The recorder ผู้พิทักษ์บันทึกแห่งชีวิต
8.3
เขียนโดย Ncherry
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.40 น.
6 บท
1 วิจารณ์
8,516 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559 21.49 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เริ่มสำรวจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1
เริ่มสำรวจ
ใจกลางชายป่าลึกเขียวชอุ่ม ร่างสมส่วนขยับเคลื่อนไหวฝ่าแมกไม้อย่างว่องไว บาดแผลถลอกจากกิ่งก้านมันช่างเล็กน้อยหากเทียบกับสถานการณ์ฉุกเฉินของเขา เด็กหนุ่มวัยใกล้เลขสองออกตัววิ่งจนสุดแรง ดวงตาสีน้ำตาลอมส้มจ้องมองหาที่เหมาะหาทางลัดไปยังสถานที่เป้าหมาย หากแต่คนตามมาข้างหลังกลับไม่เข้าใจ ในส่วนของการใช้เวทมนตร์ถ่วงเวลานั้น
"สโตนวอล!"เอ่ยคาถาถูกต้องตามอักขระเวท แต่มันดันกลายเป็นที่กั้นหินอันเตี้ยดักขาเขาแทนที่จะดันหลังเจ้าคนล่าเนี่ยสิ เด็กหนุ่มหวิดจะสะดุดล้มหน้าคว่ำหากแต่ฝืนความเหนื่อยล้ากระโดดขึ้นหน้าได้ทันควัน เมลปั้นหน้านิ่ง เหงื่อร้อนชื้นไหลทั่วหน้าพลางก้าวถอยหลัง บาดแผลจากไหล่ทั้งสองยามนี้ถูกสมานกันจนหายสนิทดีเหลือเพียงแต่รอยขาดยับของเสื้อ เมื่อแอบชายตามองทางหางตา คนบนต้นไม้ที่กำลังพรางตัวไม่พูดอะไรหากแต่รวบรวมพลังอย่างเงียบ ๆ
เป็นตัวล่อต่อไปจนกว่าคนพวกนั้นจะมายืนกองกันหน้าฉัน
นั่นแหละที่คู่หูต่างวัยของเขากำลังสื่อ เมลรับถ้อยคำไว้ในใจก่อนจะก้าวไปข้างหน้า มือกำสร้อยแน่น ดวงตาสอดส่ายหาผู้มาใหม่ไป ดาบล้อมไอสีดำน่าขยะแขยง จำต้องหลบหลีกไปพลางสอดส่ายตาหาคนล่าเพื่อล่อให้ออกมา ด้วยวิธีการที่เขาเกลียดมากที่สุด...
"เอาแต่รุมลอบกัดกันอยู่ได้ เจ้าพวกอิเรสไร้น้ำยา"รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้น ยั่วโทสะให้เดือดดาล ระหว่างจัดการด้วยคาถาที่ผิดพลาดจนชายชุดดำปิดหน้ากองกันมารวมสี่คนได้ ทุกอย่างก็เข้าแผนพอดี...
"ดิสเพล"ปลายศรสีใสถูกปล่อยออกมาพร้อมแรงลมมหาศาลพัดจนคนตรงกลางแทบทรงตัวไม่อยู่ เมลทรุดนั่งลงทันทีที่ตั้งตัวได้ ก่อนจะโดนถูกพัดรวมให้ร่างเหลวกแหลกไปด้วย ความเร็วเกินจะก้าวหลบมีแต่ต้องลุยเข้าชนหรือไม่ก็หายไปซะ...และแล้วพื้นที่ตรงนั้นก็เหลือเพียงความว่างเปล่าของหลุมดิน
"ผู้ลบล้างกำลังรุกหนัก"เกรย์เซียว่าเสียงเรียบ ร่างติดจะท้วมกระโดดลงจากกิ่งไม้ที่สั่นไหวอย่างรุนแรงเจียนจะหัก ผมสีม่วงเรียบแปล้ถูกขยี้จนยุ่ง ดวงตาสีอเมธิสต์จ้องมองเด็กหนุ่มแล้วเดินมาขนาบข้างกัน
"และครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าที่ผ่านมา"
"..."
"ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้ความฝันของนายเป็นเพียงแค่เรื่องโกหกจริง ๆ เลย เมล"
'ก็ถ้า...มันเป็นอย่างนั้นละก็นะ...'วงเวทสีฟ้าใสปรากฏขึ้นใต้เท้า เด็กหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบคิดเพียงในใจ ปล่อยให้แสงสีขาวสะอาดตาโอบล้อมรอบตัวอย่างเชื่องช้า สู่ใจกลางอาณาจักรแห่งภูตอันสูงเสียดฟ้า ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาและ...สถานที่ตั้งของห้องสมุดอิกดริลแห่งชีวิต...
....
...
..
.
ในโลกใบนี้ที่ผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์อยู่อาศัยร่วมกันถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่ของอาณาจักรใหญ่ทั้งห้าด้วยกัน มนุษย์ ภูต ปีศาจ เทพ และ กลุ่มอาณาจักรยักษ์ ก็อบลินกับเอลฟ์ แม้จะมีเขตการปกครองใหญ่ถึงห้าที่แต่ความเหลื่อมล้ำของความเจริญก็ยังส่อกลิ่นอายให้เห็นอย่างชัดเจน เมื่ออำนาจไปไม่ถึงก็ไร้ซึ่งความเจริญจนผิดหูผิดตา เปิดโอกาสให้กลุ่มชนผู้รักความสงบจำนวนเล็กน้อยได้อยู่กันอย่างสงบสุข
ลองเปรียบกับว่าโลกคือผลส้มขนาดพอเหมาะมือ รูปร่างของผิวอันขรุขระไม่เชิงกลมไม่เชิงรี รูขั้วส้มบนและล่างคือพื้นที่แห้งแล้งและหนาวเย็นไร้ผู้อยู่อาศัยใด แม้กระทั่งต้นพืชใบหญ้ายังพากันล้มตายไปแทบจนหมดสิ้น พวกมันจึงถูกขนานนามกันว่าหลุมดำมรณะ
นับจากข้างล่างเหนือขึ้นมา เป็นพื้นที่แนวยาวแทบจะล้อมรอบทั่วโลกนั่นคืออาณาจักรปีศาจ สภาพภูมิอากาศใกล้เคียงกับความหนาวเย็นหากแต่เวทมนตร์ของผู้เป็นราชาทำให้พวกเขาคงอยู่ได้อย่างสงบสุขเรื่อยมา วิทยาการทางเวทมนตร์อาจไม่เหนือที่สุดแต่พลังอันมหาศาลกลับกลายเป็นที่หมายปองจนเกิดสงครามขึ้นในอดีตอยู่บ่อยครั้ง
ขึ้นมายังใจกลางของโลกทางฝั่งตะวันออก อาณาจักรใหญ่สองดินแดนผู้เคียงข้างกัน มนุษย์และเทพ ฝ่ายแรกอาศัยอยู่บนดินอีกฝ่ายไล่ตั้งแต่ดินสร้างจนสูงขึ้นไปเสียดฟ้า มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องวิทยาการอันล้ำหน้า ส่วนเทพขึ้นชื่อเรื่องความเป็นคู่กัดของปีศาจที่แสนจะเย่อหยิ่ง ทั้งยังพลังเวทที่ไหลเวียนมากมาย ต่างฝ่ายต่างเป็นพันธมิตรกันแต่เหมือนฝ่ายหลังจะเอาเปรียบมากกว่า ทว่าถึงอย่างนั้นก็อย่างไม่มีเหตุการณ์ในอดีตใดร้ายแรงจนแตกแยกกันเองเสียที
ข้ามมายังแผ่นดินขนาดใหญ่บนสุดใกล้กับหลุมดำมรณะบนก็คืออาณาจักรของยักษ์ เอลฟ์และก็อบลิน อาณาจักรที่ดูจะมีความขัดแย้งมากที่สุดแต่กลับเกิดสงครามน้อยยิ่งกว่าใคร พื้นที่อาศัยอุดมสมบูรณ์ได้ด้วยเวทมนตร์ของเผ่าเอลฟ์และยักษ์ความช่วยเหลือจากพันธมิตรคนสำคัญของอาณาจักรตอนกลางทางฝั่งตะวันตก ขึ้นชื่อเรื่องพลังรักษาและการประลองทางพละกำลัง
และนั่นคือแดนสุดท้าย...อาณาจักรของเผ่าภูต อาณาจักรลึกลับภายในเงาไม้และป่ามากมาย สถานที่ตั้งของห้องสมุดอิกดริลแห่งชีวิตบนต้นไม้พันปีใหญ่สูงเสียดฟ้าและบ้านเกิดของเมล...
...ยามนี้ใจกลางป่าถูกกลุ่มของอิเรสทำลายจนพังยับ เหลือเพียงซากปรักหักพังไว้เป็นของต่างหน้าภายในพื้นที่แห่งเงาหมอก...
เมลมองดูจากรากไม้ไล่ขึ้นไปข้างบน รีคอร์เดอร์คนอื่นกำลังสำรวจซากภายใน นอกเสียจากของที่พังชีวิตของผู้พิทักษ์ก็พังกันลงด้วย คนหนึ่งห้อยต่องแต่งเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณและคราบเลือดเปรอะตามตัวจนน่าเวทนา อีกคนนอนกองอยู่ภายในช่องว่างของซากสิ่งของ เคียงข้างกันกับชายชุดดำอีกสองสามคน บ่งบอกถึงการผ่านการต่อสู้มาหนักหนา
"ข้างบนเป็นยังไงบ้างครับ"เขาเงยหน้าขึ้นถามคนข้างบนพลางเร่งฝีเท้าออกเดินตามขั้นบรรไดที่พอหลงเหลือ ดวงตาจดจ้องภาพทั้งหมด
"พังยับเยินไม่เหลือซาก ทั้งสมุดบันทึกชีวิตของผู้คนแล้วก็เจ้านี่"
หมับ
"คริสตัลแห่งชีวิต...สีดำ...อึก"เมลรับเศษคริสตัลก้อนพอเหมาะมือมาดูใกล้ตา จากรีคอร์เดอร์อีกคนตรงหน้าเขา กลิ่นอายพลังอันน่าขยะแขยงที่ภูตขาวอย่างเขาอย่างเขาเกลียดมันนัก จนต้องโยนกลับไปให้เกรย์เซียที่อยู่ข้างดูแลต่อแทน ฝ่ามือทั้งสองพุพองจากการกัดกินก่อนจะหายไป
"แล้วข้างในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง"คู่หูว่าเสียงนิ่ง ชายหนุ่มหัวม่วงก้าวนำหน้าขึ้นมา เมลพยักหน้าหงึกหงักดวงหน้าจริงจังขึ้นมา บ่งบอกถึงความเครียดขึ้ง
"เลวร้ายทีเดียว...มากกว่าที่พวกข้าคิดไว้"ผู้บันทึกคนที่สี่และห้าก้าวเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย หญิงสาวเรียกพลังกับชายคนเดิมใช้เวทมนตร์ช่วยเปิดทางให้พวกเขาได้เข้าไปข้างในง่ายขึ้น
"เห็นแล้วก็อย่าตกใจซะละ"ก่อนจะเอ่ยต่อกับเมล
...
..
.
"..."โคเรย์ตายแล้ว... ชายหนุ่มผมทองคนสำคัญของเหล่ารีคอร์เดอร์จากไป เมลกัดฟันแน่น ดวงตาพลันแข็งกร้าวด้วยความปวดร้าว ฝ่ามือบีบเข้าหากันจนสั่นเกร็งก่อนจ้องมองยังบาดแผลมากมายบนตัว บ่งบอกถึงความทรมานก่อนจะสิ้นใจ หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรง เลือดสูบฉีดขึ้นหัวจนหน้าแดงเถือกไปหมด โกรธจนกระทั่งจะร้องไห้ก็ยังทำไม่ได้ เหลียวมองกลับไปทางคนอื่นเองก็ไม่ต่างกันมากนัก ทั้งเบือนหน้าหนี กัดฟันแน่นหรือแม้กระทั่ง...จ้องเขาด้วยสายตาผิดหวัง
"เรื่องที่เกิดขึ้น ข้ามั่นใจว่าเจ้านั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง"
"หมายความว่ายังไง"
"..."ชายหนุ่มคนแรกสุดไม่ตอบคำถามของเกรย์เซีย นอกจากล้วงมือเข้ากระเป๋าเสื้อ ชูสร้อยห้อยจี้รูปอีกาสีทองที่ยามนี้เริ่มหลุดลอก ทั้งภาพแบบนี้ รูปลักษณ์แบบนี้ ในบรรดาผู้บันทึกทุกคนจะมีห้อยสร้อยจี้รูปลักษณ์แตกต่างกันไป บอกถึงพลังในตัวของแต่ละคน เพราะเกิดจากความตั้งใจที่จะใส่เองจึงไม่มีใครจะถอดมันออกได้นอกจากตัวเขาเอง
"และนั่นมันหมายความว่ารุ่นพี่ที่เคารพของเจ้ากำลังทรยศพวกเราอยู่ไง เมล"
"..."
"โครว์เนี่ยนะ! ทั้งที่ออกตัวปกป้องท่านโคเรย์มากกว่าใครเพื่อนแท้ ๆ แล้วทำไม..."
เกรย์เซียออกตัวเถียงเรื่องของใครคนนั้นทันควัน ดวงตาสีอเมธิสต์ปรากฏร่องรอยของความขุ่นเคือง จากเพียงแค่พูดคุยกลับกลายเป็นยกถึงเหตุผลของตนมากล่าวอ้าง ต่างฝ่ายต่างพูดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดข้ามหัวไปมา เมลได้แต่ทิ้งตัวลงคุกเข่านิ่งเงียบไม่เอ่ยแย้งอะไร ดวงตาจ้องมองผู้คนโดยรอบ หัวนึกย้อนคำในอดีตซ้ำ ๆ
'สักวันที่นี่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง'
'สุดท้ายก็เกิดเรื่องจนได้สินะ...พี่โครว์'
"ถึงจะแบบนั้นแต่พวกเขาก็ยังไม่ได้มันไปไม่ใช่เหรอครับ สมุดบันทึกแห่งชีวิตน่ะ"
"..."
"นั่นน่ะสิ นอกจากโคเรย์ก็มีแค่เมลเท่านั้นที่จะอ่านภาษาของอิกดริลแล้วเปิดมันออกได้"รีคอร์เดอร์ชายอีกคนพูดด้วยสีหน้ามั่นใจอย่างมาก
"ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ"หญิงสาวอีกคนว่าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอเป็นคนก้าวมาหาเขา ฉุดให้ลุกขึ้นยืนด้วยกันแล้วกล่าวเสียงเรียบ
"ถ้าความฝันเจ้าบ่งบอกถึงเพียงแค่โครว์เข้ามาทำลายที่นี่จนพังยับแล้วจากไป ก็คงต้องเสียใจด้วย เพราะมันย้อนกลับมาเอาส่วนที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว เจ้าฝันถึงมันสายไป"เธอเริ่มการอ่านใจของเขาแล้วกล่าวตามที่คิด
"ช่วยพาผมไปดูที"
เพียงแค่เอ่ยขอเธอก็แทบจะเปลี่ยนทิศทางเดินไป ขาเรียวก้าวนำเขาไปทางหลังสุด บานประตูใหญ่ทั้งสองบาน อยู่ชิดกันแต่ถูกแบ่งกัน ห้องภายในฝั่งซ้ายประตูถูกทำลายจนยับ เหลือแต่ขวาที่ยังคงสภาพเดิม เมลกำสร้อยของตนแน่น ไออุ่นสีขาววาบปรากฏขึ้นก่อนเลือดสีแดงสดจะถูกใช้ เมลเอ่ยถ้อยคำประหลาดไม่ชวนคุ้นหูแต่ทรงพลัง เพียงไม่นานมันก็ปรากฏขึ้น...จนเมื่อบันทึกเล่มนั้นเข้าไปในสร้อยเมลเรียบร้อย พวกเขาก็เดินกลับมารวมกันยังจุดเดิม...
"บันทึกส่วนนี้ผมจะดูแลมันต่อเอง ยังไงมันก็ไม่มีผลอะไรกับผมอยู่แล้ว ส่วนอีกครึ่งที่เหลือ..."เด็กหนุ่มพูดพลางหันไปมองผู้บันทึกอีกแปดคนที่เหลือซึ่งพากันรวมตัวมาครบเรียบร้อยแล้ว
"เจ้านั่นคงต้องเอามันกระจายลงโลกเบื้องล่างแน่ เพราะทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นได้อย่างใจพวกอิเรสก็มีแค่การก่อสงครามขึ้นเท่านั้น"
"ด้วยการลากพวกเขาดำดิ่งลงสู่ความโลภผ่านบันทึกแห่งชีวิต และนั่นมันไม่ดีแน่ถ้าจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นอีก"เมลกับเกรย์เซียช่วยกันต่อความจนจบ และเพื่อจะช่วยหยุดเหตุการณ์นั้นพวกเขาก็จำต้องเรียกข้อมูลทั้งหมดของชีวิตผู้คนจากซากปรักหักเข้าสู่สมุดบันทึกในสร้อยตัวเองแทนสมุดกลาง เพื่อไม่ให้มีใครได้ใช้ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตใดให้วุ่นวายได้อีก ปัญหานับจากนี้มันก็ใหญ่เกินจะรับมือไหวแล้ว ที่เหลือก็แค่...เก็บกวาดพื้นที่ตรงนี้ให้เสร็จสรรพเรียบร้อยก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปตรวจสอบอาณาเขตในความดูแลของตัวเอง
และตอนนี้เขากับเกรย์เซียที่เพิ่งจะออกมาจากที่นั่นได้ไม่นานนัก แม้ทั้งคู่จะมีหน้าที่ที่อาณาจักรมนุษย์จนต้องมาอยู่บ้านพักเดียวกัน แต่หน้าที่ของเมลคือการบันทึกประวัติของอาณาจักรใหญ่ใจกลางเมือง ส่วนคู่หูของเขาคอยดูแลรอบนอก อาณาเขตแต่ละที่ก็ใช่ว่าจะเล็กเสียด้วย เมื่อถึงคราวเกิดเรื่องก็ได้เวลาที่พวกเขาต้องจากกัน
"นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราต้องแยกกันดูแลละก็นะ..."
"พี่เกรย์ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถึงผมจะบู๊ได้แต่แย่ถ้าเรื่องเอาตัวรอดละก็ไม่มีปัญหาหรอก"เมลว่า พยายามคุมเสียงสื่อว่าตนเองยังสบายดี ก่อนจะเอื้อมตะเกียงไปรับไฟจากคู่หูมาส่องห้องให้สว่าง
"นั่นแหละที่น่าห่วงเลย นายอ่านบันทึกแทบจะทุกเล่มในห้องสมุดแล้ว รู้ดีไม่ใช่หรือไงว่าอะไรเป็นอะไร"
"นั่นก็ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะจำมันทั้งหมดได้นี่นา"
"เฮ้อ"คำพูดติดตลกเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความอึดอัด มุกที่ไม่ค่อยขำเท่าไหร่กับสถานการณ์ตอนนี้ แต่ว่า...
"ต่อให้พวกเขาจะล้วงคอผมให้ตาย หากเจ้าของสร้อยไม่ยินยอมก็จะไม่มีบันทึกเล่มไหนออกมา ต่อให้เป็นพวกเดียวกันก็ตาม"
"..."
"นั่นเป็นกลไกที่ดีเยี่ยมจากพวกเขาเลย ใช่ไหมล่ะ"
"แต่มันไม่ได้ปกป้องชีวิตนาย"
"..."เด็กหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าทำเพียงแค่ส่งยิ้มบางให้ ทิ้งตัวลงเอนเก้าอี้ไม้ข้างเตาผิงไฟ มองดูเกรย์เซียยืนตีหน้าเครียดข้างกัน
"..."ก็ยังได้รับเพียงรอยยิ้มบางบนใบหน้า เมื่อไหร่ที่ได้เห็นแบบนี้แล้ว ต่อให้คิดจะโน้มน้าวใจแค่ไหนมันก็เปล่าประโยชน์ เด็กหนุ่มขยี้หัวสีน้ำตาลยุ่งของตัวเอง เหลือบมองท้องฟ้ายามเย็นที่ใกล้จะมืดลงทุกที เด้งตัวลุกขึ้นปัดเสื้อผ้านิดหน่อยก่อนจะกล่าวขึ้นทั้งรอยยิ้ม
"ผมจะเดินไปส่งหน้าบ้านนะครับ พี่กลับบ้านดี ๆ ละ"
"..ห่วงตัวเองก่อนเถอะ.."
แอ๊ด
บานประตูไม้เก่าถูกเปิดออก ทั้งสองค่อยย่างก้าวมายืนข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ฝ่ามืออวบอูมของเกรย์เซียยื่นนำมาในทิศทางตรงข้ามกันไป ชายหนุ่มชั่งใจนิ่งไปจนน่าสงสัย ก่อนร่างติดจะท้วมจะกระเพื่อมนิดหน่อยบ่งบอกถึงการสูดลหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง
"บางครั้ง บรรพบุรุษเราก็งี่เง่าดีนะ ว่าไหม"ถ้อยคำส่งท้ายบ่งบอกถึงความหงุดหงิดที่สื่อผ่านออกมาจริง ๆ เมลเลิกคิ้วนิดหน่อย ตีความถึงสิ่งที่คู่หูต่างวัยของเขาจะสื่อก่อนจะยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น
วงเวทสีฟ้าใสปรากฏใต้เท้าเกรย์เซีย ชายหนุ่มหลับตาพึมพำเรียกคาถา แสงสีขาวโอบล้อมร่างกายแล้วชายหนุ่มก็หายไป
"ใช่ พวกเขางี่เง่าทีเดียวที่สร้างของพรรค์นี้มา"เด็กหนุ่มต่อถ้อยคำท้ายในใจ ในหัวพลันนึกย้อนไปยังเรื่องทั้งหมดที่เกิดมาก่อนจะหลับตาลง
"งี่เง่าจนกระทั่งยอมใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องคนบนโลกนี้... แม้กระทั่งตัวผมเอง..."เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้านพักอย่างเชื่องช้า มิวายเหลียวกลับมามองดวงจันทร์ที่เริ่มขึ้นแทนที่ดวงอาทิตย์ กับภาพความทรงจำทั้งหมดที่ไหลวนเวียนกลับเข้ามาอีกครั้งในหัว
"...แต่ว่าตอนนี้ชักจะง่วงขึ้นมานิดหน่อยซะแล้วสิ"
บรรยากาศยามเช้าคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งรูปลักษณ์อันแตกต่างจากเผ่าต้นกำเนิดหรือฐานะทางสังคม ทุกฝีก้าวของผู้คนล้วนผ่านสายตาเด็กหนุ่มทั้งหมด เมลนั่งเท้าคางมองคนข้างล่างจากต้นไม้ใหญ่ ดวงตะวันยังไม่ทันจะขึ้นโผล่เลยหัวเท่าไหร่ เหลือเวลาอีกมากก่อนเขาจะต้องกลายเป็นลูกจ้างร้านสมุนไพรตามส่งของให้กับลูกค้า โชคยังดีที่เจ้าตัวรักการอ่านแถมยังได้ดูบันทึกชีวิตของเจ้าของร้านคนนี้จนเข้าใจถึงนิสัย เขาเลยได้เนียนเข้าไปเป็นลูกจ้างของร้านสมุนไพรอันโด่งดังแต่กลับอ้างว้างแทบจะไร้ลูกจ้างอย่างเขา
ตุบ!
"อึก"เสียแต่ตอนนี้มัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อยเลยกระโดดลงพื้นผิดท่า เมลได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่มองร่างกายตัวเองอย่างเหนื่อยใจ จัดการบิดข้อเท้าตัวเองสักสองสามทีพลางกลั้นเสียงเจ็บ ก็กลับมาเดินได้ปกติตามเดิม
"ไม่ว่ายังไงการลงจากต้นไม้มันก็ยากกว่าการปีนตลอดเลยแฮะ"
"วันนี้ก็มาก่อนเวลาร้านเปิดอีกแล้วสินะ งั้นก็มาช่วยลุงเปิดร้านหน่อย ลุงจะได้เข้าไปจัดของข้างใน"ทันที่ได้ยินเสียงเจ้าของร้านก็หันกลับมาทางเขา เอ่ยถ้อยคำทักทายเหมือนอย่างเคย
"ครับ"เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง เดินมาข้างหน้าร้าน พวงกุญแจบานเก่าเป็นถูกส่งมาให้ ชายแก่ร่างผอมใจดีเดินไปข้างหลัง เมลก้มลงใช้กุญแจไขดอกกุญแจใต้เท้าข้างล่าง ก่อนจะออกแรงดันประตูไม้สองบานข้างตัวสุดแรง ต้องทนทำหน้าดำหน้าแดงแทบตาย สุดท้ายก็ทันท่วงทีก่อนเจ้าของร้านจะมาพอดี
ฟู่ว
ปาดเหงื่อไปพลางตรงเข้าช่วยถือตะกร้าสมุนไพรมาเต็มมือ จากกลิ่นเหม็นเขียวปะปนกับกลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคาดว่าคงจะเพิ่งเข้าสวนมาแน่ ปกติแล้วนายจ้างของเขามักจะไม่ค่อยเก็บพืชไว้ในร้านสักเท่าไหร่เว้นแต่พืชตากแห้ง พอได้เห็นของใหม่เขามาแบบนี้ก็อดสงสัยไม่ได้
"คราวนี้ใครสั่งของอย่างนั้นหรือครับ"
"เป็นคุณหมอเวนดิสน่ะ เห็นช่วงนี้คนป่วยเข้ามามาก สมุนไพรที่ใช้ก็จวนจะขาดแคลน เลยมาสั่งพืชพวกแดนดิไลออนกับอย่างอื่นรวมกันเกือบสิบตะกร้าได้"
"งั้นให้ผมช่วยนะครับ"
คนสูงอายุกว่าพยักหน้าหงึกหงักส่งยิ้มเอ็นดูมาให้ พูดคุยถึงรายละเอียดของคนซื้อที่เมลเห็นหน้าเขาไม่รู้กี่สิบรอบแต่ด้วยความขี้ห่วงตามประสาคนเป็นเจ้าระเบียบ เขาเลยได้แต่ส่งยิ้มบางนั่งฟังอย่างยินดีก่อนจะแบกตะกร้าในมือเข้าร้านไป
"นี่ถ้าหลานข้าขยันได้สักครึ่งของเอ็งก็คงจะดี"ถ้อยคำส่งท้าย หนุ่มน้อยได้แต่ผงกหัวกับคำชมก่อนจะเดินออกมารับเอาตะกร้าทั้งหมดมาไว้ข้างตัว คริสตัลเวทมนตร์ที่ใช้สำหรับย้ายมิติถูกโยนมาให้ สำหรับผู้ด้อยเวทมนตร์อย่างเขาแล้วนั่นเป็นตัวช่วยที่ดีทีเดียว และเพียงไม่นานที่โยนมันขึ้นฟ้า ทั้งหมดก็หายไปด้วยกัน ก่อนจะโผล่มาอีกทีตรงหน้าสถานที่ใหม่อันโอ่งโถงหรูหรา อาคารเหล็กสลับกับไม้เนื้อแข็งบ่งบอกถึงโรงพยาบาลใหญ่ใจกลางเมือง
ตลาดที่เมลันอยู่ก็ว่าใหญ่แล้ว แต่พื้นตรงนี้นั้นยิ่งกว่า...เพราะมันใกล้ชิดกับสถานที่ที่เขากำลังต้องการสำรวจพอดี
นาฬิกาพกเชื่อมนาฬิกาทรายถูกยกขึ้นมาดู ทรายเวทมนตร์ร่วงจนจะหมดแล้ว ทั้งยังเข็มนาฬิกาอันสั้นที่ใกล้จะชี้ยังเลขแปด บ่งบอกถึงว่าเขามาก่อนเวลาพอดี เวลาขาประจำที่ผู้ส่งของอย่างเขาจะมาถึง โชคยังดีที่โรงพยาบาลยังไม่เปิด เลยไม่ต้องเจอกับความวุ่นวายมากนัก พนักงานคนหนึ่งซึ่งเมลรู้จักและพูดคุยได้ถูกคอก็เข้ามาถึงพอดีพร้อมกับอีกหลายคน
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปข้าหลังยังห้องเก็บสมุนไพรเหมือนอย่างทุกที และที่นั่นเขาก็มักจะเจอกับคุณหมอเวนดิสเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้เสมอแถมยังพูดถึงนายจ้างของเขาทุกครั้งที่เจอกัน
ก็เพราะเป็นถึงขาประจำของร้านลุงคนนั้นนี่นะ...
"วันนี้ก็ขอบใจที่รีบมาแต่เช้าละ"
"..."เมลส่งยิ้มหวานอย่างเช่นเคย โค้งตัวนิดหน่อยแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก ตอนนี้เวลาเริ่มจะสายแล้ว หลังจากช่วยจัดการสมุนไพรกับคุณพยาบาลอีกหลายคนได้สักพักใหญ่ ทั้งที่ตอนนี้จะเรียกคริสตัลนั่นพาเขากลับเข้าร้านเลยก็ยังได้ แต่ตอนนี้เขายังอยากเดินสำรวจเมืองโดยรอบนี้มากกว่า
ยิ่งสถานการณ์ตอนนี้จะอะไรก็วางใจไม่ได้ทั้งนั้น...
อะไรบางอย่างดลใจให้คิดแบบนั้น เพราะมัวแต่สังเกตโดยรอบก็ชักจะตาลาย เดินมาก็ตั้งไกลไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกผิดสังเกตแม้แต่น้อย ทั้งกลิ่นอายสีดำจากก้อนคริสตัลวันนั้นหรือแม้กระทั่งความรู้สึกจากสมุดบันทึกแห่งชีวิตส่วนที่เหลือ
งั้นตอนนี้ก็คงทำได้แค่เดินต่ออีกสักหน่อยแล้วกลับร้านไปก่อน ค่อยสำรวจใหม่วันพรุ่งนี้น่าจะยังทัน...
โครม!
"ไอ้ขี้ขโมย แกเอาถุงทองของข้าไปไว้ไหน บอกมานะ"
"ผะ ผมเปล่านะครับ ท่านลุง ฮึก ผมไม่ได้ทำ"
"หนอยแน่แก!"
"หวา หลบเร็ว!"
ความวุ่นวายขนาดย่อมก็พลันเกิดขึ้นจนได้ เสียงอึกทึกครึกโครมข้าวของที่พังเสียหายจากแรงเหวี่ยงของชายร่างสูงใหญ่ หนวดเฟิ้มดูกำยำกำลังรังแกเด็กน้อยวัยท่าทางไม่ถึงสิบปี แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือบรรดาชาวบ้านกลับพากันรุมล้อมด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ต่างฝ่ายต่างหลบลูกหลงจ้าละหวั่น ไม่ยักกะมีใครสักคนจะช่วยเหลือเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้
ดูจากสภาพแล้ว สถานะเดียวที่เขาพอจะนึกจากตัวเด็กคนนี้ออกก็คงไม่พ้นคนจำพวกพานัลซึ่งเป็นชนชั้นต่ำสุดและยากจนที่สุดแน่จากสายตาและท่าทางแล้ว ทั้งชุดผ้าราวกับทำจากกระสอบข้าวเนื้อหยาบ แถมยังการกระทำอันรุนแรงพวกนั้น ก็จริงอยู่ว่าที่นี่อะไรหลายอย่างกำลังพัฒนา แต่ก็แค่พวกวัตถุเพราะสภาพสังคมยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
เด็กหนุ่มยังหลบมุมฝูงชนดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ เด็กน้อยตรงนั้นยังคงถูกรังแกจนหนักด้วยสาเหตุเดิม
ถ้าไม่ใช่เพราะตาไวเผอิญไปเห็นอะไรขยับอยู่รำไรภายใต้ชายเสื้อสีฟ้าใหม่ของชายหนุ่ม เมลอาจจะปักใจเชื่อไปแล้วก็ได้ว่าลุงพูดจริง ดูเหมือนว่าเขาแอบถุงอะไรบางอย่างขยับอยู่ยุกยิกไปมาชวนคุ้นตาเสียไม่มี เพียงแค่ดูสักหน่อยก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
'ให้ตายสิ'
นัยน์ตาสีน้ำตาลส้มจ้ององเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเวทนา ชั่งใจนิดหน่อยแต่เพียงครู่เดียวก็คิดได้
'เห็นแก่ว่าครั้งนี้ใกล้จะมีคนตายแล้วหรอกนะ จะยอมช่วยสักหน่อยก็แล้วกัน'
"อ๊ะ นั่น ถุงอะไรมันร่วงน่ะ ใช่ถุงเงินของท่านหรือเปล่าท่านลุง"น้ำเสียงร่าเริงหน่อยทั้งยังท่าทีประหลาดใจ ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นชายฉกรรจ์ก็ชะงักกึกไป ยอมละจากการทำร้ายร่างกายแล้วหันมาโต้ตอบด้วย
"อย่ามาเล่นตลกกับข้า เจ้าเด็กเหลือขอ"
เป็นคำพูดที่แรงทีเดียวกับคนมีพ่อแม่อย่างเขา เมลยังไม่ยอมหุบยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อไปด้วยท่าทีสบาย ๆ
"อะไรที่ทำให้ท่านมั่นใจอย่างนั้นกันเล่า ไม่ใช่ว่าท่านแก่จนตาฝ้าฟางเองอย่างนั้นหรอกหรือ"สีหน้ายังนิ่งได้อีก กวนประสาทไปให้ครั้งสุดท้ายคนแก่ก็โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม เหวี่ยงกระบองในมือไปมาน่าหวาดเสียวจะโดนเขาแทน เด็กหนุ่มล่ออีกฝ่ายให้ออกมาจากตรงนั้นแล้วและทำชาวบ้านแตกตื่นกว่าเก่า ดูไปก็เหมือนจะแกว่งเท้าหาเรื่องเจ็บตัวใส่ตัวเอง
ไม้แรกเฉียดหน้าไปหน่อยแม้จะหลบเลี่ยงไปแล้วก็ตามก่อนเจ้าตัวจะแสร้งถลาตรงดิ่งเข้าไปหา และตาลุงก็หน้าเหวอไปอย่างที่คิด ทันทีที่ถูกชน แม้แรงจากเขาจะน้อยนิด แต่เสียจุดถ่วงไป ร่างกำยำนั่นก็ร่วงลงกองกับพื้นพร้อมกับถุงเงินที่ไหลออกมาจากเสื้อด้วย
"นี่มัน..."
"ไม่ใช่ว่ามันอยู่กับเด็กงั้นหรอ"
"ตาลุงนั่นโกหก!"ปฏิกิริยาหลายอย่างเปลี่ยนไปทันควันที่เห็น เมลไม่ได้ยิ้มอะไรแต่อย่างใดอีก นอกจากตรงดิ่งไปหาร่างที่สั่นเทาของคนข้างหลังพวกชาวบ้านพอรู้ความจริงจากท่าทีแรกที่พากันรังเกียจก็เปลี่ยนกันไปบ้าง แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตามแต่ความกดดันก็ลดลงไปบ้างแล้ว
"ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม"
"..."
"ยังไหวอยู่หรือเปล่า"
"อึก..."
"หนุ่มน้อย"ถามคำก็เงียบคำ แถมยังพยายามหลบมือของเขาให้พ้น ท่าทางสั่นกลัวราวกับลูกหมายิ่งน่าละเหี่ยใจ เมลคุกเข่ามอง อีกไม่นานก็ได้เวลาต้องกลับไปช่วยร้านต่อ แต่เขาดันสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องวุ่นวายนี่อย่างเผลอตัวแถมดูจะมีภาระใหม่จากเจ้าเด็กนี่ต่อซะแล้ว
'ให้ตายสิ'
"ฉันไม่ได้ช่วยนายเพราะเวทนา เลิกสั่นเป็นลูกหมาตกน้ำทีเหอะ"
"อึก..."
สีหน้าและแววตานั่นดีขึ้นหน่อยแล้ว เหมือนจะแอบเห็นความโกรธส่อออกมาด้วย ถ้าเป็นก่อนหน้าเขาคงหมั่นไส้อยู่หรอก แต่ตอนนี้ดูแล้วน่าขำมากกว่า
'พูดดี ๆ ไม่ชอบ ชอบให้ด่านะคนเรา ฮึ'
ฝูงชนถูกแหวกออกรอบสอง ความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าชาวบ้านจะทำอย่างมากได้แค่รุมด่ากันให้อับอาย กับพละกำลังขนาดนั้นสู้ไปก็คงแพ้ พอตาลุงยิ่งเกรี้ยวกราด กรรมเลยมาซวยที่เขา
"เพราะแก ไอ้เด็กเหลือขอ!..."
ดวงตาสีน้ำตาลส้มคู่นั้นยังไม่สั่นไหว นิ่งจ้องไปตามเดิม จนคุณลุงยิ่งเหวี่ยงไม้แรงขึ้น หากแต่คราวนี้นอกจากเขาก็ยังมีคนอื่นช่วยกันหยุดไว้ด้วย ถ้าเป็นตามปกติก็คงลงลังเลกันบ้างเพราะกลัวเกรงการรุมประชาทัณฑ์ แต่คนตรงหน้ากลับเหวี่ยงไม้ไปมาจนทำชาวบ้านเจ็บตัวไปด้วย แววตาแข็งกร้าวตอนนี้มากกว่าก่อนจนน่ากลัว...
...จี้สร้อยรูปหัวใจพลันส่องแสงเรืองรอง กลิ่นอายน่าขยะแขยงชวนพะอืดพะอมแล่นใกล้เข้ามาความรู้สึกเหมือนอย่างคริสตัลแห่งชีวิตในป่า มันกระตุ้นให้เขาต้องปัดอาวุธนั่นออกห่างจากตัวทันควัน
ฉ่า
พร้อมกับมือที่ถูกกัดกินจนแดงและเริ่มแผลไหม้ ไอสีดำกลืนกินปวดแสบปวดร้อน
เรื่องในตลาดชักจะวุ่นวายเข้าไปทุกที ดวงตาคมกริบพลันจ้องมองไปยังใครคนหนึ่งที่กำลังสาวเท้าเดินตรงมาทางนี้ ท่าทางเจ้าตัวตั้งใจจะมาช่วยอยู่หลายทีแต่เพราะเขาขัดจังหวะก่อนเลยยังนิ่งอยู่แต่พอดูอยู่นานมากเข้าก็เลยเริ่มจะอดทนไม่ไหว เมลลอบยิ้มและขอบคุณเขาในใจ ข้อความทั้งหมดสื่อผ่านสายตาก่อนจะได้รับเพียงดวงตาสีฟ้านิ่งส่งกลับมา
พร้อมกันกับที่ชายผู้นั้นถูกเชือกเวทมนตร์รัดทั่วร่าง กดลงไม่ให้สร้างความวุ่นวายใดได้อีก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ