้าตัวไปหาซื้อมานั่นละ
'ที่หายไปนานก็เพราะงี้นี่เอง ใจดีกว่าที่คิดแฮะหมอนี่'
"เอาด้วยไหม"
"เอา? ฉันหรอ..."
"ก็เห็นนั่งจ้องฉันอยู่ หิวหรือไง"
"ฉันว่านายกำลังเข้าใจผิดแล้วละ โซลัน"เขาตอบทันควันพลางยิ้มแห้งให้ คนหัวฟ้าเขียวหันขวับมามองนิดหน่อยแล้วอมยิ้มบาง เรียกให้สีหน้าเย็นชาดูอ่อนโยนขึ้น ไลรอนนั่งเคี้ยวขนมปังหยุบหยับท่าทางหิวน่าดู จากสภาพแล้วคงไม่มีอะไรให้ต้องห่วงมาก เว้นเสียแต่เขา ตอนขามาน่ะดูคึกครื้นตั้งใจทำงาน แต่ขากลับร้านนี่ดันชักช้า ปล่อยเวลาให้สายจนป่านนี้เลย กลับไปคงได้โดนลุงบ่นจนหูชาแน่....หรือว่าจะอยู่ต่ออีกสักหน่อยดี
'แย่ชะมัด'
"ฮึบ"
"พี่ชายจะไปแล้วเหรอครับ"
"ก็ออกมาข้างนอกก็นานแล้วทั้งที่งานยังไม่เสร็จ ถ้ามัวแต่ช้าคงมีงานท่วมหัวแน่"ผิดคาดนิดหน่อยที่พ่อหนุ่มหน้านิ่งดันเป็นฝ่ายบอกลาพวกเขาไปก่อนคนนั่งเครียดซะแล้ว เมลส่งยิ้มบางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ตั้งท่าจะเดินจากไปก่อนจะเอ่ยคำลาและไลรอนก็โบกมือไปมาทั้งคำขอบคุณกับรอยยิ้มซึ้งใจ
"แล้วชื่อของนาย..."โซเรียน่าทักเป็นคำส่งท้าย ขนาดจะไปแล้วก็ยังไม่ลืมถามกันอีก หนุ่มน้อยนิ่งไปชั่วขณะอย่างครุ่นคิด กับแค่แนะนำตัวให้คนแปลกหน้าที่อาจจะไม่เจอกันอีกก็คงไม่เป็นอะไรเท่าไหร่...
"ฉันชื่อเมล โอนิกซ์ ยินดีที่ได้เจอกันนะ โซลัน"
"..."ตบท้ายก็ยังมิวายส่งยิ้มมาให้ก่อนอีกฝ่ายจะเดินจากไป
"ว่าแต่นายบ้านอยู่ไหนล่ะ พี่จะไปส่ง"ก่อนเมลจะหันมาสนใจเด็กต่อ
"คือผม..."ไลรอนอ้ำอึ้งนิ่งไป อึกอักก่อนจะก้มลงมองเข่าทั้งสองของตน...
"ผม?"
"ผม...ไม่มีบ้านหรอกครับ"
"หืม"เมลหรี่ตาจ้องมองตาใสซื่อของอีกคน หลังจากพูดประโยคนั้นจบ แววตาของเด็กน้อยก็เปลี่ยนไป อะไรบางสิ่งซึ่งสะท้อนบางสิ่งคล้ายกับใครคนหนึ่งที่เขารู้จัก...
แววตาที่ดูตัดพ้อต่อชีวิต ทั้งยังความเศร้าสร้อย ทุกอย่างที่สื่อผ่านสายตา คนกลางอย่างเขาควรจะถอยห่างแล้วปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่ควรเป็น
แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็อดทำคิดหนักไม่ได้อยู่ดี...
"แล้วนายมีที่ไปหรือเปล่า"
เมลมุ่นคิ้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย เด็กน้อยส่ายหัวไปมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีแดงหม่นหมองลงไป เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นิ่งเงียบไปอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยคำถามอย่างสุดท้ายเพื่อความแน่ใจ
"แล้วที่ผ่านมานายมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน"
....
...
..
.
"ไลรอน คาร์ไมล์ มีรายชื่อในนี้หรือเปล่านะ"ต้นไม้ใหญ่ไม่ห่างกันจากร้านมากนักถูกใช้เป็นที่นั่งพักพิงพลางอ่านไดอารี่บันทึกชีวิตผู้คนไปพลาง สมองครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ทั้งลักษณะกับรูปลักษณ์างอย่างที่แปลกตาถึงทำให้เขาต้องมานั่งติดแหง็กอยู่ตรงนี้ หลบซ่อนตัวมาหาความสงบชั่วคราว
ในเวลาก่อนหน้าไม่นานนัก ทันทีที่เด็กหนุ่มตัดสินใจพาไลรอนมาด้วยกัน ยังไม่ทันจะถึงหน้าร้านดีก็ได้รับเสียงบ่นนำลิ่วมาก่อนใครเพื่อน น้ำเสียงเอะอะโวยวายปะปนกับความเคร่งขรึมดูเจ้าระเบียบ ทั้งลุงนายจ้างกับหลานชายตัวแสบของเข้าพุ่งพรวดออกมาข้างกันตรงดิ่งมาเดินข้างกัน สีหน้าจริงจังซะจนนึกว่าจะโดนบ่นกับตัดเงินเดือนไปซะแล้ว แต่เรื่องตรงกันข้ามเลย
...ข่าวจากในเมืองแพร่กระจายมาถึงที่นี่รวดเร็วปานสายลมเสียจริง
"ถ้าผมละก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่เด็กคนนี้..."
"ก็ว่าจะถามอยู่ เด็กนี่ใคร"หลานชายเจ้าของร้านหันมาพูดด้วยน้ำเสียงติดจะดัง ตาดุพาลให้ไลรอนตรงดิ่งมาหลบหลังเขาแทบทันควัน ตัวสั่นงันงกอย่างหวาดกลัวแม้กระทั่งคุณลุงเองก็นิ่งไปเหมือนกัน สีหน้าเคร่งขรึมหันขวับมาจ้องเขาแทบจะในทันควัน
เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงว่าเขาจะไม่รับภาระอะไรมาเพิ่มอีกแต่อย่างใด...
...จนกว่าจะได้รับคำอธิบายเพิ่มที่น่าสนใจพอจะยอมรับ
แล้วก็นั่นละนะ...
ด้วยเหตุประการฉะนี้ เรื่องราวสุดรันทดที่ค่อนข้างน่าอัศจรรย์ใจ พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเล็กเพราะอาการป่วย... ต้องกลายเป็นทาสที่ถูกเก็บมาเลี้ยงแต่เด็กด้วยใครสักคนที่หวังผลประโยชน์ ใช้ความน่าสงสารของเด็กน้อยมาเป็นข้ออ้างหาเงินไปเรื่อย จนกระทั่งโดนซ้อมจนตายจากเจ้าหนี้... ในช่วงวัยเจ็ดขวบที่ควรจะใช้ชีวิตอย่างเด็กทั่วไปถูกสังคมรอบตัวกระทำอย่างโหดร้าย โลกรอบตัวก็ไม่ต่างอะไรกับไอสีเทาทะมึนวนล้อมอยู่ในความคิด...
ไอสีเทาทะมึนอยู่ในความคิด...ไม่ใช่ของเด็กหรอกนะ
คนที่โดนน่ะ เขาต่างหาก
"เมล!"
"ครับ..."ชีวิตนี้ทั้งชีวิตจะให้บุกน้ำลุยไฟแค่ไหนเขาก็ยังยืดอกยอมรับมันได้อย่างสบาย แต่กับตาลุงที่เขาสนิทชิดเชื้อมาเกือบจะสิบปีนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาเหยียบอาณาจักรนี่ ให้ตายยังไงก็ไม่กล้าขัดจริง ๆ
"รู้ใช่ไหมว่าลุงไม่รับภาระเพิ่มเพราะอะไร"
"ครับ..."
ก็เพราะรู้ดีนั่นแหละนะ เขาถึงได้ตัดสินใจพามาอยู่ตรงนี้ ในร้านสมุนไพรที่เขาทำงานอยู่
"ฉันขอเหตุผลดี ๆ สักข้อว่าทำไมถึงพาเขามา..."
"...เรื่องนั้น...ก็เพราะเขามีบางสิ่งที่เหมือนกับใครคนหนึ่งที่ผมรู้จัก พอรู้ตัวอีกทีก็ตัดสินใจพาไลรอนมาที่นี่แล้วครับ"
"เขาคงจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอสินะ"
"ก็พูดไม่ได้เต็มปากหรอกครับ เพราะพวกเราเพิ่งเจอหน้าแล้วก็คุยกันได้ไม่เท่าไหร่ และผมก็ตัดสินใจไว้แล้ว"นั่นเป็นเหตุผลที่ทำเมลอยากตบหน้าผากตัวเองซะให้ได้ ในชีวิตนี้เพิ่งจะพูดอะไรไร้เหตุผลที่สุดก็คราวนี้เลย ขอสัญญากับตัวเองเลยว่าถ้าพ้นจากสถานการณ์นี่ไปได้จะรีบค้นบันทึกชีวิตเด็กคนนี้มาอ่านให้มั่นใจเลย
"วันนี้ลุงจะให้..."
"ไลรอนครับ"
"อ่า นั่นแหละ เจ้าไลรอน ลุงจะให้เจ้าหนูนั่นมาพักด้วยกันไปก่อน เรื่องจะช่วยยังไงค่อยว่ากันอีกที"
เรื่องราวก่อนหน้าทั้งหมดก็จบลงด้วยประการฉะนี้ ขณะที่เขากำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับการไปเพิ่มภาระให้ใครสงสารแค่นั้น เสียงหัวเราะร่าจากข้างล่างก็ดังขึ้นมา เด็กหนุ่มผมสีดำสนิทกับดวงตาสีแดงสะดุดตา ท่าทีเกร็งก่อนหน้ายังคงฉายชัดพาลให้เด็กน้อยข้างกันหงุดหงิดนิดหน่อย
จนกระทั่งนิสัยทโมนตามประสาเด็กผู้ชายนั่นทำเรื่องเปิ่นให้เห็นออกมากับความปากตรงกับใจของเจ้าตัว สุดท้ายทั้งสองคนก็เข้ากันได้ดีเป็นปลี่เป็นขลุ่ย
เมลบิดตัวอีกสองสามที นั่งอ่านชีวิตของเด็กคนนี้พลางทบทวนเรื่องที่ไลรอนเคยพูดให้ ทั้งหมดล้วนแต่ตรงกับเนื้อหาภายในนี้ทั้งสิ้น
แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกันกว่าจะไล่หาเจอได้ เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่สมัยรุ่นก่อนทวดยาวไล่ตั้งแต่ครั้งอดีตถูกจดรวมไว้ภายในนี้ รายละเอียดปลีกย่อยเฉพาะเขตกลางเมืองเฮสเทียของมนุษย์ที่เขาดูแลมีมากมายจนน่าหน่ายใจ ถึงตัวรีคอร์เดอร์อาจจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยก็ตามที ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่อาศัยตัวกลางจากจี้ห้อยคอที่เขาพกติดตัวตลอดเวลาซึ่งเชื่อมกับขอบข่ายพลังของผู้ดูแลห้องสมุดแห่งชีวิต
ผ่านตัวกลางไปยังคริสตัลแห่งชีวิตของห้องสมุดกลายเป็นเรื่องราวเล่าขานชีวิตชาวบ้าน สู่บันทึกที่ไม่เคยเต็ม....
"แต่ตอนนี้มันกลายเป็นแค่อดีตไปแล้ว"
ดวงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยต่ำลงมามากแล้ว ร้านสมุนไพรถูกปิดลงตามเวลาที่กำหนดเมลตรงเข้าไปช่วยลุงจัดการเก็บกวาดร้าน ระหว่างนั้นก็เหลือบมองคนทั้งสองไปพลางแล้วอมยิ้ม
"เด็กพวกนี้นี่เข้ากันเร็วดีจริง ๆ นะ"คำพูดนั้นตรงกับใจเขาคิดอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลากันแยกย้าย ไลรอนในตอนแรกมีท่าทีเกร็งทีเดียวที่ต้องแยกจากกัน นอกจากเมลก็ไม่มีใครจะพุดภาษาภูตได้คล่องแคล่วอีกแล้ว ความกังวลจากความไม่คุ้นเคยทำให้เด็กน้อยเริ่มหวาดกลัวจนเกร็งอีกครั้ง หากแต่สัมผัสหยาบกร้านแต่อ่อนโยนจากคุณลุงก็พาลดึงอารมณ์ให้สงบลง เนลผู้เป็นหลานชายเองก็เช่นกัน นานทีจะได้เพื่อนใหม่ถูกคอก็หันมายิ้มร่าใส่แล้วตบบ่าแปะ ๆ ปลอบใจไม่ให้กังวล
"ไม่ต้องห่วงนะ ไล คุณลุงเราน่ะใจดีมากก มาอยู่ด้วยกันไลจะได้ที่นอนอุ่น ๆ แล้วก็อาหารอร่อยเยอะแยะเลย"
"แต่ว่า...พี่เมล"
"ไปเถอะ"เด็กหนุ่มตาน้ำตาลส้มเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นเจ้าบ้านเอ่ย ลุงตรงหน้าหันมามองเขาก่อนจะแย้มรอยยิ้มบางอันอบอุ่น แววตาคู่นั้นยังคงดูดุและเข้มงวดไปตามประสา ไม่บ่งบอกถึงการยอมรับมากอย่างที่หวัง แต่ว่าตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว
แค่สัมผัสเบา ๆ จากฝ่ามือบนหัวก็มากพอจะให้เด็กน้อยผู้ไร้ความอบอุ่นแต่เด็กยอมเชื่อใจไปโดยปริยาย
"ขอบคุณครับลุง"
"ไม่ต้องมาขอบคุณเลย ไว้หลังจากนี้โดนใช้งานหนักแน่"
ก่อนจะแยกกันก็ยังมิวายเอ่ยขู่ด้วยท่าทีน่ากลัว เมลส่งยิ้มแห้งรีบผงกหัวอีกทีให้เป็นการส่งท้ายแล้วแยกย้ายจากกันไปมิวายหันกลับไปมองแผ่นหลังนั้นแล้วลอบอมยิ้มบาง
วิ้ว...
สายลมยามเย็นโบกพัดผ่านเข้ามาตลอดทางเดินนั้น ลมอันเอื่ยเฉื่อยบ่งบอกถึงฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามาเยือน พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่แล่นริ้วเข้ามา ร่างสมส่วนพลันชะงักกึกหยุกนิ่งอยู่กับที่ เขาหันขวับไปมองทางขวาของตนก่อนจะจับจ้องถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ไม่เห็นแม้แต่เงาแต่กลับรู้สึกได้
"แม้แต่ทางฝั่งนั้นเองก็กำลังจะเริ่มแล้วสินะ"น้ำเสียงพึมพำได้ยินเพียงคนเดียวออกมาจากปาก ดวงตาน้ำตาลอมส้มฉายแววกังวล ก่อนสองเท้าจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้ายังทางกลับบ้าน ไม่แม้แต่จะสนใจสิ่งใดต่อไปอีก
'เราเองก็คงต้องรีบบ้างแล้ว'
...ทิ้งไว้แต่ผงฝุ่นสีดำสนิทล่องลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะร่วงลงสู่พื้นอย่างช้า ๆ
.......................................................................................................................................................................
ได้ฤกษ์อัพตอนสองสักที เหนื่อยทีเดียวกับการคงเนื้อเรื่องไม่ให้มากไปหรือน้อยไปนะคะ หลายคนอาจจะอ่านละขัดใจว่าเฮ้ย ทำไมปมมันเยอะจัง นั่นสิ ทำไมกันนะ...
ก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรนอกเสียจากจะบอกว่าเรื่องนี้เราค่อนข้างตั้งใจมากทีเดียว สำหรับมิตรรักนักอ่านทุกท่านอ่านแล้วก็อย่าลืมเม้นกันนะคะ เพื่อเป็นกำลังใจแด่ไรท์เตอร์ผู้นี้ ส่วนตัวเราแวบมาก็ถึงเวลาต้องจากลาเสียที ทุกคนก็ติดตามรอนิยายตอนใหม่กันได้อีกเร็ว ๆ นี้นะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ