DEEP SEA มหันตภัยทะเลคลั่ง

8.0

เขียนโดย องค์ชายแมว

วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.03 น.

  4 บท
  0 วิจารณ์
  6,247 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 17.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) พิษสงร้ายในสิ่งที่บอบบาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ 3 พิษสงร้ายในสิ่งที่บอบบาง
     นักศึกษาทั้งสี่ชีวิตว่ายน้ำโดยไม่รู้ทิศทางเพื่อออกห่างจากฉี่ของตะวันให้ได้มากที่สุด ตามคำแนะนำของชนินทร์ที่บอกเอาไว้ว่ากลิ่นยูรีนในฉี่เรียกฉลามได้เป็นอย่างดี แอนและตะวันขับเคลื่อนตัวเองด้วยท่าฟรีสไตล์โดยสวมใส่หน้ากากดำน้ำเอาไว้ด้วยเพราะมันคงดีกว่าหากต้องถือเอาไว้ในมือให้แกะกะเปล่าๆ
     น้ำกระเพื่อมตามแรงเหวี่ยงของมือและเท้าที่ตกกระทบผิว ส่วนแมกซ์และชนินทร์ไม่สามารถว่ายด้วยท่าฟรีสไตล์ได้เพราะทั้งคู่เกาะถังออกซิเจนอยู่ จึงต้องว่ายด้วยท่าที่คิดค้นเอาใหม่ โดยเกาะถังเอาไว้สองมือและใช้ขาตีน้ำเพื่อเป็นแรงส่งตัวเองไปด้านหน้า
     ท่วงท่าเหมือนกับเด็กหัดว่ายน้ำด้วยโฟม เมื่อทั้งสี่คนเคลื่อนตัวออกมาจากจุดเดิมจนมั่นใจแล้วว่าไกลมากพอจึงหยุดพัก
     “ฉันหิวน้ำ”
     สาวน้อยร่างอวบอุทานขึ้น และดูเหมือนจะเป็นคำถามแรกที่เข้าท่าที่สุด เธออ้าปากแล้วก้มหน้าลงที่ผิวน้ำทะเลหวังดื่มด่ำให้ชื่นใจสักที ทว่าแฟนหนุ่มของเธอกลับพุ่งเข้ามาห้ามปรามเอาไว้ได้ทันและพยายามพูดเพื่อดึงสติกลับมา
     ไม่ใช่แอนคนเดียวที่มีอาการอยาก ทุกคนก็ต้องการน้ำไม่ต่างจากเธอเลยเพราะเป็นเวลาเกือบ 12 ชั่วโมงแล้วที่ทั้งสี่คนไม่ได้ดื่มน้ำสักหยดเดียว ในคอของพวกเขาเทียบได้กับแผ่นดินแห้งแล้งแตกระแหงที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยงมานานแรมปี
     อีกทั้งพึ่งดื่มเบียร์ไปหมาดๆเมื่อคืน จึงทำให้คอแห้งมากกว่าปรกติ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงต้องการน้ำเพื่อดับกระหาย
     “ไม่ได้นะ ห้ามดื่มน้ำทะเลเด็ดขาด” ชนินทร์พูด 
     “น้ำทะเลมีความเข้มข้นของเกลือสูง ขืนเธอดื่มเข้าไปละก็จะหิวน้ำเพิ่มขึ้นอีกสามเท่าเลยนะ”
     “แต่ฉันหิวนี่นา…” แอนทำหน้าออดอ้อนแฟน ชนินทร์หลบตาเพราะมักแพ้ไม่ตายที่หวานใจของเขาใช้อยู่เป็นประจำ ไอ้ท่าออดอ้อนสุดแสนจะน่ารักนั่น
     “แล้วแบบนี้พวกเราจะเอาน้ำที่ไหนดื่มละ ขาดอาหารพอทนได้ แต่ถ้าขาดน้ำมีหวังอยู่ได้ไม่เกินเจ็ดวันแน่นอน” ตะวันพูด
     “เอาน้ำทะเลมาแตะลิ้นได้ แต่นานๆครั้งนะ ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายเสียเกลือแร่” ตะวันแนะนำเพื่อนๆ ทั้งสี่คนใช้นิ้วที่จุ่มน้ำทะเลอยู่แตะไปที่ลิ้นทันที
     “เค็ม”
     แอนพูดด้วยใบหน้ายู่ยี่ เลียปากแผลบๆเพราะความเค็ม ทุกคนทำหน้าไม่ต่างกันเว้นแต่ตะวันที่ทำหน้าได้ทุเรศที่สุด พวกเขาคิดว่ารสชาติมันไม่ต่างกับกินน้ำปลาเพียวๆเลย
     “ขนาดแตะที่ลิ้นอย่างเดียวยังขนาดนี้ถ้ากลืนลงคอมีหวังเค็มไปถึงกระเพราะแน่เลย” แมกซ์พูดด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
     ทั้งหมดกลับเข้าสู่โหมดเงียบอีกครั้งหนึ่ง มีเพียงเสียงคลื่นและลมที่ยังคงทำหน้าที่ของมันเหมือนเดิมเป็นประจำทุกวัน พวกเขารู้สึกอ่อนเพลียเนื่องจากไม่ได้นอนมาทั้งคืน ถ้าเกิดกำลังขับรถอยู่ก็คงหลับในไปแล้ว หรือถ้าขับเครื่องบินเครื่องก็คงตกแน่นอน เพราะความง่วงถึงขีดสุดนี้เองจึงทำให้ทั้งหมดเผลอหลับไปอย่างไม่ได้ทันได้ตั้งตัว
     ดูเหมือนตะวันกับแอนจะหลับสบายกว่าเพื่อนเพราะมีเสื้อชูชีพคอยพยุงตัวเอาไว้ตลอดโดยไม่ต้องกลัวว่าร่างตัวเองจะจม ส่วนหนุ่มลูกครึ่งกับหนุ่มชาวเหนือช่างน่าสงสารเหลือเกิน หลับๆตื่นๆด้วยความหวาดระแวงว่าตัวเองจะพลาดจมลงน้ำไปเพราะถังออกซิเจนก็ไม่ได้ยึดติดกับอะไร เพียงแต่ลอยตามกระแสน้ำเช่นเดียวกับทั้งสองคน มันอาจจะพลิกเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ
     และก็เป็นอย่างที่คิดเพราะแมกซ์จมลงไปใต้ผิวน้ำขณะที่ตัวเองนอนหลับอยู่ เขารู้สึกตัวโดยไม่ต้องมีใครสะกิดเพราะน้ำเข้าจมูก ร่างกายของชายหนุ่มโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาโดยอัตโนมัติตามสัญชาติญาณเอาตัวรอด พร้อมสำลักน้ำออกมาอย่างร้อนรน
     “ค่อก…ค่อก เค็มเป็นบ้า!”
     เสียงตะโกนของแมกซ์เปรียบเสมือนนาฬิกาปลุกทำให้เพื่อนๆตื่นจากภวังค์ทันที ทั้งสามคนยังอยู่ในอาการสลึมสลืออยู่แต่ก็พอจับใจความได้ว่าแมกซ์ส่งเสียงออกมา
     “มีอะไรเหรอแมกซ์” ชนินทร์ถามพลางเอามือที่เปียกปอนลูบตามใบหน้า
     “ไม่มีอะไรหรอก ช่างมันเถอะ”แมกซ์พูดปัด ใบหน้าแดงก่ำจากการสำลักน้ำ
     ขณะนี้ทั้งสี่ชีวิตกำลังเผชิญหน้ากับความร้อนแรงของดวงอาทิตย์ แสงแดดจ้าอาบใบหน้าและลำตัวครึ่งบนของพวกเขาจนเริ่มรู้สึกแสบตามผิวหนัง ทุกคนต้องเอาน้ำขึ้นมาลูบให้เปียกตามตัวอยู่เป็นระยะเพื่อไม่ให้แสบร้อนจากแดดไปมากกว่าเดิม
     เพราะกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ไม่มีกำบังของร่มเงาให้หลบเลยสักนิดเดียว ที่ร้ายกว่านั้นคือแสงแดดนี่แหละที่จะเป็นตัวการกระตุ้นให้ร่างกายกระหายน้ำเพิ่มขึ้นอีก ทำให้ในเวลานี้นักศึกษาทั่งสี่คนคอแห้งมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลยทีเดียว
     “ไม่ไหวแล้ว ฉันอยากดื่มน้ำอัดลม” แอนพูดขณะยื่นลิ้นแตะที่น้ำทะเล
     “มันทรมานมากเลยนะที่มองเห็นน้ำอยู่รอบตัวเรามากมายขนาดนี้แต่กลับกินไม่ได้ ฉันอยากดื่มเป๊ปซี่จังเลย น้ำแดง น้ำเขียวหรืออะไรก็ได้ที่แช่เย็น มันคงสดชื่นน่าดู” หญิงสาวมโนภาพตามพลางเลียริมฝีปากอย่างเพลิดเพลิน
     “แต่ฉันอยากดื่มเบียร์เย็นๆมากกว่านะ แบบว่าเปิดตู้เย็นออกมาแล้วเห็นลีโอวางแช่อยู่ในช่องฟิตสักห้าขวด พอเปิดฝาออกก็มีไอเย็นพุ่งขึ้นโชลมอยู่ในอากาศ ภายในขวดถูกแช่เย็นจนเป็นวุ้น อา…ฉันดื่มมันและค่อยๆกลืนปล่อยให้ไหลผ่านหลอดลมช้าๆ” แมกซ์หลับตามโนภาพ
     “ฉันอยากกินไก่ย่างวิเชียรร้านตาเชียรหน้ามหาลัยมากกว่าวะ หนังกรอบคล้ายขาหมูเยอรมัน กัดทีนี่เยิ้มในปาก ที่สำคัญยังมีกลิ่นหอมของกระเทียมอีก อืมมมม…” ตะวันเม้มปาก
     “พอเลยๆพวกนายทุกคน จะมาพูดให้หิวทำไมเนี่ยท้องร้องหมดแล้ว” ชนินทร์ห้ามปรามความคิดเพ้อเจ้อของเพื่อนทั้งที่ในใจตัวเองก็กำลังนึกถึงเบียร์วุ้นแช่เย็นอยู่เหมือนกัน
     ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ความร้ายกาจบางอย่างก็คลืบคลานเข้าประชิดตัวพวกเขาทันทีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มันกลมกลืนกับสีน้ำทะเลจนไม่มีใครสังเกตเห็น บางสิ่งที่มีเรือนร่างบอบบางแต่แฝงไปด้วยพิษสงชนิดนักล่าที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งท้องทะเลอย่างฉลามยังต้องอาย เพราะในแต่ละปีมีคนเสียชีวิตจากสัตว์ประเภทนี้มากกว่าฉลามเสียอีก
     กรี๊ดดด…
     “เป็นอะไรแอน” ชนินทร์สะดุ้งกับเสียงกรีดร้องเล็กแหลม ก่อนจะต้องตกใจเมื่อรอบบริเวณไม่ได้มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ลอยคออยู่ พวกเขาถูกห้อมล้อมจากบางอย่างที่ไม่สามารถรู้จำนวนปรากฏอยู่รอบๆร่างกายของทั้งสี่คน มันมีมากเกินไปจนทำให้ทั้งหมดไม่สามารถว่ายหนีฝ่าออกไปได้
     “เฮ้ย…แมงกะพรุน” ตะวันอุทานด้วยความตกใจก่อนจะรีบหันไปถามเพื่อนเขา
     “เฮ้! ชนินทร์ แมงกะพรุนพวกนี้มีพิษรึเปล่า” หนุ่มใต้เอ่ยถามเพื่อนที่ดูรอบรู้เรื่องสัตว์ทะเลที่สุด หนุ่มเหนือทำคิ้วขมวด สีหน้าท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดสวนกลับไป
     “ฉันมองไม่ออกเลยวะ เจ้าพวกนี้มีลักษณะคล้ายกันเลยทำให้แยกลำบาก แต่มันไม่ใช่แมงกะพรุนไฟแน่นอนเพราะมันไม่มีสีแดงหรือส้มบนตัว”
     ภาพตรงหน้าที่พวกเข้าทั้งสี่คนเห็นคือแมงกะพรุนลำตัวใสทรงสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องขนาดเท่ากำปั้น มีระยางค์หนวดยื่นมาจากมุมลำตัวทั้งสี่ด้านและแหวกว่ายไปมาอย่างรวดเร็ว
     ผู้คนส่วนมากต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแมงกะพรุนเนี่ยละที่ติดอันดับสัตว์มีพิษรุนแรงที่สุด เพราะมันมีโครงสร้างร่างกายบอบบางและเล็ก ซึ่งถ้าเหยื่อที่โดนกระทำเกิดขัดขืนสะบัดตัวหรือต่อสู้ขึ้นมาละก็อาจทำให้หนวดและร่างกายของมันฉีกขาดได้ ดังนั้นพิษในการจับเหยื่อต้องมีความรุนแรงมากเพื่อทดแทนร่างกายส่วนที่บอบบางนั้น
     “ห้ามโดนหนวดมันเด็ดขาดนะโว้ย ฉันจำได้ดีเลยว่าหนวดของมันน่ะมีตะขอเล็กๆเพื่อเกี่ยวกับผิวหนังของเราไม่ให้หลุด หลังจากนั้นท่อพิษที่ขดตัวอยู่ในหนวดเป็นพันๆท่อจะทำหน้าที่ฉีดพิษพุ่งทะลุเข้าสู่ผิวหนังเรา”
     ชนินทร์เตือนเพื่อนๆพลางสวมหน้ากากดำน้ำแล้วส่องดูใต้ผิวน้ำทันที เพียงอึดใจเดียวก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับความหวังอันริบหรี่
     “รีบสวมหน้ากากเร็วพวกเรา ใต้น้ำไม่มีพวกมันอยู่เลย เราจะดำลงไปและว่ายออกให้ห่างจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด”
     ทั้งสี่คนรีบสวมหน้ากากพร้อมกับเคลื่อนตัวดำลงไปใต้ผิวน้ำทันที แมกซ์และชนินทร์ต้องยอมเสียสละถังออกซิเจนเพราะไม่สามารถนำมันลงไปใต้น้ำได้ด้วย แต่ถ้าพวกเขาอยากรอดก็จำเป็นต้องทิ้งมันไปเสีย เพราะไม่มีเวลามาเป็นห่วงสิ่งของเหล่านี้อยู่หรอกเนื่องจากถ่านนาฬิกาชีวิตของพวกเขาใกล้จะหมดลงเต็มที
     ส่วนแอนและตะวันยังคงได้เปรียบเพื่อนอยู่เพราะทั้งสองคนใช้ออกซิเจนในถังที่เหลืออยู่เป็นอากาศใช้หายใจใต้น้ำได้ ส่วนกางเกงที่ถอดออกในตอนแรกนั้นแมกซ์และตะวันนำมันผูกเป็นเงื่อนตายติดกับคอเอาไว้เพื่อที่จะเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกโดยไม่ต้องคอยพะวง
     เมื่อดำลงไปใต้ผิวน้ำทะเลในระยะที่คิดว่าไม่โดนแมงกะพรุนแล้ว ทั้งหมดจึงมองขึ้นไปและเห็นพวกมันได้อย่างชัดเจนเมื่ออยู่ใต้น้ำ ภาพที่ทุกคนเห็นมันสวยงามมากเลยทีเดียว ด้วยลำตัวที่ใสสะอาดเหมือนวุ้นลอยอยู่บนผิวน้ำกระจัดกระจายมากมายเต็มไปหมด ดูเหมือนพวกมันใสเสียจนแทบจะเรืองแสงได้เลยเมื่อถูกฉาบไปด้วยแสงอาทิตย์
     ทั้งหมดดำน้ำออกห่างจากพวกมันเรื่อยๆ แมกซ์และชนินทร์เคลื่อนตัวด้วยความรีบร้อนเพราะทั้งคู่ไม่มีถังออกซิเจนคอยส่งอากาศให้หายใจได้ ฉะนั้นทั้งคู่จึงต้องด้นสดด้วยพลังใจที่เข้มแข็งล้วนๆ โดยปกติแล้วคนทั่วไปจะหมดสติหากขาดอากาศหายใจสองนาทีแต่ถ้าหากได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีอาจกลั้นหายใจได้นานกว่าสิบนาทีขึ้นไป ซึ่งแมกซ์และชนินทร์ไม่ใช่ผู้ที่ถูกฝึกมาเพื่อกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานขนาดนั้น
     ทว่าทั้งคู่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชีวิตนี้จะต้องมาพบเจออะไรแบบนี้เพราะคนส่วนมากก็ไม่มีใครมาลอยคออยู่กลางทะเลแบบนี้หรอก ฉะนั้นทำให้พวกเขามองข้ามการฝึกดำน้ำไปเลย และมันก็เกิดขึ้นกับเขาทั้งสองคนในตอนนี้แล้ว
     แมกซ์ส่งสัญญาณมือบอกเพื่อนว่าเขาจะขึ้นสู่ผิวน้ำทันทีเพราะเริ่มอดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว ชนินทร์ก็เช่นกัน ทั้งคู่กลั้นใจเฮือกสุดท้ายและเคลื่อนตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรีบร้อนกว่าเดิม ความทรมานจากการขาดออกซิเจนเริ่มโจมตีร่างกายของสองหนุ่ม แต่พลังใจอันแข็งแกร่งก็พาพวกเขาขึ้นมาได้สำเร็จ
     แมกซ์และชนินทร์สูดหายใจเฮือกใหญ่เรียกอากาศบริสุทธิเข้าสู่ปอดเล็กๆของพวกเขาทันที ใบหน้าที่ซีดเซียวดีขึ้นทันตาเห็น ความเหนื่อยทำให้เสียงหอบแฮกดังกังวานไปรอบบริเวณ ไม่นานตะวันกับแอนก็โผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งคู่ถอดหน้ากากออกทันที
     “นายสองคนเป็นไงบ้าง” แอนถามพลางเคลื่อนตัวเข้าไปหาชนินทร์ด้วยความเป็นห่วง
     “เกือบตาย” แฟนเธอพูดขณะที่เสียงหอบยังคงถี่อยู่
     “โอ้ย…ช่วยด้วยๆ เอามันออกไปที!” หนุ่มใต้โอดครวญด้วยความเจ็บปวด
     แมงกะพรุนลำตัวเท่ากำปั้นติดอยู่ระหว่างซอกถังออกซิเจนกับคอของชายหนุ่ม ตะวันรีบเอามือปัดมันออกด้วยความกลัว เขารู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตจนเจ็บแปล๊บที่บริเวณคอ ขณะที่อีกสามคนตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า เพื่อนของเขาถูกสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่ามีพิษร้ายแรงที่สุดโจมตีเข้าแล้ว ทีนี้จะทำยังไงดีละ แมกซ์รีบปรี่เข้าไปหาตะวันเพื่อจะดึงมันออก
     “อย่านะ” ชนินทร์ห้ามปราม “ห้ามถูกตัวมันเด็ดขาด ถ้านายไม่อยากโดนพิษไปอีกคน”
     “ฮือๆ ช่วยตะวันด้วย ฉันทนดูไม่ได้แล้ว” แอนร้องให้ออกมาเพราะความกลัว เธอหันหน้าหลบเพราะทนเห็นเพื่อนเจ็บไม่ได้
     เมื่อตะวันตั้งสติได้จึงถอดกางเกงยีนส์ที่ผูกติดกับคอในตอนแรกออกแล้วฟาดไปที่คอตัวเองหวังให้ปิศาจร้ายตัวนั้นหลุดไปจากร่างกายของเขาเสียที
     มันได้ผล
     ลำตัวของแมงกะพรุนฉีกขาดออกไม่มีชิ้นดี ดูเหมือนว่ามันจะตายในทันทีที่ตะวันกระหน่ำฟาดลงไป ชายหนุ่มผู้โชคร้ายไม่รอช้าใช้มือทั้งสองข้างเกาและปัดป่ายบริเวณลำคอที่เจ็บอยู่
     “อย่านะ เอามือออกเดี๋ยวนี้”
     ชนินทร์ว่ายน้ำเข้าไปหาเพื่อนเขาโดยมีแอนคอยพยุงเนื่องจากชายหนุ่มไม่มีถังออกซิเจนไว้ให้เกาะอีกต่อไปแล้ว ชนินทร์หยุดอยู่เบื้องหน้าตะวันและกวักน้ำสาดไปที่บริเวณลำคอของผู้ถูกกระทำ แมกซ์ก็เข้ามาช่วยอีกแรง
     “อย่าใช้มือลูบอีกนะ ไม่งั้นมือนายจะถูกพิษลามติดไปด้วย”
     “ฉันเจ็บมากเลยเพื่อน มันแสบไปหมดเลย”
     น้ำใสๆไหลออกจากเบ้าตาของชายหนุ่มอย่างกลั้นไม่ได้ แน่ละ…เพราะเข็มพิษของแมงกะพรุนยังคงทำงานต่อไปเรื่อยๆแม้ว่าจะหลุดออกมาจากลำตัวแล้วก็ตาม ทำให้ความทรมานเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เซลล์เข็มพิษบางส่วนอาจยิงเข็มไปแล้ว แต่บางส่วนอาจจะยังไม่ได้ยิง
     ฉะนั้นการใช้น้ำทะเลสาดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ เพราะความเค็มของน้ำทะเลสามารถทำให้พิษหลุดออกไปได้ บางคนที่รู้เท่าไม่ถึงการใช้น้ำจืด แอลกอฮอล์ หรือน้ำยาทาเพื่อบรรเทาอาการต่างๆ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เข็มพิษทำงานหนักขึ้น นั่นไม่ใช่วิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้องแต่เป็นการช่วยให้ตายเร็วขึ้นมากกว่า
●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา