มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  26.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่ 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 6

กรุงเทพฯ ปีร.ศ. 111 พระยาสุนทรอาลักษณ์ คุณหญิงรื่นผู้ภรรยาและบุตรสาวที่มีนามว่า รส กำลังนั่งปรึกษางานกันอยู่ที่เรือนไทยริมน้ำ อันเป็นบ้านของท่านพระยาสุนทรอาลักษณ์ ที่ตั้งอยู่ที่ริมคลองบางหลวง

“พ่อกับแม่ได้ปรึกษากันแล้ว เห็นว่าบัดนี้ ลูกก็ได้เติบโตจนเป็นสาว จึงมีความคิดที่จะถวายให้เสด็จในกรม ให้ทรงชุบเลี้ยงลูกต่อไป”

“ไม่นะจ๊ะพ่อ”รสร้องขึ้นด้วยความตกใจ “พ่อจะมายกฉันให้ใครต่อใครโดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจของฉันก่อนไม่ได้นะ”

“แล้วข้าต้องถามด้วยหรือ ข้าเป็นพ่อของเอ็งนะโว้ยนังรส”เจ้าคุณขึ้นเสียงอย่างเริ่มมีอารมณ์

“รู้แล้วว่าเป็นพ่อ แต่เรื่องจะมาหาผัวให้ฉันนั้น พ่อจะมาบังคับฉันไม่ได้เด็ดขาด”

“ตายแล้ว แม่รสพูดอะไรเช่นนั้น น่าเกลียดจริงๆ”คุณหญิงรื่นร้องเตือนบุตรสาว แล้วกล่าวปลอบโยนว่า “พ่อกับแม่หวังดีกับเอ็งนะ เอ็งจะได้เป็นหม่อมกับเขาบ้าง ขุนนางคนอื่นเขาก็ทำกันอย่างนี้กันทั้งนั้น นอกจากได้สนองพระเดชพระคุณเจ้านายแล้ว พ่อกับแม่ก็ยังได้พึ่งใบบุญในวันข้างหน้าด้วย พ่อเอ็งก็จะได้เติบใหญ่ในหน้าที่การงานต่อไป”

“ถ้าพ่ออยากเติบโตในหน้าที่การงานมากไปกว่านี้ พ่อก็ถวายตัวเสียเองสิจ๊ะ”

คุณหญิงรื่นรีบยกกระโถนขึ้นมารองน้ำหมากที่กำลังจะสำลักออกมาด้วยคำพูดของบุตรสาว ก่อนที่จะกระแทกกระโถนลงกับพื้นแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า

“นังรส ! ชักเอาใหญ่แล้วนะ พูดถึงเจ้าถึงนาย อย่างนี้ได้อย่างไรกัน ระวังเถิด นรกจะกินกระบาลเอา”

“ฉันขอโทษจ้ะแม่” รสกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นมารดา “แต่ฉันไม่อยากจะถวายตัวให้ใครทั้งนั้น ถ้าพ่อกับแม่ยังยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ ฉันจะไปผูกคอตายให้ดูเสียเดี๋ยวนี้”

“คำก็จะผูกคอตาย สองคำก็จะผูกคอตาย มึงลองผูกจริงๆให้กูดูสักทีสิ” คุณหญิงกล่าวประชด “ ตั้งแต่เล็กแล้ว จะส่งไปเรียนหนังสือในรั้วในวังกับพวกลูกเจ้านาย ก็บ่นจะผูกคอตาย แล้วเดี๋ยวนี้เป็นไง เพราะความรู้ที่ได้มาจากการเรียนใช่ไหม ถึงได้นั่งเชิดหน้าชูตาอยู่ทุกวันนี้”

“เรียนหนังสือมันไม่เหมือนกับมีผัวนี่แม่” รสยังคงเถียงไม่ลดละ

“นังรส !”คุณหญิงตวาดอีกครั้ง จนเจ้าคุณต้องยกมือห้ามด้วยความรำคาญ

“เอ้า พอ...พอ คุณหญิง เดี๋ยวก็ลมขึ้นอีกหรอก วันนี้ นังรสมันยังไม่ยินยอมก็รอไปอีกสักพัก เอาไว้ใจเย็นๆแล้วค่อยพูดกันอีกที”

บ่าวไพร่ผู้หนึ่งวิ่งขึ้นเรือนมาเรียนว่า มีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตฝรั่งเศสมาขอพบ ท่านเจ้าคุณยังไม่ทันเอ่ยปากเชิญก็มีชาวต่างชาติสามคนเดินตามบ่าวไพร่ผู้นั้นขึ้นมาบนเรือนในทันที ก่อนที่จะยกมือไหว้ท่านเจ้าคุณ แบบธรรมเนียมไทย ซึ่งเจ้าคุณก็ยกมือรับไหว้อย่างไม่สู้จะพอใจนัก ที่เห็นชายทั้งสามคนถือวิสาสะเดินขึ้นเรือนมาโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต แต่ก็จำต้องต้อนรับขับสู้ไปตามหน้าที่

“ผมได้รับคำสั่งจากท่านทูต ให้มาประสานงานกับท่านเจ้าคุณ ในการร่างสัญญาทางการค้า ที่ฝรั่งเศสจะทำกับสยาม”ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวเป็นภาษาไทยอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“อ้อ เช่นนั้นหรือ แล้วคุณชื่ออะไรเล่า” ท่านเจ้าคุณถาม

“ผมชื่ออังเดรครับ เพิ่งเดินทางมาจากญวณ”อังเดรแนะนำตัว ในขณะที่สายตาลอบมองมาทางรส อยู่เสมอๆพร้อมกับส่งยิ้มให้เมื่อเธอมองสบตาเขากลับมา

“ยินดีที่ได้รู้จัก เรื่องสัญญานั้นทางเสด็จในกรมทรงมีรับสั่งให้ฉันดำเนินการในเบื้องต้น ก่อนที่จะทูลเกล้าขอรับพระบรมราชวินิจฉัยต่อไป คุณพูดภาษาไทยได้ก็ดีแล้ว จะได้ทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น”

“ขอรับ กระผมก็หวังเช่นนั้น ในเบื้องต้นผมคิดว่าจะใช้สัญญาที่สยามทำกับบริเทน เป็นต้นแบบ”

“ก็ดี อย่าให้แตกต่างกันในสาระสำคัญมากนัก มิเช่นนั้นทางบริเทนก็จะมาขอแก้ไขอีก”

การสนทนาดำเนินไปสักพัก อังเดรก็ขอลากลับ ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องบุตรสาวของท่านเจ้าคุณอย่างไม่วางตา เมื่อเรือของพวกฝรั่งเศสหันเหออกจากท่าแล้ว ท่านเจ้าคุณก็ร้องเรียกหาบ่าวไพร่ ด้วยเสียงอันดังว่า

“ใครอยู่แถวนี้บ้างวะ เอาน้ำมาล้างเรือนกูหน่อย เดี๋ยวเสนียดมันจะติดเรือนของกู”

รสเดินกลับเข้าไปในห้องของเธอ นั่งลงที่ข้างหน้าต่าง เหม่อมองออกไปทางลำคลองที่เบื้องหน้า ที่เรือลำนั้นกำลังล่องลอยไป แล้วก็ยิ้มให้กับตัวเอง ด้วยความเอียงอาย จนลืมเรื่องราวที่ถกเถียงกับบิดามารดา เมื่อสักครู่จนหมดสิ้น

วันต่อมา อังเดร นั่งเรือมาที่บ้านของท่านเจ้าคุณตามลำพัง ในยามนั้น ท่านเจ้าคุณไปราชการยังไม่กลับ รสจึงรีบลงมาต้อนรับทันทีที่บ่าวไพร่ เข้ามารายงาน

“เจ้าคุณพ่อไม่อยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอันใดกับท่านหรือเปล่าคะ”

“ผมตั้งใจเอาร่างสัญญามาให้ท่านพิจารณาครับ”

“ถ้าเช่นนั้นคงจะต้องคอยแล้วล่ะค่ะ ไม่ทราบว่าท่านจะกลับมาเมื่อไร”

“ด้วยความยินดีครับ แต่ว่าผมจะขออนุญาตเดินชมสวนดอกไม้ของคุณได้หรือไม่ครับ คุณ...”

“รส ค่ะฉันชื่อรสค่ะ ถ้าคุณอยากชมสวนดอกไม้ ก็ตามมาสิคะ ฉันจะพาคุณชมเอง”

จากนั้น รสก็พาอังเดรเดินชมสวนดอกไม้ภายในบ้าน ที่ได้รับการตบแต่งอย่างสวยงาม พลางอธิบายถึงชื่อของดอกไม้ต่างๆที่มีอยู่ในบริเวณนั้น อังเดรเดินชมด้วยความเพลิดเพลินแล้วกล่าวว่า

“คุณโรสครับ...”

“รสค่ะ ไม่ใช่โรส”

“ขอโทษครับ แต่ผมจะขออนุญาตเรียกว่า โรส จะได้หรือไม่ครับ”

“ทำไมหรือคะ ออกเสียงยากหรือคะ รส รส รส ลองดูสิคะ เดี๋ยวก็คล่อง”

“ไม่ใช่หรอกครับ ที่ผมอยากเรียกคุณว่า โรส เพราะคุณทำให้ผมนึกถึง ดอกไม้ชนิดหนึ่ง”

“โรส หรือคะ”รสทำตาโต ก่อนที่จะหลบตาลงด้วยความเอียงอาย เมื่อเห็นแววตาของเขาที่จ้องมองเธอ “ดอกไม้อะไรหรือคะ”

“ดอกโรส ผมไม่ทราบว่าคนไทยเรียกว่าดอกอะไร แต่ที่ชวามีปลูกกันมาก เวลาที่ผมเห็นรอยยิ้มของคุณแล้ว ทำให้ผมคิดถึงกลีบดอกของมันยามที่ผลิแย้มรับแสงจากดวงอาทิตย์ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเมื่อได้พบคุณ ถึงได้นึกถึงแต่ดอกไม้ชนิดนี้ขึ้นมา”

“ถ้าเช่นนั้น คุณคงต้องหามาให้ฉันดูแล้วล่ะค่ะ ฉันจะได้ช่วยบอกได้ว่าทำไมคุณจึงคิดเช่นนั้น”

บ่าวไพร่วิ่งมาตามแล้วแจ้งว่าท่านเจ้าคุณกลับมาแล้ว รสจึงพาอังเดรเดินกลับไปยังเรือนเพื่อพบกับบิดา จากนั้นจึงกลับเข้าห้องของตน แย้มยิ้มให้กับตนเองอย่างมีความสุข

นับแต่นั้นมา อังเดรก็หาโอกาสแวะมาที่บ้านของท่านเจ้าคุณอยู่เสมอ แม้จะมีกิจธุระที่ต้องมาอันเนื่องมาจากหน้าที่การงาน แต่วัตถุประสงค์อันแท้จริงที่ทำให้ตนเองอยากจะมาอยู่เป็นประจำนั้นก็คือ การได้มาพบกับบุตรสาวแสนสวย ของท่านเจ้าคุณนั่นเอง ท่านเจ้าคุณและคุณหญิง เริ่มมีท่าทีที่ไม่ใคร่จะสบายใจ ในการคบหาของบุคคลทั้งสอง เพราะทั้งผู้เป็นบิดามารดานั้นต่างรู้สึกรับไม่ได้เลยกับการที่ลูกสาวคนเดียว จะมีคู่ครองเป็นชาวต่างชาติเช่นนี้ แต่ก็จนปัญญาไม่รู้จะหาวิธีใดมากีดกัน เพราะรสผู้เป็นบุตรสาวนั้น เป็นคนที่ดื้อและรั้นอย่างที่สุด ไม่ว่าผู้เป็นบิดามารดา จะว่ากล่าวตักเตือนเช่นไรก็ไม่ยอมฟัง

วันหนึ่งอังเดรนั่งเรือมาขึ้นที่ท่าน้ำหน้าบ้านของท่านเจ้าคุณอย่างคุ้นเคย รสรีบลงไปต้อนรับถึงหน้าท่าเมื่อเห็นเรือของเขาหันเหเข้ามาจอดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขากล่าวกับเธอด้วยความยินดีทันทีที่ขึ้นมาจากเรือว่า

“โรส ดูสิว่าผมนำอะไรมาให้คุณ”

แล้วเขาก็ผายมือไปยังด้านหลัง เรือแจวอีกลำหนึ่ง บรรทุกต้นกุหลาบที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง มาเต็มลำเรือ ดอกของมันมีทั้งสีขาว สีชมพู สีแดง สีเหลือง ทำให้เรือลำนั้นแลดูแปลกตาและสดใสไปกว่าเรือลำอื่นๆที่พายผ่านไปมาในท้องน้ำนั้น รสถามด้วยความตื่นเต้นว่า

“ต้นอะไรหรือคะ ดอกสวยจัง”

“โรสครับ นี่คือต้นโรส ที่ผมเล่าให้คุณฟังไง”

รสมองดูต้นไม้เหล่านั้น ที่บรรจุอยู่ในกระถางใบย่อมๆด้วยความชื่นชม เธอหยิบต้นหนึ่งขึ้นมา แล้วพิจารณาอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะกล่าวว่า

“เราเรียกว่าต้นกุหลาบค่ะ ฉันเคยเห็นมีปลูกอยู่ในพระราชวัง”

“ผมหวังว่าคุณคงจะชอบนะครับ”

รสยิ้มเอียงอายก่อนที่จะถามว่า

“คุณจะให้ฉันหมดนี่เลยหรือคะ”

“ถูกแล้วครับ ผมเคยบอกว่า คราใดที่ผมได้เห็นดอกของมัน ทำให้ผมคิดถึงแต่ใบหน้าของคุณ ผมจึงอยากนำมามอบให้แก่คุณ เพื่อที่ทุกครั้งที่คุณเห็นดอกของมัน คุณจะได้นึกถึงผมบ้าง”

รสหลบสายตาด้วยความเอียงอายอีกครั้ง

“คุณทราบไหมครับว่าธรรมเนียมที่บ้านของผมนั้น เราจะมอบดอกไม้ชนิดนี้ให้แก่กันในโอกาสอันใด”

“ไม่ทราบหรอกค่ะ”

“ความรักครับ เราจะมอบดอกไม้ชนิดนี้ ให้แก่คนที่เรารักเท่านั้น”

กล่าวจบอังเดรก็ค่อยๆเอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือของรสขึ้นมาเกาะกุมไว้ด้วยความทะนุถนอม รสไม่ได้ขัดขืนแต่ประการใด คงได้แต่ก้มหน้ามองดูพื้นด้วยความเขินอาย อังเดรคุกเข่าข้างหนึ่งลงแตะพื้น แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเธอ พลางกล่าวว่า

“โรสครับ แต่งงานกับผมนะครับ”

“ไม่ได้ !” เสียงของท่านเจ้าคุณดังมาจากด้านหลังพร้อมกับไม้ตะพดที่ฟาดไปยังศีรษะของอังเดรอย่างแรง ก่อนที่จะยกเท้าขึ้นถีบเขาตกลงไปในน้ำ รสกรีดร้องด้วยความตกใจ แล้วหันไปต่อว่าผู้เป็นบิดาว่า ทำไมถึงได้ทำรุนแรงเช่นนี้ แต่เมื่อหันไปดูอังเดรที่ตกลงไปในน้ำ เธอก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติที่เห็นร่างอันไร้สติของเขา ค่อยๆจมลงไปในน้ำอย่างช้าๆ รสตั้งสติได้รีบกระโจนลงไปในน้ำทันที เธอประคองศีรษะของเขาให้อยู่เหนือน้ำ พลางร้องเรียกบ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้น ให้ลงมาช่วยกันแบกร่างของอังเดรขึ้นไปบนเรือนอย่างทุลักทุเล

“พ่อไม่น่าทำรุนแรงขนาดนี้เลย ถ้าเขาเป็นอะไรไป เราจะพากันเดือดร้อนไปทั่ว” รสกล่าวขณะใช้ผ้าคัดเลือดที่ไหลออกมาจากศีรษะของอังเดรแล้วใส่ยาให้ ขณะที่ท่านเจ้าคุณได้แต่เดินไปเดินมาด้วยความหัวเสีย แต่ก็เห็นด้วยในสิ่งที่บุตรสาวกล่าว เพราะอังเดรเป็นคนของรัฐบาลฝรั่งเศส หากว่าเขาเป็นอะไรไป ทางฝรั่งเศสคงต้องหาทางเอาเรื่องจนถึงที่สุด

อังเดรค่อยๆฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาลืมตาขึ้นมองรสที่กำลังประคบแผลที่ศีรษะของเขาด้วยความพึงใจ แต่เมื่อเหลือบตาไปเห็นท่านเจ้าคุณที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไป เขาก็ลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า

“ท่านเจ้าคุณมาทำร้ายผมทำไมหรือครับ”

“ก็มึงบังอาจมาจับมือของลูกสาวของกู”เจ้าคุณตอบอย่างไม่พอใจ

“การจับมือเป็นการแสดงถึงความรักตามวัฒนธรรมของผม ถ้าท่านยกมือไหว้ผมแล้วผมตีหัวท่านบ้าง ท่านจะว่าอย่างไรครับ”

รสนั้นชอบใจในคำกล่าวของอังเดร จนแทบจะหัวเราะออกมา ตรงกันข้ามกับท่านเจ้าคุณที่โกรธจนหน้าแดง แต่ก็ไม่อาจจะทำอันใดได้ นอกจากกล่าวว่า

“มึงจะคิดค่าเสียหายเท่าไรก็ว่ามา”

“คดีทำร้ายร่างกาย ถ้าขึ้นศาลฝรั่งเศส ก็ต้องถูกจองจำครับ”

“มึงนึกว่ากูกลัวหรือ” ท่านเจ้าคุณท้าทาย ขณะที่คุณหญิงรื่นยกมือทาบอกด้วยความตกใจ

“ผมทราบว่าท่านไม่กลัวหรอกครับ แต่ผมเป็นคนของรัฐบาลฝรั่งเศส ถ้ารัฐบาลของผมทราบว่าผมถูกข้าราชการสยามทำร้าย เรื่องราวจะบานปลายไปกันใหญ่”

เจ้าคุณนิ่งอึ้ง เห็นด้วยในสิ่งที่อังเดรกล่าว จึงพยายามควบคุมอารมณ์แล้วถามว่า

“แล้วจะให้ทำอย่างไร”

“ให้ผมแต่งงานกับรสได้ไหมครับ แล้วผมจะไม่เอาความใดๆทั้งสิ้น”

ท่านเจ้าคุณ คุณหญิงและ รส หันมาสบตากัน ท่านเจ้าคุณได้เห็นแววตาของบุตรสาวที่แสดงออกถึงความตกใจในครั้งแรกแต่กลับกลายเป็นปีติยินดีในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว ก็บังเกิดความเจ็บช้ำใจ จึงกล่าวกับบุตรสาวว่า

“นังรส เอ็งจะว่าอย่างไร ครั้งก่อนกูจะถวายมึงให้เจ้านาย มึงก็บอกว่าต้องถามความยินยอมของมึงก่อน ครั้งนี้มีฝรั่งต่างชาติมาขอมึงแล้ว มึงจะว่าอย่างไร”

รสนั้นเป็นคนฉลาด และรู้ว่าโอกาสอันน้อยนิดนั้นได้เปิดขึ้นแล้ว จึงกล่าวว่า

“พ่อจ๋า ใช่ว่าฉันจะไม่เชื่อฟังพ่อกับแม่หรอกนะ แต่ครั้งนี้ ถ้าฉันไม่ยอมเขา เห็นทีว่าพ่อจะต้องติดคุกขี้ไก่เป็นมั่นคง”

ท่านเจ้าคุณรับฟังคำกล่าวอ้างของบุตรสาวแล้วก็ยิ่งช้ำใจยิ่งขึ้นไปอีก เพราะคิดว่าการที่รสกล่าวอ้างว่าเป็นห่วงตนนั้น แท้จริงเป็นเพียงข้ออ้างข้อแก้ตัวที่จะไปครองรักกับชายที่ตนรักเท่านั้น

“ก็ตามใจมึง ถ้ามึงอยากจะเป็นเมียของมัน กูก็จะยกที่ท้ายสวนให้มึงสองคนไปปลูกเรือนหออยู่ด้วยกัน แล้วนับจากนี้ไป มึงไม่ต้องมาเสนอหน้าให้กูเห็นอีก” จากนั้นท่านเจ้าคุณก็หันไปสั่งเด็กผู้หญิงที่เป็นทาสในเรือนคนหนึ่งว่า

“อีแม้น มึงตามไปอยู่รับใช้เจ้านายของมึงด้วย”

แม้นก้มลงกราบรับคำสั่ง ก่อนที่จะหันมาบีบนวดและส่งยาดมให้แก่คุณหญิงรื่นทีทำท่าจะเป็นลม ในขณะที่ท่านเจ้าคุณย่างเท้ากลับเข้าไปในห้องโดยไม่เหลียวกลับมาดูบุตรสาวอีกเลย

หลังจากนั้น เมื่อเรือนหอได้รับการปลูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ จึงได้จัดให้มีพิธีมงคลสมรสระหว่างอังเดรและรส ขึ้นมา รสหาทางคลายความโกรธของบิดาด้วยการแนะนำให้อังเดร ทำพิธีสมรสในแบบประเพณีของชาวสยาม ซึ่งอังเดรก็ยินดีทำตามทุกอย่าง ตั้งแต่นำสินสอดมาสู่ขอ มีพิธีรดน้ำสังข์ ซึ่งมีข้าราชการทั้งสยามและฝรั่งเศส มาร่วมงานกันอย่างมากมาย

อังเดรได้ติดต่อนำช่างภาพมาจากสิงค์โปร์ให้มาบันทึกภาพถ่ายในวันสมรสของเขากับรสด้วย แต่คุณหญิงรื่น เมื่อถูกขอให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก็วิ่งหนีกล้องถ่ายรูปหน้าตาตื่น ด้วยความกลัว พลางร้องว่า

“กูไม่เอา กูไม่ถ่าย กูกลัวอายุสั้น”

เมื่อใกล้ถึงฤกษ์ส่งตัว แขกที่มาร่วมงานต่างพากันทยอยกลับ อังเดรและรสถูกพามายืนที่หน้าประตูห้องหอของตน ที่ซึ่งตนจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันหลังจากนี้เป็นต้นไป คุณหญิงรื่นได้เดินออกมาจากห้องหลังจากเข้าไปปูที่นอนให้เรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นสิริมงคล รสก้มลงกราบเท้าของมารดาด้วยความตื้นตันใจ คุณหญิงค่อยๆลูบไล้ศีรษะของบุตรสาว พลางให้ศีลให้พร และให้โอวาทในการครองเรือน ก่อนที่จะให้ทั้งสองคนค่อยๆเดินเข้าไปในห้องนอนด้วยความระมัดระวัง อย่าให้สะดุดธรณีประตู เพราะเกรงจะเป็นลางไม่ดี รสรับฟังคำสอนของมารดาแล้วจึงค่อยๆเดินไปยังประตู ส่วนอังเดรนั้น เมื่อได้ยินคำเตือนของคุณหญิงเช่นนั้น ก็รวบร่างของรสเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วอุ้มเธอข้ามธรณีประตูไปในทันที ก่อนที่จะหันมากล่าวกับคุณหญิงว่า

“ทำอย่างนี้ รับรองว่าไม่สะดุดธรณีประตูแน่ๆ”

คุณหญิงรื่นเรียกหายาดมมาสูดดมในทันใดด้วยความรู้สึกอยากจะเป็นลม แล้วพูดใส่บานประตูห้องนอนของบ่าวสาวที่เพิ่งปิดลงว่า

“ไอ้ฝรั่งเอ๊ย มึงจะรอให้เข้าไต้เข้าพลบ ก่อนไม่ได้หรือไง แดดยังแจ้งอยู่แท้ๆ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา