นักรบจันทรา
7.0
เขียนโดย Sagestone
วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.34 น.
29 ตอน
0 วิจารณ์
28.91K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2560 20.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) ตอนที่ 21
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 21
ไบรอันสรุปแผนการที่เมเทอาร์ให้ทุกคนฟังอีกครั้ง เวเบอร์จะเข้าไปทำลายงานประลองครั้งนี้โดยเอาดาบวิเศษของรางวัลเป็นข้ออ้าง พวกเขาจะแสดงตัวเพื่อหยุดยั้งและท้าประลองโดยเอาการเจรจาของทั้งสองฝ่ายเป็นเดิมพัน เขากับเวเบอร์จะสู้กันอย่างสูสีและเขาจะชนะอย่างฉิวเฉียด ทุกอย่างลงตัวไม่มีปัญหา วันจัดงานประลองกลางทะเลใกล้เข้ามาทุกที ๆ
ทว่าสิ่งที่เป็นตอขวางในคราวนี้คือศาสนจักร หากทางสภาสูงของศาสนจักรยังหัวแข็งไม่เปลี่ยน ลาควีล่าที่ได้รับพรจากเทพเจ้าโดยการคืนชีพย่อมได้รับการบูชาเยี่ยงตัวแทนจอมเทพเอซีร่า ทั้งที่มหาเทพตัวจริงถูกจอมปิศาจควบคุมและนางได้รับพรจากเทพในดินแดนอื่น การตายของนางอัศวินมังกรไซเรน่ากับนางมังกรครึ่งมนุษย์อโฟเดลเขาเขียนลงรายงานได้ แต่การเกิดตัวตนจากซากศพของลาควีล่าเขาไม่สามารถเขียนลงไปในรายงานได้ เขาจะอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับเทพจากดินแดนอื่น จะให้กระโตกกระตากไม่ได้ว่าเขากับเวเบอร์ร่วมมือกันอยู่ ตราบใดที่ยังไม่มีทูตจากดินแดนอื่นมาเยือนอย่างเป็นทางการก็ยังเปิดเผยตัวจริงของนางไม่ได้
ปัญหาที่น่ากลุ้มกว่านั้นของไบรอันคือใจของสาวน้อย เวเบอร์แอบแวะมาเยี่ยมเสมอทำให้ลาควีล่ากับเวเบอร์มีโอกาสประดาบกันประจำ ไบรอันรู้สึกได้ถึงความสุขของลาควีล่าเมื่อได้ใช้ฝีมือประลองเพลงดาบกับเวเบอร์ เวเบอร์มีสิ่งที่เขาไม่สามารถให้หญิงสาวได้ ความตื่นเต้นในการเผชิญหน้ากับความตาย
ทั้งคู่รักกันแต่ไม่สามารถครองคู่กันได้ ทั้งสองคนคงรู้กติกาดีอยู่แล้วว่าต้องมีใครสักคนตายจึงไม่ผูกพันกันมากกว่ามิตรกึ่งศัตรู ทำให้ไบรอันเบาใจได้เมื่อลาควีล่ากับเวเบอร์ถกกันเรื่องกระบวนท่าต่าง ๆ ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายอย่างพึงพอใจ เหมือนไซเรน่าตอนหยอกล้อเขาสำเร็จ แบบนี้เหมือนกับเขาเป็นมือที่สามไม่มีผิด!
“หมายความว่าอย่างไรที่จะให้ลงชื่อประลองด้วย ข้าอยากเป็นคนดูมากกว่านี่นา” ดาริอุสบ่นอุบเพราะถูกไบรอันบังคับให้ลงชื่อในงานประลองด้วย ไบรอันอยากเห็นฝีมือจริง ๆ ของดาริอุสอีกสักครั้ง เพื่อการประเมินศักยภาพของนักรบจันทรา
เขาเป็นผู้กล้าเพื่อทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ หากเขาพลาดจะต้องอาศัยทั้งดาริอุสและเนอร์วาน่าจัดการฆ่าเขาเสีย จะยอมให้ตาแก่นั่นใช้ร่างของเขาไปทำร้ายคนอื่นไม่ได้ แล้วยังลาควีล่าอีก ถือเป็นโชคที่เขาตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะคืนชีพจากความตายได้อีกเป็นครั้งที่สอง
“สามครั้งอย่างนั้นหรือ” ไบรอันทวนคำพูดของนักท่องเวลานามอลิเซีย เขาจะได้พบกับมันผู้นั้นอีกสามครั้งเชียวหรือ เป็นไปได้ไหมว่าจะจัดการจนรู้ผลได้ในครั้งแรก
แล้วห้วงความคิดของไบรอันก็สะดุดเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของเนอร์วาน่าเพื่อถามคำถาม
“เข้ามาได้” เนอร์วาน่าหรือนางผู้หยั่งรู้ร้องบอกจากข้างในห้อง ตอนนี้หญิงสาวกำลังนั่งชมวิวทะเลยามค่ำก่อนอาหารเย็น “สิ่งที่ท่านอยากถามข้ารู้หมดแล้ว” นางพยักหน้า ไบรอันถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องเอ่ยออกมาเองด้วยกลัวจะเสียมารยาท
“ข้อแรกสิ่งตอบแทนคือพวกท่านต้องไปสมทบกับข้าที่เมืองหลวงของเพียรซ์ หลังจากได้รับการช่วยเหลือจากอลิเซียแล้ว ข้าไม่ร่วมขบวนติดกับดักกับพวกท่านเด็ดขาด”
“คำตอบล่ะ” ไบรอันอดเก็บความกระสับกระส่ายในน้ำเสียงไว้ไม่ได้
“ข้าให้คำแนะนำสั้นๆ อย่าหุนหันพลันแล่นก็พอ แต่เตือนไปก็เท่านั้น” นางยักไหล่ยิ้มอย่างดูแคลน “ส่วนคำถามที่ว่าท่านจะชนะหรือเปล่าข้าตอบได้ ท่านจะไม่แพ้และไม่ชนะ”
“ข้อต่อไปล่ะ ช่วงเวลาสั้นๆหลายครั้งที่ท่านแอบสับเปลี่ยนร่างของข้าไป ท่านไปไหน ไปทำอะไรกันแน่”
“ตอบไม่ได้!” คราวนี้เนอร์วาน่ากระชากเสียงเล็กน้อยราวกับเป็นเรื่องสำคัญสุดยอด
“แล้วก็เรื่องสุดท้าย ลาควีล่า...” ไบรอันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างกระดากอาย
“ข้าจะให้คำตอบเมื่อถึงเวลา แต่ค่าตอบแทนมันสูงนะ สูงสำหรับข้า ไม่ใช่ท่าน”
“อย่างนั้นก็ขอบคุณ ข้าไปละ” ไบรอันกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็ว คิดปลีกตัวไปทำอย่างอื่นต่อหากถูกนางผู้หยั่งรู้รั้งตัวเอาไว้
“ข้าขอถามอะไรท่านหน่อยสิ” เนอร์วาน่าหยุดไบรอันก่อนที่เขาจะปิดประตู “เป็นเนื้อเรื่องของสิ่งที่เรียกว่าละคร อลิเซียเล่าให้ข้าฟัง ท่านฟังสักนิดได้ไหม”
ไบรอันพยักหน้า
“มีเด็กหญิงคนหนึ่งถูกสร้างและมอบความรู้เกี่ยวกับนักท่องเวลาเอาไว้ เมื่อเธอโตขึ้นจะได้เป็นผู้ปลิดชีพนักท่องเวลาคนนั้น เธอได้รับแต่เรื่องราวเกี่ยวกับนักท่องเวลาดังกล่าว ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน อดีต ปัจจุบัน นิสัย ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนใบหน้าที่เขาสามารถเปลี่ยนมันโดยการคืนชีพ...ข้าขอถามท่าน สุดท้ายแล้วเด็กหญิงคนนั้นจะหลงรักใครได้”
เนอร์วาน่าตีสีหน้านิ่งขรึม ดวงตาสีมรกตเหมือนไบรอันกำลังรอคำตอบจากเขาอยู่ แต่นางอยากสื่อถึงอะไรหรือ ไบรอันยืนนิ่งเหมือนตอไม้ไม่อาจตอบคำถามของนางได้
“อย่างนั้นก็ไปได้แล้วตาบื้อ! ข้าจะทำสมาธิก่อนอาหารเย็น”
ไบรอันถูกไล่ออกจากห้องด้วยความงุนงง...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของดาริอุสที่ได้มาเยือนเมเทอาร์ เพียงครั้งก่อนมีปัญหาทำให้ไปเที่ยวที่ไหนไม่ได้เท่านั้น คราวนี้ก็ติดอีหรอบเดิม เขาจะต้องคอยแสดงละครเป็นผู้คุ้มกันผู้กล้าแสงตะวัน โชคดีที่ไบรอันเข้าใจความรู้สึกอยากท่องเที่ยวของเขาจึงยอมตามเขาไปที่ต่างๆเพื่อมอบของขวัญที่ไปซื้อจากเมืองแก้วผลึกมาให้
“อยากไปที่ไหนต่อ หรืออยากไปเอากิ่งกุหลาบแก้วที่บ้านเจ้าพาลาดิโน่แล้วค่อยกลับ” ผู้กล้าแสงตะวันถามด้วยรอยยิ้มทั้งที่ต้องยอมทนอยู่ห่างจากคนรักเพื่อผู้ติดตาม
“ไปดูลานประลองกลางทะเลก่อน” ดาริอุสปัดเรื่องกิ่งกุหลาบแก้วเอาไว้ให้เสร็จเรื่องประลองเสียก่อน
ชายหาดของเมเทอาร์เป็นรูปจันทร์เสี้ยว สะพานหินอ่อนยื่นออกมาจากกลางหาดทรายไปยังท้องทะเลเชื่อมไปยังลานประลองขนาดใหญ่ มันสร้างด้วยหินสีแดงจากในพื้นที่จึงมีสีแดงเด่นตัดกับท้องฟ้าและน้ำทะเล เป็นจุดเที่ยวชมอันดับหนึ่งของเมืองนี้ที่จุคนได้หลายหมื่นคน จากหนังสือนำเที่ยวแล้วลานประลองดังกล่าวสร้างขึ้นทับรอยอุกกาบาตขนาดใหญ่
“วันนี้ส่วนใหญ่มีแต่นักสู้ที่มาลงชื่อประลอง ปกติจะเป็นนักท่องเที่ยวเสียมากกว่า พรุ่งนี้ก็จะเริ่มงานแข่งแล้ว” ไบรอันพาดาริอุสเดินทอดน่องข้ามสะพานหินอ่อนไปยังลานประลองซึ่งเป็นรูปวงกลมเต็มไปด้วยช่องหน้าต่างมากมาย เป็นกำแพงที่บรรจุคนมีฝีมือเอาไว้ข้างในนั้น
“ท่านเคยประลองหรือเปล่า” ดาริอุสถามเรื่อยเปื่อยพลางมองคนที่เดินไปมาระหว่างชายหาดกับลานประลอง
“ไม่เคย ปกติจะมีของรางวัลให้ผู้ชนะ ข้าไม่อยากได้เลยไม่เคยลอง...” ไบรอันหยุดกึกราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาด แววตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นชั่วพริบตาแล้วสงบลง
“อ้าวไลล่า มาเที่ยวเหมือนกันหรือ” ครั้งแรกดาริอุสจะหันไปมองทางเดียวกับไบรอัน แต่หันไปพบลาควีล่าแทน ผมสีเขียวมัดอย่างลวกๆไม่ให้ลมทะเลทำให้ยุ่งเหยิง แต่งตัวดูเป็นทางการเล็กน้อย
“มาลงชื่อประลอง ได้ยินคำว่าต่อสู้แล้วตัวสั่นอดใจไม่อยู่ เจ้าลงชื่อไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรือ” หญิงสาวทำให้ดาริอุสคิดถึงไซเรน่า หากนางยังอยู่คงลงประลองเหมือนกันแน่
“อยากมาเที่ยวโดยไม่มีธุระบ้างน่ะ เมื่อวานรีบจนเดินดูไม่ทั่วเลย” ดาริอุสยิ้มกว้างคิดว่าจะชวนหญิงสาวไปเดินเที่ยวด้วยกันสามคน พูดถึงไบรอันแล้ว เจ้าตัวตอนนี้กำลังหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาใครอยู่ “มองอะไรหรือไบรอัน”
“คิดว่าเจอคนรู้จัก ข้าคงตาฝาดไป...ไปเดินเที่ยวด้วยกันไหมไลล่า วันนี้ไม่มีซ้อมดาบกับเวเบอร์นี่นา ส่วนเจ้าก็ถือว่าเดินชมเมืองอีกรอบแล้วกันดาริอุส เดี๋ยวข้าจะพาไปดูรูปสลักผลึกเกลือในตำนานที่ลานกลางเมือง” ไบรอันเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งเครียดเป็นยิ้มแย้มทันทีที่เห็นคนรัก...
จะขอกล่าวถึงหนึ่งในตระกูลที่เป็นตำนานของเรมิสต์ ตระกูลเดียวที่มีดวงตาสีเขียวมรกต กล่าวกันว่าต้นตระกูลของผู้มีดวงตาสีนี้เคยทำบุญคุณกับจอมเทพแห่งอิเดนจึงได้รับพรสองประการ ประการแรกคือการคืนชีพจากความตายหนึ่งครั้ง ประการที่สองคือพลังที่สืบทอดตามสายเลือด อีกสองตระกูลได้รับพรประการที่สองเช่นกันแต่มีเพียงตระกูลที่มีดวงตาสีมรกตเท่านั้นที่ได้รับพรประการแรก
เพราะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนอีกสองตระกูลจึงถูกผู้ใช้มนตร์ดำตามล่าเพื่อยึดร่างที่สามารถคืนชีพได้ครั้งหนึ่งและพลังที่ถ่ายทอดมาตามสายเลือด จนคนในตระกูลที่เป็นสายเลือดแท้ดวงตาสีมรกตนั้นหายากยิ่ง และมักโดนสาปเพื่อใช้บูชายัญเพื่อขโมยร่างที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจ เคยมีบันทึกไว้ว่าตระกูลที่มีดวงตาสีนี้ได้อาศัยร่มเงาของแอสนาร์อยู่ช่วงหนึ่งแล้วออกพเนจรหลบหนีผู้ตามล่าอีกด้วยเหตุผลบางประการ
ชื่อของตระกูลนั้นคือ แบล็คสโตน และสายเลือดแท้คนสุดท้ายก็กำลังนั่งชมการประลองอยู่ที่เมเทอาร์!
“แบบนั้นไม่เรียกว่าสบายแล้ว ระริกระรี้เลยต่างหาก” ดาริอุสบ่นกับลาควีล่าที่ม้านั่งสำหรับผู้ประลองด้านในโดมแสงป้องกันคนดูของลานประลองกลางทะเล ผู้กล้าแสงตะวันโบกมือให้พวกเขาจากที่นั่งอย่างร่าเริง กำลังแทะขนมกินสนุกปากทั้งที่ต้องทำตามแผนการที่วางไว้
วันนี้เป็นวันที่มีการประลองผู้คนจึงแห่แหนกันมาดู ส่วนหนึ่งก็อยากทดสอบฝีมือจึงลงชื่อแข่งขัน ดาริอุสเพิ่งเคยเห็นการประลองแบบไม่มีงานอื่นพ่วงมาด้วยจึงอยากขึ้นไปนั่งดูการต่อสู้มากกว่า
ด้านในที่นั่งคนดูที่ได้รับการป้องกันด้วยผลึกมนตราเป็นแผ่นหินแกร่งรูปวงกลม นั่นคือเวทีประลองที่ยกพื้นสูงเล็กน้อย คู่แรกเป็นการปะทะกันระหว่างนักดาบกับผู้ใช้แส้ รอบต่อไปดาริอุสจะต้องต่อสู้กับนักดาบที่ใช้ดาบเล่มใหญ่เท่าตัวคน
“สู้เขานะดาริอุส!”
เสียงให้กำลังใจของลาควีล่ากับไบรอันดูจะดังที่สุดในเวลานี้ ดาริอุสมองปะรำพิธี บนหลังคาเวเบอร์กำลังนั่งมองเขาอย่างใจจดใจจ่อ คงอยากเห็นฝีมือเขากระมัง อย่างนั้นก็ได้เลย ดาริอุสให้กำลังใจตัวเองก่อนกรรมการจะสั่งเริ่มประลอง
กระบี่ดาบแสงตะวันถูกดึงออกมาช้าๆไม่ครั่นคร้ามต่อพลังของฝ่ายตรงข้ามที่มีอาวุธใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า!
“ไฟเอย!”
แค่ดาริอุสตั้งสมาธิ คมกระบี่ก็ถูกอาบไล้ด้วยเปลวไฟร้อนแรงเหมือนดวงตะวันเหนือหัว กระบี่ไฟไหววูบปัดดาบยักษ์ให้เปลี่ยนทิศ แล้วเท้าของเขาก็พาตัวเลื่อนหลบอย่างเหนือชั้น ก่อนลงดาบบนเกราะเหล็กตรงหน้า รอยจากกระบี่ดาบแสงตะวันถูกหลอมจนร้อนแดงราวกับโดนความร้อนสูงจนคู่ต่อสู้ต้องรีบถอดเกราะทิ้งทีละชิ้น ๆ
สุดท้ายก็เหลือแต่เสื้อผ้าชั้นในกับดาบใหญ่ที่ไม่เคยฟันโดนคู่ต่อสู้เลยสักครั้ง!
ฝ่ายดาริอุสมัวแต่เล่นเพลินอยู่ เมื่อแสดงฝีมือจบแล้วก็ถึงเวลาเผด็จศึก ไฟบนใบดาบดับวูบตามเจตนาเจ้าของ คราวนี้ก็สามารถรุกได้โดยไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายบาดเจ็บจากเปลวเพลิงแล้ว บัดนี้ดาบเล่มใหญ่ต้องทำหน้าที่ต่างโล่กันเจ้าของจากคมของกระบี่ที่พุ่งเข้ามาจากทุกสารทิศ ดาริอุสใช้ความได้เปรียบด้านความเร็วไล่ต้อนอีกฝ่ายเหมือนแมวหยอกหนู สุดท้ายก็สามารถปัดดาบใหญ่หลุดมือคู่ต่อสู้ได้ กรรมการยกมือให้เขาเป็นผู้ชนะทันที!
“เหงื่อท่วมเพราะเหนื่อยหรือร้อนล่ะนั่น” ลาควีล่าร้องถามเมื่อดาริอุสเดินลงจากเวที
“ร้อน!” ดาริอุสตอบซื่อ ๆ “ดาบใหญ่ใช่ว่าจะดีกว่ากระบี่หรือดาบที่เล็กกว่า แล้วเจ้าเอาหอกมาทำไมหรือ ดาบสลายเวทเล่มนั้นล่ะ”
“ฝากไว้กับเนอร์วาน่า วันนี้อยากสู้แบบสบาย ๆ เลยขอใช้หอกคู่มือดีกว่า แผนที่ว่าข้าก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลยด้วย” ลาควีล่าตอบอย่างแจ่มใส ควงหอกที่เคยเป็นของไซเรน่าอย่างทะมัดทะแมง
“ไม่เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันบ้างหรือ เจ้านั่นไม่เตือนหรือไงว่าเราต้องพบอันตรายทุกฝีก้าวย่าง” ดาริอุสชี้ไปที่ไบรอันอย่างเสียมารยาท อีกฝ่ายยกมือทักตอบอย่างไม่ถือสา
“เขารู้ว่าข้าจะตะแบงเลยไม่พูดกระมัง มีทั้งไบรอัน เวเบอร์ แล้วก็เจ้า จะต้องห่วงอะไรอีก”
ดาริอุสพยักหน้าเห็นด้วยทั้งที่ตาขวาของเขากระตุกหนักๆสื่อถึงลางร้ายระดับรุนแรง เขารู้สึกหวั่นอยู่ลึกๆว่าจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นที่นี่ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากปลอดภัยเป็นอันตราย แต่จะมีใครทำอย่างนั้นได้ ในเมื่อมีทั้งเวเบอร์และไบรอันเป็นผู้คุมสถานการณ์จากทั้งสองฝั่ง
“น่าเสียดายเหมือนกันนะ ดาบเล่มนั้นที่เป็นของรางวัลน่ะ” ลาควีล่าหันมาพูดถึงรางวัลในการประลองครั้งนี้ มันคือดาบเวทมนตร์ที่มีประวัติยาวนาน
คู่ต่อไปขึ้นสังเวียนแล้ว คนหนึ่งเป็นชายรุ่นลุงมีสีผมเหลืองซีดเหมือนไบรอันไม่มีผิด ต่างกันแค่ทรงผมตัดสั้นอย่างผู้ชาย มีบางสิ่งที่ทำให้ดาริอุสมองตามเขาตาไม่กระพริบ บางสิ่งที่คล้ายกับไบรอัน อาจเป็นโครงหน้าหรือดวงตา หรือที่หนวดเคราหรอมแหรมนั่น
เสียงพลังทลายของกำแพงมนตราทำให้ดาริอุสหลุดจากห้วงความคิด ดาริอุสไม่รู้ว่าทำได้อย่างไรแต่ผู้กล้าแสงตะวันบันดาลโทสะจนม่านพลังที่เอาไว้ป้องกันคนดูแตกกระจายเป็นพันเสี่ยง ไบรอัน แบล็คสโตนกระโจนลงมายืนด้วยความกราดเกรี้ยว สีหน้าดูดีใจระคนโกรธแค้นต่างจากเคย
“ในที่สุดก็พบกัน ไบรอัน ธอมสัน!” ผู้กล้าแสงตะวันกัดฟันอย่างเดือดดาลที่ได้พบเป้าหมายที่จะแก้แค้น
ชายที่ชื่อเดียวกับไบรอันไม่ได้มีท่าทีตกใจเลยสักนิด เขาส่งยิ้มบิดเบี้ยวมาให้แล้วร่างนั้นก็ถูกล้อมด้วยกรงมนตร์เคลื่อนย้าย คงคิดหนีแน่ ๆ
“รอเดี๋ยว! มาตัดสินกันให้รู้เรื่อง” ไบรอัน แบล็คสโตนทำในสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ รีบเข้าไปในวงแสงเคลื่อนย้ายเพื่อติดตามไปไม่ว่าอีกฝ่ายจะหนีไปแห่งใดก็ตาม
เมื่อแสงหายกลับเหลือเพียงไบรอัน ธอมสันอยู่บนเวทีประลองเท่านั้น ดาริอุสสบสายตากับลาควีล่าแล้วล้วงเอาขนปีกดาเรียออกมาทันที
“ไปหาไบรอัน แบล็คสโตน!” ดาริอุสออกคำสั่งอย่างรีบเร่ง พวกเขากลายเป็นแสงสีฟ้าหมุนวนไปหาผู้กล้าแสงตะวัน ซึ่งตกหลุมพรางของอีกฝ่ายอย่างง่าย ๆ ...
ตอนนี้ไบรอัน แบล็คสโตนกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ไม่ใช่เรื่องที่เขาถูกลวงเข้าสู่กับดักแบบของตัวเองจนถูกส่งมาที่หมู่บ้านร้างที่เขาเคยอยู่ ไม่ใช่ปุยขาวของหิมะที่ไม่เคยถูกล่วงล้ำ ไม่ใช่เหล่าวิญญาณที่ออกมาสูบกินพลังชีวิตในแถบนี้ การที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ต่างหากที่ทำให้เขาปวดหัว จะหนีก็ไม่ได้ จะสู้ก็ไม่ได้ ทำได้แค่ถอยหลบกลุ่มควันนับร้อยของวิญญาณที่คอยมองหาสิ่งมีชีวิตด้วยคำสั่งของมันผู้นั้น ผู้ใช้ศาสตร์มืดควบคุมวิญญาณ!
หมู่บ้านนี้เคยเป็นที่อาศัยของไบรอันในวัยเด็ก บัดนี้บ้านแทบทุกหลังจมอยู่ใต้หิมะและหินลึกกว่าสองเมตร วิญญาณผู้ที่ตายที่นี่ถูกควบคุมโดยมันผู้เป็นศัตรูตลอดกาลของไบรอัน ฝ่ายนั้นคงทำบางอย่างเพื่อไม่ให้เขาใช้เวทมนตร์ได้ จะได้ถูกกลืนกินวิญญาณแล้วเข้ายึดร่างได้อย่างสะดวกสบาย
แล้วปัญหาอีกอย่างก็ถาโถมตามเข้ามาในกับดักด้วย ดาริอุสกับลาควีล่าใช้ขนปีกดาเรียเคลื่อนย้ายตามเขามายังแดนหิมะอันหาวเย็นนี้ด้วย บัดนี้พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว พวกเขาอาจตายเพราะความหนาวเย็นก่อนถูกดูดกินวิญญาณ
“จะตามมาทำไมกัน ที่นี่เข้าได้ออกไม่ได้ นี่มันกับดัก!” ไบรอันโวยวายใส่ดาริอุส พวกเขาแอบอยู่ในช่องว่างระหว่างบ้านสองหลัง
“ก็รู้ว่าเป็นกับดัก จึงมาช่วยนี่ไงละ” ดาริอุสย้อนคำพูดทำให้ไบรอันเถียงต่อไม่ลง อย่างน้อยก็มีดาบที่ใช้ไฟได้ถึงสองเล่ม และลาควีล่าอาจเรียกสัตว์ปิศาจได้
“ทดสอบสิว่าใช้ดาบได้เหมือนข้าหรือเปล่า เจ้าด้วยไลล่า เรียกสัตว์ปิศาจได้ไหม!”
กระบี่ดาบของดาริอุสลุกโชนด้วยเปลวไฟอีกครั้งแสดงว่ายังใช้ได้อยู่ แต่วิชาเรียกสัตว์ปิศาจของลาควีล่าโดนผนึกเหมือนเวทมนตร์ของเขา ไม่ว่าจะเรียกผ่านช่องว่างมิติหรือผ่านแหวนก็ไม่อาจทำได้
“ข้าผิดเองที่ไม่เตือนให้เจ้าพกกระบี่เล่มนั้นลาควีล่า มันอาจทำลายเขตอาคมนี้ได้ ใครจะรู้” ไบรอันกัดฟันคิดกลางความหนาวยะเยือกที่รุมเร้า
“แล้วหมอนั่นเป็นใคร ท่านตามเขาทำไม” ดาริอุสผู้ไม่เคยดูบรรยากาศเลยถามอย่างตรงไปตรงมา “แล้วเงาดำเหมือนควันไฟที่ลอยเต็มไปหมดนี่อีก รู้สึกไม่ดีเลย”
“คนๆนั้นคือศัตรูของข้า ชื่อของข้าถูกเปลี่ยนให้เหมือนกับเขาเพื่อจะได้ไม่ลืมความแค้น เขาคนนั้นคือคนที่ฆ่าพ่อแท้ ๆ ของข้า และร่ายคำสาปใส่ข้าทำให้มีคนรักไม่ได้ แค่นี้พอใจหรือยัง อ้อ เงาที่เห็นนั่นคือผีของคนที่ตายที่นี่ พวกมันดูดกินพลังชีวิตและวิญญาณของคนเป็น เจ้าคงไม่กลัวเท่าข้าหรอกนะ” ไบรอันอดเสียดสีไม่ได้ที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนทองไม่รู้ร้อน
“แล้วจะหนีไปทางไหนดี ทำไมเนอร์วาน่าไม่ยอมเตือนเรื่องนี้นะ” ลาควีล่าร้องอย่างหมดหนทาง พวกเขาต้องวิ่งหนีวิญญาณอีกฝูงไปยังโกดังร้างอีกแห่ง
“นางเตือนแล้วแต่ข้าไม่ฟังเอง” ไบรอันขบฟันคิดหาทางหนีทีไล่ที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยขอให้ออกจากเขตไร้เวทมนตร์นี้ก่อน “เราใช้ไฟกันได้สองคน ลาควีล่าเจ้าอยู่ตรงกลางนะ เราต้องเดากันแล้วว่าอาณาเขตนี้จะกว้างไปถึงไหน”
“แต่มันจะมืดแล้วนะ หิมะนี่อีก ข้าหนาวจนปวดกระดูกหมดแล้ว” ดาริอุสบ่นอุบ
แล้วก็เสียงของบางสิ่งเข้ามาแทรกท่ามกลางเสียงครางโหยหวนของลมและวิญญาณ มันไม่เหมือนเสียงใดที่ไบรอันรู้จัก หากให้บรรยายคงบอกว่าเหมือนเสียงของเป็ดป่า ด้วยเหตุใดไม่รู้เสียงนั้นทำให้พวกเขาคลายกังวล ทั้งที่ยังไม่เห็นต้นเสียงก็ตาม
“อลิเซีย!” ดาริอุสเอ่ยนามแห่งความหวังสำหรับพวกเขาทั้งสาม...
ไบรอันสรุปแผนการที่เมเทอาร์ให้ทุกคนฟังอีกครั้ง เวเบอร์จะเข้าไปทำลายงานประลองครั้งนี้โดยเอาดาบวิเศษของรางวัลเป็นข้ออ้าง พวกเขาจะแสดงตัวเพื่อหยุดยั้งและท้าประลองโดยเอาการเจรจาของทั้งสองฝ่ายเป็นเดิมพัน เขากับเวเบอร์จะสู้กันอย่างสูสีและเขาจะชนะอย่างฉิวเฉียด ทุกอย่างลงตัวไม่มีปัญหา วันจัดงานประลองกลางทะเลใกล้เข้ามาทุกที ๆ
ทว่าสิ่งที่เป็นตอขวางในคราวนี้คือศาสนจักร หากทางสภาสูงของศาสนจักรยังหัวแข็งไม่เปลี่ยน ลาควีล่าที่ได้รับพรจากเทพเจ้าโดยการคืนชีพย่อมได้รับการบูชาเยี่ยงตัวแทนจอมเทพเอซีร่า ทั้งที่มหาเทพตัวจริงถูกจอมปิศาจควบคุมและนางได้รับพรจากเทพในดินแดนอื่น การตายของนางอัศวินมังกรไซเรน่ากับนางมังกรครึ่งมนุษย์อโฟเดลเขาเขียนลงรายงานได้ แต่การเกิดตัวตนจากซากศพของลาควีล่าเขาไม่สามารถเขียนลงไปในรายงานได้ เขาจะอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับเทพจากดินแดนอื่น จะให้กระโตกกระตากไม่ได้ว่าเขากับเวเบอร์ร่วมมือกันอยู่ ตราบใดที่ยังไม่มีทูตจากดินแดนอื่นมาเยือนอย่างเป็นทางการก็ยังเปิดเผยตัวจริงของนางไม่ได้
ปัญหาที่น่ากลุ้มกว่านั้นของไบรอันคือใจของสาวน้อย เวเบอร์แอบแวะมาเยี่ยมเสมอทำให้ลาควีล่ากับเวเบอร์มีโอกาสประดาบกันประจำ ไบรอันรู้สึกได้ถึงความสุขของลาควีล่าเมื่อได้ใช้ฝีมือประลองเพลงดาบกับเวเบอร์ เวเบอร์มีสิ่งที่เขาไม่สามารถให้หญิงสาวได้ ความตื่นเต้นในการเผชิญหน้ากับความตาย
ทั้งคู่รักกันแต่ไม่สามารถครองคู่กันได้ ทั้งสองคนคงรู้กติกาดีอยู่แล้วว่าต้องมีใครสักคนตายจึงไม่ผูกพันกันมากกว่ามิตรกึ่งศัตรู ทำให้ไบรอันเบาใจได้เมื่อลาควีล่ากับเวเบอร์ถกกันเรื่องกระบวนท่าต่าง ๆ ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายอย่างพึงพอใจ เหมือนไซเรน่าตอนหยอกล้อเขาสำเร็จ แบบนี้เหมือนกับเขาเป็นมือที่สามไม่มีผิด!
“หมายความว่าอย่างไรที่จะให้ลงชื่อประลองด้วย ข้าอยากเป็นคนดูมากกว่านี่นา” ดาริอุสบ่นอุบเพราะถูกไบรอันบังคับให้ลงชื่อในงานประลองด้วย ไบรอันอยากเห็นฝีมือจริง ๆ ของดาริอุสอีกสักครั้ง เพื่อการประเมินศักยภาพของนักรบจันทรา
เขาเป็นผู้กล้าเพื่อทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ หากเขาพลาดจะต้องอาศัยทั้งดาริอุสและเนอร์วาน่าจัดการฆ่าเขาเสีย จะยอมให้ตาแก่นั่นใช้ร่างของเขาไปทำร้ายคนอื่นไม่ได้ แล้วยังลาควีล่าอีก ถือเป็นโชคที่เขาตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะคืนชีพจากความตายได้อีกเป็นครั้งที่สอง
“สามครั้งอย่างนั้นหรือ” ไบรอันทวนคำพูดของนักท่องเวลานามอลิเซีย เขาจะได้พบกับมันผู้นั้นอีกสามครั้งเชียวหรือ เป็นไปได้ไหมว่าจะจัดการจนรู้ผลได้ในครั้งแรก
แล้วห้วงความคิดของไบรอันก็สะดุดเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของเนอร์วาน่าเพื่อถามคำถาม
“เข้ามาได้” เนอร์วาน่าหรือนางผู้หยั่งรู้ร้องบอกจากข้างในห้อง ตอนนี้หญิงสาวกำลังนั่งชมวิวทะเลยามค่ำก่อนอาหารเย็น “สิ่งที่ท่านอยากถามข้ารู้หมดแล้ว” นางพยักหน้า ไบรอันถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องเอ่ยออกมาเองด้วยกลัวจะเสียมารยาท
“ข้อแรกสิ่งตอบแทนคือพวกท่านต้องไปสมทบกับข้าที่เมืองหลวงของเพียรซ์ หลังจากได้รับการช่วยเหลือจากอลิเซียแล้ว ข้าไม่ร่วมขบวนติดกับดักกับพวกท่านเด็ดขาด”
“คำตอบล่ะ” ไบรอันอดเก็บความกระสับกระส่ายในน้ำเสียงไว้ไม่ได้
“ข้าให้คำแนะนำสั้นๆ อย่าหุนหันพลันแล่นก็พอ แต่เตือนไปก็เท่านั้น” นางยักไหล่ยิ้มอย่างดูแคลน “ส่วนคำถามที่ว่าท่านจะชนะหรือเปล่าข้าตอบได้ ท่านจะไม่แพ้และไม่ชนะ”
“ข้อต่อไปล่ะ ช่วงเวลาสั้นๆหลายครั้งที่ท่านแอบสับเปลี่ยนร่างของข้าไป ท่านไปไหน ไปทำอะไรกันแน่”
“ตอบไม่ได้!” คราวนี้เนอร์วาน่ากระชากเสียงเล็กน้อยราวกับเป็นเรื่องสำคัญสุดยอด
“แล้วก็เรื่องสุดท้าย ลาควีล่า...” ไบรอันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างกระดากอาย
“ข้าจะให้คำตอบเมื่อถึงเวลา แต่ค่าตอบแทนมันสูงนะ สูงสำหรับข้า ไม่ใช่ท่าน”
“อย่างนั้นก็ขอบคุณ ข้าไปละ” ไบรอันกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็ว คิดปลีกตัวไปทำอย่างอื่นต่อหากถูกนางผู้หยั่งรู้รั้งตัวเอาไว้
“ข้าขอถามอะไรท่านหน่อยสิ” เนอร์วาน่าหยุดไบรอันก่อนที่เขาจะปิดประตู “เป็นเนื้อเรื่องของสิ่งที่เรียกว่าละคร อลิเซียเล่าให้ข้าฟัง ท่านฟังสักนิดได้ไหม”
ไบรอันพยักหน้า
“มีเด็กหญิงคนหนึ่งถูกสร้างและมอบความรู้เกี่ยวกับนักท่องเวลาเอาไว้ เมื่อเธอโตขึ้นจะได้เป็นผู้ปลิดชีพนักท่องเวลาคนนั้น เธอได้รับแต่เรื่องราวเกี่ยวกับนักท่องเวลาดังกล่าว ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน อดีต ปัจจุบัน นิสัย ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนใบหน้าที่เขาสามารถเปลี่ยนมันโดยการคืนชีพ...ข้าขอถามท่าน สุดท้ายแล้วเด็กหญิงคนนั้นจะหลงรักใครได้”
เนอร์วาน่าตีสีหน้านิ่งขรึม ดวงตาสีมรกตเหมือนไบรอันกำลังรอคำตอบจากเขาอยู่ แต่นางอยากสื่อถึงอะไรหรือ ไบรอันยืนนิ่งเหมือนตอไม้ไม่อาจตอบคำถามของนางได้
“อย่างนั้นก็ไปได้แล้วตาบื้อ! ข้าจะทำสมาธิก่อนอาหารเย็น”
ไบรอันถูกไล่ออกจากห้องด้วยความงุนงง...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของดาริอุสที่ได้มาเยือนเมเทอาร์ เพียงครั้งก่อนมีปัญหาทำให้ไปเที่ยวที่ไหนไม่ได้เท่านั้น คราวนี้ก็ติดอีหรอบเดิม เขาจะต้องคอยแสดงละครเป็นผู้คุ้มกันผู้กล้าแสงตะวัน โชคดีที่ไบรอันเข้าใจความรู้สึกอยากท่องเที่ยวของเขาจึงยอมตามเขาไปที่ต่างๆเพื่อมอบของขวัญที่ไปซื้อจากเมืองแก้วผลึกมาให้
“อยากไปที่ไหนต่อ หรืออยากไปเอากิ่งกุหลาบแก้วที่บ้านเจ้าพาลาดิโน่แล้วค่อยกลับ” ผู้กล้าแสงตะวันถามด้วยรอยยิ้มทั้งที่ต้องยอมทนอยู่ห่างจากคนรักเพื่อผู้ติดตาม
“ไปดูลานประลองกลางทะเลก่อน” ดาริอุสปัดเรื่องกิ่งกุหลาบแก้วเอาไว้ให้เสร็จเรื่องประลองเสียก่อน
ชายหาดของเมเทอาร์เป็นรูปจันทร์เสี้ยว สะพานหินอ่อนยื่นออกมาจากกลางหาดทรายไปยังท้องทะเลเชื่อมไปยังลานประลองขนาดใหญ่ มันสร้างด้วยหินสีแดงจากในพื้นที่จึงมีสีแดงเด่นตัดกับท้องฟ้าและน้ำทะเล เป็นจุดเที่ยวชมอันดับหนึ่งของเมืองนี้ที่จุคนได้หลายหมื่นคน จากหนังสือนำเที่ยวแล้วลานประลองดังกล่าวสร้างขึ้นทับรอยอุกกาบาตขนาดใหญ่
“วันนี้ส่วนใหญ่มีแต่นักสู้ที่มาลงชื่อประลอง ปกติจะเป็นนักท่องเที่ยวเสียมากกว่า พรุ่งนี้ก็จะเริ่มงานแข่งแล้ว” ไบรอันพาดาริอุสเดินทอดน่องข้ามสะพานหินอ่อนไปยังลานประลองซึ่งเป็นรูปวงกลมเต็มไปด้วยช่องหน้าต่างมากมาย เป็นกำแพงที่บรรจุคนมีฝีมือเอาไว้ข้างในนั้น
“ท่านเคยประลองหรือเปล่า” ดาริอุสถามเรื่อยเปื่อยพลางมองคนที่เดินไปมาระหว่างชายหาดกับลานประลอง
“ไม่เคย ปกติจะมีของรางวัลให้ผู้ชนะ ข้าไม่อยากได้เลยไม่เคยลอง...” ไบรอันหยุดกึกราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาด แววตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นชั่วพริบตาแล้วสงบลง
“อ้าวไลล่า มาเที่ยวเหมือนกันหรือ” ครั้งแรกดาริอุสจะหันไปมองทางเดียวกับไบรอัน แต่หันไปพบลาควีล่าแทน ผมสีเขียวมัดอย่างลวกๆไม่ให้ลมทะเลทำให้ยุ่งเหยิง แต่งตัวดูเป็นทางการเล็กน้อย
“มาลงชื่อประลอง ได้ยินคำว่าต่อสู้แล้วตัวสั่นอดใจไม่อยู่ เจ้าลงชื่อไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรือ” หญิงสาวทำให้ดาริอุสคิดถึงไซเรน่า หากนางยังอยู่คงลงประลองเหมือนกันแน่
“อยากมาเที่ยวโดยไม่มีธุระบ้างน่ะ เมื่อวานรีบจนเดินดูไม่ทั่วเลย” ดาริอุสยิ้มกว้างคิดว่าจะชวนหญิงสาวไปเดินเที่ยวด้วยกันสามคน พูดถึงไบรอันแล้ว เจ้าตัวตอนนี้กำลังหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาใครอยู่ “มองอะไรหรือไบรอัน”
“คิดว่าเจอคนรู้จัก ข้าคงตาฝาดไป...ไปเดินเที่ยวด้วยกันไหมไลล่า วันนี้ไม่มีซ้อมดาบกับเวเบอร์นี่นา ส่วนเจ้าก็ถือว่าเดินชมเมืองอีกรอบแล้วกันดาริอุส เดี๋ยวข้าจะพาไปดูรูปสลักผลึกเกลือในตำนานที่ลานกลางเมือง” ไบรอันเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งเครียดเป็นยิ้มแย้มทันทีที่เห็นคนรัก...
จะขอกล่าวถึงหนึ่งในตระกูลที่เป็นตำนานของเรมิสต์ ตระกูลเดียวที่มีดวงตาสีเขียวมรกต กล่าวกันว่าต้นตระกูลของผู้มีดวงตาสีนี้เคยทำบุญคุณกับจอมเทพแห่งอิเดนจึงได้รับพรสองประการ ประการแรกคือการคืนชีพจากความตายหนึ่งครั้ง ประการที่สองคือพลังที่สืบทอดตามสายเลือด อีกสองตระกูลได้รับพรประการที่สองเช่นกันแต่มีเพียงตระกูลที่มีดวงตาสีมรกตเท่านั้นที่ได้รับพรประการแรก
เพราะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนอีกสองตระกูลจึงถูกผู้ใช้มนตร์ดำตามล่าเพื่อยึดร่างที่สามารถคืนชีพได้ครั้งหนึ่งและพลังที่ถ่ายทอดมาตามสายเลือด จนคนในตระกูลที่เป็นสายเลือดแท้ดวงตาสีมรกตนั้นหายากยิ่ง และมักโดนสาปเพื่อใช้บูชายัญเพื่อขโมยร่างที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจ เคยมีบันทึกไว้ว่าตระกูลที่มีดวงตาสีนี้ได้อาศัยร่มเงาของแอสนาร์อยู่ช่วงหนึ่งแล้วออกพเนจรหลบหนีผู้ตามล่าอีกด้วยเหตุผลบางประการ
ชื่อของตระกูลนั้นคือ แบล็คสโตน และสายเลือดแท้คนสุดท้ายก็กำลังนั่งชมการประลองอยู่ที่เมเทอาร์!
“แบบนั้นไม่เรียกว่าสบายแล้ว ระริกระรี้เลยต่างหาก” ดาริอุสบ่นกับลาควีล่าที่ม้านั่งสำหรับผู้ประลองด้านในโดมแสงป้องกันคนดูของลานประลองกลางทะเล ผู้กล้าแสงตะวันโบกมือให้พวกเขาจากที่นั่งอย่างร่าเริง กำลังแทะขนมกินสนุกปากทั้งที่ต้องทำตามแผนการที่วางไว้
วันนี้เป็นวันที่มีการประลองผู้คนจึงแห่แหนกันมาดู ส่วนหนึ่งก็อยากทดสอบฝีมือจึงลงชื่อแข่งขัน ดาริอุสเพิ่งเคยเห็นการประลองแบบไม่มีงานอื่นพ่วงมาด้วยจึงอยากขึ้นไปนั่งดูการต่อสู้มากกว่า
ด้านในที่นั่งคนดูที่ได้รับการป้องกันด้วยผลึกมนตราเป็นแผ่นหินแกร่งรูปวงกลม นั่นคือเวทีประลองที่ยกพื้นสูงเล็กน้อย คู่แรกเป็นการปะทะกันระหว่างนักดาบกับผู้ใช้แส้ รอบต่อไปดาริอุสจะต้องต่อสู้กับนักดาบที่ใช้ดาบเล่มใหญ่เท่าตัวคน
“สู้เขานะดาริอุส!”
เสียงให้กำลังใจของลาควีล่ากับไบรอันดูจะดังที่สุดในเวลานี้ ดาริอุสมองปะรำพิธี บนหลังคาเวเบอร์กำลังนั่งมองเขาอย่างใจจดใจจ่อ คงอยากเห็นฝีมือเขากระมัง อย่างนั้นก็ได้เลย ดาริอุสให้กำลังใจตัวเองก่อนกรรมการจะสั่งเริ่มประลอง
กระบี่ดาบแสงตะวันถูกดึงออกมาช้าๆไม่ครั่นคร้ามต่อพลังของฝ่ายตรงข้ามที่มีอาวุธใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า!
“ไฟเอย!”
แค่ดาริอุสตั้งสมาธิ คมกระบี่ก็ถูกอาบไล้ด้วยเปลวไฟร้อนแรงเหมือนดวงตะวันเหนือหัว กระบี่ไฟไหววูบปัดดาบยักษ์ให้เปลี่ยนทิศ แล้วเท้าของเขาก็พาตัวเลื่อนหลบอย่างเหนือชั้น ก่อนลงดาบบนเกราะเหล็กตรงหน้า รอยจากกระบี่ดาบแสงตะวันถูกหลอมจนร้อนแดงราวกับโดนความร้อนสูงจนคู่ต่อสู้ต้องรีบถอดเกราะทิ้งทีละชิ้น ๆ
สุดท้ายก็เหลือแต่เสื้อผ้าชั้นในกับดาบใหญ่ที่ไม่เคยฟันโดนคู่ต่อสู้เลยสักครั้ง!
ฝ่ายดาริอุสมัวแต่เล่นเพลินอยู่ เมื่อแสดงฝีมือจบแล้วก็ถึงเวลาเผด็จศึก ไฟบนใบดาบดับวูบตามเจตนาเจ้าของ คราวนี้ก็สามารถรุกได้โดยไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายบาดเจ็บจากเปลวเพลิงแล้ว บัดนี้ดาบเล่มใหญ่ต้องทำหน้าที่ต่างโล่กันเจ้าของจากคมของกระบี่ที่พุ่งเข้ามาจากทุกสารทิศ ดาริอุสใช้ความได้เปรียบด้านความเร็วไล่ต้อนอีกฝ่ายเหมือนแมวหยอกหนู สุดท้ายก็สามารถปัดดาบใหญ่หลุดมือคู่ต่อสู้ได้ กรรมการยกมือให้เขาเป็นผู้ชนะทันที!
“เหงื่อท่วมเพราะเหนื่อยหรือร้อนล่ะนั่น” ลาควีล่าร้องถามเมื่อดาริอุสเดินลงจากเวที
“ร้อน!” ดาริอุสตอบซื่อ ๆ “ดาบใหญ่ใช่ว่าจะดีกว่ากระบี่หรือดาบที่เล็กกว่า แล้วเจ้าเอาหอกมาทำไมหรือ ดาบสลายเวทเล่มนั้นล่ะ”
“ฝากไว้กับเนอร์วาน่า วันนี้อยากสู้แบบสบาย ๆ เลยขอใช้หอกคู่มือดีกว่า แผนที่ว่าข้าก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลยด้วย” ลาควีล่าตอบอย่างแจ่มใส ควงหอกที่เคยเป็นของไซเรน่าอย่างทะมัดทะแมง
“ไม่เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันบ้างหรือ เจ้านั่นไม่เตือนหรือไงว่าเราต้องพบอันตรายทุกฝีก้าวย่าง” ดาริอุสชี้ไปที่ไบรอันอย่างเสียมารยาท อีกฝ่ายยกมือทักตอบอย่างไม่ถือสา
“เขารู้ว่าข้าจะตะแบงเลยไม่พูดกระมัง มีทั้งไบรอัน เวเบอร์ แล้วก็เจ้า จะต้องห่วงอะไรอีก”
ดาริอุสพยักหน้าเห็นด้วยทั้งที่ตาขวาของเขากระตุกหนักๆสื่อถึงลางร้ายระดับรุนแรง เขารู้สึกหวั่นอยู่ลึกๆว่าจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นที่นี่ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากปลอดภัยเป็นอันตราย แต่จะมีใครทำอย่างนั้นได้ ในเมื่อมีทั้งเวเบอร์และไบรอันเป็นผู้คุมสถานการณ์จากทั้งสองฝั่ง
“น่าเสียดายเหมือนกันนะ ดาบเล่มนั้นที่เป็นของรางวัลน่ะ” ลาควีล่าหันมาพูดถึงรางวัลในการประลองครั้งนี้ มันคือดาบเวทมนตร์ที่มีประวัติยาวนาน
คู่ต่อไปขึ้นสังเวียนแล้ว คนหนึ่งเป็นชายรุ่นลุงมีสีผมเหลืองซีดเหมือนไบรอันไม่มีผิด ต่างกันแค่ทรงผมตัดสั้นอย่างผู้ชาย มีบางสิ่งที่ทำให้ดาริอุสมองตามเขาตาไม่กระพริบ บางสิ่งที่คล้ายกับไบรอัน อาจเป็นโครงหน้าหรือดวงตา หรือที่หนวดเคราหรอมแหรมนั่น
เสียงพลังทลายของกำแพงมนตราทำให้ดาริอุสหลุดจากห้วงความคิด ดาริอุสไม่รู้ว่าทำได้อย่างไรแต่ผู้กล้าแสงตะวันบันดาลโทสะจนม่านพลังที่เอาไว้ป้องกันคนดูแตกกระจายเป็นพันเสี่ยง ไบรอัน แบล็คสโตนกระโจนลงมายืนด้วยความกราดเกรี้ยว สีหน้าดูดีใจระคนโกรธแค้นต่างจากเคย
“ในที่สุดก็พบกัน ไบรอัน ธอมสัน!” ผู้กล้าแสงตะวันกัดฟันอย่างเดือดดาลที่ได้พบเป้าหมายที่จะแก้แค้น
ชายที่ชื่อเดียวกับไบรอันไม่ได้มีท่าทีตกใจเลยสักนิด เขาส่งยิ้มบิดเบี้ยวมาให้แล้วร่างนั้นก็ถูกล้อมด้วยกรงมนตร์เคลื่อนย้าย คงคิดหนีแน่ ๆ
“รอเดี๋ยว! มาตัดสินกันให้รู้เรื่อง” ไบรอัน แบล็คสโตนทำในสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ รีบเข้าไปในวงแสงเคลื่อนย้ายเพื่อติดตามไปไม่ว่าอีกฝ่ายจะหนีไปแห่งใดก็ตาม
เมื่อแสงหายกลับเหลือเพียงไบรอัน ธอมสันอยู่บนเวทีประลองเท่านั้น ดาริอุสสบสายตากับลาควีล่าแล้วล้วงเอาขนปีกดาเรียออกมาทันที
“ไปหาไบรอัน แบล็คสโตน!” ดาริอุสออกคำสั่งอย่างรีบเร่ง พวกเขากลายเป็นแสงสีฟ้าหมุนวนไปหาผู้กล้าแสงตะวัน ซึ่งตกหลุมพรางของอีกฝ่ายอย่างง่าย ๆ ...
ตอนนี้ไบรอัน แบล็คสโตนกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ไม่ใช่เรื่องที่เขาถูกลวงเข้าสู่กับดักแบบของตัวเองจนถูกส่งมาที่หมู่บ้านร้างที่เขาเคยอยู่ ไม่ใช่ปุยขาวของหิมะที่ไม่เคยถูกล่วงล้ำ ไม่ใช่เหล่าวิญญาณที่ออกมาสูบกินพลังชีวิตในแถบนี้ การที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ต่างหากที่ทำให้เขาปวดหัว จะหนีก็ไม่ได้ จะสู้ก็ไม่ได้ ทำได้แค่ถอยหลบกลุ่มควันนับร้อยของวิญญาณที่คอยมองหาสิ่งมีชีวิตด้วยคำสั่งของมันผู้นั้น ผู้ใช้ศาสตร์มืดควบคุมวิญญาณ!
หมู่บ้านนี้เคยเป็นที่อาศัยของไบรอันในวัยเด็ก บัดนี้บ้านแทบทุกหลังจมอยู่ใต้หิมะและหินลึกกว่าสองเมตร วิญญาณผู้ที่ตายที่นี่ถูกควบคุมโดยมันผู้เป็นศัตรูตลอดกาลของไบรอัน ฝ่ายนั้นคงทำบางอย่างเพื่อไม่ให้เขาใช้เวทมนตร์ได้ จะได้ถูกกลืนกินวิญญาณแล้วเข้ายึดร่างได้อย่างสะดวกสบาย
แล้วปัญหาอีกอย่างก็ถาโถมตามเข้ามาในกับดักด้วย ดาริอุสกับลาควีล่าใช้ขนปีกดาเรียเคลื่อนย้ายตามเขามายังแดนหิมะอันหาวเย็นนี้ด้วย บัดนี้พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว พวกเขาอาจตายเพราะความหนาวเย็นก่อนถูกดูดกินวิญญาณ
“จะตามมาทำไมกัน ที่นี่เข้าได้ออกไม่ได้ นี่มันกับดัก!” ไบรอันโวยวายใส่ดาริอุส พวกเขาแอบอยู่ในช่องว่างระหว่างบ้านสองหลัง
“ก็รู้ว่าเป็นกับดัก จึงมาช่วยนี่ไงละ” ดาริอุสย้อนคำพูดทำให้ไบรอันเถียงต่อไม่ลง อย่างน้อยก็มีดาบที่ใช้ไฟได้ถึงสองเล่ม และลาควีล่าอาจเรียกสัตว์ปิศาจได้
“ทดสอบสิว่าใช้ดาบได้เหมือนข้าหรือเปล่า เจ้าด้วยไลล่า เรียกสัตว์ปิศาจได้ไหม!”
กระบี่ดาบของดาริอุสลุกโชนด้วยเปลวไฟอีกครั้งแสดงว่ายังใช้ได้อยู่ แต่วิชาเรียกสัตว์ปิศาจของลาควีล่าโดนผนึกเหมือนเวทมนตร์ของเขา ไม่ว่าจะเรียกผ่านช่องว่างมิติหรือผ่านแหวนก็ไม่อาจทำได้
“ข้าผิดเองที่ไม่เตือนให้เจ้าพกกระบี่เล่มนั้นลาควีล่า มันอาจทำลายเขตอาคมนี้ได้ ใครจะรู้” ไบรอันกัดฟันคิดกลางความหนาวยะเยือกที่รุมเร้า
“แล้วหมอนั่นเป็นใคร ท่านตามเขาทำไม” ดาริอุสผู้ไม่เคยดูบรรยากาศเลยถามอย่างตรงไปตรงมา “แล้วเงาดำเหมือนควันไฟที่ลอยเต็มไปหมดนี่อีก รู้สึกไม่ดีเลย”
“คนๆนั้นคือศัตรูของข้า ชื่อของข้าถูกเปลี่ยนให้เหมือนกับเขาเพื่อจะได้ไม่ลืมความแค้น เขาคนนั้นคือคนที่ฆ่าพ่อแท้ ๆ ของข้า และร่ายคำสาปใส่ข้าทำให้มีคนรักไม่ได้ แค่นี้พอใจหรือยัง อ้อ เงาที่เห็นนั่นคือผีของคนที่ตายที่นี่ พวกมันดูดกินพลังชีวิตและวิญญาณของคนเป็น เจ้าคงไม่กลัวเท่าข้าหรอกนะ” ไบรอันอดเสียดสีไม่ได้ที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนทองไม่รู้ร้อน
“แล้วจะหนีไปทางไหนดี ทำไมเนอร์วาน่าไม่ยอมเตือนเรื่องนี้นะ” ลาควีล่าร้องอย่างหมดหนทาง พวกเขาต้องวิ่งหนีวิญญาณอีกฝูงไปยังโกดังร้างอีกแห่ง
“นางเตือนแล้วแต่ข้าไม่ฟังเอง” ไบรอันขบฟันคิดหาทางหนีทีไล่ที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยขอให้ออกจากเขตไร้เวทมนตร์นี้ก่อน “เราใช้ไฟกันได้สองคน ลาควีล่าเจ้าอยู่ตรงกลางนะ เราต้องเดากันแล้วว่าอาณาเขตนี้จะกว้างไปถึงไหน”
“แต่มันจะมืดแล้วนะ หิมะนี่อีก ข้าหนาวจนปวดกระดูกหมดแล้ว” ดาริอุสบ่นอุบ
แล้วก็เสียงของบางสิ่งเข้ามาแทรกท่ามกลางเสียงครางโหยหวนของลมและวิญญาณ มันไม่เหมือนเสียงใดที่ไบรอันรู้จัก หากให้บรรยายคงบอกว่าเหมือนเสียงของเป็ดป่า ด้วยเหตุใดไม่รู้เสียงนั้นทำให้พวกเขาคลายกังวล ทั้งที่ยังไม่เห็นต้นเสียงก็ตาม
“อลิเซีย!” ดาริอุสเอ่ยนามแห่งความหวังสำหรับพวกเขาทั้งสาม...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ