มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  26.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) บทที่ 8

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 8

กุลวดีเอ่ยปากชมเพื่อนรักไม่ขาดปาก เมื่อเห็นรจนาสวมใส่เสื้อผ้าที่วัชรินทร์ซื้อให้ เพื่อเตรียมตัวจะไปงานเลี้ยงที่บ้านของเขาในคืนนี้

“รจเอ๊ย พอเธอใส่ชุดนี้แล้วเลยกลายเป็นเงาะถอดรูปไปเลยนะ”

“ปกติฉันน่าเกลียดขนาดนั้นเชียวหรือ”รจนาถามขณะที่สำรวจความเรียบร้อยที่หน้ากระจกเงาอีกครั้งหนึ่ง

“เปล่า เปล่า ปกติเธอก็สวยอยู่แล้ว แต่พอได้สวมใส่เสื้อผ้าสวยๆเช่นนี้ มันยิ่งทำให้เธอดูดีขึ้นไปอีกมากทีเดียว นี่ถ้าพี่หมอมาเห็นเธอตอนนี้นะ รับรองว่าต้องตาค้างแน่นอน” กุลวดีพูดขาดคำ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เธอรับสายแล้วพูดตอบไปว่า

“เสร็จแล้วค่ะ กำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้ค่ะ ฝากดูแลเพื่อนของกุลให้ดีด้วยนะคะแล้วพามาส่งคืนให้ทันเวลาก่อนที่หอพักจะปิดด้วยค่ะ”

เธอวางสายแล้วหันมาบอกรจนาว่าวัชรินทร์มารอรับที่ข้างล่างแล้ว รจนาหยิบเสื้อคลุมและกระเป๋าถือ ที่วัชรินทร์ซื้อให้เช่นกัน แล้วเอ่ยลาเพื่อนรัก ก่อนที่จะก้าวเดินออกจากห้องพักไป บรรดาเพื่อนร่วมหอเมื่อเห็นรจนาเดินลงมาจากบันได ต่างพากันมองจนตาค้าง บางคนก็เข้ามาทักทายและชื่นชมในความงามของเธอ จนเธอเองเริ่มรู้สึกขัดเขินขึ้นมา

เธอรู้สึกประหม่ากลัวเมื่อนึกถึงการที่ต้องไปอยู่ในงานเลี้ยงที่แวดล้อมไปด้วยผู้คนที่มีฐานะในสังคมชั้นสูง พ่อของวัชรินทร์นั้นเคยเป็นถึงรัฐมนตรีบริหาราชการแผ่นดินมาแล้ว ส่วนแม่ของเขานั้นก็เป็นคุณหญิงที่มักจะปรากฏชื่ออยู่ในข่าวของสังคมหรูหราเสมอๆ รจนาไม่แน่ใจว่าตนเองตัดสินใจถูกหรือไม่ที่มางานนี้ ยิ่งเมื่อรถที่วัชรินทร์ขับพาเธอมา เลี้ยวเข้าประตูบ้านที่เปิดค้างไว้ หัวใจของเธอก็เต้นสั่นอย่างไม่อาจจะควบคุม เมื่อได้เห็นบ้านใหญ่โตสวยงามที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้าและมีอาณาบริเวณที่รายล้อมด้วยสนามหญ้าและไม้ดอกไม้ประดับที่ถูกตบแต่งแลดูสวยงามและเป็นระเบียบ เธอนึกไม่ออกว่าบ้านใหญ่ขนาดนี้ จะมีผู้คนอยู่อาศัยสักกี่คน

วัชรินทร์จอดรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้เธอก้าวลงมา จากนั้นจึงเดินพาเธอตรงไปยังบริเวณสระว่ายน้ำที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงาน เขาแนะนำเธอให้รู้จักกับพ่อแม่ของเขา ซึ่งหลังจากรับไหว้แล้ว คุณหญิงศรีสุดา ผู้เป็นมารดาก็ถามขึ้นทันทีว่า

“อ้อ นี่นะหรือจ๊ะหนูรจนาที่ตาวัชรินทร์กล่าวถึงหนูอยู่บ่อยๆ สวยจริงๆอย่างคำร่ำลือ แล้วครอบครัวของหนูทำอาชีพอะไรหรือจ๊ะ”

รจนายังไม่ทันตอบ วัชรินทร์ก็ชิงตอบแทนว่าพ่อของเธอเป็นเจ้าของโรงสีที่อยุธยา ทำเอารจนาต้องแปลกใจและไม่สบายใจที่วัชรินทร์ต้องโกหกพ่อและแม่ของเขาเช่นนั้น ส่วนพ่อของวัชรินทร์เมื่อทราบว่าพ่อของรจนาเป็นเจ้าของโรงสีก็ซักถามด้วยความสนใจว่า

“เป็นเจ้าของโรงสีเชียวหรือ แล้วเป็นหัวคะแนนให้พรรคของอาด้วยหรือเปล่า”

“พ่อครับ”วัชรินทร์ปราม “เราจะไม่พูดเรื่องการเมืองกันในงานนี้นะครับ ตามที่ได้ตกลงกันไว้”

จากนั้นวัชรินทร์ได้ขออนุญาตพารจนาไปหาที่นั่งที่ริมสระว่ายน้ำ แล้วจึงเดินไปหาเครื่องดื่มมาให้เธอ ในขณะที่แขกเหรื่อเริ่มทยอยเข้ามาในงาน ส่วนใหญ่จะเป็นแขกของพ่อและแม่ของวัชรินทร์เสียมากกว่า เพื่อนของวัชรินทร์ที่มากันก็มีเพียง 4-5 คนที่สนิทกันมากเท่านั้น และเพื่อนเหล่านั้นก็มานั่งร่วมโต๊ะที่รจนานั่งอยู่ด้วย ซึ่งช่วยทำให้เธอคลายความประหม่ากลัวลงไปได้บ้าง ขณะที่เธอเริ่มทำความรู้จักคุ้นเคยกับเพื่อนๆของวัชรินทร์กลุ่มนี้อยู่ อาจารย์นงนุชก็เดินเข้ามาในงานพร้อมกับศักดาผู้เป็นสามี และบุตรสาวทั้งสองคืออลิสาและอรอุมา รจนารีบยืนขึ้นและยกมือไหว้แสดงความเคารพอาจารย์นงนุชในทันที นงนุชรับไหว้ด้วยความเอ็นดูพร้อมกับฝากลูกสาวทั้งสองคนให้นั่งร่วมโต๊ะด้วย เพราะเห็นว่าเป็นเด็กอยู่ในวัยเดียวกัน ก่อนที่เธอและสามีจะแยกไปนั่งโต๊ะของคุณหญิงศรีสุดาและสามีของเธอ

รจนารู้สึกอึดอัดใจอีกครั้งที่มีอลิสานั่งอยู่ด้วย เพราะสายตาที่อลิสามองดูเธอนั้น ดูเหมือนจะไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย รจนาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะสบตาหรือสนทนากับเธอ โดยการหันเหความสนใจไปยังอาหารที่วางอยู่เบื้องหน้าและเสียงเพลงที่เปิดคลอในงาน และเธอก็ต้องสะดุดใจเมื่อเครื่องเล่นเพลงได้เล่นเพลงๆหนึ่ง เธอตั้งอกตั้งใจฟังเนื้อร้องของมันด้วยความสนใจ ขณะที่สายตาจดจ้องมองแจกันกลางโต๊ะที่มีดอกกุหลาบสีขาวปักอยู่อย่างไม่วางตา ราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์

“....สัญญาสิ สัญญากับฉัน ว่าทุกครั้งที่เธอได้เห็นดอกกุหลาบ เธอจะคิดถึงแต่ฉัน...”

รจนาฟังเนื้อร้องท่อนนี้ด้วยความสนใจ เป็นประโยคคำพูดที่เธอคุ้นหูเหลือเกินว่าเคยได้ยินจากที่ใด เธอพยายามรวบรวมความคิดจนรู้สึกเหมือนกำลังง่วงนอน ในท่ามกลางความรางเลือนของการรับรู้นั้น เธอได้พบตนเองกำลังสวมใส่ชุดไทยสไบเฉียงในสถานที่แปลกตาที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน ในมือของเธอถือดอกกุหลาบดอกหนึ่งแนบอก ก่อนที่จะค่อยๆยื่นออกไปให้กับชายคนหนึ่งที่ยืนหันหลังให้ แล้วกล่าวว่า

“....สัญญาสิ สัญญากับฉัน ว่าทุกครั้งที่เธอได้เห็นดอกกุหลาบ เธอจะคิดถึงแต่ฉัน...”

“รจนา รจนา....”เสียงของวัชรินทร์ร้องเรียกจนเธอรู้สึกตัวและกล่าวแก้เขินว่า

“ขอโทษค่ะ พอดีรจกำลังตั้งใจฟังเนื้อเพลงนี้อยู่ เพราะดีนะคะ ชื่อว่าเพลงอะไรหรือคะ”

“มนตรา ดอกกุหลาบจ้ะ ถ้ารจชอบเดี๋ยวพี่จะดาวน์โหลดให้นะ”วัชรินทร์อาสาอย่างอารมณ์ดี

“ไม่เป็นไรค่ะ โหลดมารจก็ไม่มีเครื่องเล่นอยู่ดี”

“เอาเอ็มพีสามของพี่ไปก็ได้ เดี๋ยวนี้พี่ไม่ได้ใช้แล้ว”

กล่าวจบวัชรินทร์ก็ไม่รอฟังคำทัดทานของเธอ แต่ลุกขึ้นแล้วเข้าไปในบ้านเพื่อที่จะหยิบเครื่องเล่นเอ็มพี3 ของเขาที่ไม่ได้ใช้แล้วมาให้ อลิสาเห็นเช่นนั้น ก็เข้าใจว่ารจนาใช้มารยาหลอกล่อเอาทรัพย์สินจากวัชรินทร์เหมือนดังที่ทำกับอองรี จึงลุกขึ้นแล้วเดินไปยังโต๊ะที่บิดามารดาของเธอนั่งอยู่ร่วมกับกับบิดามารดาของวัชรินทร์ในทันที รจนามองตามอลิสาไปแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง เพราะหลังจากนั้นเธอก็เห็นสายตาของผู้ใหญ่ที่โต๊ะนั้น ต่างพากันเหลียวมาดูเธอ โดยเฉพาะสายตาของคุณหญิงศรีสุดานั้น ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน รจนาตัดสินใจลุกขึ้นแล้วขออนุญาตไปห้องน้ำเพื่อหลบสายตาเหล่านั้นในทันที

ภายในบ้านที่โอ่อ่าหรูหรานั้น แทบจะไม่มีผู้คนอยู่ภายใน เพราะว่าต่างพากันมาอยู่ร่วมงานที่บริเวณริมสระน้ำกันหมด หญิงรับใช้คนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับด้วยความนอบน้อม และแจ้งว่าห้องน้ำยังไม่ว่าง แต่ก็ได้พาเธอไปยังห้องน้ำอีกห้องหนึ่งที่อยู่ภายในห้องประชุม รจนาหันมากล่าวขอบคุณแล้วเข้าไปทำธุระของเธอต่อไป

ในเวลาต่อมาคุณหญิงศรีสุดาก็เดินนำวัชรินทร์เข้ามาในห้องประชุมนั้น ก่อนที่จะปิดประตูและซักถามบุตรชายเป็นการส่วนตัว ด้วยความเคร่งเครียด

“บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะว่าแม่รจนาที่ลูกพามานั้นเป็นใครกัน”

“เป็นน้องที่มหาวิทยาลัยตามที่ผมบอกคุณแม่แล้วไงครับ อาจารย์นงนุชก็รู้จักเธอดี”

“ลูกแน่ใจนะว่าเธอไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎ”

“คุณแม่หมายความว่าอย่างไรครับ”วัชรินทร์ถามด้วยความสงสัยและไม่พอใจ

“ได้ยินหนูอลิสาบอกว่าเธอเป็นพวกที่ชอบหลอกเอาเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ อะไรทำนองนั้น”

“แล้วคุณแม่เชื่อหรือครับ”วัชรินทร์ตอบโต้เสียงดัง “รจนาเธอหารายได้พิเศษด้วยการเป็นไกด์นำเที่ยวและแสดงดนตรีไทยให้นักท่องเที่ยวชม คนที่ให้เงินเธอก็เพราะชื่นชมในความสามารถของเธอ ไม่ได้มีเรื่องของการหลอกลวงอันใดเลย”

“ไหนลูกบอกแม่ว่าครอบครัวของเธอร่ำรวยนักหนา ถ้ารวยจริงทำไมถึงปล่อยให้ลูกสาวต้องออกมาหางานทำพิเศษเช่นนี้ แล้วเห็นน้านงนุชว่าเป็นนักเรียนทุนด้วยมิใช่หรือ”

วัชรินทร์มีท่าทางลำบากใจที่จะต้องโกหกผู้เป็นมารดาต่อไป ขณะที่กำลังอ้ำอึ้งอยู่นั้น คุณหญิงศรีสุดาได้หยิบซองจดหมายซองหนึ่งออกมาจากโต๊ะทำงาน แล้วคลี่เอกสารในนั้นส่งให้กับวัชรินทร์

“ใบแจ้งหนี้การใช้บัตรเครดิตของลูกในงวดนี้ มีใช้จ่ายซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และอื่นๆอีกจิปาถะรวมแล้วเกือบห้าหมื่นบาท ร้านพวกนี้แม่รู้จักดี ขายแต่ของใช้ผู้หญิง ลูกซื้อให้เธอใช่ไหม?”

รจนาซึ่งซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ ได้ยินเสียงแม่ลูกคุยกันตั้งแต่เริ่มแรก เธอก้มหน้าสำรวจดูเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้าของตนเอง ขณะที่น้ำตาค่อยๆไหลออกมา

“ไม่ว่าลูกจะหาซื้อเสื้อผ้าหรูหราราคาแพงเพียงใดให้เธอสวมใส่ ก็ไม่อาจปกปิดกำพืดที่แท้จริงของเธอไปได้ เธอไม่คู่ควรกับลูกแม้แต่น้อย หัดคิดถึงอนาคตบ้างสิ คุณหมอหนุ่ม ลูกชายรัฐมนตรี จะไปเที่ยวคว้าผู้หญิงริมถนนที่ไหนมาเป็นเมียได้อย่างไรกัน”

“คุณแม่รังเกียจเธอเพียงแค่เพราะว่าเธอเป็นคนจนใช่ไหมครับ”

“ใช่ ! เงินทองที่พ่อแม่หามาด้วยความยากลำบาก จะมาให้คนอื่นมาชุบมือเปิบหยิบไปใช้อย่าง

ง่ายๆได้อย่างไรกัน ทำไมแกไม่มองดูหนูอลิสาบ้าง ทั้งความรู้ ชาติตระกูลก็เหมาะสมกันทุกอย่าง....”

คุณหญิงกล่าวยังไม่ทันจบ วัชรินทร์ก็ผลุนผลันออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากจะได้ยินสิ่งที่มารดากล่าวอีก คุณหญิงศรีสุดาได้แต่ถอนหายใจ แล้วเดินตามบุตรชายออกจากห้องไป

รจนาใช้ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆซับน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเจ็บช้ำใจ เธอค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำออกมา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ภายนอกแล้ว เธอจึงเดินออกจากบ้าน ลัดเลาะตัดสนาม ไปจนถึงประตูใหญ่หน้าบ้านที่เปิดค้างอยู่ แล้วรีบก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวกลับมามองอีกเลย

เธอเดินไปตามทางเท้าที่ผู้คนเริ่มบางตา แล้วรีบขึ้นรถเมล์คันแรกทันทีที่รถคันนั้นจอดส่งผู้โดยสาร โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่ารถคันนั้นจะพาเธอไปที่แห่งใด รู้แต่เพียงว่า เธอต้องการออกไปจากที่นั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้คนบนรถมองดูเธอด้วยความแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงสวยที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง จึงมาขึ้นรถประจำทางเช่นนี้ แต่รจนาในยามนั้นไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวใดๆทั้งสิ้น เสียงของคุณหญิงศรีสุดา ที่ด่าว่าและดูถูกเธอยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเธออย่างไม่อาจจะลืมเลือน

รถเมล์คันนั้นวิ่งมาถึงอนุสวรีย์ชัยสมรภูมิ เธอตัดสินใจลงรถที่นั่น เพื่อต่อรถอีกคันกลับมายังหอพัก เมื่อรถวิ่งมาถึงหอพัก เธอลงจากรถ ขณะที่กำลังจะข้ามถนนกลับไปยังหอพักนั้น ก็บังเกิดความลังเลใจ ก่อนที่จะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหมายเลขของอองรีในทันที

“คุณยังไม่นอนใช่ไหมคะ” เธอถามด้วยความรู้สึกเกรงใจ

“ยังครับ”

“ออกมาพบฉันหน่อยได้ไหมคะ”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”อองรีถามด้วยความสงสัย แต่รจนากลับรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาช่างเฉยเมยไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอันใด จึงบังเกิดความน้อยใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้นว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร”

“เดี๋ยว รจนา เกิดอะไรขึ้นครับ”อองรีร้องเรียกด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่กำลังสะอึกสะอื้นร่ำไห้ของเธอ “คุณอยู่ที่ไหนครับ ผมจะออกไปพบคุณเดี๋ยวนี้”

“มาพบฉันที่สระน้ำจุฬา ก็แล้วกันค่ะ”

อองรีคว้าเสื้อแจ็กเก็ตมาสวมทับแล้วรีบลงจากอาคารเพื่อเดินทางมาพบเธอในทันที เมื่อมาถึงเขาได้พบรจนากำลังนั่งคอยอยู่ตามลำพังที่นั่น เขาเดินไปนั่งลงที่ข้างๆเธอ แล้วถามว่า

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

รจนานิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถามของเขา เพราะเธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการกล้ำกลืนความรู้สึกบางอย่างที่เพิ่งได้รับมา เธอยังไม่อยากกลับหอพักในตอนนี้ เพราะไม่อยากจะพบและตอบคำถามกุลวดี เธออยากจะหาใครสักคนที่พอจะคุยด้วยได้ ในสถานที่ที่ไม่มีใครรบกวน เดิมทีตั้งใจว่าจะกลับบ้านที่อยุธยา แต่เมื่อคิดดูว่าหากกลับไปแล้ว ก็มีแต่จะสร้างความกังวลใจให้กับผู้เป็นบิดามารดาเสียเปล่าๆ คิดได้ดังนั้นแล้ว เธอจึงกล่าวกับอองรีว่า

“ไปเที่ยวทะเลเป็นเพื่อนฉันได้ไหมคะ”

อองรีดูอาการของเธอก็ทราบได้ทันทีว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น จึงยินยอมติดตามไปเป็นเพื่อนโดยที่ไม่ได้ถามถึงเหตุผลของเธอสักคำ เพียงแต่เฝ้ารอคอยเวลาที่เธอพร้อมที่จะระบายให้เขาฟังด้วยความอดทนและเป็นห่วง รจนาพาเขาขึ้นรถไฟฟ้า มาลงที่สถานีขนส่ง จากนั้นก็ซื้อตั๋วเดินทางเพื่อออกเดินทางไปยังจังหวัดระยองในคืนนั้น และทันทีที่รถโดยสารเคลื่อนตัวออกจากสถานี เธอก็โทรศัพท์ไปหากุลวดี ซึ่งสอบถามกลับมาด้วยความเป็นห่วงว่า

“รจ เธออยู่ที่ไหน พี่หมอเขาเป็นห่วงเธอแทบแย่”

“ไม่ต้องห่วงฉันนะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยพบกัน” เธอตอบแล้วก็ตัดสายโทรศัพท์ในทันที โดยไม่สนใจเสียงของกุลวดีที่ร้องเรียกอยู่อีกทางหนึ่งด้วยความเป็นห่วง อองรีชำเลืองมองดูรจนาด้วยความไม่สบายใจ ใต้ขอบตาของเธอยังมีคราบน้ำตาให้เห็นอย่างเด่นชัด

เมื่อรถโดยสารคันนั้นแล่นมาได้ไม่นาน พนักงานขับรถก็หรี่ไฟในห้องผู้โดยสาร รจนาหันหน้าออกมองนอกกระจก ได้ไม่นานก็เผลอหลับไป อองรีค่อยๆคลี่ผ้าห่มผืนบางๆที่ได้รับแจกออกห่มให้เธอด้วยความห่วงใย รถโดยสารใช้เวลาวิ่งประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาราวๆตี 3 กว่าๆ แต่ร้านค้าหลายแห่งก็เปิดไฟสว่างไสวเตรียมพร้อมที่จะให้บริการแก่นักท่องเที่ยวและคนเดินทางที่เพิ่งจะมาถึง รจนาเรียกรถรับจ้างให้ไปส่งยังชายหาด จากนั้นก็เดินคู่กับอองรี ไปบนหาดทรายที่อ่อนนุ่มและชุ่มชื้น ท่ามกลางแสงดาวที่ระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่จะหยุดพักและหาที่นั่งบนพื้นทรายนั้น

อองรีถอดเสื้อแจ็กเก็ตของเขาออกมาปูที่พื้นทรายเพื่อให้เธอได้รองนั่ง เพราะเกรงว่าเสื้อผ้าราคาแพงของเธอจะได้รับความเสียหาย รจนากล่าวคำขอบคุณแล้วนั่งลงบนเสื้อตัวนั้นตามคำเชิญของเขา แล้วเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลที่ไม่เคยหลับใหล แสงไฟจากเรือหาปลา ยังมองเห็นอยู่มากมายในท้องทะเลนั้น แล้วเธอก็ถามเขาว่า

“คุณเคยมาที่นี่ไหมคะ”

“ยังไม่เคยครับ ที่นี่คือที่ไหนครับ”

“หาดแม่รำพึง จังหวัดระยองค่ะ”

“ทำไมคุณถึงอยากมาที่นี่เล่าครับ”

รจนานิ่งไปสักครู่ ก่อนที่จะตอบว่า

“ฉันรู้สึกไม่สบายใจ จึงอยากมาหาที่สงบๆเพื่อปลดปล่อยอารมณ์”

“ถ้าคุณอยากจะระบายอารมณ์หรือความรู้สึกอัดอั้นตันใจ ผมสามารถเป็นหมอกำแพงให้คุณได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”

“หมอกำแพง หรือคะ ฉันไม่เคยได้ยิน คืออะไรหรือคะ?”

“หมอกำแพงคือคนที่ยินดีรับฟังความอัดอั้นตันใจของผู้ที่อยากระบาย โดยที่เขาจะทำตัวเสมือนกับเป็นกำแพงที่มีหน้าที่รับฟังและเก็บเป็นความลับ โดยไม่มีการซักถาม โต้เถียงแต่อย่างใด”

“จริงหรือคะ แล้วฉันจะขว้างแก้วขว้างจานใส่กำแพงให้เหมือนกับที่เห็นในภาพยนต์ได้ไหมคะ”

“นั่นไง แค่เริ่มรักษาอาการของคุณก็เริ่มดีขึ้นแล้ว”อองรีร้องออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มมีอารมณ์ที่ดีขึ้น “ลองเล่าให้ผมฟังสิครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น” กล่าวจบเขาก็นั่งยืดตัว หลังตรง หลับตาลงราวกับกำลังนั่งสมาธิ รจนาเห็นท่าทางของเขาเช่นนั้น ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาในทันที และระบายความรู้สึกออกมาในที่สุดว่า

“ทำไมพวกเขาจึงต้องดูถูกฉันด้วย ถึงแม้ฉันจะเป็นคนจน แต่ฉันก็ไม่เคยดูถูกใคร ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยหลอกลวงใคร เหมือนดังที่พวกเขาพากันกล่าวหาฉัน เพียงเพราะแค่ว่าฉันเกิดมาเป็นลูกของชาวนา พวกเขาก็มองว่าฉันต้องเป็นคนไม่ดีแล้วหรือ” รจนาพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกเจ็บปวดใจ ก่อนที่จะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “ฉันน่าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่แต่แรก เรามันคนจน ไม่น่าไปคบค้าสมาคมกับคนรวยเช่นพวกเขา ฉันเกลียดพวกเขา ฉันเกลียดพวกคนรวย.....”

อองรีลืมตาขึ้นมาในทันทีแล้วป้องปากตะโกนออกไปในทะเล เสียงดังลั่นว่า

“ฉันเกลียดคนรวย...”

รจนาเหลียวมองดูเขาด้วยความแปลกใจ อองรีกระตุ้นให้เธอทำอย่างเขาบ้าง เธอนึกสนุกจึงป้องปากและตะโกนออกไปในทะเลเช่นที่เขาทำ แต่อองรีกลับกระตุ้นว่า

“ตะโกนให้ดังกว่านี้อีกครับ”

รจนาทำตามอย่างว่าง่าย แต่อองรีก็ยังคงกระตุ้นให้ตะโกนให้ดังยิ่งขึ้นไปอีก รจนาตะโกนจนสุดเสียงได้สามครั้ง ก็ต้องหัวเราะออกมาพร้อมๆกับอองรี ด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“สบายใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมครับ”อองรีถามเมื่อทั้งสองคนควบคุมอาการหัวเราะเอาไว้ได้แล้ว รจนาพยักหน้าแล้วก็ยิ้มๆ เพราะยังรู้สึกอับอายในสิ่งที่เพิ่งได้กระทำลงไป จากนั้นรจนาก็เล่าให้เขาฟังถึงสิ่งที่เธอได้พบมาในการไปร่วมงานเลี้ยงของวัชรินทร์จนหมด

“ทำไมคุณถึงไม่ห้ามฉันนะ...”เธอกล่าวเสียงเบาๆหลังจากเล่าเรื่องให้เขาฟังจบแล้ว อองรีนั่งตัวตรงแล้วหลับตาลงอีกครั้ง เพื่อตั้งใจฟังเธอพูด “ถ้าคุณห้ามไม่ให้ฉันไป ฉันก็อาจจะไม่ไป แล้วก็คงไม่ต้องมานั่งเจ็บใจ เสียใจเช่นตอนนี้...”เธอเหลือบมองดูเขาที่ยังคงนั่งหลับตาสงบนิ่งราวกับรูปปั้น จึงเอื้อมมือออกไปเขย่าตัวเขาเบาๆแล้วกล่าวว่า

“นี่คุณ ลืมตาขึ้นมาได้แล้ว ฉันไม่อยากจะระบายกับกำแพงแบบนี้อีกแล้ว ลืมตาขึ้นมาคุยกับฉันตามปกติเถิด” อองรีลืมตาขึ้นมาอย่างว่าง่าย แล้วกระเซ้าว่า

“คุณจึงเป็นเหมือนซินเดอเรลล่า ที่ต้องหนีออกจากงานกลางคัน”

“แย่เสียยิ่งกว่า ซินเดอเรลล่ายังมีเวลาถึงเที่ยงคืน แต่ฉันมีเวลาไม่ถึงสี่ทุ่มด้วยซ้ำ”กล่าวจบแล้วเธอก็ถอนหายใจอย่างแรงพร้อมกับโน้มตัวลงไปกอดเข่าที่ยกชันขึ้นมา

“คุณเสียดายหรือครับ”

รจนาส่ายศีรษะช้าๆก่อนจะตอบว่า

“พี่วัชรินทร์พยายามที่จะเนรมิตให้ฉันเป็นเจ้าหญิงในอุดมคติของเขา แต่นั่นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของฉัน ฉันไม่ได้อยากเป็นเจ้าหญิง ฉันไม่ได้อยากมีเจ้าชายมาเคียงข้าง ฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการคนธรรมดาๆที่พร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างฉัน ในยามที่ฉันอับจนและต้องการกำลังใจอย่างที่สุด เท่านั้น”

รจนากล่าวแล้วก็รีบยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่ไหลรินออกมาอีกครั้ง อองรีมองดูสายตาของเธอที่มองฝ่าความมืดออกไปยังท้องทะเล เขามองเห็นหยาดน้ำตาที่สะท้อนกับแสงจันทร์เป็นประกายแวววาว แล้วก็บังเกิดความสงสารและเห็นใจขึ้นมาจนถึงที่สุด เขาค่อยๆยื่นมือออกไปช้าๆและเกาะกุมมือของเธอที่วางอยู่บนพื้นทรายไว้ รจนามีท่าทีตกใจเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้ชักมือกลับในทันที แต่กลับรับฟังสิ่งที่อองรีกล่าวออกมาด้วยความตั้งใจ

“ให้โอกาสผู้ชายธรรมดาคนนี้ ได้มีโอกาสที่จะยืนอยู่เคียงข้างคุณ แม้ในยามที่คุณรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังและต้องการกำลังใจอย่างที่สุด ได้ไหมครับ”

รจนาเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแล้วอยู่นิ่งๆเช่นนั้นเป็นเวลานานชั่วครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าตอบรับอย่างช้าๆพร้อมกับค่อยๆชักมือของเธอกลับออมาจากการเกาะกุมของเขา เธอกลบเกลื่อนอาการขวยอายด้วยการเปิดกระเป๋าค้นหาสิ่งของ ก่อนที่จะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาซับน้ำตา

“ลมคงพัดทรายมาเข้าตาของฉัน”เธอกล่าวแก้เกี้ยว ก่อนที่จะเก็บผ้าเช็ดหน้าลงในกระเป๋าดังเดิม แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปในทันทีว่า “กระเป๋าใบนี้คุณคงไม่เชื่อแน่ว่าราคาเท่าไร ชีวิตของฉันคงไม่มีปัญญาที่จะหาซื้อมาได้ด้วยตนเองแน่ แต่ถึงจะแพงแสนแพง ก็ยังไม่ค่อยถูกใจฉันสักเท่าไร”

“ทำไมหรือครับ” อองรีถามพร้อมกับมองกระเป๋ายี่ห้อฟรังซัวร์ที่เธอกอดไว้อยู่

“ถึงแม้คุณภาพของหนังและฝีมือการตัดเย็บจะดี แต่การออกแบบยังไม่ค่อยจะถูกใจฉันเช่น ไม่ค่อยจะมีช่องเล็กช่องน้อย ให้ใส่ของจุกจิกหรือเศษสตางค์ ทุกอย่างใส่รวมกันอยู่ในช่องเดียวกันหมด จะรื้อจะหาอะไรก็ยากลำบาก แล้วสายสะพายนี่ก็สั้นไปสักหน่อย เมืองไทยเมืองร้อน ควรจะทำสายสะพายให้ยาวกว่านี้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแนบติดกับลำตัวเกินไปนัก”

อองรีรับฟังเงียบๆด้วยความสนใจ โดยที่รจนานั้นไม่รู้ระแคะระคายสักนิดว่าทายาทเจ้าของกระเป๋าชื่อดัง ที่เธอกำลังพูดถึงอยู่นั้น กำลังนั่งอยู่ข้างๆเธอนั่นเอง

“ไหนขอผมดูหน่อยสิว่ามันไม่ดีตรงไหน”อองรีกล่าวพลางคว้ากระเป๋าถือใบนั้นมาเปิดดู แต่ยังไม่ทันไรรจนาก็รีบคว้ากลับไป พร้อมกับตีที่มือของเขาเบาๆหลายที

“นี่คุณจะมายุ่งอะไรกับข้าวของของฉัน”

“ก็คุณเล่นใส่อะไรทุกอย่างอยู่ในนั้นแล้วมันจะเหลือที่ให้คุณใส่เศษสตางค์ได้หรือ ดูสิแม้กระทั่งร่มพับคุณก็ยังใส่มา”

“ก็เผื่อว่าฝนจะตก”รจนาเถียงไม่ลดละ จนอองรีต้องส่ายศีรษะด้วยความเหนื่อยใจ

“กระเป๋าใบนี้เขาออกแบบมาให้ถือออกงานสำคัญๆ เพื่อเอาไว้ใช้ใส่ของที่จำเป็นเท่านั้น แล้วกระเป๋าออกงาน เขาใช้ถือ ไม่ได้ให้ใช้สะพายบ่าอย่างที่คุณทำ”

“ฉันทราบค่ะ ฉันเพียงแต่ออกความเห็นว่า ถ้าทำอย่างที่ฉันคิด บางทีจะสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งได้บ้าง อ้อฉันนึกออกแล้ว ฉันจะเอาแบบจากกระเป๋าใบนี้มาดัดแปลงเป็นการบ้านส่งอาจารย์ดีกว่า”

อองรีรับฟังความเห็นของเธอด้วยความสนใจ เขาเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลที่ยังคงมีเพียงแสงไฟสีเขียวจากเรือหาปลาที่ส่องสว่างเรืองรองอยู่ทั่วไป รจนาเห็นเขามองดูเรือเหล่านั้นด้วยความสนใจ จึงกล่าวว่า

“เรือจับปลาหมึกค่ะ ที่เขาต้องติดไฟให้สว่างไสวเช่นนั้น ก็เพื่อล่อให้มันมาเล่นแสงไฟ จะได้จับได้ง่ายๆ”

“ประเทศไทยนี่ดีจังนะครับ อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ออกทะเลไปไม่ไกลก็มีปลาให้จับแล้ว”

“เพราะเหตุนี้กระมังคะ ในอดีต ประเทศของคุณจึงได้อยากที่จะยึดประเทศของฉันนัก”

“คนสมัยก่อนเขาก็มีเหตุผลของเขา คนสมัยเราก็มีเหตุผลของเรา อย่าเอาเรื่องในอดีตมาเก็บไว้ให้ขุ่นข้องใจเลยครับ”

อองรีกล่าวจบได้ไม่นาน ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา รจนารีบเปิดกระเป๋าแล้วหยิบเอาร่มที่เธอติดตัวมาออกมากาง พร้อมกับกล่าวอย่างผู้ชนะว่า

“เห็นไหม เห็นหรือยังว่าทำไมฉันจึงต้องพกร่มติดตัว”

อองรีรับฟังแล้วก็ต้องอมยิ้มให้กับความน่ารักของเธอ รจนากางร่มขึ้นกันฝนแต่เนื่องจากร่มมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะกันให้คนทั้งสองได้ ที่บ่าข้างซ้ายของอองรีจึงต้องถูกละอองฝนจนเปียกปอน รจนาเห็นเช่นนั้น จึงบอกให้เขานั่งขยับเข้ามาใกล้เธอให้มากขึ้น แต่อองรีปฏิเสธโดยอ้างว่า ฝนตกไม่แรงเท่าใดนัก เดี๋ยวก็คงหยุด รจนาเมื่อเห็นอองรีต้องเปียกฝนเช่นนั้น จึงเป็นฝ่ายขยับตัวของเธอเองเข้าไปจนชิดกับเขา แล้วเอียงร่มออกให้บังฝนให้แก่เขาด้วยความเป็นห่วง อองรีมองดูการกระทำของเธอด้วยความซาบซึ้งใจ กลิ่นหอมอ่อนๆจากกายของเธอโชยเข้ามาให้เขาได้สูดดมเป็นระยะ ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันจนสามารถสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากกายของกันและกัน ได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ถ่ายทอดถึงกันและกัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาอันใดออกมา

ฝนตกได้ไม่นานก็หยุดลง รจนาหุบร่มลงแล้ววางไว้ข้างตัว แสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ส่องมายังพื้นทราย ทำให้มองเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆตัวหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกล เธอเอื้อมมือออกไปคว้ามันมาไว้แล้วปล่อยให้มันคลานเล่นในอุ้งมือของเธอ

“เราเรียกว่าปูเสฉวนค่ะ เป็นปูชนิดหนึ่งที่ต้องอาศัยเปลือกหอยกำบังกาย เมื่อตัวของมันโตขึ้น มันจะต้องเสาะหาเปลือกหอยอันใหม่ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อที่จะใช้อยู่อาศัยต่อไป”รจนากล่าวพร้อมกับส่งต่อให้แก่อองรีเบาๆ

“แล้วหอยสังข์เป็นอย่างไรครับ”

“คล้ายๆอย่างนี้ล่ะค่ะ แต่ใหญ่กว่ามาก”

“ใหญ่ขนาดเด็กเข้าไปซ่อนตัวอยู่ได้ใช่ไหมครับ”

รจนาหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อทราบว่าอองรีกำลังนึกถึงวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง

“คุณอ่านไปถึงไหนแล้วคะ”

“ถึงตอนถูกจับไปถ่วงน้ำแล้วครับ แต่อ่านตั้งนานแล้วยังไม่พบคุณสักที”

“พบฉัน?”รจนาเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย

“ผมหมายถึงนางเอกของเรื่องไงครับ เธอชื่อรจนาไม่ใช่หรือครับ”

รจนาหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ

“ค่ะ ใช่ค่ะ เดี๋ยวก็พบแล้ว ใจเย็นๆสิคะ ว่าแต่ทำไมคุณจึงได้สนใจวรรณคดีเรื่องนี้นักเล่าคะ”

“เพราะคุณ”อองรีตอบตรงๆทำเอารจนาถึงกับอึ้งก่อนจะถามว่า

“ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยหรือคะ”

“ไม่ใช่เพียงเพราะคุณมีชื่อว่ารจนาเหมือนกับนางเอกในเรื่องนี้เท่านั้นหรอกครับ แต่เรื่องนี้ได้มาสะกิดใจผม และผูกพันกับผมมาได้หลายปีแล้ว”

“ฉันไม่ค่อยเข้าใจ คุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่คะ”

“คุณเชื่อเรื่องจิต วิญญาณ ปาฏิหารย์หรือเรื่องเหนือธรรมชาติบ้างไหมครับ”

“ก็เชื่อบ้างแต่ไม่ถึงกับงมงาย”

“ถ้าเช่นนั้น ลองฟังเรื่องที่ผมจะเล่านะครับและผมขอสาบานว่า ทุกสิ่งที่ผมกำลังจะเล่านี้ เป็นความจริงทุกประการ”

รจนารู้สึกแปลกใจในท่าทีเอาจริงเอาจังของอองรียิ่งนัก จึงรับปากกับเขาและฟังเรื่องราวที่เขาเล่าด้วยความตั้งใจ

“หลายปีก่อนคุณอาศักดาและอาจารย์นงนุชซึ่งเป็นเพื่อนกับพ่อของผม ได้ไปเยี่ยมพ่อที่ฝรั่งเศส และได้ซื้อตุ๊กตาปูนปั้นรูปเจ้าเงาะป่า จากเมืองไทยไปฝากผมตัวหนึ่ง ผมวางมันไว้บนโต๊ะทำงานของผม เพื่อใส่ดินสอปากกา โดยไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าตุ๊กตาตัวหนึ่ง ต่อมาผมเริ่มฝัน ฝันถึงผู้หญิงไทยคนหนึ่ง เธอมักจะสวมใส่เสื้อผ้าสมัยโบราณ แบบที่คุณใส่ขณะแสดงดนตรี ผมฝันเห็นเธอบ่อยๆ จนเกิดความสนใจในตัวเธอ อยากจะเสาะแสวงหาว่าเธอเป็นใคร อยากจะรู้จักกับเธอ เธอมักจะมาปรากฏกายในความฝันของผมพร้อมกับไอหมอกจางๆและกลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่อบอวล ในความฝันนั้น ผมไม่เคยเห็นใบหน้าของเธอชัดๆแม้สักครั้งเดียว คงเห็นแต่ท่าเดินเนิบๆช้าๆแต่งามสง่าดั่งนางพญาของเธอ ในมือของเธอมักจะถือดอกกุหลาบดอกหนึ่ง ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลเข้ามาในความฝันของผม”

“คุณคิดว่าเธอมีตัวตนจริงๆหรือคะ”รจนาถามด้วยความสนใจ

“ใช่ครับ ผมจึงตัดสินใจมาเมืองไทย และวันที่ผมได้พบกับคุณครั้งแรกที่ร้านขายต้นไม้นั้น ผมรู้ได้ทันทีว่าเป็นคุณนั่นเองที่ผมเฝ้าตามหา วันนั้นวันที่ผมได้พบคุณผมได้กลิ่นหอมของกุหลาบอบอวลไปหมด เหมือนกับที่ผมได้กลิ่นนั้นในความฝัน และผมได้กลิ่นทุกครั้งที่พบกับคุณ”

“ฉันไม่เคยใช้น้ำหอมนะคะ”

“ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมครับ และเมื่อผมทราบว่าคุณชื่อรจนา ก็ยิ่งทำให้ผมเกิดความสงสัยในความเชื่อมโยงมากขึ้น รูปปั้นเจ้าเงาะกับผู้หญิงที่ชื่อรจนา นางในวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง”

“แต่ในเรื่องสังข์ทอง ไม่มีดอกกุหลาบมาเกี่ยวสักหน่อย”รจนาพยายามแย้ง แม้ว่าในใจของเธอนั้นจะเชื่อในสิ่งที่เขาเล่ามากกว่าที่จะไม่เชื่อ

“ผมก็ไม่ทราบว่าดอกกุหลาบมาเกี่ยวข้องอันใดด้วย แต่ทุกครั้งที่ผมเห็นดอกกุหลาบ มันทำให้ผมนึกถึงแต่คุณขึ้นมา”

รจนาใจหายวาบขึ้นมาในทันที เสียงเพลงที่บ้านของวัชรินทร์ที่ได้ฟังในตอนหัวค่ำ กลับมาดังก้องในโสตประสาทของเธออีกครั้ง

“...สัญญาสิ สัญญากับฉันว่า ทุกครั้งที่เธอได้เห็นดอกกุหลาบ เธอจะคิดถึงแต่ฉัน...”

แล้วรจนาก็รู้สึกตัวว่าเสียงเพลงนั้น ไม่ได้ดังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอ แต่มันดังขึ้นมาจริงๆจากที่เธอนั่งอยู่ เธอเหลียวไปดูอองรี ที่ถือโทรศัพท์มือถือของเขาที่กำลังเล่นเพลงนี้อยู่

“ทุกครั้งที่ผมได้ยินเพลงนี้ ผมจะนึกถึงแต่คุณและผู้หญิงในฝันของผม”

อองรีกล่าวอย่างจริงจัง จนรจนารู้สึกสะท้านในใจขึ้นมาทันที เพราะเธอเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเขา ทุกครั้งที่เธอเห็นดอกกุหลาบหรือได้ยินเพลงนี้แล้ว เธอจะต้องคิดถึงเขาขึ้นมาในทันทีเช่นกัน อองรียังคงกล่าวอย่างเคร่งขรึมต่อไปว่า

“คุณเคยรู้สึกไหมครับว่า การที่เราได้พบกับใครบางคนที่แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่กลับมีความรู้สึกผูกพันกันเหมือนกับว่า รู้จักกันมานานแล้ว”

“คุณหมายความว่าอย่างไรคะ”รจนากล่าวพร้อมกับรู้สึกว่าเส้นขนลุกชันขึ้นมาในทันที เพราะเธอเองก็มีความรู้สึกเช่นนั้นไม่ต่างไปจากเขาเช่นกัน

“ผมรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนั้น เธอไม่ใช่เป็นเพียงผู้หญิงในความฝัน แต่เธอเป็นผู้หญิงในความทรงจำของผม” รจนาสบตากับเขาครั้งหนึ่งด้วยความรู้สึกราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์ ก่อนที่อองรีจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบต่อไปว่า

“ เป็นไปได้ไหมครับว่าในอดีต เราเคยเอ้อ...เราเคย...รู้จักกัน”

“นั่นไง มุกจีบผู้หญิงของคุณล่ะสิ”รจนาพยายามกล่าวอย่างมีอารมณ์ขัน แม้ว่าจะคล้อยตามความคิดของเขาเช่นกัน เธอไม่กล้าที่จะสบตากับเขาตรงๆ ได้แต่บ่ายเบี่ยงสายตาออกไปยังท้องทะเล ที่บัดนี้ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นมาจากขอบฟ้าแล้ว

“ดูสิคะ ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้น สวยจังเลย”

จากนั้นทั้งสองคนก็ถอดรองเท้าออกแล้วชวนกันเดินเล่นเคียงกันบนชายหาดอย่างมีความสุข บางขณะรจนาหยิบกิ่งไม้มาขีดลงบนพื้นทรายให้เป็นช่องสี่เหลี่ยมหลายๆช่อง แล้วกระโดดขาเดียวไปตามช่องนั้นอย่างสนุกสนาน ราวกับกลับไปเป็นเด็กๆอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะหันมากล่าวกับอองรีที่ยืนมองดูว่า

“ลองเล่นไหมคะ ของเล่นของเด็กบ้านนอกเช่นฉัน”

อองรีนึกสนุกและอยากลองเล่นด้วย รจนาจึงสอนให้เล่นโดยหยิบเปลือกหอยแถวนั้น แทนเบี้ยแล้วโยนลงไปในแต่ละช่อง ก่อนที่จะกระโดดขาเดียว เข้าไปเก็บเบี้ยนั้น อองรีใช้เวลาศึกษาทำความเข้าใจไม่นานก็สามารถเล่นได้และอาศัยความเป็นผู้ชายที่ปราดเปรียวกว่า จึงสามารถเอาชนะรจนาได้อย่างง่ายดาย

จากนั้นทั้งสองคนจึงชวนกันเดินไปร้านอาหารเพื่อหาอาหารเช้าทาน มีร้านขายข้าวแกงร้านหนึ่งที่มีหม้อแกงตั้งอยู่เรียงรายหลายใบที่หน้าร้าน รจนาจึงหันมาถามอองรีว่าเขาอยากทานอะไร อองรีกระซิบถามเธอเบาๆว่า

“ไข่ดำๆที่แช่อยู่ในน้ำดำๆนั้น เรียกว่าอะไรครับ”

“ไข่พะโล้ค่ะ”รจนาต้องกลั้นหัวเราะในคำถามของเขา

อองรีสั่งข้าวราดไข่พะโล้ แล้วยกจานอาหารมานั่งทานที่โต๊ะ ก่อนจะเล่าว่า

“ผมเคยสั่งทานที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย แต่แม่ค้าพากันหัวเราะใหญ่”

“ทำไมหรือคะ”

“ผมสั่งว่า ไข่ดำ เขาจึงหัวเราะเอา”

รจนาพยายามที่จะกลั้นหัวเราะเพราะเกรงว่าเขาจะอับอาย อองรียังคงถามอีกว่า

“แล้วไข่ที่มีน้ำหวานๆราด เรียกว่าอะไรครับ”

“ไข่ลูกเขยค่ะ”

“มิน่า แม่ค้าถึงหัวเราะเอาตอนผมไปสั่งว่าไข่เชื่อม ภาษาไทยนี่เรียนยากนะครับ”

“คุณพูดได้ขนาดนี้ ต้องเรียกว่าเก่งแล้วล่ะคะ คุณชอบทานไข่มากหรือคะ ฉันเห็นเวลาทานข้าวแกงทีไรคุณมักจะทานแต่ไข่ทุกที”

“ผมว่าเมืองไทยทำไข่ได้หลากหลายดี ที่บ้านผม มีแต่ไข่กวน ไข่เจียว ไข่ทอด แค่นั้น แต่ที่เมืองไทย มีไข่มากมายหลายแบบ และล้วนแต่อร่อยๆทั้งนั้น”

เมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็เที่ยวเล่นและถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน แต่เมื่ออองรีพยายามขอถ่ายรูปคู่กับเธออีกครั้ง เธอก็ตอบปฏิเสธเช่นเคย โดยให้เหตุผลว่า

“ถ้าคนอื่นเกิดบังเอิญมาเห็นรูปนี้เข้า ฉันจะเสียหายได้นะคะ”

“จะเสียหายได้อย่างไร เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แค่มาเที่ยวด้วยกัน มาถ่ายรูปคู่กัน จะเสียหายตรงไหน” อองรีพยายามแย้งด้วยเหตุผล

“ที่นี่คือประเทศไทยนะคะ คุณจะคิดแบบที่บ้านของคุณไม่ได้ แม้กายของเราจะบริสุทธิ์ ใจของเราจะบริสุทธิ์ นั่นยังไม่พอ ภาพพจน์ของเราต้องบริสุทธิ์ด้วย ถ้าใครเขารู้ว่าฉันมาอยู่กับคุณทั้งคืน เขาจะมองฉันเช่นไรกันคะ”

อองรียอมรับและเคารพในเหตุผลของเธอ ทั้งสองอยู่เที่ยวเล่นด้วยกันจนกระทั่งบ่าย จึงได้เดินทางกลับกรุงเทพฯด้วยความเบิกบานใจ แตกต่างจากตอนขามาอย่างสิ้นเชิง รจนาปฏิเสธไม่ให้อองรีไปส่งเธอที่หอพัก เพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าเธอไปกับเขามาทั้งคืน และเมื่อเธอเดินเข้าประตูหอพักเข้ามานั้น วัชรินทร์ก็ก้าวลงมาจากรถของเขาที่จอดคอยอยู่แล้วตรงมาหาเธอด้วยความไม่พอใจ

“รจ หายไปไหนมาทั้งคืน”

“รจขอโทษค่ะที่ออกมาจากบ้านโดยไม่ได้ร่ำลา”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่รจไปอยู่ที่ไหนมาทั้งคืน หอพักก็ไม่ได้กลับ รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงเพียงใด”

“รจขอโทษค่ะ พี่รอรจสักครู่ได้ไหมคะ ขอรจขึ้นไปทำธุระสักไม่เกินยี่สิบนาทีแล้วรจจะรีบลงมาค่ะ”

เธอรู้สึกโล่งใจที่ปลีกตัวออกมาได้และรีบขึ้นห้องมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที เธอนำข้าวของส่วนตัวออกจากกระเป๋าถือใบนั้น ก่อนที่จะบรรจุมันและรองเท้าลงกล่องตามเดิม จากนั้นจึงนำของทั้งหมดลงมาส่งคืนวัชรินทร์ที่รออยู่ข้างล่าง ที่รับของเหล่านั้นคืนมาด้วยสีหน้าแคลงใจ

“รจขอโทษค่ะ รจไม่อาจรับของเหล่านี้ไว้ได้ ไม่ว่าพี่จะพยายามปั้นแต่งให้รจเป็นเช่นใด แต่รจก็คือลูกชาวนาจนๆวันยังค่ำ ไม่มีทางที่รจจะเป็นลูกสาวเจ้าของโรงสีได้หรอกค่ะ”

“รจ รจโกรธพี่เรื่องนี้หรือ”

“รจได้ยินที่คุณแม่ของพี่พูดกับพี่หมดแล้วค่ะ รจทราบดีและไม่เคยลืมว่าตนเองเป็นใคร อย่าพยายามดึงรจให้สูงกว่าที่รจเป็นเลยนะคะ รจขอโทษที่ทำให้พี่กับคุณแม่ต้องมีปากเสียงกัน ฝากกราบขออภัยท่านด้วยนะคะ”

เธอกล่าวจบแล้วก็รีบหันหลังเดินขึ้นตึกไปในทันที โดยไม่ได้เหลียวกลับมาดูวัชรินทร์อีกเลย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา