นักรบจันทรา
7.0
เขียนโดย Sagestone
วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.34 น.
29 ตอน
0 วิจารณ์
28.92K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2560 20.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ตอนที่ 8
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 8
แล้วแสงไฟจากร่างของผู้กล้าแสงตะวันก็ริงระบำ!
ดาริอุสตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น ราวกับนกเพลิงสองตัวกำลังเต้นรำกันเหนือร่างของผู้กล้า ความร้อนทวีขึ้นถึงขีดสุดแทบทำให้ร่างกายของเขาลุกไหม้ไปด้วย การเลื่อนไหลของกลุ่มแสงเริ่มเร็วขึ้นเป็นจังหวะซับซ้อนชวนให้นึกถึงนกไฟของจริง เขาอยากวิ่งหนีแต่สัญชาตญาณบอกให้หยุดดู ดูความสวยงามของแสงไฟเหมือนแมลงที่หลงใหลกลิ่นไฟ
กลุ่มแสงที่เริงรำเหนือร่างผู้กล้าวนเคลื่อนล้อกันเร็วขึ้นๆแล้วก็ดับวูบลง ความร้อนที่ทวีขึ้นจนเหงื่อกาฬที่ไหลหยุดลงจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของอากาศในฤดูใบไม้ร่วง แล้วร่างของผู้กล้าก็เริ่มขยับอีกครั้งเหมือนหุ่นเชิดสายขาดที่ได้รับการซ่อมแซม
“คนตระกูลแบล็คสโตนสินะ สวยงามสมคำร่ำลือ” นางภูตไฟเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น “เจ้าไม่รู้สินะว่าคนตระกูลนี้สามารถตายได้หนึ่งครั้ง การตายครั้งที่สองจึงจะเป็นการตายที่แท้จริง”
ดาริอุสส่ายหน้า เขาพูดอะไรไม่ออกในเวลานี้ ทุกอย่างมันดำเนินไปรวดเร็วเหลือเกิน
“แปลว่าเขาจะไม่ตาย ใช่ไหม”
“ก็ใช่น่ะสิ ผู้ติดตามของเจ้าจะไม่ตาย”
“...ข้าต่างหากที่เป็น...”
ดาริอุสจะพูดแก้แต่ไม่ทันเสียแล้ว นางภูตหายตัวไปในพริบตาทิ้งรอยยิ้มจางๆไว้เบื้องหลัง ส่วนผู้กล้าแสงตะวันนั้นเริ่มกระพริบตาถี่ขึ้นและกำลังจะยันตัวขึ้นนั่ง ไอเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ถึงตายเชียวหรือ” เสียงของผู้กล้าเรียกดาริอุสให้กลับมาจากภวังค์ “พวกจอมปิศาจมันร้ายจริงๆ มาดักหน้าถึงที่นี่เชียว”
“ไม่ตายจริงๆนะ ฟื้นแล้วจริงๆหรือ” ดาริอุสจับไหล่จับตัวอีกฝ่ายอย่างดีอกดีใจที่ยังไม่ตายจริงๆ
“ข้าสามารถคืนชีพได้หนึ่งครั้ง ในสัญญาจึงระบุเอาไว้ว่าสิ้นชีวิตโดยสมบูรณ์ ต้องรอให้ข้าตายอีกครั้งก่อนจึงจะยกเลิกสัญญานะ”
ดาริอุสดีใจที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตจนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ขอแค่เพื่อนร่วมทางยังมีชีวิตอยู่ก็พอ
“พอได้แล้วน่า กรงเล็บนั่นปล่อยพิษออกมาได้ทำให้ข้าตายเกือบทันที โชคดีที่จับดาบเจ้าแทงสวนได้ก่อนหมดลม”
ดาริอุสดูจะดีใจจนประหม่า หยิบกระบี่บนพื้นมาให้ผู้กล้าแก้เขิน
“เจ้าจงจำไว้ เวลาเข้าไปในถ้ำแบบนี้ต้องระวังศัตรูหรือสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัว” ผู้กล้าสั่งสอนผู้ติดตามก่อนหันมาสนใจกระบี่ที่แทบยื่นมาทิ่มหน้าตน “แล้วอะไรเนี่ย”
“กระบี่แสงตะวัน” ดาริอุสตัดสินใจลบคำว่าดาบในชื่อออกไปเพื่อป้องกันการสับสน “ของท่านผู้กล้า”
ไบรอันสั่นหัวน้อยๆ ยิ้มกว้างแล้วตอบอย่างสุภาพ
“ของเจ้าต่างหาก ดาบที่แทงมันตายเป็นของเจ้า มือเจ้าก็จับด้ามมันอยู่...มันเป็นผลงานของเจ้า ไม่ใช่ข้า”
“แต่กระบี่แสงตะวันควรคู่กับผู้กล้าแสงตะวันนี่นา” ดาริอุสขมวดคิ้ว มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร ปกติของวิเศษพรรค์นี้มักเป็นของผู้กล้าไม่ใช่หรือ
“กระบี่ดาบแสงตะวันต่างหาก” ไบรอันย้ำให้อีกฝ่ายเรียกชื่อเต็ม “ตอนนี้เป็นกระบี่แต่ร่างจริงมันคือดาบ เหมือนกับเจ้าที่ตอนนี้ยังเป็นแค่ผู้ติดตาม ปิศาจตัวนี้ก็ไม่ใช่ลูกน้องของจอมอสูรดัชเชลด้วย มันไม่ได้ถูกส่งมาฆ่าข้า”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ตอนนี้ยัง แต่สักวันข้าต้องอธิบายแน่ ขอให้รอก่อน” ไบรอันรู้สึกหายใจโล่งขึ้นกว่าเมื่อครู่ “ตอนนี้เจ้ารับกระบี่เล่มนี้ไว้ใช้ดีกว่า ข้ามีของข้าแล้ว แล้วเราไปคุยกันต่อข้างนอก ในนี้ร้อนเป็นไฟเลย”
ในที่สุดดาริอุสก็จำใจต้องรับกระบี่เล่มนั้นไว้ใช้เอง ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันกระทั่งกลับไปที่รถม้า สารถีแสดงความประหลาดใจที่เสื้อของผู้กล้าเป็นรูแถมเปื้อนเลือดเป็นด่างดวงอีกต่างหาก
“ตามธรรมเนียมการได้รับของวิเศษน่ะ กระบี่เวทสำหรับผู้ติดตามของข้า” ไบรอันบอกกับคนขับรถม้าไปแบบนี้ก่อนขึ้นไปนั่งวางท่าเหมือนขามาไม่มีผิด
“แล้วข้าจะใช้เป็นหรือ” ดาริอุสถามขึ้นลอยๆ
“ลองจับด้ามกระบี่แล้วคิดถึงไฟสิ ความร้อนของดวงตะวัน เรียกมันลงมาที่ใบกระบี่”
ดาริอุสลองทำดู ไม่ถึงอึดใจใบดาบเงินวันก็กลายเป็นสีส้มสดเหมือนเหล็กเผาไฟ ปล่อยทั้งแสงและความร้อนออกมาเหมือนเพิ่งยกออกมาจากเตาหลอม แล้วก็หายไปทันทีเมื่อดาริอุสอุทานออกมา
“ในนี้มีไฟอยู่ ร้อนมากๆ ข้ารู้สึกถึงมันได้” ดาริอุสมองตาอีกฝ่าย
“ไม่งั้นมันจะมีชื่อว่าดาบแสงตะวันหรือ มันยอมให้เจ้าใช้ได้เท่านั้น หัดสั่งมันให้ได้แล้วจะใช้ได้เหมือนแขนขาอีกข้าง”
ว่าแล้วท่านผู้กล้าก็อรรถาธิบายยาวเหยียดเกี่ยวกับอาวุธเวทมนตร์และวิธีใช้เบื้องต้น...
ไบรอัน แบล็คสโตนหยุดให้ผู้ติดตามพักก่อนหัวจะระเบิด ตอนนี้เขาส่งอาวุธให้คนที่สมควรแล้วแม้จะช้ากว่าจอมปิศาจอยู่ก้าวหนึ่งก็ตาม ลองอีกฝ่ายส่งปิศาจมาลอบฆ่าก็แปลว่ารู้ตัวแล้วว่าเขารู้ความจริง นางผู้หยั่งรู้ก็ไม่ยอมให้เขาเห็นข้างหน้าชัดเจนว่ามีกับดักตรงไหนเมื่อไรอีก ที่สำคัญก็คือการติดต่อกับสหายที่ขาดตอนตั้งแต่มาถึงเพียรซ์ ทั้งคำเตือนนั่น ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน
“รอให้ถึงโรงพักแรมก่อนค่อยลอง ร้อน!” ไบรอันทักดาริอุสที่ลองออกคำสั่งกระบี่ดาบแสงตะวันอีกครั้ง
ปลายทางคือโรงแรมที่พวกเขาพักอยู่ คนที่โบกมือให้คือไซเรน่าอัศวินมังกรกับเซรีน่าผู้สะสมคำสาป ไม่รู้พวกนางพบกันตั้งแต่เมื่อไร บางทีอาจเกี่ยวกับที่เซรีน่าบอกว่านางมีสิ่งต้องทำหลังเขาออกจากถ้ำภูตไฟ
พวกเขาลองจากรถม้าแล้วจ่ายค่าจ้าง พอดีกับไซเรน่าบ่นอุบที่พวกเขาแอบไปกันแค่สองคน ส่วนเซรีน่านั้นหันไปทักทายดาริอุสอย่างเป็นกันเอง นิสัยบางอย่างของนางดูคุ้นตา เช่นการจับผมหรือโยกตัวเวลาสงสัย
“ท่านผู้กล้าตายมาแล้วสินะคะ” เซรีน่าหันมาสนใจไบรอัน
เขาพยักหน้า กำลังจะถามว่านางมาทำอะไรที่นี่ หญิงสาวก็พุ่งเข้ามาโอบคอแล้วประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขาทันที ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยจูบใคร แต่คราวนี้ร้อนแรงกว่าที่เคยเจอมา เป็นความรู้สึกขัดแย้ง รู้สึกผิดและต่อต้านอยู่ข้างในหัวใจลึกๆโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างกับกำลังจูบกับคนในครอบครัวมากกว่าคนรัก กระทั่งนางยอมถอนริมฝีปากออกไปเอง
“เท่านี้หน้าที่ของข้าในยุคนี้ก็เสร็จแล้ว ประทับตราบาปให้ผู้กล้าแสงตะวันครั้งที่หนึ่ง”
“หมายความว่าอย่างไรกัน ครั้งที่หนึ่ง” ไบรอันหายจากอาการตะลึงเอ่ยถาม กำลังจะพูดแต่นางอัศวินมังกรขัดขึ้นมาก่อน
“ข้าไม่ยอมนะ ทำไมท่านให้นางได้แต่ให้ข้าไม่ได้ล่ะ”
แล้วนางอัศวินมังกรก็ทำตามบ้าง ดึงตัวผู้กล้าแสงตะวันไปจูบปากจนสาแก่ใจจึงปล่อยให้เป็นอิสระ
“สมกับที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับชื่อของข้า เซรีน่าก็แผลงมาจากไซเรน่านี่ล่ะค่ะ” เซรีน่าตอบขำๆ นางเป็นนักท่องเวลา อาจเกิดในยุดต่อจากไบรอันก็ได้ “แม้จะรู้สึกผิดต่อท่านและท่านแม่ แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้ท่านรอดชีวิตได้ในวันข้างหน้า อีกไม่ช้าท่านก็จะเจอกับพี่สาวข้า นางจะทำอย่างเดียวกันกับข้าเพื่อให้ท่านปนเปื้อนมากขึ้นจนกลายเป็นกากเดน”
“ต้องถึงขั้นนั้นเลยหรือ” ไบรอันมุ่ยหน้า “แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ มีพี่น้องด้วย”
“ข้ามีพี่สองคนน้องสองคนค่ะ ส่วนข้าเป็นใครนั้น...เมื่อพี่สาวข้าปรากฏตัวท่านดาริอุสก็จะรู้ค่ะ” นักสะสมคำสาปดูดีใจที่ได้พูดถึงครอบครัว “ในยุคนี้คงต้องลาก่อนนะคะ แล้วเจอกันในยุคสมัยที่ข้าเกิดโน่นเลย”
“เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ” ไบรอันหันไปถามผู้ติดตามที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่
เมื่อหันกลับมานักสะสมคำสาปก็หายตัวไปแล้ว แม้แต่ไซเรน่ายังไม่รู้ว่านางหายตัวไปตอนไหนและไปทางใด ราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศธาตุไปเลย คงต้องรอให้พบกับพี่สาวของนางก่อน แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าใช่ คงเป็นนักท่องเวลาเหมือนกันแน่
“คงไม่จูบข้าด้วยหรอกนะ” ดาริอุสพูดอย่างหวั่นๆ
ไบรอันเพิ่งรู้ตัวว่าตนกลายเป็นจุดสังเกตของคนเดินผ่านไปผ่านมาแล้ว จึงลากเพื่อนทั้งสองคนเข้าไปคุยกันในโรงพักนอน
“ความจริงพวกเราควรไปพักในราชวัง สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีเท่าไรนัก” ไบรอันพูดอย่างเคร่งขรึมตามปกติ ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งโดนขโมยจูบถึงสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน “ตอนบินมามีสิ่งผิดปกติหรือเปล่าไซเรน่า”
“ข้าใช้มนตร์เคลื่อนย้ายของผู้ใช้เวทมนตร์น่ะ นานทีก็ขอลงจากหลังมังกรบ้างสิ” นางอัศวินมังกรตอบ “สิ่งผิดปกติคือมีคนพยายามจูบท่านนี่ล่ะ”
“ไซเรน่าไปติดต่อทางราชวังขอห้องพักสามห้องสำหรับพวกเรา” ผู้กล้าแสงตะวันสั่งการอย่างแข็งขัน “ส่วนดาริอุสรีบไปเก็บของ ดาบเก่าของเจ้าเอาไปฝากที่ราชวังก็ได้”
“เขาจะให้หรือไบรอัน” ไซเรน่ายกเสียงอย่างดูถูก
“เดิมข้าได้รับเชิญให้พักในมหาราชวังอยู่แล้ว แต่ออกมาอยู่ข้างนอกกันเอง” ไบรอันตอบ “ตอนนี้เราต้องรีบเข้าไปในราชวังด่วน หากมีเรื่องจะได้ขอความช่วยเหลือทัน”
“มีอะไรที่เจ้าต้องกลัวอีก ไปไหนก็มีแต่คนอยากจุมพิตท่านทั้งนั้น”
“ไม่เห็นรอยแทงบนเสื้อข้าหรือ!” ไบรอันทำท่าเหมือนจะพ่นไฟออกมา “รีบไปเร็วๆ คืนนี้เราจะไปพักนอนกันในมหาราชวัง” นั่นคือคำขาดที่ทำให้ไซเรน่ากับดาริอุสแยกย้ายกันทันที
ในเขตมหาราชวังของเพียร์ซมีทุกสิ่งพร้อมสรรพ มีข้อเสียอย่างเดียวคือทำตัวลอยชายตามสบายไม่ได้ ไบรอันจึงเอารายงานออกมาเขียนที่สวนข้างตึกพักแขกพร้อมกับดูดาริอุสทดลองกระบี่ไปด้วย
“ถ้าสั่งให้มันปล่อยแสง มันจะปล่อยให้ไหม” ดาริอุสถามอย่างมีความหวังแบบเด็กๆ ไบรอันพยักหน้าให้แล้วก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ
“ดาริอุส ข้าได้ยินว่าเจ้ากับท่านผู้กล้ามาพักในราชวังแล้ว”
ไบรอันหูผึ่งเมื่อเพื่อนสมัยเด็กของดาริอุสมาหาถึงที่ นางต้นห้องทักทายเขาด้วยความเคารพบอกว่าขออนุญาตจากท่านหญิงมาแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาโดนบังคับจูบโดยผู้หญิงสองคนแล้ว เรื่องนี้ก็น่าสนใจพอตัว
เมื่อเพื่อนมาดาริอุสก็วางกระบี่แล้วนั่งบนพื้นหญ้า คุยกันตามประสาเพื่อนรัก ทำให้ไบรอันอดอมยิ้มไม่ได้ที่เห็นผู้ติดตามกำลังมีความสุขกับคนสนิท
“พวกเจ้าน่าจะคบหากันเป็นหน้าเป็นตาไปเลยนะ” ไบรอันล้อ ดาริอุสตอบอย่างชัดเจนว่ายังไม่อยากมีคนรักตอนนี้ทำให้หญิงสาวดูหมองลงเล็กน้อย
แล้วลมพายุก็เข้ามาเมื่อมีรถม้าบริการในเขตราชวังวิ่งมาหยุดตรงหน้าพวกเขา ผู้ที่ก้าวลงมาคือท่านหญิงโรเซลลิน่า ทำให้ไบรอันจิ้มปากกาทะลุกระดาษเนื่องด้วยไม่คาดคิดว่าพระนางจะมาโดยไม่ติดต่อกันก่อน
“เขียนรายงานต่อไปท่านผู้กล้า ข้าไม่ได้มาหาท่าน”
สิ่งที่ท่านหญิงทำก็คือกระชากคอดเสื้อให้หน้าของดาริอุสเข้ามาใกล้กับตัวเอง แล้วประกบริมฝีปากกันอย่างเผ็ดร้อน ใบหน้าของท่านหญิงปกติสีซีดกลับแดงฉานเหมือนมะเขือเทศพอๆกับหน้าของฝ่ายชาย
“ข้าเกลียดเจ้าดาริอุส!” ท่านหญิงร้องเสียงหลงเมื่อเลิกจูบกับดาริอุส “ข้าอยากศึกษาอาวุธของเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องเป็นของข้าเท่านั้น”
“ข้าไม่เข้าใจ ท่านหญิง” ดาริอุสเหมือนกับถูกจับกดน้ำทันควันแทบตั้งสติไม่ได้
“ข้าสนใจกระบี่เล่มนั้นของเจ้าจึงมาเพื่อขอศึกษามันหน่อยเท่านั้น” ท่านหญิงปล่อยคอเสื้อของดาริอุสอย่างไม่เต็มใจ
“แล้วเหตุใดท่านจึง...”
“เพราะถ้าไม่เข้าถึงเจ้าของจะศึกษาอาวุธชิ้นนั้นได้อย่างไรล่ะ จริงไหมไบรอัน” ท่านหญิงร้อง ผู้กล้าก็จำใจช่วยนางแถอีกแรงหนึ่ง “เจ้าจะต้องเป็นอนุของข้า รองจากเจ้าชายมาเวอร์ริค!”
ไบรอันกุมขมับ จารีตทางตะวันตกเขามีแต่ผู้ชายที่จะมีอนุ นี่เป็นหญิงกลับขอมีอนุเสียเอง แถมคนที่ตั้งให้เป็นอนุก็เป็นคนนี้อีก เขายอมรับว่าท่านหญิงคงทนเห็นดาริอุสคบกับคนอื่นไม่ได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะมาด้วยตัวเองแบบนี้ ชีวิตรักของท่านผู้ติดตามน่าสนใจดีแท้
“ท่านมาถึงนี่เพราะเรื่องแค่นี้หรือฝ่าบาท”
ไบรอันเรียกสติของพระนางกลับมา ใบหน้าที่แดงซ่านเริ่มกลับสู่สภาพเดิมด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ที่จะเก็บอาการ
“มาคุยกับท่านด้วยผู้กล้า” ท่านหญิงผละจากดาริอุสทันทีราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นตัวประหลาด “ท่านหลบเลี่ยงที่จะคุยกับข้าใช่ไหม”
อยากมาหาดาริอุสก็บอกเถอะท่านหญิง ไบรอันคิด แล้วผู้กล้าแสงตะวันกับท่านหญิงก็โต้ตอบกันตามสมควรก่อนอีกฝ่ายจะขอตัวไปพักที่ตึกพักรับรองแขกเชื้อพระวงศ์...
ทางฝ่ายดาริอุสที่ถูกจุมพิตนั้นหัวขาวโล่งไม่มีอะไรอยู่เลย จนโทเนียต้องสะกิดเรียกให้รู้สึกตัว เขาไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านหญิงจึงบอกว่าเกลียดเขา บอกว่าจะศึกษาอาวุธ แล้วเหตุใดต้องจูบเขาด้วยเล่า
“มีอะไรกันหรือ ดาริอุสหน้าแดงเชียว” ไซเรน่าที่เพิ่งมาสมทบทักขึ้น ทำให้หัวของดาริอุสกลับไปว่างเปล่าอีกครั้ง “ข้าไปหาข่าวมาแล้วแต่ไม่ได้อะไรเลย ในช่วงสามวันนี้ยังไม่มีหน่วยลาดตระเวนกลับมาที่ราชวังเพื่อรายงานเลยสักหน่วย ข้าเข้าใจความรู้สึกอยากพักดี อีกสักสองสามวันก็กลับ หน่วยบินก็เป็นอย่างนี้ เรื่องปกติ”
“ในสภาพการณ์แบบนี้ไม่มีอะไรปกติไซเรน่า” ผู้กล้าแสงตะวันลุกพรวดขึ้นจนเก้าอี้กระเด็นไปด้านหลัง “เรียกมังกรออกมา ข้าอยากขึ้นบินสูงเหนือเมฆ”
เป็นครั้งแรกที่ดาริอุสบินขึ้นสูงถึงเมฆบนท้องฟ้า เมื่อทะลุก้อนเมฆขึ้นไปก็พบกำแพงหมอกขาวขุ่นเป็นแนวยาวครอบมหาราชวังของเพียร์ซเอาไว้ชั้นหนึ่ง และมีครอบแก้วขนาดยักษ์อีกชั้นครอบนครหลวงแห่งนี้ไว้อีกชั้นหนึ่ง ที่ขอบฟ้าไกลลิบ ดาริอุสเห็นนกเพลิงกลุ่มหนึ่งกระจุกตัวอยู่ราวกับพยายามเข้ามาในวงล้อม
“ในมหาราชวังไม่อนุญาตให้ใช้มนตร์เคลื่อนย้ายจึงไม่มีใครรู้ ครอบแก้วด้านนอกกันไม่ให้หน่วยลาดตระเวนเข้ามาได้ ถึงไม่มีข่าวอะไรเลยช่วงนี้ ด้านในคงกันการเคลื่อนย้ายด้วยเวทมนตร์” ผู้กล้าแสงตะวันบอกดาริอุสกับไซเรน่า
“มีแสงแปลกๆตรงนั้นด้วย” ดาริอุสพยายามเพ่งไปข้างหน้าซึ่งกลุ่มก้อนแสงกำลังก่อร่างเป็นตัวอักษรขึ้นว่า
ทัพมังกรกำลังมา! เตรียมตัวให้พร้อม!
“ใครเป็นคนเขียน” ดาริอุสถามผู้กล้าแสงตะวันที่ลุกลี้ลุกลนเกินเหตุ
“ไม่ต้องไปดูไซเรน่าเดี๋ยวจะเข้ามาไม่ได้อีก พาข้ากลับราชวังเดี๋ยวนี้! มีเรื่องต้องรีบทำด่วน!” ไบรอันพูดจนลิ้นแทบพันกัน
ไซเรน่าก็ดีใจหายสั่งมังกรให้บินลงสุดแรง หากไม่มีเวทมนตร์ตรึงร่างเข้ากับมังกรทั้งดาริอุสและไบรอันคงตกจากหลังมังกรแล้ว ขนาดกลับลงพื้นแล้วขาของดาริอุสก็ยังสั่นไม่ยอมหยุด หากผู้กล้าที่มอมแมมพอกันไม่ยอมให้หยุดพัก เรียกรถม้าที่ใกล้ที่สุดแล้วลากตัวดาริอุสขึ้นไปอย่างรีบร้อน
“ไปวิหารนกไฟ!” ไบรอันบอกสารถี “เจ้าก็ตามไปด้วยไซเรน่า อย่าเพิ่งถาม เราไม่มีเวลาแล้ว
วิหารนกไฟคือศูนย์กลางของมหาปราสาท เป็นวิหารทรงกลมยอดแหลมปิดทึบ ปกติจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปดาริอุสจึงไม่เคยเห็นด้านใน เห็นแค่ด้านนอกที่วาดลวดลายนกไฟและสัตว์วิเศษต่างๆไว้งามวิจิตร
“ข้าต้องการเข้าไปในวิหาร ช่วยเปิดได้หรือไม่” ไบรอันขอร้องทหารยามเฝ้าประตูวิหาร
“ข้างในมีอะไรหรือ” ดาริอุสลองถามดู ผู้กล้าที่ได้รับการปฏิเสธสบถเบาๆเขาจึงไม่กล้าถามอีก
“อย่างนั้นก็รีบไปรายงานท่านหญิงเอเลน่าว่าข้าพบเจ้าชายมาเวอร์ริคแล้ว แต่ตอนนี้ขอเข้าไปในนั้นก่อน”
ทหารยามนายหนึ่งรีบขึ้นรถม้าไปยังตึกทำงานทันทีเพื่อตามหาท่านหญิงเอเลน่า
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ไบรอัน ทัพมังกรอะไร ท่านรู้อะไร!” ไซเรน่ากรีดร้อง
“สายของข้าส่งข่าวมา กองทัพมังกรกำลังเข้ามาใกล้เราแล้ว ที่ยังไม่รู้เพราะหน่วยลาดตระเวนเข้ามารายงานไม่ได้” ไบรอันตอบพรวดเดียว “เจ้ารีบเอาเรื่องนี้ไปบอกคริสทาร่ากับมาร์คัส ให้พวกเขาเตรียมจัดทัพด่วน บอกท่านหญิงโรเซลลิน่าด้วยว่าให้เตรียมตัวออกรบ”
“สงครามที่นางผู้หยั่งรู้พูดถึงสินะ” ไซเรน่าเรียกมังกรออกมาผ่านแหวนแล้วขึ้นนั่งบนหลังมันทันที “เข้าใจแล้ว! จะรีบไปบอกให้เดี๋ยวนี้ แต่ท่านหญิงจะตอบอย่างไรข้าไม่รู้นะ”
“แต่กองทัพมังกรจะเข้ามาได้อย่างไรล่ะ ที่นี่มีเวทมนตร์ป้องกันอยู่นะ” ดาริอุสถามซื่อๆ
“มีเผ่าพันธุ์หนึ่งมีพลังอำนาจในการสะกดและควบคุมมังกร เราเรียกพวกเขาว่ามังกรครึ่งมนุษย์” ไบรอันขบฟันแน่น
“ที่สวยมากๆใช่ไหม ข้าเคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็น”
“ใช่แล้ว เพศชายงามราวเทพบุตร เพศหญิงงามกว่าเทพธิดา” ไบรอันตอบเสียงเย็นทั้งที่ร้อนใจจะแย่ “ลูกน้องคนหนึ่งของจอมอสูรเป็นมังกรครึ่งมนุษย์ และกำลังนำทัพมาโจมตีนครหลวงของเพียรซ์!”
“อย่างนั้นเราต้องรีบจัดกระบวนทัพสิ! ท่านมัวมาทำอะไรที่นี่กันแน่!”
“แค่ข้า ไซเรน่า คริสทาร่า และท่านหญิงโรเซลลิน่ายังไม่มากพอ ข้าอยากได้มือเพิ่ม”
“ก็ข้านี่ไง” ดาริอุสร้องเพราะอีกฝ่ายเล่นลืมกันดื้อๆ
“ก็ถึงพามาที่นี่อย่างไรล่ะ เจ้าสำคัญที่สุดเชียวนะ”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ข้าต้องการให้เรมิเอลออกมาช่วย คนที่จะเรียกมันออกมาได้คือเจ้า มันคือนกไฟประจำตัวของเจ้า ดาริอุส”
“ว่าไงนะ...”
ไม่ทันให้ดาริอุสเถียงกลับรถม้าก็เข้ามาจอดข้างๆ ท่านหญิงเอเลน่าก้าวลงมาอย่างงุนงงที่ได้รับการเชิญตัวโดยผู้กล้าแสงตะวัน
“ตอนแรกท่านบอกข้าว่ายังไม่พบไม่ใช่หรือ ท่านผู้กล้าแสงตะวัน” ท่านหญิงกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ข้าบาทยอมรับว่าโกหก แต่บัดนี้จำเป็นต้องพูดความจริงแล้ว เกี่ยวกับเจ้าชายมาเวอร์ริค” ไบรอันน้อมตัวเคารพ “ตอนนี้ขอข้าบาทกับหมอนี่เข้าไปในนี้ก่อน”
ท่านหญิงพยักหน้า ทหารยามไขเปิดประตูเหล็กกล้าให้ทันที ไบรอันและดาริอุสก้าวเข้าไปด้านในอย่างเร่งรีบ
ด้านในอับทึบเต็มไปด้วยกลิ่นกำมะถัน มีแสงจากเพดานส่องลงมาเป็นเส้นสาย หน้าต่างของที่นี่เป็นช่องเปิดเล็กๆละเอียดยิบตามผนังจนลายตาไปหมด อากาศชวนขนลุกแบบนี้ดาริอุสไม่ชอบเลยจริงๆ
“แล้วอย่างไรต่อ อย่าคิดว่าหนีข้าพ้นนะ” ท่านหญิงหรี่ตาไม่ยอมผู้กล้าง่ายๆ
“ข้อแรก เจ้าชายมาเวอร์ริคหาได้มีลักษณะเหมือนฝ่าบาทไม่” ไบรอันไม่ยอมให้ดาริอุสเดินเตร่ตามใจชอบ กลับลากถูไปยังกลางห้องที่มีแท่นทำพิธีและรูปปั้นเปลวไฟอยู่ “ข้อสอง ข้าบาทพบเขานานแล้ว เพียงไม่อยากกระโตกกระตากเท่านั้น”
“แล้วอย่างไรต่อ” ท่านหญิงเอเลน่ากับทหารยามก็เดินตามพวกเขามาติดๆเช่นกัน
“แต่ตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วน ข้าบาทอยากได้กำลังเสริมเยอะที่สุดจึงต้องเปิดเผยเดี๋ยวนี้ เพื่อทำพิธีขอนกเพลิงประจำตัว”
ไบรอันผลักดาริอุสให้เข้าไปยืนในคอกกลางวิหาร รูปปั้นตรงกลางไม่ใช่เปลวไฟแต่เป็นนกเพลิงสี่ตัวผงาดปีกหันหลังชนกันอยู่
“ดาริอุสคนสนิทของข้าบาทคือเจ้าชายมาเวอร์ริค!”
ดาริอุสและท่านหญิงเอเลน่าตะลึงงัน!
ดาริอุสรู้สึกร้อนวาบที่ต้นคอแล้วทุกอย่างก็ดำมืดไม่มีแม้เศษเสี้ยวของแสงสว่าง...
แล้วแสงไฟจากร่างของผู้กล้าแสงตะวันก็ริงระบำ!
ดาริอุสตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น ราวกับนกเพลิงสองตัวกำลังเต้นรำกันเหนือร่างของผู้กล้า ความร้อนทวีขึ้นถึงขีดสุดแทบทำให้ร่างกายของเขาลุกไหม้ไปด้วย การเลื่อนไหลของกลุ่มแสงเริ่มเร็วขึ้นเป็นจังหวะซับซ้อนชวนให้นึกถึงนกไฟของจริง เขาอยากวิ่งหนีแต่สัญชาตญาณบอกให้หยุดดู ดูความสวยงามของแสงไฟเหมือนแมลงที่หลงใหลกลิ่นไฟ
กลุ่มแสงที่เริงรำเหนือร่างผู้กล้าวนเคลื่อนล้อกันเร็วขึ้นๆแล้วก็ดับวูบลง ความร้อนที่ทวีขึ้นจนเหงื่อกาฬที่ไหลหยุดลงจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของอากาศในฤดูใบไม้ร่วง แล้วร่างของผู้กล้าก็เริ่มขยับอีกครั้งเหมือนหุ่นเชิดสายขาดที่ได้รับการซ่อมแซม
“คนตระกูลแบล็คสโตนสินะ สวยงามสมคำร่ำลือ” นางภูตไฟเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น “เจ้าไม่รู้สินะว่าคนตระกูลนี้สามารถตายได้หนึ่งครั้ง การตายครั้งที่สองจึงจะเป็นการตายที่แท้จริง”
ดาริอุสส่ายหน้า เขาพูดอะไรไม่ออกในเวลานี้ ทุกอย่างมันดำเนินไปรวดเร็วเหลือเกิน
“แปลว่าเขาจะไม่ตาย ใช่ไหม”
“ก็ใช่น่ะสิ ผู้ติดตามของเจ้าจะไม่ตาย”
“...ข้าต่างหากที่เป็น...”
ดาริอุสจะพูดแก้แต่ไม่ทันเสียแล้ว นางภูตหายตัวไปในพริบตาทิ้งรอยยิ้มจางๆไว้เบื้องหลัง ส่วนผู้กล้าแสงตะวันนั้นเริ่มกระพริบตาถี่ขึ้นและกำลังจะยันตัวขึ้นนั่ง ไอเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ถึงตายเชียวหรือ” เสียงของผู้กล้าเรียกดาริอุสให้กลับมาจากภวังค์ “พวกจอมปิศาจมันร้ายจริงๆ มาดักหน้าถึงที่นี่เชียว”
“ไม่ตายจริงๆนะ ฟื้นแล้วจริงๆหรือ” ดาริอุสจับไหล่จับตัวอีกฝ่ายอย่างดีอกดีใจที่ยังไม่ตายจริงๆ
“ข้าสามารถคืนชีพได้หนึ่งครั้ง ในสัญญาจึงระบุเอาไว้ว่าสิ้นชีวิตโดยสมบูรณ์ ต้องรอให้ข้าตายอีกครั้งก่อนจึงจะยกเลิกสัญญานะ”
ดาริอุสดีใจที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตจนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ขอแค่เพื่อนร่วมทางยังมีชีวิตอยู่ก็พอ
“พอได้แล้วน่า กรงเล็บนั่นปล่อยพิษออกมาได้ทำให้ข้าตายเกือบทันที โชคดีที่จับดาบเจ้าแทงสวนได้ก่อนหมดลม”
ดาริอุสดูจะดีใจจนประหม่า หยิบกระบี่บนพื้นมาให้ผู้กล้าแก้เขิน
“เจ้าจงจำไว้ เวลาเข้าไปในถ้ำแบบนี้ต้องระวังศัตรูหรือสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัว” ผู้กล้าสั่งสอนผู้ติดตามก่อนหันมาสนใจกระบี่ที่แทบยื่นมาทิ่มหน้าตน “แล้วอะไรเนี่ย”
“กระบี่แสงตะวัน” ดาริอุสตัดสินใจลบคำว่าดาบในชื่อออกไปเพื่อป้องกันการสับสน “ของท่านผู้กล้า”
ไบรอันสั่นหัวน้อยๆ ยิ้มกว้างแล้วตอบอย่างสุภาพ
“ของเจ้าต่างหาก ดาบที่แทงมันตายเป็นของเจ้า มือเจ้าก็จับด้ามมันอยู่...มันเป็นผลงานของเจ้า ไม่ใช่ข้า”
“แต่กระบี่แสงตะวันควรคู่กับผู้กล้าแสงตะวันนี่นา” ดาริอุสขมวดคิ้ว มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร ปกติของวิเศษพรรค์นี้มักเป็นของผู้กล้าไม่ใช่หรือ
“กระบี่ดาบแสงตะวันต่างหาก” ไบรอันย้ำให้อีกฝ่ายเรียกชื่อเต็ม “ตอนนี้เป็นกระบี่แต่ร่างจริงมันคือดาบ เหมือนกับเจ้าที่ตอนนี้ยังเป็นแค่ผู้ติดตาม ปิศาจตัวนี้ก็ไม่ใช่ลูกน้องของจอมอสูรดัชเชลด้วย มันไม่ได้ถูกส่งมาฆ่าข้า”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ตอนนี้ยัง แต่สักวันข้าต้องอธิบายแน่ ขอให้รอก่อน” ไบรอันรู้สึกหายใจโล่งขึ้นกว่าเมื่อครู่ “ตอนนี้เจ้ารับกระบี่เล่มนี้ไว้ใช้ดีกว่า ข้ามีของข้าแล้ว แล้วเราไปคุยกันต่อข้างนอก ในนี้ร้อนเป็นไฟเลย”
ในที่สุดดาริอุสก็จำใจต้องรับกระบี่เล่มนั้นไว้ใช้เอง ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันกระทั่งกลับไปที่รถม้า สารถีแสดงความประหลาดใจที่เสื้อของผู้กล้าเป็นรูแถมเปื้อนเลือดเป็นด่างดวงอีกต่างหาก
“ตามธรรมเนียมการได้รับของวิเศษน่ะ กระบี่เวทสำหรับผู้ติดตามของข้า” ไบรอันบอกกับคนขับรถม้าไปแบบนี้ก่อนขึ้นไปนั่งวางท่าเหมือนขามาไม่มีผิด
“แล้วข้าจะใช้เป็นหรือ” ดาริอุสถามขึ้นลอยๆ
“ลองจับด้ามกระบี่แล้วคิดถึงไฟสิ ความร้อนของดวงตะวัน เรียกมันลงมาที่ใบกระบี่”
ดาริอุสลองทำดู ไม่ถึงอึดใจใบดาบเงินวันก็กลายเป็นสีส้มสดเหมือนเหล็กเผาไฟ ปล่อยทั้งแสงและความร้อนออกมาเหมือนเพิ่งยกออกมาจากเตาหลอม แล้วก็หายไปทันทีเมื่อดาริอุสอุทานออกมา
“ในนี้มีไฟอยู่ ร้อนมากๆ ข้ารู้สึกถึงมันได้” ดาริอุสมองตาอีกฝ่าย
“ไม่งั้นมันจะมีชื่อว่าดาบแสงตะวันหรือ มันยอมให้เจ้าใช้ได้เท่านั้น หัดสั่งมันให้ได้แล้วจะใช้ได้เหมือนแขนขาอีกข้าง”
ว่าแล้วท่านผู้กล้าก็อรรถาธิบายยาวเหยียดเกี่ยวกับอาวุธเวทมนตร์และวิธีใช้เบื้องต้น...
ไบรอัน แบล็คสโตนหยุดให้ผู้ติดตามพักก่อนหัวจะระเบิด ตอนนี้เขาส่งอาวุธให้คนที่สมควรแล้วแม้จะช้ากว่าจอมปิศาจอยู่ก้าวหนึ่งก็ตาม ลองอีกฝ่ายส่งปิศาจมาลอบฆ่าก็แปลว่ารู้ตัวแล้วว่าเขารู้ความจริง นางผู้หยั่งรู้ก็ไม่ยอมให้เขาเห็นข้างหน้าชัดเจนว่ามีกับดักตรงไหนเมื่อไรอีก ที่สำคัญก็คือการติดต่อกับสหายที่ขาดตอนตั้งแต่มาถึงเพียรซ์ ทั้งคำเตือนนั่น ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน
“รอให้ถึงโรงพักแรมก่อนค่อยลอง ร้อน!” ไบรอันทักดาริอุสที่ลองออกคำสั่งกระบี่ดาบแสงตะวันอีกครั้ง
ปลายทางคือโรงแรมที่พวกเขาพักอยู่ คนที่โบกมือให้คือไซเรน่าอัศวินมังกรกับเซรีน่าผู้สะสมคำสาป ไม่รู้พวกนางพบกันตั้งแต่เมื่อไร บางทีอาจเกี่ยวกับที่เซรีน่าบอกว่านางมีสิ่งต้องทำหลังเขาออกจากถ้ำภูตไฟ
พวกเขาลองจากรถม้าแล้วจ่ายค่าจ้าง พอดีกับไซเรน่าบ่นอุบที่พวกเขาแอบไปกันแค่สองคน ส่วนเซรีน่านั้นหันไปทักทายดาริอุสอย่างเป็นกันเอง นิสัยบางอย่างของนางดูคุ้นตา เช่นการจับผมหรือโยกตัวเวลาสงสัย
“ท่านผู้กล้าตายมาแล้วสินะคะ” เซรีน่าหันมาสนใจไบรอัน
เขาพยักหน้า กำลังจะถามว่านางมาทำอะไรที่นี่ หญิงสาวก็พุ่งเข้ามาโอบคอแล้วประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขาทันที ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยจูบใคร แต่คราวนี้ร้อนแรงกว่าที่เคยเจอมา เป็นความรู้สึกขัดแย้ง รู้สึกผิดและต่อต้านอยู่ข้างในหัวใจลึกๆโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างกับกำลังจูบกับคนในครอบครัวมากกว่าคนรัก กระทั่งนางยอมถอนริมฝีปากออกไปเอง
“เท่านี้หน้าที่ของข้าในยุคนี้ก็เสร็จแล้ว ประทับตราบาปให้ผู้กล้าแสงตะวันครั้งที่หนึ่ง”
“หมายความว่าอย่างไรกัน ครั้งที่หนึ่ง” ไบรอันหายจากอาการตะลึงเอ่ยถาม กำลังจะพูดแต่นางอัศวินมังกรขัดขึ้นมาก่อน
“ข้าไม่ยอมนะ ทำไมท่านให้นางได้แต่ให้ข้าไม่ได้ล่ะ”
แล้วนางอัศวินมังกรก็ทำตามบ้าง ดึงตัวผู้กล้าแสงตะวันไปจูบปากจนสาแก่ใจจึงปล่อยให้เป็นอิสระ
“สมกับที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับชื่อของข้า เซรีน่าก็แผลงมาจากไซเรน่านี่ล่ะค่ะ” เซรีน่าตอบขำๆ นางเป็นนักท่องเวลา อาจเกิดในยุดต่อจากไบรอันก็ได้ “แม้จะรู้สึกผิดต่อท่านและท่านแม่ แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้ท่านรอดชีวิตได้ในวันข้างหน้า อีกไม่ช้าท่านก็จะเจอกับพี่สาวข้า นางจะทำอย่างเดียวกันกับข้าเพื่อให้ท่านปนเปื้อนมากขึ้นจนกลายเป็นกากเดน”
“ต้องถึงขั้นนั้นเลยหรือ” ไบรอันมุ่ยหน้า “แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ มีพี่น้องด้วย”
“ข้ามีพี่สองคนน้องสองคนค่ะ ส่วนข้าเป็นใครนั้น...เมื่อพี่สาวข้าปรากฏตัวท่านดาริอุสก็จะรู้ค่ะ” นักสะสมคำสาปดูดีใจที่ได้พูดถึงครอบครัว “ในยุคนี้คงต้องลาก่อนนะคะ แล้วเจอกันในยุคสมัยที่ข้าเกิดโน่นเลย”
“เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ” ไบรอันหันไปถามผู้ติดตามที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่
เมื่อหันกลับมานักสะสมคำสาปก็หายตัวไปแล้ว แม้แต่ไซเรน่ายังไม่รู้ว่านางหายตัวไปตอนไหนและไปทางใด ราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศธาตุไปเลย คงต้องรอให้พบกับพี่สาวของนางก่อน แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าใช่ คงเป็นนักท่องเวลาเหมือนกันแน่
“คงไม่จูบข้าด้วยหรอกนะ” ดาริอุสพูดอย่างหวั่นๆ
ไบรอันเพิ่งรู้ตัวว่าตนกลายเป็นจุดสังเกตของคนเดินผ่านไปผ่านมาแล้ว จึงลากเพื่อนทั้งสองคนเข้าไปคุยกันในโรงพักนอน
“ความจริงพวกเราควรไปพักในราชวัง สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีเท่าไรนัก” ไบรอันพูดอย่างเคร่งขรึมตามปกติ ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งโดนขโมยจูบถึงสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน “ตอนบินมามีสิ่งผิดปกติหรือเปล่าไซเรน่า”
“ข้าใช้มนตร์เคลื่อนย้ายของผู้ใช้เวทมนตร์น่ะ นานทีก็ขอลงจากหลังมังกรบ้างสิ” นางอัศวินมังกรตอบ “สิ่งผิดปกติคือมีคนพยายามจูบท่านนี่ล่ะ”
“ไซเรน่าไปติดต่อทางราชวังขอห้องพักสามห้องสำหรับพวกเรา” ผู้กล้าแสงตะวันสั่งการอย่างแข็งขัน “ส่วนดาริอุสรีบไปเก็บของ ดาบเก่าของเจ้าเอาไปฝากที่ราชวังก็ได้”
“เขาจะให้หรือไบรอัน” ไซเรน่ายกเสียงอย่างดูถูก
“เดิมข้าได้รับเชิญให้พักในมหาราชวังอยู่แล้ว แต่ออกมาอยู่ข้างนอกกันเอง” ไบรอันตอบ “ตอนนี้เราต้องรีบเข้าไปในราชวังด่วน หากมีเรื่องจะได้ขอความช่วยเหลือทัน”
“มีอะไรที่เจ้าต้องกลัวอีก ไปไหนก็มีแต่คนอยากจุมพิตท่านทั้งนั้น”
“ไม่เห็นรอยแทงบนเสื้อข้าหรือ!” ไบรอันทำท่าเหมือนจะพ่นไฟออกมา “รีบไปเร็วๆ คืนนี้เราจะไปพักนอนกันในมหาราชวัง” นั่นคือคำขาดที่ทำให้ไซเรน่ากับดาริอุสแยกย้ายกันทันที
ในเขตมหาราชวังของเพียร์ซมีทุกสิ่งพร้อมสรรพ มีข้อเสียอย่างเดียวคือทำตัวลอยชายตามสบายไม่ได้ ไบรอันจึงเอารายงานออกมาเขียนที่สวนข้างตึกพักแขกพร้อมกับดูดาริอุสทดลองกระบี่ไปด้วย
“ถ้าสั่งให้มันปล่อยแสง มันจะปล่อยให้ไหม” ดาริอุสถามอย่างมีความหวังแบบเด็กๆ ไบรอันพยักหน้าให้แล้วก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ
“ดาริอุส ข้าได้ยินว่าเจ้ากับท่านผู้กล้ามาพักในราชวังแล้ว”
ไบรอันหูผึ่งเมื่อเพื่อนสมัยเด็กของดาริอุสมาหาถึงที่ นางต้นห้องทักทายเขาด้วยความเคารพบอกว่าขออนุญาตจากท่านหญิงมาแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาโดนบังคับจูบโดยผู้หญิงสองคนแล้ว เรื่องนี้ก็น่าสนใจพอตัว
เมื่อเพื่อนมาดาริอุสก็วางกระบี่แล้วนั่งบนพื้นหญ้า คุยกันตามประสาเพื่อนรัก ทำให้ไบรอันอดอมยิ้มไม่ได้ที่เห็นผู้ติดตามกำลังมีความสุขกับคนสนิท
“พวกเจ้าน่าจะคบหากันเป็นหน้าเป็นตาไปเลยนะ” ไบรอันล้อ ดาริอุสตอบอย่างชัดเจนว่ายังไม่อยากมีคนรักตอนนี้ทำให้หญิงสาวดูหมองลงเล็กน้อย
แล้วลมพายุก็เข้ามาเมื่อมีรถม้าบริการในเขตราชวังวิ่งมาหยุดตรงหน้าพวกเขา ผู้ที่ก้าวลงมาคือท่านหญิงโรเซลลิน่า ทำให้ไบรอันจิ้มปากกาทะลุกระดาษเนื่องด้วยไม่คาดคิดว่าพระนางจะมาโดยไม่ติดต่อกันก่อน
“เขียนรายงานต่อไปท่านผู้กล้า ข้าไม่ได้มาหาท่าน”
สิ่งที่ท่านหญิงทำก็คือกระชากคอดเสื้อให้หน้าของดาริอุสเข้ามาใกล้กับตัวเอง แล้วประกบริมฝีปากกันอย่างเผ็ดร้อน ใบหน้าของท่านหญิงปกติสีซีดกลับแดงฉานเหมือนมะเขือเทศพอๆกับหน้าของฝ่ายชาย
“ข้าเกลียดเจ้าดาริอุส!” ท่านหญิงร้องเสียงหลงเมื่อเลิกจูบกับดาริอุส “ข้าอยากศึกษาอาวุธของเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องเป็นของข้าเท่านั้น”
“ข้าไม่เข้าใจ ท่านหญิง” ดาริอุสเหมือนกับถูกจับกดน้ำทันควันแทบตั้งสติไม่ได้
“ข้าสนใจกระบี่เล่มนั้นของเจ้าจึงมาเพื่อขอศึกษามันหน่อยเท่านั้น” ท่านหญิงปล่อยคอเสื้อของดาริอุสอย่างไม่เต็มใจ
“แล้วเหตุใดท่านจึง...”
“เพราะถ้าไม่เข้าถึงเจ้าของจะศึกษาอาวุธชิ้นนั้นได้อย่างไรล่ะ จริงไหมไบรอัน” ท่านหญิงร้อง ผู้กล้าก็จำใจช่วยนางแถอีกแรงหนึ่ง “เจ้าจะต้องเป็นอนุของข้า รองจากเจ้าชายมาเวอร์ริค!”
ไบรอันกุมขมับ จารีตทางตะวันตกเขามีแต่ผู้ชายที่จะมีอนุ นี่เป็นหญิงกลับขอมีอนุเสียเอง แถมคนที่ตั้งให้เป็นอนุก็เป็นคนนี้อีก เขายอมรับว่าท่านหญิงคงทนเห็นดาริอุสคบกับคนอื่นไม่ได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะมาด้วยตัวเองแบบนี้ ชีวิตรักของท่านผู้ติดตามน่าสนใจดีแท้
“ท่านมาถึงนี่เพราะเรื่องแค่นี้หรือฝ่าบาท”
ไบรอันเรียกสติของพระนางกลับมา ใบหน้าที่แดงซ่านเริ่มกลับสู่สภาพเดิมด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ที่จะเก็บอาการ
“มาคุยกับท่านด้วยผู้กล้า” ท่านหญิงผละจากดาริอุสทันทีราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นตัวประหลาด “ท่านหลบเลี่ยงที่จะคุยกับข้าใช่ไหม”
อยากมาหาดาริอุสก็บอกเถอะท่านหญิง ไบรอันคิด แล้วผู้กล้าแสงตะวันกับท่านหญิงก็โต้ตอบกันตามสมควรก่อนอีกฝ่ายจะขอตัวไปพักที่ตึกพักรับรองแขกเชื้อพระวงศ์...
ทางฝ่ายดาริอุสที่ถูกจุมพิตนั้นหัวขาวโล่งไม่มีอะไรอยู่เลย จนโทเนียต้องสะกิดเรียกให้รู้สึกตัว เขาไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านหญิงจึงบอกว่าเกลียดเขา บอกว่าจะศึกษาอาวุธ แล้วเหตุใดต้องจูบเขาด้วยเล่า
“มีอะไรกันหรือ ดาริอุสหน้าแดงเชียว” ไซเรน่าที่เพิ่งมาสมทบทักขึ้น ทำให้หัวของดาริอุสกลับไปว่างเปล่าอีกครั้ง “ข้าไปหาข่าวมาแล้วแต่ไม่ได้อะไรเลย ในช่วงสามวันนี้ยังไม่มีหน่วยลาดตระเวนกลับมาที่ราชวังเพื่อรายงานเลยสักหน่วย ข้าเข้าใจความรู้สึกอยากพักดี อีกสักสองสามวันก็กลับ หน่วยบินก็เป็นอย่างนี้ เรื่องปกติ”
“ในสภาพการณ์แบบนี้ไม่มีอะไรปกติไซเรน่า” ผู้กล้าแสงตะวันลุกพรวดขึ้นจนเก้าอี้กระเด็นไปด้านหลัง “เรียกมังกรออกมา ข้าอยากขึ้นบินสูงเหนือเมฆ”
เป็นครั้งแรกที่ดาริอุสบินขึ้นสูงถึงเมฆบนท้องฟ้า เมื่อทะลุก้อนเมฆขึ้นไปก็พบกำแพงหมอกขาวขุ่นเป็นแนวยาวครอบมหาราชวังของเพียร์ซเอาไว้ชั้นหนึ่ง และมีครอบแก้วขนาดยักษ์อีกชั้นครอบนครหลวงแห่งนี้ไว้อีกชั้นหนึ่ง ที่ขอบฟ้าไกลลิบ ดาริอุสเห็นนกเพลิงกลุ่มหนึ่งกระจุกตัวอยู่ราวกับพยายามเข้ามาในวงล้อม
“ในมหาราชวังไม่อนุญาตให้ใช้มนตร์เคลื่อนย้ายจึงไม่มีใครรู้ ครอบแก้วด้านนอกกันไม่ให้หน่วยลาดตระเวนเข้ามาได้ ถึงไม่มีข่าวอะไรเลยช่วงนี้ ด้านในคงกันการเคลื่อนย้ายด้วยเวทมนตร์” ผู้กล้าแสงตะวันบอกดาริอุสกับไซเรน่า
“มีแสงแปลกๆตรงนั้นด้วย” ดาริอุสพยายามเพ่งไปข้างหน้าซึ่งกลุ่มก้อนแสงกำลังก่อร่างเป็นตัวอักษรขึ้นว่า
ทัพมังกรกำลังมา! เตรียมตัวให้พร้อม!
“ใครเป็นคนเขียน” ดาริอุสถามผู้กล้าแสงตะวันที่ลุกลี้ลุกลนเกินเหตุ
“ไม่ต้องไปดูไซเรน่าเดี๋ยวจะเข้ามาไม่ได้อีก พาข้ากลับราชวังเดี๋ยวนี้! มีเรื่องต้องรีบทำด่วน!” ไบรอันพูดจนลิ้นแทบพันกัน
ไซเรน่าก็ดีใจหายสั่งมังกรให้บินลงสุดแรง หากไม่มีเวทมนตร์ตรึงร่างเข้ากับมังกรทั้งดาริอุสและไบรอันคงตกจากหลังมังกรแล้ว ขนาดกลับลงพื้นแล้วขาของดาริอุสก็ยังสั่นไม่ยอมหยุด หากผู้กล้าที่มอมแมมพอกันไม่ยอมให้หยุดพัก เรียกรถม้าที่ใกล้ที่สุดแล้วลากตัวดาริอุสขึ้นไปอย่างรีบร้อน
“ไปวิหารนกไฟ!” ไบรอันบอกสารถี “เจ้าก็ตามไปด้วยไซเรน่า อย่าเพิ่งถาม เราไม่มีเวลาแล้ว
วิหารนกไฟคือศูนย์กลางของมหาปราสาท เป็นวิหารทรงกลมยอดแหลมปิดทึบ ปกติจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปดาริอุสจึงไม่เคยเห็นด้านใน เห็นแค่ด้านนอกที่วาดลวดลายนกไฟและสัตว์วิเศษต่างๆไว้งามวิจิตร
“ข้าต้องการเข้าไปในวิหาร ช่วยเปิดได้หรือไม่” ไบรอันขอร้องทหารยามเฝ้าประตูวิหาร
“ข้างในมีอะไรหรือ” ดาริอุสลองถามดู ผู้กล้าที่ได้รับการปฏิเสธสบถเบาๆเขาจึงไม่กล้าถามอีก
“อย่างนั้นก็รีบไปรายงานท่านหญิงเอเลน่าว่าข้าพบเจ้าชายมาเวอร์ริคแล้ว แต่ตอนนี้ขอเข้าไปในนั้นก่อน”
ทหารยามนายหนึ่งรีบขึ้นรถม้าไปยังตึกทำงานทันทีเพื่อตามหาท่านหญิงเอเลน่า
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ไบรอัน ทัพมังกรอะไร ท่านรู้อะไร!” ไซเรน่ากรีดร้อง
“สายของข้าส่งข่าวมา กองทัพมังกรกำลังเข้ามาใกล้เราแล้ว ที่ยังไม่รู้เพราะหน่วยลาดตระเวนเข้ามารายงานไม่ได้” ไบรอันตอบพรวดเดียว “เจ้ารีบเอาเรื่องนี้ไปบอกคริสทาร่ากับมาร์คัส ให้พวกเขาเตรียมจัดทัพด่วน บอกท่านหญิงโรเซลลิน่าด้วยว่าให้เตรียมตัวออกรบ”
“สงครามที่นางผู้หยั่งรู้พูดถึงสินะ” ไซเรน่าเรียกมังกรออกมาผ่านแหวนแล้วขึ้นนั่งบนหลังมันทันที “เข้าใจแล้ว! จะรีบไปบอกให้เดี๋ยวนี้ แต่ท่านหญิงจะตอบอย่างไรข้าไม่รู้นะ”
“แต่กองทัพมังกรจะเข้ามาได้อย่างไรล่ะ ที่นี่มีเวทมนตร์ป้องกันอยู่นะ” ดาริอุสถามซื่อๆ
“มีเผ่าพันธุ์หนึ่งมีพลังอำนาจในการสะกดและควบคุมมังกร เราเรียกพวกเขาว่ามังกรครึ่งมนุษย์” ไบรอันขบฟันแน่น
“ที่สวยมากๆใช่ไหม ข้าเคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็น”
“ใช่แล้ว เพศชายงามราวเทพบุตร เพศหญิงงามกว่าเทพธิดา” ไบรอันตอบเสียงเย็นทั้งที่ร้อนใจจะแย่ “ลูกน้องคนหนึ่งของจอมอสูรเป็นมังกรครึ่งมนุษย์ และกำลังนำทัพมาโจมตีนครหลวงของเพียรซ์!”
“อย่างนั้นเราต้องรีบจัดกระบวนทัพสิ! ท่านมัวมาทำอะไรที่นี่กันแน่!”
“แค่ข้า ไซเรน่า คริสทาร่า และท่านหญิงโรเซลลิน่ายังไม่มากพอ ข้าอยากได้มือเพิ่ม”
“ก็ข้านี่ไง” ดาริอุสร้องเพราะอีกฝ่ายเล่นลืมกันดื้อๆ
“ก็ถึงพามาที่นี่อย่างไรล่ะ เจ้าสำคัญที่สุดเชียวนะ”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ข้าต้องการให้เรมิเอลออกมาช่วย คนที่จะเรียกมันออกมาได้คือเจ้า มันคือนกไฟประจำตัวของเจ้า ดาริอุส”
“ว่าไงนะ...”
ไม่ทันให้ดาริอุสเถียงกลับรถม้าก็เข้ามาจอดข้างๆ ท่านหญิงเอเลน่าก้าวลงมาอย่างงุนงงที่ได้รับการเชิญตัวโดยผู้กล้าแสงตะวัน
“ตอนแรกท่านบอกข้าว่ายังไม่พบไม่ใช่หรือ ท่านผู้กล้าแสงตะวัน” ท่านหญิงกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ข้าบาทยอมรับว่าโกหก แต่บัดนี้จำเป็นต้องพูดความจริงแล้ว เกี่ยวกับเจ้าชายมาเวอร์ริค” ไบรอันน้อมตัวเคารพ “ตอนนี้ขอข้าบาทกับหมอนี่เข้าไปในนี้ก่อน”
ท่านหญิงพยักหน้า ทหารยามไขเปิดประตูเหล็กกล้าให้ทันที ไบรอันและดาริอุสก้าวเข้าไปด้านในอย่างเร่งรีบ
ด้านในอับทึบเต็มไปด้วยกลิ่นกำมะถัน มีแสงจากเพดานส่องลงมาเป็นเส้นสาย หน้าต่างของที่นี่เป็นช่องเปิดเล็กๆละเอียดยิบตามผนังจนลายตาไปหมด อากาศชวนขนลุกแบบนี้ดาริอุสไม่ชอบเลยจริงๆ
“แล้วอย่างไรต่อ อย่าคิดว่าหนีข้าพ้นนะ” ท่านหญิงหรี่ตาไม่ยอมผู้กล้าง่ายๆ
“ข้อแรก เจ้าชายมาเวอร์ริคหาได้มีลักษณะเหมือนฝ่าบาทไม่” ไบรอันไม่ยอมให้ดาริอุสเดินเตร่ตามใจชอบ กลับลากถูไปยังกลางห้องที่มีแท่นทำพิธีและรูปปั้นเปลวไฟอยู่ “ข้อสอง ข้าบาทพบเขานานแล้ว เพียงไม่อยากกระโตกกระตากเท่านั้น”
“แล้วอย่างไรต่อ” ท่านหญิงเอเลน่ากับทหารยามก็เดินตามพวกเขามาติดๆเช่นกัน
“แต่ตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วน ข้าบาทอยากได้กำลังเสริมเยอะที่สุดจึงต้องเปิดเผยเดี๋ยวนี้ เพื่อทำพิธีขอนกเพลิงประจำตัว”
ไบรอันผลักดาริอุสให้เข้าไปยืนในคอกกลางวิหาร รูปปั้นตรงกลางไม่ใช่เปลวไฟแต่เป็นนกเพลิงสี่ตัวผงาดปีกหันหลังชนกันอยู่
“ดาริอุสคนสนิทของข้าบาทคือเจ้าชายมาเวอร์ริค!”
ดาริอุสและท่านหญิงเอเลน่าตะลึงงัน!
ดาริอุสรู้สึกร้อนวาบที่ต้นคอแล้วทุกอย่างก็ดำมืดไม่มีแม้เศษเสี้ยวของแสงสว่าง...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ