มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  25.54K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 5

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 5

หลังวันปีใหม่ผ่านพ้นไป รจนากลับมายุ่งอยู่กับการเรียนอีกครั้ง เพราะการบ้านที่ได้รับมากมายจากการเรียนในแต่ละวิชา เมื่อเธอเสร็จสิ้นการเรียนในวันนั้น เธอจึงตั้งใจที่จะเดินไปยังห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เพื่อค้นคว้าทำรายงานเพื่อส่งอาจารย์ตามที่ได้รับมอบหมาย ระหว่างที่เธอกำลังเดินอยู่นั้น ก็รู้สึกได้ว่ามีรถคันหนึ่งกำลังติดตามเธอมาทางด้านหลังอย่างช้าๆ เธอหยุดเดินและหันมาดูก็พบว่าเป็นวัชรินทร์นั่นเอง แม้จะรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่อยากเสียมารยาท จึงเดินเข้าไปหาเขาที่จอดรถคอยอยู่ วัชรินทร์กดกระจกไฟฟ้าลงแล้วถามทันทีว่า

“กำลังจะไปไหนหรือจ๊ะ น้องรจ”

“รจ กำลังจะไปหอสมุดกลางค่ะ”

“ขึ้นมาสิ พี่จะไปส่ง”

“ไม่เป็นไรค่ะ รจเดินไปเองได้ เผื่อว่าพี่จะมีธุระต้องรีบไป”

“ไม่มีหรอกจ้ะ พี่ตั้งใจมาหารจโดยเฉพาะ”

เสียงบีบแตรไล่ดังมาจากรถคันหลัง ทำให้รจนาต้องรีบขึ้นรถด้วยความเกรงใจ

“พี่หมอว่า จะมาหารจ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

“พี่ตั้งใจจะมาชวนรจ ไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน มีร้านอาหารญี่ปุ่นมาเปิดใหม่ที่พารากอน พี่จึงอยากมาชวนรจไปทานด้วยกัน”

“รจต้องขอโทษค่ะ พอดีมีรายงานที่ต้องรีบทำส่งอาจารย์ ถ้าพี่หมออยากหาเพื่อนทานลองชวนยายกุลดูสิคะ อาหารญี่ปุ่นน่าจะเป็นที่ถูกใจของเธอ”

“ดูเหมือนว่า รจจะไม่ค่อยมีเวลาให้พี่ ทุกครั้งที่พี่ชวนรจไปไหนเลยนะ”วัชรินทร์กล่าวตัดพ้อ

“รจมีงานที่ต้องรีบทำส่งอาจารย์จริงๆค่ะ ต้องขอโทษพี่ด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่แค่ล้อเล่น ว่าแต่น้องรจหาเจอหรือยังจ๊ะ”

“หาอะไรหรือคะ”รจนาถามด้วยความสงสัย

“ก็เศษสตางค์ที่ตกอยู่บนพื้นไง พี่เห็นรจกำลังเดินหาอยู่ไม่ใช่หรือ”

รจนาพยายามจะกลั้นหัวเราะ บ่อยครั้งที่เธอมักจะถูกล้อเลียนเกี่ยวกับท่าทางการเดินของเธอ ที่จะเดินก้มหน้าแล้วก้าวย่างอย่างช้าๆ ซึ่งบางคนก็บอกว่าเหมือนพระเดินจงกรม บางคนก็ว่าเดินหาเศษสตางค์

“รจไม่ได้เดินหาเศษสตางค์ แต่รจเดินด้วยความระมัดระวังว่าจะไม่ไปเหยียบย่ำสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เช่นมดเป็นต้น”

“มันก็แค่พวกมดพวกปลวก ทำไมรจจะต้องไประวังถึงเพียงนี้”

“แต่พวกเขาก็มีชีวิตเหมือนกันไม่ใช่หรือคะ”

“เอ้า ครับ พี่ยอมแพ้ แม่นักบุญคนสวย”

“รจไม่ใช่นักบุญหรอกค่ะ ตรงกันข้ามรจกลับคิดว่า ตัวเองเป็นคนมีกรรมมากด้วยซ้ำ รจจึงได้ไม่พยายามสร้างเวรสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีก”

รถของวัชรินทร์มาจอดที่หน้าอาคารหอสมุดพอดี รจนากล่าวขอบคุณแล้วลงจากรถ เดินเข้าไปในอาคารเพื่อทำงานของเธอต่อไป เธอเข้าไปนั่งที่หน้าเครื่องคอมพิเตอร์ ตามที่ได้ลงเวลาจองไว้ ขณะกำลังจะค้นหาข้อมูลเพื่อทำรายงานนั้น กล่องข้อความของเธอก็เตือนว่ามีข้อความเข้ามาถึงเธอ เธอคลิกเปิดดู เบื้องต้นแล้วก็ต้องตื่นเต้นจนหัวใจสูบฉีดอย่างแรง มีอีเมลหลายฉบับส่งมาหาเธอ เป็นอีเมลที่ส่งมาจากอองรีได้หลายวันแล้ว รจนาดูวันที่ของจดหมายเหล่านั้น พบว่าฉบับที่เก่าที่สุด ส่งมาตั้งแต่ 25 ธันวาคม นั่นคือวันที่เขาเดินทางกลับถึงบ้านของเขา และได้ส่งจดหมายนั้นมาหาเธอในทันที รจนารู้สึกโกรธตัวเองว่า ทำไมเธอถึงไม่นึกถึงการรับข่าวสารทางอีเมลขึ้นมาเลย มัวแต่เฝ้ารอข้อความจากโทรศัพท์มือถืออยู่เป็นเวลาหลายวัน จนคิดว่าเขาคงจะตัดขาดการติดต่อจากเธอไปแล้ว เธอตัดสินใจอย่างหนักว่าจะเปิดออกอ่านดีไหม เวลาที่เธอจองเวลาใช้เครื่องมีเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เธอเกรงว่าหากเธอเปิดออกอ่านแล้ว เธอจะไม่มีสมาธิพอที่จะทำงานต่อไปได้ คิดดังนั้นแล้ว เธอก็ตัดสินใจเข้าไปค้นหาข้อมูลที่จะทำรายงานในทันที เธอรวบรวมสมาธิในการค้นคว้าข้อมูล จดบันทึก รวบรวมรายการต่างๆจนเป็นที่พอใจ เมื่อเหลือบดูนาฬิกาอีกครั้ง เห็นว่ายังมีเวลาเหลืออีกราว 15 นาที เธอจึงได้กลับไปที่กล่องข้อความขาเข้าของเธอ แล้วเปิดออกอ่านด้วยใจที่เต้นระทึก

“รจนาครับ ผมเดินทางกลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพเรียบร้อยแล้วครับ ถึงแม้จะมาอยู่ที่บ้านแล้ว แต่ผมก็ยังจดจำความทรงจำดีๆที่ได้รับที่เมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันสุดท้ายที่ผมได้อยู่กับคุณ ผมยังไม่ได้บอกคุณใช่ไหมครับว่า ปีนี้เป็นปีที่ผมว่างเว้นจากการเรียนหนังสือ เพราะพ่อของผมต้องการให้ผมใช้เวลาหลังจากจบการศึกษาขั้นไฮสกูล ในการศึกษาตัวตนที่แท้จริงของตนเองว่าเป็นเช่นไร ต้องการอะไร เพื่อที่จะได้นำมาใช้ในการเลือกการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ต่อไป นักเรียนที่ยุโรปทำกันเช่นนี้จนเป็นเรื่องปกติ แต่คงเป็นเรื่องแปลกสำหรับที่ประเทศไทยใช่ไหมครับ

ผมได้ใช้เวลาในช่วงดังกล่าว เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว จนกระทั่งได้พบกับคุณจึงทำให้ผมได้ทราบแล้วว่าผมควรที่จะเลือกเรียนอะไรต่อไป ผมอยากมาเรียนที่เมืองไทยครับ มาอยู่ใกล้ๆกับคุณ มาศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมประเพณีของคนไทย ผมได้คุยเรื่องนี้กับพ่อของผมแล้ว ซึ่งท่านไม่ขัดข้องและกลับสนับสนุนเสียอีก ท่านคิดว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นตลาดการค้าที่สำคัญในภูมิภาคนี้ จะเป็นประตูการค้าสู่กลุ่มประเทศอาเซี่ยน และประเทศอื่นๆในทวีปเอเชีย พ่อจึงเห็นด้วยที่จะให้ผมมาศึกษาที่ประเทศไทย เพื่อหาลู่ทางที่จะขยายตลาดการค้าในอนาคต

รจนาครับ คุณจะกรุณาช่วยผมหาข้อมูลว่ามหาวิทยาลัยของไทยแห่งใดที่เปิดรับสมัครนักศึกษา ต่างชาติเช่นผมบ้างครับ และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะขอให้คุณช่วยคือ คุณคงจำได้ว่าผมเคยบอกคุณว่าผมอยากอ่านวรรณคดีไทย เรื่องสังข์ทอง แต่ผมค้นหาเรื่องนี้ทางอินเตอร์เน็ทแล้ว ไม่มีที่ตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสหรือภาษาอังกฤษเลย คุณจะพอเล่าเรื่องให้ผมฟังได้บ้างไหมครับ

ผมจำได้ว่าคุณเคยบอกผมว่า ถ้าคุณใช้อีเมลคุณต้องมาใช้ที่ห้องสมุด ที่จะมีเวลาจำกัด ผมเข้าใจในความยากลำบากของคุณครับ และจะรอคอยการตอบกลับมาของคุณด้วยใจที่จดจ่อ...อองรี”

รจนาอ่านจบก็ขยับข้อมือดูนาฬิกาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาอยู่บ้าง จึงได้เลื่อนแป้นพิมพ์มาใกล้ๆแล้วเริ่มพิมพ์ตอบเขาไปเป็นภาษาอังกฤษว่า

“คุณอองรีคะ ฉันต้องขอโทษที่เพิ่งจะมีเวลาเปิดอีเมลของคุณ การที่คุณบอกว่าคุณอยากจะมาเรียนที่ประเทศไทยนั้น ฉันใคร่ขอให้คุณลองทบทวนอีกสักครั้งว่าสิ่งที่คุณต้องการแท้จริงนั้นคืออะไร คิดให้มากๆนะคะ ใช้เหตุผลให้มากๆ ที่ฉันทักเพราะเกรงคุณจะเสียเวลาและเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ส่วนวรรณคดีเรื่องสังข์ทองนั้น ฉันจะพยายามแปลให้คุณอ่าน แต่คงจะช้าหน่อยนะคะ เพราะฉันต้องเรียนหนังสือและทำรายงานส่งอาจารย์ด้วย แต่ที่จริงแล้วฉันอยากให้คุณได้อ่านต้นฉบับภาษาไทยมากกว่า เพื่อที่คุณจะได้รับรู้ถึงความไพเราะ สละสลวยของบทกลอนที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นมา ซึ่งหากฉันแปลให้คุณอ่านแล้ว เกรงว่าจะทำให้ความไพเราะสละสลวย ดังกล่าวต้องสูญหายไปด้วย ...รจนา”

อองรี นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา ที่บ้านพัก ในกรุงปารีส เปิดอีเมลที่รจนา ส่งมาออกอ่านด้วยความรู้สึกสุขใจ เมื่ออ่านจบ เขาก็เอนหลังลงพิงเก้าอี้พลางครุ่นคิดถึงท่าทีของเธอที่ไม่รู้สึกยินดีที่ทราบว่าเขากำลังจะไปเรียนที่กรุงเทพฯ เขาพยายามปลอบใจตนเองว่า บางทีนี่อาจจะเป็นลักษณะของผู้หญิงไทยอย่างที่พ่อของเขาเคยบอกอยู่เสมอว่า จะไม่แสดงออกอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะกับเรื่องความรักหรือความพอใจ เขามองดูตุ๊กตาปูนปั้นรูปเงาะป่าบนโต๊ะทำงานของเขา แล้วพึมพำกับตัวเองว่า

“ผมต้องกลับไปหาคุณให้ได้ รจนา”

เขาเริ่มติดต่อหาที่เรียนในเมืองไทยด้วยตนเองในทันที และไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นสำหรับเขา เพราะนงนุช ภรรยาของศักดานั้น เป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาฝรั่งเศส อยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว นงนุชยินดีให้ความช่วยเหลือ และในเวลาไม่นาน อองรีก็ได้รับการแจ้งว่า ทางจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ยินดีรับเขาเข้าเป็นนักศึกษาในโครงการพิเศษ ที่เปิดสอนเฉพาะนักศึกษาชาวต่างประเทศ เท่านั้น

เขาใช้เวลาที่เหลือก่อนที่ภาคการศึกษาใหม่จะเริ่มขึ้น ด้วยการฝึกฝนภาษาไทย และไม่มีที่ไหนในกรุงปารีส ที่จะสอนภาษาไทยให้แก่เขาได้ดีได้ดีเท่ากับร้านอาหารไทยของบิดาของเพื่อนของเขา ที่มีนามว่า อองรีเช่นเดียวกัน อองรีไปหาเพื่อคนนี้ทุกวัน เพื่อทานอาหารและเรียนรู้ ภาษาไทย และวัฒนธรรมไทย จากร้านอาหารร้านนั้น

ปลายเดือนพฤษภาคมนั้น อองรีก็ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯเพื่อเตรียมตัวเข้ารับการศึกษา ตามที่เขาปราถนา โดยที่รจนา ไม่ได้ระแคะระคายเรื่องนี้แม้แต่น้อย ทันทีที่เครื่องบินลงจอด เขาก็โทรศัพท์หารจนาในทันที แต่เสียงสัญญาณบอกว่า ไม่สามารถให้บริการได้ในขณะนี้ อองรีพยายามโทรติดต่ออีกหลายครั้ง ในเวลาถัดมา แต่ผลก็เป็นเช่นเดิม เขาไม่แน่ใจว่ารจนา ยังใช้หรือเคยใช้โทรศัพท์มือถือ ที่เขามอบให้เธอไว้หรือไม่ เขาเช็คดูอีเมลของเขาจากโทรศัพท์มือถือ ก็ไม่พบข้อความใดๆจากเธอมาได้ 3-4 วันแล้ว เขาเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคย รู้สึกกับผู้หญิงคนอื่นมาก่อนเลยในชีวิต

อองรีนั้นเป็นเด็กหนุ่มชาวฝรั่งเศสที่มีเสน่ห์อันน่าหลงใหล นอกจากรูปร่างหน้าตาดีแล้ว ยังมีพ่อที่ร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษฐีของโลกอีกด้วย เขาใช้ชีวิตในวัยรุ่นของเขาด้วยความฟุ้งเฟ้อ จนได้รับฉายาจากสื่อมวลชนที่นั่นว่า “เจ้าชายแห่งกรุงปารีส” ความร่ำรวยและความมีเสน่ห์ของเขา เปรียบเสมือนแม่เหล็กที่สามารถดึงดูดสาวๆที่นั่น ไม่ว่าจะเป็น สาวในสังคมชั้นสูง ศิลปิน ดารา นักร้องล้วนถูกดึงดูดเข้ามาพัวพันในชีวิตของเขาได้อย่างไม่ยากเย็น ว่ากันว่าหากเขาสนใจในผู้หญิงคนไหนแล้ว เขาใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ก็สามารถหว่านเสน่ห์ให้เธอหลงใหลเขาได้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่กับผู้หญิงไทยที่แสนซื่อผู้นี้ ผู้หญิงที่เป็นผู้ทำให้เขาหวั่นไหวเสียเอง นับแต่วินาทีแรกที่ได้พบกับเธอ เวลานี้เธออยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไร อองรีเฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่จะพิมพ์ข้อความไปทิ้งไว้ที่ อีเมลของเธอ

“ผมกลับมาเมืองไทยแล้ว กรุณาโทรกลับหาผมด้วย ....อองรี”

ทางด้านรจนานั้นได้แต่ยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวต้อนรับการเปิดภาคเรียนใหม่ เธอจัดข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นที่จะนำมาใช้ที่หอพัก ก่อนที่จะขึ้นรถของวัชรินทร์ที่ขับมารับที่อยุธยา แล้วแวะไปรับกุลวดี เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯในเวลาต่อมา

อองรียังคงไม่ได้รับการติดต่อกลับจากรจนา บ่ายวันนั้นเขาจึงไปเตร็ดเตร่อยู่ที่หน้าหอพักของเธอ เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าตู้โทรศัพท์ที่เขาเคยพบเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในตู้นั้น แต่วันนี้ ตู้โทรศัพท์แห่งนี้กลับว่างเปล่า เช่นเดียวกับหัวใจของเขาที่แสนจะเงียบเหงาวังเวง อองรีสอดส่ายสายตามองเข้าไปยังอาคารหอพัก ที่เริ่มมีนักศึกษาทยอยกันกลับมาบ้างแล้ว เขายืนมองดูด้วยความหวังว่า อีกไม่นานรจนาก็คงจะเดินทางกลับมาเช่นกัน เขาได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เพราะบริเวณนั้น ไม่มีต้นกุหลาบแม้สักต้นเดียว เขาเหลียวมองดูรอบๆ แล้วก็ได้พบกับรถเก๋งคันงามคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าตึกนั้น เขามองตามรถคันนั้นด้วยความสนใจ ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถ แล้ววิ่งอ้อมมาอีกด้านหนึ่งเพื่อเปิดประตู ให้กับผู้ที่นั่งอยู่อีกข้าง อองรีมองดูด้วยความเจ็บแปลบในใจ เมื่อพบว่าผู้ที่ก้าวลงมาจากรถคันนั้น เป็นรจนา ที่เขาเฝ้ารอคอยอยู่นั่นเอง

อองรียืนมองอยู่สักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้จำคนผิด ก่อนที่จะค่อยๆหันกายแล้วเดินจากไปอย่างช้าๆด้วยความซึมเศร้า รจนายกมือไหว้ขอบคุณวัชรินทร์ แล้วก็ก้มลงยกกระเป๋าของเธอเพื่อนำขึ้นไปเก็บบนห้อง แต่แล้วก็เหมือนมีอะไรมาดลใจ เธอหันกลับไปมองที่ปากประตูครั้งหนึ่งด้วยความรู้สึกเหมือนมีใครกำลังยืนดูเธออยู่ จนกุลวดีต้องหันมาถามด้วยความสงสัยว่า

“มองอะไรอยู่หรือ”

“เปล่า เปล่า ไม่มีอะไร” เธอรีบแก้ตัวก่อนที่จะเดินตามเพื่อนขึ้นไปบนอาคาร เมื่อเธอรื้อข้าวของเครื่องใช้ในกระเป๋าออกมาจัดเก็บในตู้จนหมดแล้ว จึงหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ที่ก้นกระเป๋าขึ้นมาถือไว้ และไม่ทราบด้วยเหตุอันใดดลใจ เธอเปิดสัญญาณโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น ในทันที โทรศัพท์ใช้เวลาตรวจจับสัญญาณอยู่สักพัก ก็มีเสียงสัญญาณเตือนดังเข้ามา รจนากดดูจึงพบว่ามีผู้โทรเข้ามาหาเธอหลายครั้งหลายหน ใน 2-3 วันที่ผ่านมานี้ และเป็นหมายเลขโทรศัพท์จากเครื่องเดียวกัน เธอรู้สึกดีใจขึ้นมาในทันที ก่อนที่จะกดกลับไปหาเลขหมายนั้น

“คุณรจนา ใช่ไหมครับ” เสียงปลายทางถามเข้ามาทำให้เธอค่อนข้างจะผิดหวัง เพราะเข้าใจว่าน่าจะเป็นเบอร์ของอองรีที่โทรเข้ามา แต่เสียงที่รับปลายทางนั้น เป็นเสียงของคนไทยคนหนึ่ง เธอครุ่นคิดว่าจะทำต่อไปเช่นไรดี แล้วคนๆนี้รู้จัก ชื่อเธอและหมายเลขโทรศัพท์ของเธอได้อย่างไร เพราะเธอไม่เคยบอกให้ใครทราบเลยว่า เธอมีโทรศัพท์มือถือ

“รจนา นั่นคุณใช่ไหมครับ” เสียงปลายทางเรียกเตือนมาอีกครั้ง รจนาตัดสินใจที่จะวางสาย แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักๆไปเมื่อเสียงชายคนนั้น กล่าวอีกว่า “นี่ผมเองครับ อองรี”

“คุณอองรี หรือคะ” รจนากล่าวด้วยความตื่นเต้น ขณะที่กุลวดีที่กำลังจัดข้าวของของเธออยู่นั้น ต้องหยุดชะงักด้วยความสนใจ

“ครับ ผมเองครับ”

“ขอโทษค่ะ ทีแรกฉันจำเสียงคุณไม่ได้ ภาษาไทยของคุณดีขึ้นมากเลยนะคะ”

“จริงหรือครับ ถ้าเช่นนั้นผมก็พร้อมที่จะเป็นนักศึกษาของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยแล้วสิครับ”

รจนาอุทานด้วยความตกใจ ตามมาด้วยความรู้สึกดีใจอย่างท่วมท้น ที่รู้ว่าจะได้เรียนร่วมกับเขา แม้จะคนละคณะก็ตาม สองชั่วโมงต่อมา อองรีมาหาเธอที่หอพัก ตามที่ได้นัดหมายกันไว้ รจนาพาเขาไปเดินซื้อเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายที่จำเป็นต้องใช้ ด้วยความสนิทสนมและเป็นกันเอง จนกระทั่งได้เวลาเย็น อองรีจึงเอ่ยปากชวนเธอทานอาหารเย็นร่วมกัน ที่ร้านอาหารย่านเอเชียทีค ที่เขาและเธอเคยทานร่วมกันมาแล้วครั้งหนึ่งในคืนวันสุดท้ายก่อนที่เขาจะเดินทางกลับฝรั่งเศสเมื่อหลายเดือนก่อน ทีแรกรจนาปฏิเสธ เพราะเห็นว่าเป็นร้านอาหารที่ราคาค่าอาหารค่อนข้างจะแพง สำหรับผู้มีฐานะเช่นเธอ และได้แนะนำตักเตือนเขาว่า

“คุณมาเรียนไกลถึงที่นี่แล้ว ก็ควรใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดนะคะ จะได้ไม่รบกวนทางบ้านเกินไป วันนี้ก็ซื้อเสื้อผ้าที่จำเป็นหมดเงินไปหลายบาทแล้ว ไหนจะค่าที่พัก ค่าเล่าเรียน ค่าอาหาร ค่าเดินทางอีกมากมาย ร้านอาหารเช่นนี้ ไม่ควรที่จะมาบ่อยๆ มันเกินฐานะของนักศึกษาเช่นเรา”

“ผมจะจดจำที่คุณสอนเอาไว้ครับ ตั้งแต่พรุ่งนี้ ผมจะพยายามทานแต่อาหารที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยทุกมื้อเลยครับ”

“อย่าประชดฉันสิคะ คุณอาจจะทานอาหารที่ร้านค้าทั่วไปบ้างก็ได้ แต่สำหรับร้านหรูๆเช่นนี้ เอาไว้ทานเฉพาะวันสำคัญๆ ดีกว่าไหมคะ”

“ผมคิดว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ”อองรีย้อนอย่างอารมณ์ดี

“ทำไมหรือคะ”

“สำหรับผมแล้ว วันไหนที่มีคุณอยู่ด้วย วันนั้นคือวันสำคัญของผม”

รจนาต้องหลบสายตาของเขาด้วยความเอียงอายและจำยอมเดินตามเขาเข้าไปในร้านอย่างไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็เข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของเธอก็ยังฟ้องถึงอาการที่เธอรู้สึกจนอองรี ต้องกระเซ้าว่า

“หน้าของคุณแดงจัง”

“เปล่านี่คะ สงสัยจะตากแดดมากไป”รจนาตอบแทบไม่เป็นภาษา จนต้องแก้ไขด้วยการนั่งก้มหน้าหลบสายตาของเขา แล้วก็เหมือนรู้สึกมีเสียงระฆังมาช่วย เมื่อโทรศัพท์ของอองรีดังขึ้น

“สวัสดีครับคุณอา ผมมาถึงได้สองวันแล้วครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงครับ”

อองรีวางสายโทรศัพท์แล้วหันมาคุยกับเธอว่า

“ผมโชคดีที่ได้ คุณอานงนุช มาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของผม”

“อาจารย์นงนุช ที่ภาควิชาภาษาฝรั่งเศส หรือคะ”

“ครับ คุณรู้จักด้วยหรือครับ” อองรีถามด้วยความตื่นเต้น

“ค่ะ เทอมนี้ฉันมีลงเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสกับอาจารย์ด้วย”

“ดีจัง” อองรีร้องอย่างดีใจ “คุณต้องเรียนวิชานี้ได้ดีแน่เลย ผมจะช่วยสอนให้คุณอีกทางหนึ่ง ว่าแต่ทำไมคุณถึงได้เลือกเรียนวิชานี้เล่าครับ ผมเห็นคนไทยไม่กี่คนที่สนใจจะเรียนภาษาฝรั่งเศสของผม”

“ฉันเรียนมาทางออกแบบแฟชั่นค่ะ ฉันเห็นว่าตำราเรียนหลายเล่มล้วนเป็นภาษาฝรั่งเศสทั้งนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาของฉันจึงแนะนำว่า ควรจะเรียนภาษานี้ไว้บ้าง เพื่อที่จะได้ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมได้”

ทั้งสองคนทานอาหารสลับกับคุยกันด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน ราวกับคนที่รู้จักกันมานานหลายปี ทั้งๆที่หากนับจำนวนวันที่รู้จักกันจริงๆแล้ว วันนี้เป็นเพียงวันที่ 3 ที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสพบกันเท่านั้น

หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็พากันเดินชมร้านค้าบริเวณนั้น ด้วยความสบายใจ วันนี้ผู้คนไม่ค่อยหนาแน่นมากนัก เนื่องจากไม่ใช่วันหยุด ทั้งสองคนเดินมาเรื่อยๆจนถึงลานที่มีชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ รจนาไม่เคยเห็นชิงช้าขนาดใหญ่เท่านี้มาก่อน เมื่อเทียบกับชิงช้าสวรรค์ที่พบเห็นตามงานวัดทั่วไปที่บ้านของเธอแล้ว ชิงช้าสวรรค์ที่นี่ดูใหญ่โตและสูงกว่ากันมาก

อองรีไม่รอช้าที่จะเดินนำพาเธอไปยังช่องจำหน่ายตั๋ว ทั้งสองคนเข้าไปนั่งในตู้ที่ปิดประตูสนิท ก่อนที่วงล้อยักษ์นั้นจะค่อยๆหมุนไปอย่างช้าๆ รจนามองดูยามราตรี ของกรุงเทพฯจากมุมมองในที่สูงเช่นนี้ด้วยความตื่นเต้น ไม่ต่างจากอองรีที่หยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาถ่ายรูปมุมมองต่างๆอย่างสนุกสนาน รจนาเห็นอองรีมีความสุขเช่นนั้น ก็อาสาที่จะถ่ายรูปให้เขา อองรีส่งโทรศัพท์ให้ด้วยความยินดี รจนาถ่ายรูปให้เขาด้วยโทรศัพท์เครื่องนั้นได้ 3-4 ใบแล้ว ก็ส่งคืนให้เขา อองรีรับมาแล้วกล่าวว่า

“เราถ่ายรูปคู่กันได้ไหมครับ”

รจนานิ่งอึ้งครุ่นคิดอยู่สักครู่ เธอเคยเห็นหนุ่มสาวถ่ายรูปคู่กันโดยใช้โทรศัพท์มือถือมาบ้าง เธอรู้ดีว่าทั้งสองคนจะต้องแนบชิดกันเพียงใดเพื่อให้สามารถเก็บภาพที่ต้องการได้หมด ซึ่งในสายตาของเธอแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่ดีงามเลย เธอจึงตอบปฏิเสธเขาไปอย่างนุ่มนวลว่า

“ไม่ดีกว่าค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”อองรีกล่าวตอบอย่างสุภาพเช่นเคย

รจนาได้แต่นั่งก้มหน้าสลับกับมองออกไปนอกตู้นั้นโดยที่ไม่กล้าสบตากับเขา เมื่อความสนุกสนานตื่นเต้น จากการที่ได้ขึ้นมานั่งชมทิวทัศน์เช่นนี้หมดไป ความรู้สึกเอียงอายก็เริ่มเข้ามาแทนที่ เธอกำลังอยู่ในตู้ที่ปิดมิดชิดของชิงช้านั้นตามลำพังกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่มีเพียงความเงียบสงัดที่เงียบเสียจนได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน และแสงสลัวๆ จากดวงไฟดวงเล็กๆเท่านั้นเท่านั้นที่อยู่รอบกาย เสียงนาฬิกาข้อมือของอองรีส่งเสียงเตือนเบาๆ ทำให้ทั้งสองคนที่เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ สะดุ้งขึ้นพร้อมกัน

“กี่โมงแล้วคะ”

“สามทุ่มครับ”

“ตายจริง”รจนาร้องด้วยความตกใจ “เราต้องรีบกลับแล้วล่ะค่ะ ช่วงนี้ยังไม่เปิดเรียน หอพักจะเปิดถึงสี่ทุ่มเท่านั้น”

ชิงช้านั้นยังคงหมุนไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางความร้อนอกร้อนใจของรจนาที่เกรงจะกลับหอพักไม่ทัน และทันที่ที่ทั้งสองคนออกมาจากตู้ เธอก็รีบเดินนำหน้าเพื่อไปเรียกแท็กซี่ในทันที และเมื่อเข้าไปนั่งในรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อองรีก็กล่าวปลอบใจเธอว่า

“ใจเย็นๆสิครับ ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอันใดเลย คุณทำราวกับว่าถ้ากลับไปไม่ทันเวลาแล้ว จะถึงคราวโลกแตกอย่างนั้น”

รจนาถอนหายใจครั้งหนึ่ง เธอเหลือบมองดูคนขับรถแล้วกล่าวเป็นภาษาอังกฤษกับอองรีว่า

“ฉันเคยบอกคุณแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าฉันประพฤติตัวไม่ดี ฉันอาจถูกตัดชื่อออกจากหอพักได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ฉันจะต้องเดือดร้อนมากเลย”

“ผมยังอยู่ที่นี่ทั้งคน จะปล่อยให้คุณเดือดร้อนได้อย่างไรกัน” อองรีคุยโม้ ขณะที่รจนาค้อนให้เขาครั้งหนึ่ง

“ทำเป็นเก่งไปเถิดค่ะ เพิ่งมาเมืองไทยได้ไม่กี่วันแท้ๆ”

“ถ้าคุณกลับหอพักไม่ได้ ก็ไปอยู่กับผมก่อนก็ได้”

“ไฮ้!!”รจนาร้องเสียงหลง “ฉันเป็นผู้หญิง จะให้ไปค้างคืนกับคุณได้อย่างไร”

“ที่บ้านของผม มีมากมายที่ชายหญิงเช่าหอพัก อยู่ด้วยกันโดยที่ไม่มีอะไรกันเกินเลยไปกว่า เพื่อนร่วมห้อง”

“นั่นมันที่บ้านของคุณ แต่ที่นี่เมืองไทย บ้านของฉัน ถ้าคุณอยากเรียนรู้วัฒนธรรมไทยจริง คุณต้องเข้าใจตรงจุดนี้เสียก่อน”

รจนาทำเสียงดุ ในขณะที่อองรีมองเห็นความน่ารักในท่าทางอาการเช่นนั้นของเธอ รถแท็กซี่มาจอดที่หน้าประตูหอพักได้ทันเวลาพอดี ยามเฝ้าประตูกำลังจะปิดประตูใหญ่แต่เมื่อเห็นรจนา รีบลงจากรถแท็กซี่ เขาก็หยุดรอ เพื่อให้เธอเดินเข้ามา เธอเดินเข้าประตูไป แล้วกล่าวขอบคุณยามผู้นั้น ก่อนที่จะหันกลับไปมองที่รถแท้กซี่คันนั้น อองรียังคงมองมาที่เธอ เขายกมือขึ้นโบก เช่นเดียวกับรจนา ที่โบกมือให้เขา ก่อนที่รถแท็กซี่คันนั้นจะเคลื่อนตัวออกไป

***********************************************

กุลวดีผุดลุกขึ้นจากเตียงทันทีที่เห็นรจนา เดินกลับเข้ามาในห้อง

“รจ เธอหายไปไหนมา ลืมไปแล้วหรือว่าเรามีนัดทานข้าวเย็นกับพี่หมอ”

รจนาใจหายวาบเมื่อนึกขึ้นมาได้ เธอลืมเรื่องที่มีนัดทานข้าวกับวัชรินทร์เสียสนิท

“ฉันลืมไปสนิทเลยกุล”

“ลืม !”กุลวดีร้องเสียงหลง “เธอเป็นคนขี้หลงขี้ลืมตั้งแต่เมื่อไรกัน”

“แล้วพี่หมอเขาว่าอย่างไรบ้าง” รจนาพยายามถาม

“หน้างอ เป็นม้าหมากรุกเลย ทำอย่างนี้ไม่ดีเลยนะรจ เหมือนหลอกใช้ให้เขามาส่ง แล้วก็หนีหน้าเขาไป”

“หลอกใช้หรือ !”รจนากล่าวด้วยความไม่พอใจ “เธอว่าใครหลอกใช้เขา ฉันไม่เคยขอให้เขามารับหรือมาส่งเลยนะกุล”

“เออๆ ใจเย็นๆ”กุลวดีพยายามปลอบเพื่อนสาวเมื่อเริ่มเห็นว่าเธอไม่พอใจ “เอาเป็นว่าฉันผิดเองก็แล้วกัน”

รจนาเห็นท่าทางของเพื่อนเช่นนั้น ก็เสียใจ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้นว่า

“ฉันขอโทษ เอาเป็นว่าวันหลังฉันจะพยายามไม่ลืมก็แล้วกัน” กล่าวจบแล้วเธอก็ขอตัวไปอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จกลับมาก็พบว่ากุลวดี ปิดไฟนอนแล้ว เธอจึงเดินไปยังที่นอนของเธอ สวดมนต์ กราบลงกับหมอนก่อนที่จะล้มตัวลงนอน แต่ก็ยังไม่อาจข่มตาลงได้ เฝ้าแต่คิดถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนบ่ายที่อยู่กับอองรีอย่างมีความสุข จนต้องเผยอยิ้มออกมาในท่ามกลางความมืด แต่แล้วกุลวดีที่เธอเข้าใจว่าหลับไปแล้ว ได้ถามขึ้นมาในความมืดว่า

“รจ เธอคงไม่คิดที่จะคบหากับฝรั่งคนนั้น จริงๆจังๆใช่ไหม”

รจนาผุดขึ้นมานั่งในทันที กุลวดีพลิกกายมาทางเธอแล้วกล่าวว่า

“ฉันแค่อยากจะเตือนเอาไว้ในฐานะเพื่อน ระวังอย่าให้ถลำลึกไปกว่านี้เลย ถึงเวลาจะถอนตัวถอนใจลำบาก เขากับเรา ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม เข้ากันไม่ได้หรอก”

รจนารับฟังคำเตือนที่มีเหตุผลและเต็มไปด้วยความปรารถนาดีของเพื่อนรักอยู่อย่างเงียบๆ กุลวดีเมื่อกล่าวจบ ก็ตะแคงตัวไปอีกด้านหนึ่ง เหมือนกับไม่อยากจะฟังคำชี้แจงใดๆ รจนาจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนที่จะกล่าวออกมาเบาๆว่า

“กุล เธอเคยรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยเป็นกันเองกับใครคนหนึ่งราวกับรู้จักกันมานานจากชาติปางก่อน ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่วัน บ้างไหม?”

คราวนี้กุลวดี ผุดลุกขึ้นบ้าง เมื่อหันไปมองรจนาก็เห็นเธอนอนตะแคงหันด้านหลังมาให้ เธอจึงได้แต่ล้มตัวลงนอนดังเดิม โดยที่ไม่ได้กล่าวตอบอันใด แต่ในใจนั้น กลับเป็นห่วงเพื่อนรักยิ่งนัก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา