มนตราดอกกุหลาบ
เขียนโดย 2305
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.
แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
24) บทที่ 23
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 23
อองรีตัดสินใจที่จะเช่ารถแล้วขับพารจนากลับมาบ้านด้วยตัวของเขาเอง แม้ว่ารจนาจะพยายามคัดค้านเพราะเห็นว่าเขาเหลือดวงตาเพียงแค่ข้างเดียว อาจจะเป็นอุปสรรคในการขับรถได้ แต่เขาได้กล่าวว่า
“ผมไม่อาจฝากชีวิตของคุณไว้กับคนขับรถคนอื่นได้อีกต่อไปแล้ว นับจากนี้ไปผมจะขอเป็นคนดูแลคุ้มครองชีวิตของคุณด้วยตัวของผมเอง”
“แต่ว่าตาของคุณเหลือเพียงข้างเดียว คุณจะมองเห็นอะไรได้เพียงพอที่จะขับรถหรือคะ”
“ใครบอกว่าผมเหลือตาข้างเดียว ผมยังมีตาทั้งสองข้างเพียงแต่อยู่ที่คุณข้างหนึ่ง นับจากนี้ไป เราต้องช่วยเหลือกัน ดูแลซึ่งกันและกันรู้ไหม”
รจนารู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินเขากล่าวเช่นนั้นและเธอเองก็พร้อมเช่นเดียวกันที่จะอยู่เคียงข้างเขาและใช้ชีวิตร่วมกับเขา แม้ว่าต่างฝ่ายต่างเหลือดวงตาเพียงข้างเดียวก็ตาม
“ดีนะคะ ที่คุณสละตาข้างซ้ายให้แก่ฉัน”รจนากล่าวขณะนั่งคู่กับเขาบนรถที่เขาเป็นคนขับ
“ทำไมหรือครับ ถ้าสละตาขวาแล้วไม่ดีหรือครับ”
“ถ้าสละตาขวา เวลาเรานั่งคู่กันบนรถเช่นนี้ ก็จะกลายเป็นคนตาเหล่นะสิคะ”
อองรีหัวเราะชอบใจในอารมณ์ขันของเธอ รจนายังชวนคุยอย่างอารมณ์ดีต่อไปว่า
“ถ้าเราหาคนบริจาคดวงตาอีกคู่หนึ่งได้แล้ว คุณจะรับดวงตาของคุณคืนไปจากฉันไหมคะ”
“ดวงตาก็เหมือนดวงใจครับ ให้แล้วไม่รับคืน”
“ยังมาปากหวานอีกนะ ตอนผ่าตัดน่าจะให้พี่วัชรินทร์ตัดลิ้นออกสักครึ่งหนึ่ง” รจนาแกล้งทำเสียงดุ ก่อนที่จะกล่าวต่อไปอย่างอารมณ์ดีว่า “ต่อให้คุณขอคืน ฉันก็ไม่ให้คืน”
“อ้าว แล้วคุณมาถามผมทำไมครับ”
“ฉันชอบดวงตาของคุณ รู้สึกว่าเมื่อมองดูตัวเองในกระจกแล้วสวยขึ้น เขาว่าตาของคนเจ้าชู้มักจะมองผู้หญิงสวยไปหมดไม่ใช่หรือคะ”
อองรีจนปัญญาไม่รู้จะตอบโต้เช่นไร เมื่อโดนจี้จุดอ่อนใจดำเช่นนั้น ทั้งสองคนคุยกันหยอกล้อกันอย่างมีความสุขเช่นนั้นตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงที่หน้าบ้านของเธอ อองรีจึงมีอาการนิ่งขรึมลงในทันใด รจนาเข้าใจความรู้สึกของเขา จึงกุมมือของเขาไว้แล้วกล่าวให้กำลังใจว่า
“อดทนนะคะ อย่าโต้เถียงกับแม่ ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณเพื่อคอยช่วยเหลือตลอดเวลานะคะ”
อองรีรวบรวมความกล้าและความมั่นใจก่อนที่จะก้าวลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูข้างที่รจนานั่งอยู่เพื่อให้เธอก้าวตามลงมา ราตรีออกมายืนดูที่หน้าบ้านด้วยความแปลกใจว่ารถของใครมาจอดอยู่ แต่เมื่อเห็นรจนาก้าวลงจากรถ แล้วเดินตรงมายังเธอด้วยก้าวย่างที่มั่นคงจากดวงตาที่มองเห็นได้ดังเดิมแล้ว เธอก็อ้าแขนรับบุตรสาวด้วยความปีติยินดี ก่อนที่จะพาเข้าไปนั่งหลบแดดภายในบ้านทันที
ราตรีเฝ้าแต่พูดขอบคุณพระสงฆ์องค์เจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอนับถือที่ได้ช่วยให้รจนากลับมามองเห็นได้ดังเดิม จนสิงห์ต้องยื่นมือมาสะกิดเตือนว่า
“น้าราตรี น้ามัวแต่ขอบคุณคุณพระคุณเจ้าอยู่นั่นแหละ คนที่ควรจะต้องขอบคุณจริงๆเขานั่งอยู่ตรงหน้าน้าแล้วไง” ว่าพลางสิงห์ก็ชี้มายังอองรี ทำให้ราตรีต้องชะงักไปชั่วขณะ เช่นเดียวกับรจนาที่บังเกิดความหวั่นไหวขึ้นมาในทันทีว่าแม่ของเธอจะมีปฏิกิริยาเช่นใด แต่แล้วเธอก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งเมื่อราตรีกล่าวเบาๆกับอองรีว่า
“ขอบคุณ ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะกรุณาต่อรจนาถึงเพียงนี้”
“เพื่อรจนาแล้ว ผมยินดีทำได้ทุกอย่างครับ” อองรีรับคำด้วยความยินดี แต่ราตรีกลับเงียบขรึมลงอีกครั้ง อองรีจึงได้กล่าวต่อไปว่า
“คุณน้าครับ ที่ผมมาในวันนี้ ไม่ใช่ว่าผมจะต้องการขัดคำสั่งของคุณน้าที่ไม่ต้องการให้ผมพบกับรจนาอีก แต่ผมมาวันนี้เพื่อจะขอให้คุณน้าอนุญาตให้ผมพารจนาไปฝรั่งเศสกับผมเพื่อ...”
ราตรีหันมามองรจนาในทันทีก่อนที่จะหันกลับมาสบตากับอองรีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อฟังเขากล่าวต่อไป
“ที่ฝรั่งเศสมีแพทย์ที่ชำนาญในการใส่กระจกตาเทียมให้ดูเหมือนจริง จะทำให้คนทั่วไปไม่รู้เลยครับว่ารจนามีตาที่พิการข้างหนึ่ง ผมจะพาเธอไปทำศัลยกรรมที่นั่น เพื่อรอเวลาที่เธอจะได้รับการบริจาคกระจกตาอีกครั้งหนึ่ง และระหว่างนี้เธอจะได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัย ตามที่เธอได้เคยขอทุนเอาไว้ด้วย”
ราตรีรับฟังโดยไม่กล่าวอันใด ทำให้คนอื่นๆในที่นั้นบังเกิดความอึดอัดขึ้นมาในทันที รจนาต้องช่วยกล่าววิงวอนชี้แจงอีกคนหนึ่งว่า
“แม่จ๋า อองรีเขายินดีออกค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างและเขาอยากให้แม่ไปอยู่ที่นั่นด้วย เพื่อที่หนูจะได้ไม่ต้องทอดทิ้งแม่ไว้ตามลำพังที่นี่ แค่สองปีเท่านั้นเองนะแม่จ๋า หนูอยากได้อนาคตของหนูคืนมา ขอเวลาให้หนูไปเรียนสักสองปีเท่านั้นนะจ๊ะ”
“แม่ไม่ไป !”ราตรีกล่าวอย่างสั้นๆแต่ชัดเจน ทำเอารจนามีสีหน้าสลดลงไปในทันที ราตรีมองดูบุตรสาว แล้วเงยหน้าขึ้นมองภาพถ่ายของเรือง สามีที่ล่วงลับไปแล้วที่ติดอยู่บนข้างฝา ก่อนที่จะยื่นมือออกไปเกาะกุมมือของรจนาเอาไว้แล้วลูบไล้ไปมาด้วยความรักปานแก้วตาดวงใจ เธอค่อยๆยกมือข้างนั้นของรจนาขึ้นมาแนบกับแก้มที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ทำให้รจนาไม่อาจหักห้ามใจได้ จึงได้ร้องไห้ออกมาเช่นเดียวกัน
“ก่อนที่พ่อเขาจะเสีย เขาใฝ่ฝันที่จะเห็นลูกสำเร็จการศึกษาปริญญาโทจากเมืองนอก...”ราตรีกล้ำกลืนคำพูดด้วยความยากลำบาก
“...ไปเอาปริญญากลับมาให้พ่อเขาให้ได้นะ” รจนาตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึงในสิ่งที่เธอได้ยิน ราตรีประคองมือข้างหนึ่งของรจนาไปวางลงในมือของอองรีอย่างช้าๆ พร้อมกับรวบมือของเขาให้โอบอุ้มมือของรจนาเอาไว้
“ฉันขอฝากลูกสาวที่รักคนเดียวของฉันให้กับคุณช่วยดูแลด้วยนะคะ”
บรรยากาศอันน่าอึดอัดและอึมครึมในเบื้องแรกได้มลายหายไปในทันทีที่ราตรีกล่าวประโยคนี้ออกมา รจนาโผเข้ากอดแม่ในทันที ก่อนที่สองคนแม่ลูกจะโอบกอดกันร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้มใจ ทำให้อองรีและสิงห์ที่อยู่ข้างๆ ต้องคอยปาดน้ำตาที่รินไหลออกมาด้วยความตื้นตันใจเช่นเดียวกัน
“สิ่งที่คุณเสียสละให้แก่รจนานั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน จนฉันไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนทำให้กับรจนาของฉันได้เท่านี้อีกแล้ว ฉันเสียใจที่ครั้งหนึ่งจิตใจของฉันมันมืดบอด มองไม่เห็นความดีของคุณ รจนาเสียอีกที่เป็นฝ่ายเห็นความดีที่เปรียบเหมือนทองคำอันเปล่งปลั่งที่ซ่อนอยู่ภายในกายของคุณ อภัยให้กับเรื่องไม่ดีในอดีตที่ฉันทำไว้กับคุณด้วยนะคะ”
อองรีลุกจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าก้มลงกราบที่ตักของเธอด้วยความสุภาพนอบน้อม ราตรียกมือของเธอขึ้นวางบนศีรษะของเขาพร้อมทั้งให้ศีลให้พรว่า
“ลูกเอ๋ย นับแต่นี้ต่อไป ขอให้ความรักของลูกทั้งสองจงมีแต่ความสุขความมั่นคง ขอให้ครองรักครองเรือนกันด้วยความสุขทั้งชาตินี้และชาติต่อๆไปเถิดนะ”
ทั้งรจนาและอองรีก้มลงกราบราตรีพร้อมกันอีกครั้งด้วยความรู้สึกสำนึกตื้นตัน
“ที่ฝรั่งเศสอากาศหนาวมากไหม”ราตรีถามอองรีอีกครั้งหลังจากที่เขากลับมานั่งลงตามเดิม
“ถ้าฤดูหนาวก็หนาวกว่าเมืองไทยมากครับ”
“ช่วยเตือนรจนาให้หมั่นทาครีมทาโลชั่นนะ เธอมักจะผิวแห้งผิวแตกเป็นประจำเมื่อเจอกับอากาศที่หนาวเย็น”
รจนาได้ยินคำเป็นห่วงของผู้เป็นแม่เช่นนั้นก็รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาคลออีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่สิงห์จะเปลี่ยนบรรยากาศให้กลับมารื่นเริงด้วยการกล่าวว่า
“น้าราตรี วันนี้ได้ลูกเขยแล้วต้องเลี้ยงใหญ่นะ”
“ได้สิ” ราตรีกล่าวแล้วหันมาทางอองรีในขณะที่รจนาเอียงอายจนหน้าแดง “พ่ออองรี พ่ออยากทานอะไรเล่า เดี๋ยวแม่ทำเลี้ยงเอง เอาไข่พะโล้ น้ำพริก ไข่ชะอมไหม ของโปรดของชอบทั้งนั้นไม่ใช่หรือ”
“พอเถิดน้า”สิงห์ร้องทัก “เขากินจนหน้าจะเป็นไข่แล้ว ก็น้าเล่นไม่ใส่บาตรให้เขาเลย ทีนี้ก็เดือดร้อนฉันนะสิที่ต้องทำสารพัดไข่ให้ท่านฉันตอนที่ท่านยังบวชอยู่ จนหน้าของท่านจะเหมือนไข่เข้าไปทุกทีแล้ว”กล่าวจบสิงห์ อองรีและรจนาก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน ก่อนที่ราตรีจะทำเสียงดุว่า
“ไอ้สิงห์ !”สิงห์ตกใจนึกว่าจะโดนดุ แต่แล้วราตรีก็กล่าวเสียงอ่อนลงว่า “น้าต้องขอบใจเอ็งเช่นกันที่ช่วยเตือนสติน้า ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำบาปทำกรรมไปอีกเท่าไร ดีว่าได้คำพูดของเอ็งที่เตือนสติ จึงทำให้รจนาได้มีโอกาสใส่บาตรให้พระ ถึงแม้ว่าจะเป็นวันสุดท้ายก็ตาม”
หลังจากรับประทานอาหารเย็นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันประหนึ่งคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว อองรีได้จูงมือรจนาเดินไปตามคันนาเพื่อมายังกระท่อมปลายนาอันเป็นสถานที่เกิดของเธอ แล้วนั่งลงเคียงกัน เกาะกุมมือซึ่งกันและกันเฝ้ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าอย่างมีความสุขร่วมกัน
“ในที่สุด เจ้าหญิงรจนาก็ได้ครองรักกับเจ้าเงาะป่าอย่างมีความสุขตลอดไป”อองรีกล่าวอย่างมีความสุข ขณะที่มองดูดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า รจนาหันมามองดูเขาพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างของเธอประคองใบหน้าของเขาและใช้นิ้วค่อยๆลูบไล้ที่รอบๆดวงตาที่มีผ้าปิดแผลปิดอยู่เบาๆ
“คุณไม่ใช่เจ้าเงาะป่าหรอกค่ะ แต่คุณคือพระสังข์ทองที่งดงามทั้งร่างกายและจิตใจ”
“ไม่ว่าผมจะเป็นสังข์ทองหรือเงาะป่าก็ตาม แต่คุณคือเจ้าหญิงรจนาสำหรับผมเสมอ”
“ไม่ว่าฉันจะเป็นเจ้าหญิงหรือชาวบ้านธรรมดาก็ตาม ขอให้ฉันได้อยู่กับผู้ชายที่ดีเช่นคุณ ผู้ชายที่ไม่มีวันที่จะทอดทิ้งฉัน โดยเฉพาะในวันที่ผู้หญิงธรรมดาคนนี้ ต้องการกำลังใจอย่างที่สุด”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ