มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  25.83K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) บทที่ 7

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 7

อองรีและรจนาผลัดกันถ่ายรูปให้กันและกันอย่างสนุกสนาน ที่แปลงดอกไม้อันสวยงามของสวนสามพรานด้วยกล้องจากโทรศัพท์มือถือของอองรี ขณะที่อีกมุมหนึ่งนั้น วัชรินทร์นั่งหน้าบึ้งตึงโดยมีกุลวดีนั่งอยู่เป็นเพื่อน มองดูความสนิทสนมของทั้งสองคนด้วยความไม่สบายใจ อองรีถ่ายรูปได้สักพัก ก็หันมาตะโกนชวนวัชรินทร์และกุลวดี ให้มาถ่ายรูปร่วมกัน แต่ทั้งสองคนปฏิเสธ อองรีจึงหันมาชวนรจนาว่า

“เรามาถ่ายรูปคู่กันดีไหมครับ”

“ไม่ดีกว่าค่ะ” รจนาตอบปฏิเสธการถ่ายรูปคู่เช่นเคยด้วยความนุ่มนวล ซึ่งอองรีก็เข้าใจในความกังวลของเธอเพราะถูกปฏิเสธจนเคยชินเสียแล้ว จึงไม่ได้รบเร้าอีกต่อไป ได้แต่เปิดดูภาพถ่ายที่ถูกถ่ายและเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือด้วยความพึงพอใจ และเมื่อรจนาเอ่ยปากขอดูบ้าง เขาก็ส่งโทรศัพท์ให้กับเธอพร้อมกับสอนวิธีเลื่อนรูปภาพเพื่อที่จะดูภาพถัดไปให้แก่เธอ

รจนาเลื่อนดูรูปภาพไปเรื่อยๆ บางภาพก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะไปกับท่าทางของเขา ต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดตัวลอย การทำหน้าบูดบึ้ง การทำตาเข เป็นต้น เธอเลื่อนภาพไปเรื่อยๆ จนหมดภาพที่ถ่ายในวันนี้ และเมื่อเลื่อนต่อไปก็ปรากฏภาพที่เขาถ่ายในวันก่อนๆ ภาพที่ถ่ายยามค่ำคืนของกรุงเทพฯจากบนชิงช้าสวรรค์ ภาพพระปรางค์วัดอรุณ ในการพบกันวันแรกที่เธอพาเขาเที่ยว ไล่ย้อนเรื่อยไปจนถึงภาพที่เธอถ่ายคู่กับเขาที่ร้านอาหารหลังจากที่เธอแสดงดนตรีเสร็จ ซึ่งนั่นเป็นภาพคู่ภาพเดียว ที่อองรีได้ถ่ายคู่กับเธอและเป็นภาพแรกที่ทั้งสองคนได้รู้จักกัน

วัชรินทร์ได้แต่นั่งมองดูความสนิทสนมที่รจนามีให้แก่อองรีด้วยความรู้สึกน้อยใจ ทั้งๆที่เขาเป็นฝ่ายชวนเธอมาเที่ยวในวันหยุดเช่นนี้แท้ๆเพื่อหวังที่จะสร้างความสนิทสนมกับเธอให้มากขึ้น แม้รจนาจะมีข้อเสนอว่าเธอขออนุญาตพาเพื่อนมาด้วย ซึ่งตอนแรกเขาก็เข้าใจว่าจะเป็นกุลวดี จึงไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด แต่การณ์กลับเป็นว่ามีอองรีมาร่วมด้วยอีกคน และป็นอองรีที่ช่วงชิงเวลาและความสำคัญของรจนา ไปจากเขาจนหมด

“ดูท่าทางน้องรจ จะสนิทสนมกับอองรีมากนะ”วัชรินทร์ปรับทุกข์กับกุลวดี ที่ได้แต่อ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบเช่นไร จะพูดความจริงก็กลัวว่าเขาจะเสียใจ ครั้นจะโกหกภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าก็ฟ้องอยู่ตำตา วัชรินทร์เห็นว่ากุลวดีไม่ได้ตอบคำถามของเขา จึงกล่าวต่อไปว่า

“พวกเขารู้จักกันได้อย่างไร”

“เห็นว่าเป็นคนที่รจเคยนำเที่ยว”

“พวกสะพายเป้เที่ยวนะหรือ”

“คงทำนองนั้นมังคะ”

“แล้วทำไมถึงได้มาเรียนที่นี่ได้”

“คงจะหลงเสน่ห์ยายรจของเราจนหัวปักหัวปำ แล้วอาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศสยังฝากฝังให้ยายรจช่วยดูแลอีกด้วย”

“จริงหรือ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้”

“อาจารย์นงนุชแกเห็นว่ารจสนิทสนมกับอองรีดี จึงฝากฝังให้เธอช่วยดูแลนักศึกษาต่างชาติคนนี้”

วัชรินทร์รู้สึกดูถูกพื้นเพของอองรีขึ้นมาในทันที และรู้สึกแปลกใจว่ารจนาไปให้ความสำคัญกับคนประเภทนี้ได้อย่างไร ไม่ว่าจะเปรียบเทียบฐานะ การศึกษา หน้าที่การงานแล้ว เขาเหนือกว่าอองรีในทุกๆด้าน แต่ทำไมเธอถึงไม่เคยให้ความสนิทสนมกับเขา เหมือนดังที่ให้กับอองรีเลย

“พี่หมออย่าเพิ่งเสียใจไปเลยนะคะ ยายรจเธอก็เป็นของเธอเช่นนี้แหละคะ”กุลวดีกล่าวปลอบใจเมื่อเห็นอาการซึมเศร้าของเขา

“เธอเป็นเช่นไรหรือ?”

“ถ้าใครก็ตามที่คิดจะมาจีบเธอๆจะทำเป็นไม่สนใจใยดี ใจแข็งเสียจนหนุ่มๆหลายคนต้องล้มเลิกความตั้งใจไป”

“จริงหรือ?”

“จริงสิคะ ยายรจนะ อ่านใจยากจะตายไป ขนาดกุลรู้จักกับเธอมาตั้งแต่เด็กๆ บางครั้งก็ยังไม่เข้าใจในการกระทำของเธอ บางทีสิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่ตัวตนจริงๆของเธอก็ได้นะคะ”

ขากลับจากสวนสามพราน วัชรินทร์จงใจที่จะไปส่งอองรีที่หอพักของเขาก่อน จากนั้นจึงตั้งใจจะพารจนาและกุลวดีไปทานอาหารเย็น แต่รจนาบ่ายเบี่ยง อ้างว่าเธอเหนื่อยและอยากจะพักผ่อน กุลวดีจึงต้องช่วยเกลี้ยกล่อมว่าให้ไปหาอะไรทานกันก่อน จะได้ไม่ต้องออกมาอีกครั้งหนึ่ง รจนาไม่อาจขัดใจและรู้สึกเกรงใจวัชรินทร์ จึงจำยอมไปด้วย

วัชรินทร์พาไปทานอาหารที่ร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่งที่ย่านคลองตัน รจนามองดูรายการอาหารและราคาแล้วก็ได้แต่ตกใจและไม่กล้าที่จะสั่ง อาหารบางชนิดราคาเกือบเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนที่เธอได้รับมาจากทางบ้านทีเดียว เธอจึงปิดรายการอาหารแล้วบอกกับวัชรินทร์ว่า

“พี่หมอสั่งเถิดค่ะ รจทานได้ทั้งนั้น”

วัชรินทร์จึงเริ่มสั่งอาหาร ระหว่างที่รออาหารอยู่นั้น กุลวดีก็ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ รจนาจะขอตามไปด้วย แต่กุลวดีได้ห้ามไว้ แล้วบอกว่า

“ผลักกันไปทีละคนสิยายรจ จำที่พ่อแม่ของพวกเราสอนไม่ได้หรือไง”

รจนาจำต้องให้กุลวดีไปเข้าห้องน้ำก่อนส่วนตัวเธอต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารตามลำพังสองคนกับวัชรินทร์ วัชรินทร์เมื่อเห็นว่ากุลวดีเปิดทางให้ตนเช่นนั้น ก็ไม่รีรอที่จะหาโอกาสคุยกับรจนาเพื่อให้เกิดความสนิทสนมมากขึ้น

“น้องกุลเธอพูดเรื่องอะไรหรือครับ ที่ว่าพ่อแม่สอนเอาไว้”

“เอ้อ...ยายกุลเธอพูดเล่นน่ะค่ะ”รจนากล่าวอ้อมแอ้ม

“เรื่องอะไรหรือครับ พี่อยากรู้จริงๆ”

“คือพ่อแม่ของพวกเราสอนไว้ก่อนที่เราจะมาเรียนที่กรุงเทพฯค่ะ ว่าอย่าเที่ยวไว้ใจใครเช่น อย่าทิ้งแก้วน้ำที่เราดื่มไว้ตามลำพัง เพราะอาจจะโดนใส่ยานอนหลับได้”

“เป็นคำสอนที่ดีนะ” วัชรินทร์กล่าวหลังจากหัวเราะออกมา “น้องรจต้องจำเอาไว้เสมอนะ ยิ่งกับคนต่างชาติที่ไม่ใช่พวกเราด้วยแล้ว เราไม่รู้ถึงกำพืดตลอดจนนิสัยใจคอของเขามาก่อนว่าเป็นเช่นไร”

“พี่หมอหมายถึงอองรีหรือคะ”รจนาเริ่มเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจ

“เปล่าจ้ะ พี่หมายถึงคนทั่วไปเพราะพี่เห็นว่าน้องรจต้องทำงานเป็นไกด์กับชาวต่างชาติบ่อยๆ พี่จึงรู้สึกเป็นห่วง”

“ขอบคุณคะที่เป็นห่วง แต่รจดูแลตัวเองได้และรจก็ระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ” รจนากล่าวขณะที่สายตาก็สอดส่ายหากุลวดีว่าเมื่อไรจะกลับมานั่งที่โต๊ะดังเดิม

“แล้วเรื่องงานเลี้ยงที่บ้านของพี่ในวันเสาร์หน้านี้ ตกลงรจจะรับปากพี่ได้หรือยังครับ”

“รจคิดว่าพี่หมอควรจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงกับญาติๆพี่น้องตามลำพังของครอบครัวของพี่น่าจะดีกว่า ให้รจซึ่งเป็นคนนอกมาร่วมด้วยนะคะ”

“พี่ไม่เคยคิดว่ารจเป็นคนนอกหรือคนอื่นไกลเลยนะ พี่อยากให้รจไปร่วมงานเพื่อเป็นกำลังใจให้พี่”

“แค่ไปทำงานต่างจังหวัดใช้ทุนแค่นี้ ต้องการกำลังใจด้วยหรือคะ”

“ใช่สิจ๊ะ พี่จะเอาแรงกายแรงใจที่ไหนมาทำงาน ถ้ารจไม่ให้กำลังใจพี่”

“รจจะเป็นกำลังใจให้พี่หมอเสมอค่ะ เพราะรจทราบดีว่าสิ่งที่พี่หมอทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวชนบทที่ยังลำบากยากไร้อยู่”

“ถ้าเช่นนั้น รจต้องรับปากพี่นะ วันเสาร์หน้าพี่จะมารับรจไปร่วมงานที่บ้านของพี่”

รจนากลับมาถึงหอพัก ก็รู้สึกคิดถึงอองรีขึ้นมาในทันที ปกติแล้วถ้าไม่ติดธุระอันใด เธอจะมีนัดทานข้าวกับเขาเกือบทุกวัน วันนี้ เมื่อเธอไม่ได้อยู่ทานข้าวกับเขา จึงทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ เธออยากจะโทรไปหาเขา แต่ติดที่กุลวดีอยู่ในห้องด้วย แต่เมื่อกุลวดีหยิบเสื้อผ้าเพื่อไปอาบน้ำ เธอก็กลับรู้สึกไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายโทรไปหาเขา ด้วยความรู้สึกละอายใจว่า ยังไงเสียตัวเองก็เป็นผู้หญิงจะเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาผู้ชายก่อน ก็ดูจะกระไรอยู่ แต่ด้วยความที่คิดถึงเขามาก เธอจึงตัดสินใจ พิมพ์ข้อความส่งไปหาเขา

“สวัสดีค่ะ ทานข้าวหรือยังคะ”

ชั่วอึดใจเดียว อองรีก็โทรกลับมา

“กลับมาแล้วหรือครับ”

“ฉัน...เอ้อ..ฉันเพิ่งกลับจากทานข้าว”

“กับคุณหมอวัชรินทร์ใช่ไหมครับ”

“ค่ะ แล้วคุณล่ะคะ ทานข้าวหรือยัง”

“ผมทานบะหมี่ของเจ้าชายองค์ที่สี่ ในตลาดที่คุณเคยพาไป”

“ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยวค่ะ”รจนากล่าวแล้วก็หัวเราะเบาๆ

“ครับ ร้านนั้นถูกแล้วครับ แล้วคุณล่ะครับ ไปทานที่ไหนมา”

“พี่วัชรินทร์พาไปทานที่แถวคลองตัน ราคาแพงมากเชียวค่ะ ทานสามคนหมดไปตั้งสองพันกว่าบาท”

“เขาคงอยากจะเอาใจคุณกระมังครับ”

รจนานิ่งอึ้งไม่รู้จะตอบเช่นไร ใจหนึ่งก็เกรงว่าอองรีจะเสียใจ แต่อองรีกลับตอบกลับมาด้วยความมั่นใจว่า

“ไม่ว่าอย่างไร ผมจะไม่มีวันยอมแพ้ ยิ่งมีคนมาชอบคุณมากเท่าไร ผมก็ยิ่งมั่นใจในตัวคุณมากเท่านั้น”

รจนารับฟังด้วยความปลาบปลื้มในดวงใจ มือที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นสั่นระริก ก่อนที่จะพูดออกไปด้วยความยากลำบากว่า

“อองรีคะ แค่นี้ก่อนนะคะ ยายกุลกลับเข้ามาแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะคะ”

วันต่อมา ขณะที่รจนากำลังนั่งอยู่กับอองรีที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ ที่มหาวิทยาลัยอยู่นั้น กุลวดีก็เดินเข้ามาแล้วกวักมือเรียกให้เธอออกไปหา รจนาจึงลุกขึ้นแล้วเดินตามไปด้วยความสงสัยในท่าทางของเพื่อนรัก

“พี่หมอโทรมาบอกว่าจะมารับเธอไปซื้อเสื้อผ้า”

“ซื้อเสื้อผ้า ซื้อทำไมหรือ?” รจนาถามด้วยความสงสัย

“ก็ที่เธอจะไปงานเลี้ยงของเขาในคืนวันเสาร์นี้ไง”

“ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วยหรือ?”

“เอาเถอะ เขาอยากจะซื้อให้ก็อย่าไปขัดใจพี่เขาเลย เตรียมตัวเถิด เดี๋ยวพี่เขาจะมาแล้ว ฉันไม่อยากให้รถไฟต้องชนกัน”

“บ้า เธอนี่พูดอะไร รถฟงรถไฟที่ไหนกัน”

รจนาตำหนิเพื่อนแล้วเดินกลับไปยังม้านั่งตัวเดิมที่อองรีนั่งอ่านหนังสือแสร้งทำเป็นไม่สนใจอยู่ เธอนั่งลงตรงข้ามกับเขาแล้วกล่าวหยั่งเชิงว่า

“เดี๋ยวพี่วัชรินทร์จะมารับฉันไปซื้อของ”

อองรีเงยหน้าขึ้นมองเธอครั้งหนึ่งก่อนที่จะก้มหน้าลงไปอ่านหนังสือตามเดิม โดยไม่กล่าวอันใด

“คุณอยากไปด้วยกันไหมคะ”

“เขาไม่ได้ชวนผม”เขาตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่าน “และอีกอย่างผมยังมีเรียนอีกวิชาหนึ่ง”

รถเก๋งของวัชรินทร์แล่นเข้ามาจอดที่ข้างทาง รจนาจึงกล่าวกับอองรีว่า

“ถ้าเช่นนั้น ฉันไปก่อนนะคะ”

อองรีไม่ตอบ ไม่มองมาที่เธอแม้แต่น้อย รจนาได้แต่เดินจากมาอย่างเงียบๆ เพื่อที่จะไปขึ้นรถของวัชรินทร์ที่จอดรออยู่ แต่เมื่อเธอเดินไปได้ 2-3 ก้าว อองรีก็กล่าวขึ้นว่า

“กลับมาทานข้าวเย็นกับผมนะ”

รจนายิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะรับปากกับเขาแล้วจึงเดินไปขึ้นรถของวัชรินทร์ที่ติดเครื่องรออยู่ เธอขึ้นไปนั่งในรถแล้วแต่ยังคงมองดูอองรีซึ่งนั่งหันหลังให้เธอโดยที่เขาไม่ได้หันมามองดูเธอแม้แต่น้อย จนกระทั่งรถที่เธอนั่งแล่นห่างออกไปในที่สุด

วัชรินทร์พารจนาไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ศูนย์การค้าที่หรูหรา จนรจนารู้สึกลำบากใจ เพราะเสื้อผ้าแต่ละชิ้นที่จำหน่ายนั้น ล้วนเป็นสินค้ามียี่ห้อจากต่างประเทศทั้งสิ้น และมีราคาแพงจนเธอไม่กล้าที่จะหยิบหรือจับขึ้นมาดู เพราะเกรงว่ามืออันต่ำต้อยของเธอจะทำให้ของที่หรูหรามีราคาเหล่านั้น ต้องเสียหายไป เธอเดินเข้าเดินออกอยู่หลายร้าน ก็ยังไม่สามารถหาเสื้อผ้าที่มีราคาเหมาะสมกับเธอได้ จนกระทั่งมาสะดุดตาที่ชุดเสื้อกระโปรงติดกัน สีโอลด์โรสตัวหนึ่ง ที่แม้จะดูไม่หรูหรามากนัก แต่เมื่อเห็นป้ายราคาเธอก็ต้องถอนหายใจเบาๆและปล่อยมือลงอีกครั้ง วัชรินทร์เห็นอาการของเธอเช่นนั้นหลายครั้งหลายหน จึงได้บอกแก่พนักงานขายว่า เขาต้องการให้รจนาได้ลองเสื้อผ้าชุดนี้

รจนารับเสื้อผ้าชุดนั้นมาจากพนักงานขายก่อนที่จะเดินตามเธอไปยังห้องลองเสื้อ เธอลองสวมใส่ชุดนั้นอยู่ในห้องลองเสื้อและพบว่าได้ขนาดกับเรือนร่างของเธอพอดี เธอมองภาพของตัวเองในกระจกด้วยความปลื้มใจและอยากจะเก็บภาพนี้เอาไว้ในความทรงจำนานๆ เพราะคิดว่าชีวิตนี้ เธอคงไม่มีโอกาสได้สวมใส่เสื้อผ้าที่งดงามเช่นนี้อีกแล้ว เธอมองดูภาพในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถอดออกและกลับไปใส่ชุดเดิมที่เธอใส่มา แล้วออกไปพบกับวัชรินทร์ที่ดูท่าทางจะผิดหวังที่ไม่ได้เห็นเธอสวมใส่ชุดที่สวยงามนั้นออกมาให้ดู แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเอ่ยถามว่า

“พอดีไหมครับ”

“ค่ะ”รจนาตอบพร้อมกับส่งคืนเสื้อผ้าที่พับอย่างเรียบร้อยคืนให้กับพนักงานขาย วัชรินทร์สั่งให้พนักงานผู้นั้นนำเสื้อผ้าชุดนั้นไปใส่ห่อ โดยที่รจนาไม่อาจจะทักท้วงได้ทัน

“ราคามันแพงมากนะคะพี่หมอ”

“ไม่เป็นไร ถือว่าพี่ให้น้องรจเป็นของขวัญก็แล้วกัน”

“รจสิต้องเป็นฝ่ายให้ของขวัญแก่พี่ไม่ใช่หรือคะ”

“เอาเถิด แค่น้องรจรับปากว่าจะมางานของพี่ พี่ก็ดีใจยิ่งกว่าได้ของขวัญชิ้นใดแล้ว”

จากนั้นวัชรินทร์ก็พาไปเลือกซื้อกระเป๋าและรองเท้า เพื่อให้เข้าชุดกัน จนกระทั่งได้เวลาเย็น เขาจึงพาเธอไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง รจนาเหลือบมองดูนาฬิกาด้วยความไม่สบายใจ เพราะคิดว่าป่านนี้อองรีคงกำลังนั่งรอที่จะทานอาหารเย็นกับเธอตามที่ได้นัดกันไว้ ก่อนหน้านี้เธอพยายามที่จะปฏิเสธคำชวนของวัชรินทร์แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเวลาเย็นมากแล้ว และที่ต้องเสียเวลานานก็เป็นเพราะเธอเองที่เป็นฝ่ายเสียเวลาเลือกซื้อข้าวของแต่ละชิ้นอยู่เป็นเวลานาน จนรู้สึกเกรงใจวัชรินทร์ที่เฝ้าอดทนติดตามการซื้อของๆเธอ

เมื่ออยู่ที่ร้านอาหาร รจนาได้ขอตัวมาทำธุระที่ห้องน้ำ แล้วก็ถือโอกาสโทรไปหาอองรีในทันที อองรีรับสายด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเสียใจ เมื่อเธอบอกว่าไม่สามารถกลับมาทานอาหารเย็นกับเขาตามที่ได้นัดกันไว้ได้

“คุณอยู่กับเขาใช่ไหมครับ?”อองรีถามตรงๆ

“ค่ะ”รจนาตอบแบบไม่สู้จะเต็มเสียงนัก

“ไม่เป็นไรครับ ทานอาหารให้อร่อยนะครับ”

กล่าวจบแล้วอองรีก็วางสายลงในทันที ทำเอารจนารู้สึกผิดขึ้นมาในทันทีว่าเธอกำลังทำให้เขาเสียใจ เพราะทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์กัน อองรีจะเป็นฝ่ายรอให้เธอวางสายก่อนเสมอ ไม่เคยแม้สักครั้งเดียวที่เขาจะเป็นฝ่ายวางสายก่อนเช่นครั้งนี้ รจนารู้สึกลำบากใจขึ้นมาในทันทีและในที่สุดก็ตัดสินใจเดินออกไปร่วมรับประทานอาหารกับวัชรินทร์ เพื่อให้อาหารมื้อนั้นเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

เธอกลับมาถึงหอพักเมื่อเวลาประมาณ 3 ทุ่ม และโทรศัพท์ไปหาอองรีในทันที เสียงเรียกที่ปลายทางดังขึ้น แต่ไม่มีผู้รับสาย เธอรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาในทันที เธอหันไปมองที่ประตูทางเข้าด้วยความหวังว่าจะได้เห็นอองรีมายืนคอยเธอที่นี่ เหมือนที่เขาเคยกระทำอยู่เสมอ แต่ท่ามกลางความมืดมิดในวันนี้ มีแต่ความว่างเปล่าไม่มีร่างเงาของอองรีแม้แต่น้อย รจนาเดินกลับขึ้นไปบนหอพักด้วยความรู้สึกท้อแท้และเศร้าใจ คืนนั้นเธอเข้านอนโดยเปิดโทรศัพท์มือถือและวางที่ข้างหมอนเอาไว้ทั้งคืน ด้วยความหวังว่าเขาจะติดต่อกลับมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากเขาเลยจนกระทั่งรุ่งเช้า

เธอแต่งตัวแล้วไปทานอาหารเช้าที่คณะของเธอ ที่ซึ่งอองรีจะมาร่วมทานอาหารด้วยเสมอๆ เธอรอเขาอยู่นานแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะมาแต่อย่างใด จนกระทั่งได้เวลาที่เธอต้องขึ้นชั้นเรียน เธอจึงต้องเข้าห้องเรียนด้วยความรู้สึกทุกข์ใจที่ไม่เคยเกิดขึ้นเช่นนี้มาก่อน สองชั่วโมงต่อมา เมื่อเธอเรียนเสร็จ เธอลองโทรศัพท์ไปหาเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเสียงสัญญาณปลายทางบอกว่า เลขหมายนี้ไม่สามารถใช้บริการได้ในขณะนี้ เธอรู้ดีว่าเวลานี้ของวันนี้ เขาไม่มีชั่วโมงเรียน เขาจงใจที่จะไม่รับสายโทรศัพท์จากเธอ คงเป็นเพราะเขาโกรธ หรือเสียใจ ที่เธอผิดนัดกับเขาเมื่อวานนี้ รจนาคิดด้วยความท้อแท้ใจว่า เหตุใด ตนจึงได้กังวลต่อความรู้สึกของเขาเช่นนี้

เธอตัดสินใจไปหาเขาที่หอพักของเขาในทันที เธอติดต่อเจ้าหน้าที่ที่อยู่ชั้นล่าง เพื่อขอพบกับอองรี เจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้ กดหมายเลขโทรศัพท์ภายในไปยังห้องพักที่ต้องการ ไม่นานเขาก็ส่งสายโทรศัพท์นั้นมาให้แก่รจนา

“คุณต้องการติดต่อกับอองรีหรือครับ”เสียงจากปลายสายถามมา

“ค่ะ คุณเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาหรือเปล่าคะ”

“ไม่ใช่หรอกครับ ผมอยู่ห้องข้างๆ คือว่าเมื่อคืนนี้ คุณอองรีแกถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลด่วนครับ”

รจนาร้องอย่างตกใจด้วยคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เธอรีบเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่อองรีถูกส่งตัวมารักษาในทันที ขณะกำลังเดินมองหาป้ายบอกทางอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นวัชรินทร์กำลังเดินสวนมา เธอรีบก้าวหลบเข้าที่มุมตึก แล้วหลบเข้าไปในห้องน้ำของผู้หญิงทันทีและรอจนแน่ใจว่าวัชรินทร์เดินผ่านไปแล้ว จึงได้ออกมาแล้วเดินหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็ว

เธอเดินตามหาจนพบอองรีที่กำลังนอนให้พยาบาลดึงเข็มน้ำเกลือออกจากตัวเขา เธอรีบเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง เมื่ออองรีได้พบเธอเขาก็หันมายิ้มด้วยความดีใจแม้จะยังอิดโรยอยู่บ้างก็ตาม

“คนไข้เป็นอย่างไรบ้างคะ”รจนาถามพยาบาลด้วยความเป็นห่วง

“ท้องร่วงนิดหน่อยค่ะ คุณหมอให้น้ำเกลือทั้งคืนแล้ว และอนุญาตให้กลับได้แล้วค่ะ” พยาบาลผู้นั้นกล่าวจบแล้วก็ขออนุญาตไปทำหน้าที่อย่างอื่นต่อไป รจนาช่วยพยุงอองรีให้ลุกขึ้นพร้อมกับถามว่า

“ไปทานอะไรมาหรือคะ ถึงได้ท้องร่วง”

“สงสัยจะส้มตำหอยดอง”

รจนาเลิกคิ้วงามของเธอด้วยความแปลกใจ

“คุณไปหัดทานมาจากไหนแล้วไปทานมาเมื่อไรคะ”

“เมื่อวานตอนเย็น พอคุณบอกว่าไม่มาทานข้าวกับผมแล้ว ผมจึงเดินเรื่อยเปื่อยไปหาอะไรทาน เห็นรถมอเตอร์ไซด์ขายส้มตำขี่ผ่านมาก็เลยลองสั่งทานดู”

“วันหลังอย่าเที่ยวไปลองทานอาหารเช่นนี้นะคะ อาหารไทยหลายอย่างไม่เหมาะกับลำไส้ของคนต่างชาติเช่นคุณ ถ้าคุณอยากทานให้บอกฉันนะคะ ฉันจะพาคุณไปหาทานเอง”

อองรีรับปากแล้วชวนกันเดินออกมาเพื่อเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่ง เมื่อขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็กล่าวกับเธอว่า

“ขอบคุณนะครับที่อุตสาห์มาเยี่ยม”

“ฉันสิ เป็นห่วงคุณแทบจะแย่”รจนากล่าวแล้วก็ค้อนให้เขาครั้งหนึ่ง

“ดีครับ”

“ดีเรื่องอะไร”

“ดีที่รู้ว่าคุณเป็นห่วง วันหลังผมจะได้ป่วยอีก”

รจนาทำหน้างอใส่เขาทั้งๆที่ในใจแล้วรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจยิ่งนัก

“น่าจะปล่อยให้ทานน้ำเกลืออีกสักคืน จะได้เข็ด”

“ใจร้ายจัง ทิ้งให้ผมทานข้าวคนเดียวแล้ว ยังจะมาให้ทานน้ำเกลืออีก”

รจนารู้สึกละอายใจขึ้นมาในทันที เมื่อถูกอองรีพูดถึงเรื่องที่เธอผิดสัญญากับเขา อองรียังคงออดอ้อนซ้ำว่า

“เย็นนี้ทานข้าวกับผมได้ไหมครับ”

“ค่ะ”รจนารับปากอย่างเต็มใจ “เดี๋ยวฉันมีเรียนอีกสองชั่วโมง คุณกลับขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของคุณก่อน เรียนเสร็จแล้วฉันจะแวะมาหา แต่ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็รีบโทรมาหาฉันได้ทันทีเลยนะคะ ฉันจะเปิดโทรศัพท์เอาไว้ตลอด”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา