มนตราดอกกุหลาบ
เขียนโดย 2305
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.
แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 4
รจนาเดินทางกลับหอพักด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ภาพและคำพูดของอองรีปรากฏขึ้นอยู่ในความนึกคิดของเธอตลอดเวลา เธอเดินไปตามทางเท้าอย่างช้าๆ สัมผัสกับสายลมหนาวที่พัดผ่านมากระทบทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งกาย แต่ก็ยังไม่เท่ากับความหนาวเย็นที่เกาะกุมอยู่ในหัวใจของเธอในเวลานี้ เธอเดินผ่านตู้โทรศัพท์ที่ตั้งอยู่หน้าหอพัก แล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าลงในทันที พลางคิดถึงเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมาที่เธอได้พบและคุยกับเขาที่หน้าตู้โทรศัพท์แห่งนี้ เธอเหลือบมองเข้าไปในตู้ที่ว่างเปล่าที่มีแต่แสงไฟที่สว่างไสว แล้วคิดใคร่ครวญอย่างหนัก ก่อนที่จะเปิดประตูอย่างช้าๆแล้วค่อยๆก้าวเท้าเข้าไป เธอควานหาเศษสตางค์เพื่อหยอดตู้โทรศัพท์แล้วกดเลขหมายปลายทาง ไม่นานก็มีผู้รับสาย
“ฮัลโหล”
รจนาจับหูโทรศัพท์ไว้แน่น เกิดความลังเลใจว่าจะพูดดีหรือไม่ เสียงทางปลายทางยังคงกล่าวคำ ฮัลโหล เข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ เธอตัดสินใจที่จะวางหู เป็นเวลาเดียวกับเสียงที่ปลายทางกล่าวว่า
“รจนา รจนา นั่นคุณใช่ไหมครับ”
เธอดึงหูโทรศัพท์กลับเข้ามาแนบใบหน้าอีกครั้ง
“รจนา ใช่ไหมครับ” อองรีถามย้ำมาอีกครั้ง
“ค่ะ ฉันเองค่ะ เอ้อ.. ฉันเพียงแค่อยากจะโทรมาถามว่าคุณเดินทางถึงสนามบินเรียบร้อยใช่ไหมคะ”
“เรียบร้อยครับ ผมกำลังรอเวลาขึ้นเครื่อง”
“ถ้าเช่นนั้น ฉันไม่รบกวนแล้วนะคะ” เธอพูดแล้วทำท่าจะวางหู
“เดี๋ยวครับ ๆ รจนา”
“คะ” เธอดึงหูโทรศัพท์กลับมาคุยใหม่
“ผม...เอ้อ... ผม..ขอบคุณนะครับที่โทรมา ขอบคุณสำหรับทุกๆสิ่งที่คุณทำให้แก่ผมในวันนี้”
“เช่นเดียวกันค่ะ ขอให้เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพนะคะ”
เธอออกจากตู้โทรศัพท์แล้วเดินเข้าไปในหอพัก ก่อนที่จะขึ้นไปบนห้องด้วยความรู้สึกที่แปลกๆ บางครั้งก็รู้สึกชุ่มชื่นใจ บางครั้งก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา
*************************************************
“กลับมาแล้วหรือรจ”กุลวดีเพื่อนร่วมห้องของเธอถามด้วยความเป็นห่วง รจนาตอบรับด้วยท่าทางอ่อนล้า ก่อนที่จะค่อยๆเดินไปยังโต๊ะทำงานเล็กๆของเธอ แล้วนั่งลง
“เป็นอะไรไปหรือเปล่า เห็นโฉมบอกว่าเธอโทรมาขอให้ไปแสดงดนตรีแทน”
“อืม ฉันมีธุระนิดหน่อย”
“มีธุระหรือ เจ้าหญิงรจนามีธุระอันใดสำคัญกว่าการเรียน และการหารายได้พิเศษ เพคะ”กุลวดีกระเซ้า แต่รจนาได้แต่ยิ้มให้กับการยั่วเย้าของเพื่อน โดยไม่ได้กล่าวอันใด กุลวดีเห็นเข็มกลัดที่กลัดอยู่ที่อกเสื้อของเธอ จึงปรี่เข้ามาดู แต่เมื่อรจนารู้ตัว เธอก็พยายามยกมือขึ้นปกปิด แต่ก็ไม่ทันการ กุลวดีจับเข็มกลัดนั้นหันมาดูด้วยความสนใจ
“ใครกัน หล่อยังกับพระเอกฮอลลีวูด”
“คนที่จ้างฉันในวันนี้ไง” รจนาตอบซื่อๆ
“ว้าว เพื่อนฉัน เดี๋ยวนี้ก้าวหน้า หาเงินกับฝรั่งเชียวนะ แล้วเป็นไง จ่ายดีไหม”
รจนาส่ายหน้าช้าๆ จนกุลวดีเริ่มรู้สึกมีบางสิ่งผิดปกติ
“ฉันไม่ได้คิดเงินจากเขาสักบาท”
“เฮ้ย เป็นไปได้ยังไง คุณนายงกอย่างเธอนี่นะ จะยอมทำอะไรให้ใครฟรีๆ”
รจนาพยายามปลดเข็มกลัดนั้นออกจากอกเสื้อ ขณะกล่าวกับกุลวดีว่า
“ฉันคิดเงินเขาไม่ลง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร”รจนากล่าวแล้วก็มีอาการเหม่อลอย จนกุลวดีรู้สึกแปลกใจ ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อไปว่า “กุล เธอเคยมีความรู้สึกแบบนี้บ้างไหมว่า การที่เราได้พบกับใครสักคน แม้จะเพิ่งได้รู้จักกัน แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกันราวกับว่ารู้จักกันมานานหลายปี”
กล่าวจบรจนาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเข็มกลัดที่เธอกำลังปลดอยู่นั้น ได้พลาดมาทิ่มแทงที่ปลายนิ้ว ทำให้รูปภาพที่ปรากฎบนเข็มกลัดนั้น ต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของเธอ รจนารีบใช้ผ้าเช็ดเข็มกลัดนั้นแล้วคิดด้วยความไม่สบายใจว่าจะเป็นลางไม่ดีอันใดหรือไม่ เพราะทั้งเธอและอองรี ต่างต้องเจ็บตัวเพราะเข็มกลัดเหมือนกัน
“เข็มกลัดนี้ เขาให้มาหรือ” กุลวดีกล่าวขณะช่วยทำแผลให้เพื่อน เมื่อรจนาพยักหน้าช้าๆ เธอจึงเตือนว่า “เขาถือนะ การให้ของมีคมเช่นนี้ เห็นไหม ยังไม่ทันไรก็ได้เลือดแล้ว”
“ฉันก็ให้เงินเขาเป็นการแก้เคล็ดแล้วไง”
“ให้ไปเท่าไรล่ะ”
“เก้าบาท”
“เก้าบาท !”กุลวดีทวนคำแล้วก็ยิ้มๆ “อย่างน้อยก็ยังงกเหมือนเดิม”
รจนาเหลือบดูนาฬิกา 3 ทุ่มครึ่งแล้ว เธอลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะดังเดิม เธอหยิบกล่องของขวัญที่อองรีมอบให้ออกมาถือไว้แล้วรอให้ถึงเวลา 4 ทุ่มเพื่อจะเปิดมันออกมาตามที่เขาได้สั่งเอาไว้ กุลวดีซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะของเธอที่ตั้งอยู่ข้างๆ ชำเลืองมองอาการของเพื่อนรักด้วยความสนใจ รจนาถือของขวัญชิ้นนั้นด้วยความทะนุถนอม แววตาแม้จะแฝงความครุ่นคิดแต่ก็ยังเจือไว้ด้วยแววตาแห่งความปีติยินดี
“เขาให้มาหรือ?” กุลวดีอดรนทนไม่ไหวจึงถามขึ้นมา รจนาพยักหน้าแทนคำตอบ “แล้วทำไมไม่เปิดเสียที มัวแต่นั่งอมยิ้มอยู่ได้”
“เขาบอกให้เปิดตอนสี่ทุ่ม”
“โอ้วแม่เจ้า กรุณาเปิดตอนสี่ทุ่มนะครับ แล้วผมจะกลายเป็นเจ้าชายมาปรากฏตัวต่อหน้าคุณ” กุลวดีทำเสียงล้อเลียน แต่เมื่อเห็นรจนานิ่งเงียบ จึงไม่กล้าเล่นต่อไป ได้แต่ชำเลืองมองอากัปกิริยาที่แปลกไปของเพื่อนรัก ด้วยความสนใจ
เข็มนาฬิกาค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เมื่อเข็มวินาทีเคลื่อนตัวมาถึงเลข12 อันเป็นเวลา 4 ทุ่มพอดี รจนาก็เริ่มใช้มีดคัตเตอร์ กรีดกระดาษห่อของขวัญนั้นด้วยความระมัดระวัง แล้วเธอก็ได้พบกับกล่องบรรจุโทรศัพท์มือถืออยู่ภายใน เธอหยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นออกมาแล้วเปิดสัญญาณ ในเวลาไม่นานก็มีสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้ามา เธอจึงเปิดออกอ่าน
“คุณได้เติมเงิน 3,000 บาท ยอดเงินคงเหลือของคุณคือ 3,109 บาท”จากนั้นก็มีสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้ามาอีกครั้ง รจนาเหลียวหลังส่งสายตามายังกุลวดี ที่ย่องมาด้านหลังเพื่อขอดูข้อความด้วยความสนใจ กุลวดีเห็นเช่นนั้นจึงจำต้องลากเท้ากลับไปยังโต๊ะทำงานของเธอ แต่ก็ยังคงชะเง้อคอมองเพื่อนรักด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“รจนาครับ ผมขอมอบโทรศัพท์เครื่องนี้ให้คุณไว้ใช้ในยามจำเป็น กรุณารับน้ำใจจากผมด้วยนะครับ เพราะจะทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจและคลายความกังวลว่า ในยามที่คุณจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์แล้ว โทรศัพท์เครื่องนี้จะช่วยเหลือคุณได้บ้าง ผมต้องขอโทษคุณที่อาจจะรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณ ที่ได้ขอให้คุณเปิดกล่องของขวัญนี้ เมื่อเวลา 4 ทุ่มไปแล้ว ทั้งนี้เพราะผมต้องการมีเวลาเพียงพอที่จะเรียบเรียงและถ่ายทอดความรู้สึกของผมออกมาเป็นตัวหนังสือ ในสิ่งที่ผมอยากจะบอกให้คุณได้รับทราบ” รจนาหยุดเพื่อกดปุ่มเลื่อนอ่านข้อความถัดไป
“คุณเคยมีความรู้สึกเช่นนี้บ้างไหมครับ ว่าเมื่อเราได้พบใครสักคนหนึ่ง แม้จะพบกันได้ไม่นานแต่กลับมีความรู้สึกสนิทสนมกัน ราวกับว่ารู้จักกันมาแล้วเป็นแรมปี” รจนาหยุดอ่านอีกครั้ง พลางคิดด้วยความสงสัยว่า ทำไมความรู้สึกของอองรี จึงได้ตรงกับความรู้สึกของเธอเช่นนั้น “คุณอาจจะไม่เชื่อว่า ครั้งแรกที่ผมได้พบกับคุณที่ร้านขายต้นไม้นั้น ผมรู้สึกได้ทันทีว่า คุณคือผู้หญิงที่ผมเฝ้าใฝ่ฝันหา และผมก็ได้พยายามตามหาคุณจริงๆ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา น่าเสียดายที่ผมได้พบและทำความรู้จักกับคุณ ก็ต่อเมื่อถึงวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่ที่ประเทศไทยแล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่วันเดียว ก็เป็นหนึ่งวันที่ผมมีความสุขยิ่งนัก และทำให้ผมมั่นใจในตัวคุณยิ่งขึ้นว่า คุณนี่แหละคือผู้หญิงที่ผมใฝ่ฝันถึงจริงๆ ผมใคร่ขอวิงวอนคุณ ได้โปรดให้โอกาสผมสักครั้ง อย่าให้ความสัมพันธ์ของเราต้องเกิดขึ้นและสิ้นสุด ภายในวันเดียวเลยครับ โปรดติดต่อกลับมาหาผมบ้าง ตอบข้อความของผมบ้าง ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับตัวผมไปเรื่อยๆ แม้ต่อไปภายหน้าคุณจะไม่ยอมรับความรักจากผม ถึงวันนั้น ผมก็จะไม่เสียใจ เพราะผมได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว และจะไม่มีวันหยุดรักคุณ ผมขอยืนยันว่า สิ่งที่ผมพูดที่ร้านอาหารเมื่อตอนหัวค่ำนั้น ผมหมายความเช่นนั้นจริงๆ ผมรักคุณ รักอย่างที่ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ไม่ว่าคุณจะเชื่อในสิ่งที่ผมกล่าวมาหรือไม่ก็ตาม ป.ล. ที่ใต้ฐานรองโทรศัพท์ ผมได้แนบเงินไว้จำนวนหนึ่ง เป็นค่าตอบแทนและค่าเสียโอกาสในการหารายได้ของคุณที่ได้พาผมไปเที่ยวในวันนี้ กรุณารับไว้นะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ แล้วผมจะติดต่อมาเรื่อยๆนะครับ”
รจนาวางโทรศัพท์ลงแล้วค้นดูที่ใต้ฐานของกล่องที่บรรจุมันมา ก็ได้พบกับธนบัตรจำนวนหนึ่งถูกพับอยู่อย่างเรียบร้อย ซ่อนอยู่ใต้นั้น กุลวดีที่แอบมองดูอยู่ร้องขึ้นอย่างตกใจในทันที
“เงินตั้งหลายพัน เขาให้เธอหรือ?”
รจนาไม่ตอบแต่พยักหน้ารับอย่างช้าๆ ก่อนที่จะค่อยๆลุกเดินกลับไปที่เตียงนอนของเธอแล้วล้มตัวลงนอน ด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับตัว ในขณะที่มือขวายังคงถือโทรศัพท์เครื่องนั้นไว้อยู่ กุลวดีค่อยๆเดินเข้าไปแล้วนอนเท้าคางอยู่ข้างๆพลางออดอ้อนว่า
“ไหนบอกว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน จะไม่มีความลับต่อกันไง”
“ฉันไม่ได้มีความลับหรอก เพียงแต่ฉันรู้สึกสับสนเท่านั้น”
“สับสน! อย่าบอกนะว่าเธอรู้สึก....”
รจนารีบยื่นโทรศัพท์เครื่องนั้นออกไปให้เพื่อน เพราะไม่อยากได้ยินสิ่งที่กุลวดีกำลังจะหลุดปากออกมา กุลวดีรีบรับโทรศัพท์นั้นมาแล้วเปิดอ่านข้อความในทันที เมื่ออ่านจบเธอก็หัวเราะด้วยความชอบใจ จนรจนาต้องถามด้วยความสงสัยว่า เธอหัวเราะด้วยเหตุใด กุลวดีจึงตอบว่า
“ฉันขำที่ทำไมครั้งนี้เธอถึงได้มีอาการเหมือนเคลิบเคลิ้มไปกับคารมของเขา ก่อนนี้ฉันเห็นมีหนุ่มๆมาตามจีบเธอตั้งหลายคน ไม่เคยเห็นเธอมีอาการเช่นนี้”
“ฉันไม่ได้หลงคารมของเขาสักหน่อย”รจนากล่าวแล้วก็ตะแคงตัวไปอีกข้างเพราะไม่อยากสบสายตาด้วย
“นี่ ฉันจะบอกให้นะ อย่าไปคิดมาก อีกสองวันเขาก็ลืมเธอแล้วก็ไปควงสาวอื่นปร๋ออยู่ที่กรุงปารีสแล้ว เชื่อฉันสิ ผู้ชายอะไร้ คิดจะจีบผู้หญิงยังซื้อโทรศัพท์ห่วยๆอย่างนี้ให้อีก จะจีบเพื่อนฉันทั้งที ควรจะต้องลงทุนให้มากกว่านี้หน่อย”
“เขาไม่ได้ตั้งใจซื้อให้ฉันหรอก เป็นโทรศัพท์ที่เขาซื้อไว้ใช้ตอนมาเที่ยวเมืองไทย แล้วคงไม่อยากเอากลับ”
“นั่นไง ฉันว่าแล้ว เลิกคิดฟุ้งซ่านเถอะ ไม่นานเขาก็ลืมเรา ดังนั้น จงเป็นฝ่ายลืมเขาเสียก่อนที่เขาจะลืมเรา”
รจนาไม่ได้คิดสนใจในมูลค่าของโทรศัพท์ หรือจำนวนเงินที่เขาให้เธอมาแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจของเธอ กลับเป็น การแสดงความเป็นห่วงของเขาที่มีต่อเธอ รวมทั้งการเปิดเผยความรู้สึกของเขาออกมาอย่างชัดเจนต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รจนากลับมาใช้ชีวิตตามปกติของเธอในวันต่อๆมา แม้จิตใจจะยังคงวุ่นวายอยู่บ้าง โดยที่เธอก็พยายามควบคุมใจไม่ให้คิดฟุ้งซ่านตามที่กุลวดีได้แนะนำ แต่บ่อยครั้งที่เธอต้องแอบชำเลืองมองโทรศัพท์มือถือ ด้วยหวังว่าจะมีข้อความใหม่ๆส่งเข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่มีข้อความใดๆถูกส่งมาทั้งสิ้น เธอจึงคิดว่าอาจจะเป็นดังที่กุลวดีได้เตือนเอาไว้แล้วก็ได้ เธอจึงพยายามทำจิตใจให้สดชื่นและพยายามที่จะไม่นึกถึงเขาอีก แต่เมื่อเดินผ่านม้านั่งที่มหาวิทยาลัย ที่อองรีเคยมานั่งรอเธอคราใด ก็รู้สึกสะท้านในหัวใจขึ้นมาทุกที
ช่วงเทศกาลปีใหม่ เธอมีวันหยุดหลายวัน จึงได้เตรียมตัวที่จะกลับบ้านที่อยุธยาพร้อมกับกุลวดี แต่เมื่อถึงเช้าวันเดินทาง เธอกลับพบว่ากุลวดี ไม่ได้ไปจองตั๋วรถโดยสารตามที่ได้ตกลงกันไว้ ทำให้เธอรู้สึกขุ่นเคืองเพราะไม่รู้ว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านได้อย่างไร แต่กุลวดีกลับเป็นฝ่ายนั่งอมยิ้มอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อน และรจนาก็ได้รู้ในเวลาต่อมาว่าเหตุที่เธอไม่ไปจองตั๋วรถโดยสารนั้น ก็เมื่อเห็นรถเก๋งคันงามคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าหอพักของเธอ
“ไม่ใช่ว่าฉันลืมไปซื้อตั๋วหรอกนะ” กุลวดีอธิบายเมื่อเห็นรถคันนั้นแล่นเข้ามาจอด “บังเอิญฉันไปเจอพี่วัชรินทร์เข้า แล้วแกก็อาสาที่จะไปส่งให้ ดีไหมล่ะ ไม่ต้องเบียดผู้คน แถมประหยัดเงินอีกต่างหาก”
รจนาหันไปค้อนเพื่อนรักครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะยกมือไหว้วัชรินทร์ที่กำลังเดินเข้ามาหา เขาเดินตรงมาช่วยรจนาถือกระเป๋าแล้วพาเดินตรงไปยังรถที่จอดรออยู่ รจนาทำท่าจะเปิดประตูหลังเพื่อเข้าไปนั่ง แต่ก็ถูกกุลวดีชิงเบียดตัวเข้าไปนั่งก่อนแล้วบอกว่า
“เธอไปนั่งหน้าเป็นเพื่อนพี่เขา ฉันจะนอนเอาแรงเสียหน่อยเมื่อคืนฉลองปีใหม่ดึกไปหน่อย”
รจนาค้อนเพื่อนรักอีกครั้ง ก่อนที่จะขยับไปเปิดประตูหน้าแล้วขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ แม้ว่าเธอจะรู้จักกับวัชรินทร์ ที่เป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย มานานพอสมควร แต่เธอก็ไม่รู้สึกสนิทสนมหรือสบายอกสบายใจแต่อย่างใด เมื่อต้องอยู่ใกล้เขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอเริ่มรู้สึกว่า วัชรินทร์นั้นมีท่าทีที่อยากจะสานสัมพันธ์กับเธอมากขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่
วัชรินทร์นั้นกำลังศึกษาอยู่ที่คณะแพทย์ศาสตร์ ปีสุดท้ายแล้ว เขารู้จักกับรจนาในพิธีรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งรจนาก็เป็นหนึ่งในน้องใหม่ในปีนี้ด้วย และตั้งแต่รู้จักกันในครั้งนั้น เขาก็เฝ้าพยายามที่จะสานสัมพันธ์กับรุ่นน้องต่างคณะคนนี้ให้มากขึ้นๆ แต่รจนาดูเหมือนจะไม่ให้ความสนใจกับเขาสักเท่าไร เพราะเธอคิดเสมอว่าตัวเธอนั้นยังเด็กนัก ควรที่จะตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือให้สมกับความยากลำบากของพ่อแม่ที่ต้องหาเงินส่งให้เธอมาเรียนที่นี่จะดีกว่ามาสนใจในเรื่องอื่นๆเช่นนี้ ระหว่างที่นั่งด้วยกันมาในรถนั้น วัชรินทร์พยายามที่จะชวนคุย สอบถามและแนะนำเรื่องการเรียนด้วยความเอาใจใส่ แต่รจนาได้แต่ตอบคำถามสั้นๆ ตามที่ถูกถามด้วยความอึดอัดใจที่จำเป็นต้องรักษามารยาท และเมื่อเดินทางใกล้จะถึง วัชรินทร์ก็ได้ทำตามที่กุลวดีแนะนำคือให้ไปส่งเธอที่บ้านก่อน จากนั้นจึงค่อยแวะไปส่งรจนา ซึ่งแม้ว่า บ้านของกุลวดี กับบ้านของรจนาจะอยู่ไม่ไกลกันมาก และใช้เวลาไม่นานในการเดินทาง แต่ก็เป็นเวลาที่รจนารู้สึกว่านานเหลือเกิน เมื่อต้องอยู่กับวัชรินทร์ ตามลำพังเช่นนี้ บนรถ
รจนาได้ตรงเข้าไปกราบบิดามารดาบังเกิดเกล้า ทันทีที่ลงจากรถ ก่อนที่จะแนะนำให้วัชรินทร์ รู้จักกับพ่อแม่ของเธอ เรืองผู้เป็นพ่อของรจนา รับไหว้วัชรินทร์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ตรงกันข้ามกับราตรี ผู้เป็นมารดาที่มีท่าทางกังวลใจและไม่ค่อยสบายใจ ที่เห็นลูกสาวมีผู้ชายขับรถมาส่งเช่นนี้ รจนาเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่ก็เข้าใจในความรู้สึก จึงเข้าไปโอบกอดเอว แล้วกล่าวว่า
“พี่เขามีธุระผ่านมาทางนี้พอดี จึงอาสามาส่งหนูกับกุล”
ราตรีรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนเอ่ยชวนให้เข้าบ้านและทานอาหารด้วยกัน รจนาตรงรี่ไปเปิดฝาชีที่ครอบอยู่บนโต๊ะ มองดูอาหารเหล่านั้นด้วยความยินดี เพราะล้วนแต่เป็นอาหารที่เธอโปรดปรานทั้งสิ้นที่ผู้เป็นแม่ตั้งใจทำไว้เป็นพิเศษรอรับลูกสาวที่กลับมาเยี่ยมบ้าน แต่เมื่อวัชรินทร์เหลือมมองดูอาหารเหล่านั้น ที่ล้วนเป็นอาหารพื้นๆธรรมดาๆเช่น น้ำพริก ผักสด แล้ว ก็ไม่นึกอยากทาน จึงกล่าวกับรจนาว่า
“น้องรจ พี่ได้ทราบมาว่าที่อยุธยามีกุ้งแม่น้ำเผา ที่มีชื่อไม่ใช่หรือ”
“มีค่ะ พี่หมออยากทานกุ้งหรือคะ เดี๋ยวรจไปตกในคลองให้ค่ะ” รจนากล่าวอย่างซื่อๆ
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกจ้ะ พี่ว่าเราไปทานที่ร้านอาหารจะสะดวกกว่า”
รจนามีท่าทีลำบากใจ ครั้นจะปฏิเสธก็รู้สึกเกรงใจและจะเหมือนกับแล้งน้ำใจที่เขาอุตสาห์มาส่งแล้วจะไม่มีน้ำใจตอบแทนเขาก็กระไรอยู่ จึงได้หันไปขออนุญาตผู้เป็นบิดามารดาและบอกว่าจะชวนกุลวดีไปด้วย เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว จึงได้ขึ้นรถไปกับวัชรินทร์เพื่อไปรับกุลวดี แล้วเดินทางไปร้านอาหารด้วยกัน เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ วัชรินทร์พยายามจะรบเร้าให้รจนา พาตนท่องเที่ยวไปตามสถานที่อันน่าสนใจของอยุธยา แต่รจนาปฏิเสธที่จะพาไป โดยเธอให้เหตุผลว่า เธอเดินทางกลับมาบ้านก็เพื่อจะมาอยู่กับพ่อแม่ ในช่วงปีใหม่ จึงขอผัดผ่อนเขาว่า เอาไว้โอกาสหน้า ถ้ามีเวลาและวางแผนกันล่วงหน้าแล้ว เธอจะพาเขาเที่ยวตามที่เขาต้องการ วัชรินทร์จึงจำต้องพาเธอกลับมาส่งที่บ้าน แล้วขับรถกลับกรุงเทพฯด้วยความผิดหวัง
“ผู้ชายที่มาส่งลูกนั้นเป็นใครกันหรือ” ราตรีเอ่ยปากถามบุตรสาวทันทีที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“เขาเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยจ้ะแม่”
“สนิทสนมกันมากหรือ?”
“ก็พอสมควรจ้ะแม่ แต่หนูก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปอย่างที่แม่กังวลนะจ๊ะ”
แต่ผู้เป็นแม่ก็ดูเหมือนจะยังไม่คลายความกังวล เธอถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนที่จะกล่าวตักเตือนลูกสาวว่า
“เราควรจะรู้จักเจียมตัวของเรานะ ฐานะของเราไม่คู่ควรกับเขาหรอก แม่ไม่อยากให้ลูกต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าในวันหน้า”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ