มนตราดอกกุหลาบ
เขียนโดย 2305
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.
แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) บทที่ 22
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 22
อองรีมารับรจนาออกจากโรงพยาบาล ระหว่างที่เธอเดินลงมาจากตึกนั้น เธอเห็นที่ชั้นล่างของอาคารมีร้านค้าเปิดให้บริการใช้อินเตอร์เน็ตอยู่ จึงได้บอกแก่เขาว่าเธอต้องการที่จะค้นหาข้อมูลบางอย่าง ทั้งสองคนจึงได้เข้าไปติดต่อขอใช้บริการ รจนาเริ่มต้นค้นหาข้อมูลโดยพิมพ์คำว่า
“บ้านริมคลอง”
มีข้อมูลปรากฏขึ้นมากมายและกว้างเกินไป เธอจึงได้พิมพ์คำใหม่ว่า
“บ้านริมคลองบางหลวง”
เธอไล่ดูข้อมูลที่ปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอด้วยความสนใจ ทำให้อองรีต้องถามด้วยความสงสัยว่า
“คุณกำลังค้นหาอะไรหรือครับ”
รจนาจึงเล่าความฝันของเธอให้เขาฟัง ก่อนที่จะสรุปว่า
“ฉันเข้าใจว่าลูกของเรายังไม่ได้ไปเกิดค่ะ เขาต้องวนเวียนอยู่ที่ใดที่หนึ่งที่บ้านเก่าของฉันในอดีต”
“แล้วคุณจะหาพบได้หรือครับ”
“ต้องลองดูค่ะ บันทึกของแม่ชีแสดงว่าบ้านหลังนั้นต้องอยู่ริมแม่น้ำหรือริมลำคลองสักแห่ง หรือว่าจะเป็นคลองบางหลวง”รจนากล่าวเหมือนกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้
“ทำไมคุณจึงคิดเช่นนั้น ที่กรุงเทพฯมีคลองตั้งมากมาย”
“ในอดีตพวกขุนนางมักจะอาศัยกันอยู่ที่คลองแห่งนี้ เขาจึงเรียกว่าคลองบางข้าหลวง ต่อมาตอนหลังจึงเรียกสั้นลงว่าคลองบางหลวง”
อองรีรับฟังแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ขณะที่รจนาพิมพ์คำค้นหาอย่างตั้งอกตั้งใจ
“บ้านขุนนางริมคลองบางหลวง”
มีข้อมูลปรากฏที่หน้าจอ จนรจนาต้องร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“บ้านขุนอินทร์ไอยสวรรค์ บ้านพระยาอาทรบริรักษ์ บ้านพระฤชาประมวญ บ้านพระยาพิทักษ์ทวยหาญ บ้านหลวงฤทธิ์ณรงค์รอน....ไม่มี...ไม่มี บ้านของ พระยาสุนทรอาลักษณ์...”เธอกล่าวอย่างผิดหวังหลังจากไล่ดูรายชื่อจนหมดแล้ว
“ท่านเจ้าคุณไม่มีทายาทอื่นนอกจากรสที่เสียชีวิตไปก่อนหน้าท่าน เป็นไปได้ไหมครับว่าบ้านหลังนั้นอาจจะเป็นบ้านร้างไปแล้ว”อองรีพยายามออกความเห็นช่วยเธอ รจนาเห็นด้วยกับความเห็นของเขา จีงลองพิมพ์คำว่า “บ้านร้างที่คลองบางหลวง”ดู แต่ก็ไม่พบข้อมูลอันใด เธอลองค้นหาด้วยคำอื่นๆอีกแต่ก็ไม่พบข้อมูลที่ต้องการเช่นกัน จนเริ่มเกิดความท้อใจและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ขณะที่สายตายังคงกวาดมองที่หน้าจออย่างเลื่อนลอย ก่อนที่จะมาสะดุดตาที่ข้อความหนึ่ง
“กุหลาบร้อยปีที่คลองบางหลวง”
เธอรีบกดเข้าไปอ่านบทความเพิ่มเติมทันทีด้วยความสนใจ แล้วร้องบอกอองรีด้วยความตื่นเต้นว่า
“อองรีคะ เราต้องรีบไปที่วัดนี้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
รจนาสั่งพิมพ์บทความหน้านั้นออกมา แล้วรีบเดินนำหน้าอองรีออกมาเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งยังจุดหมายในทันที ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถเธอได้อธิบายให้เขาฟังว่า
“วัดที่ว่านี้ มีต้นกุหลาบอายุนับร้อยปีซึ่งทางวัดก็ไม่ทราบว่า มาจากไหนและใครเป็นผู้ปลูกเอาไว้”
“แล้วคุณคิดว่าจะใช่บ้านของท่านเจ้าคุณหรือครับ”
“ฉันสังหรณ์ใจบางอย่างค่ะ เราต้องลองไปดูก่อน”
รถแท็กซี่ได้พามาส่งที่ท่าเรือตามที่เอกสารฉบับนั้นแนะนำ รจนาว่าจ้างเรือหางยาวให้ไปส่งถึงที่วัดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ในใจกลางกรุงเทพฯเช่นนี้ จะยังคงมีวัดที่เงียบสงบที่ซ่อนตัวอยู่ริมคลองที่สงบเงียบและร่มรื่นเช่นนี้ อองรีค่อยๆประคองเธอขึ้นจากเรือ แล้วเดินไปตามทางที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นจนรกครึ้มไปหมด บรรยากาศรอบกายนั้นทำให้รู้สึกหนาวเย็นเข้าไปถึงภายใน
“อองรี..”รจนาเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ฉันรู้สึกว่า ฉัน...เคยมาที่นี่”
“ผมก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน”อองรีกล่าวตอบด้วยความรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน
พระสงฆ์อายุราวห้าสิบปีรูปหนึ่งกำลังเดินสวนทางมา รจนาจึงได้เรียนถามถึงต้นกุหลาบร้อยปีว่าอยู่แห่งใด พระรูปนั้นทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย จนเมื่ออองรีส่งเอกสารที่พิมพ์ออกมาเมื่อสักครู่ให้ท่านดู ท่านก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า
“อาตมาไม่รู้หรอกว่ามันมีอายุถึงร้อยปีจริงหรือไม่ ครั้งก่อนเคยมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่แล้วถ่ายรูปไปเขียนบทความว่ามีกุหลาบอายุร้อยปีที่นี่ ตั้งแต่นั้นมาก็มีคนแห่มาเที่ยวที่นี่กันพอสมควร แต่พักหลังก็ซาไปแล้ว เพิ่งจะมีคุณโยมทั้งสองที่มาถามถึงนี่แหละ”
“ค่ะ พอดีเราเพิ่งจะอ่านเจอจึงเกิดความสนใจที่จะมาชมดู”
“ถ้าสนใจ อาตมาก็จะพาไปดู แต่โยมอาจจะไม่สมหวังดังตั้งใจนะ เพราะมันไม่ออกดอกมานานเต็มทีแล้ว”
จากนั้นพระรูปนั้นก็เดินพาทั้งสองคนไปตามทางที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ปกคลุมจนราวกับจะเป็นป่ามากกว่าที่จะเป็นวัด
“ท่านคะ ที่วัดนี้มีพระจำพรรษาทั้งหมดกี่รูปคะ”
“สามรูปเท่านั้นโยม วัดเล็กๆไม่ใหญ่โตอันใด หลวงพ่อเจ้าอาวาสรูปก่อน ท่านมาบุกเบิกจากเดิมทีที่เป็นที่รกร้าง”
“ไม่มีบ้านผู้คนอาศัยอยู่หรือคะ”
“คิดว่าเคยมี แต่รกร้างไปหมดแล้ว เข้าใจว่าไม่มีทายาท เล่ากันว่าเป็นบ้านของขุนนางเก่า พอแกสิ้นก็ไม่มีใครสืบต่อ จนหลวงพ่อท่านพายเรือผ่านมาพบเข้า จึงได้บุกเบิกสร้างเป็นวัดเล็กๆขึ้นที่นี่”
อองรีและรจนาหันมาสบตากันทันทีที่ได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่ตนคุ้นเคยโชยมาแต่ไกล และเมื่อพระท่านเดินนำเขาและเธอมาถึงแปลงกุหลาบแล้วท่านก็ต้องอุทานด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อกุหลาบแปลงนั้นพากันผลิดอกเบ่งบานราวกับจะแย่งกันต้อนรับผู้มาเยือนทั้งสองคนด้วยความยินดี
“อาตมาไม่ได้มุสานะ มันไม่ได้ออกดอกมานานแล้ว แม้แต่เมื่อเช้าที่อาตมาเดินผ่าน ก็ยังคงไม่มีดอกงดงามเช่นนี้”
รจนาไม่ได้กล่าวอันใดแต่หันมาสบตากับอองรีอีกครั้งด้วยความมั่นใจ ทั้งสองคนมองดูดอกกุหลาบหลากสีที่พากันออกดอกเบ่งบานด้วยความหลงใหลและผูกพัน เพราะต่างก็เชื่อว่า นี่คือกุหลาบที่อังเดรได้นำมาปลูกให้แก่รส ผู้เป็นภรรยานั่นเอง
“เชิญชมหรือถ่ายรูปได้ตามสบายนะโยม อาตมาต้องขอตัวก่อน”
“เอ้อ ท่านครับ..”อองรีร้องเรียกทันทีก่อนที่ท่านจะเดินจากไป “ไม่ทราบว่าแถวนี้มีบ่อน้ำบ้างไหมครับ”
“บ่อน้ำหรือ”พระทวนคำพร้อมกับทำหน้างงๆ
“บ่อขุดแบบสมัยก่อนค่ะ พอจะมีไหมคะ”
“อ๋อ อาตมาเห็นมีอยู่ทางโน้น ถัดจากต้นหูกวางไปหน่อย แต่คงจะแห้งหมดแล้ว อาตมาให้เขาเอาฝาปูนมาปิดเอาไว้ กลัวเด็กๆจะพลัดตกลงไป”
ทั้งสองคนชวนกันเดินไปตามทางที่ท่านบอก ไม่นานก็ได้พบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ทำให้รจนารู้สึกใจหายขึ้นมาในทันที เพราะน่าจะเป็นต้นไม้ที่รสได้ผูกคอตายที่นี่ ถัดจากต้นไม้นั้นไปไม่ไกล สามารถมองเห็นขอบบ่อน้ำที่สูงขึ้นมาจากระดับพื้นดินจนเกือบถึงเอว และที่ปากบ่อมีแผ่นคอนกรีตปิดทับอยู่ตามที่พระท่านได้แจ้งไว้ทุกประการ
อองรีค่อยๆจูงมือรจนาเดินฝ่าพงหญ้าที่ขึ้นสูงระดับเข่า เข้าไปจนถึงขอบบ่อน้ำ รจนายื่นมือออกไปแตะที่ขอบบ่อเหมือนกับจะทักทายและบอกให้รู้ถึงการมาของเธอ
“ถ้าที่แห่งนี้ใช่ที่เรากำลังตามหา แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปครับ”
“ฉันอยากนำพวกเขาขึ้นมา”
“เพื่ออะไรหรือครับ”อองรีกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
“ฉันมีความรู้สึกว่า ลูกยังไม่ได้ไปเกิด วิญญาณของเขายังคงวนเวียนหรือถูกกักขังอยู่ที่นี่ เราต้องเอาเขาขึ้นมาประกอบพิธีทางศาสนา เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณของเขานะคะ”
อองรีเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็คล้อยตามความตั้งใจของเธอ จึงชวนกันไปปรึกษาและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่พระเจ้าอาวาสรูปนั้นฟัง ซึ่งทีแรกท่านก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ทั้งสองคนเล่า แต่รจนาได้วิงวอนจนท่านบังเกิดความสงสารเห็นใจจึงได้ช่วยหาคนแถวนั้นคนหนึ่งให้มาดำเนินการ ทีแรกชายคนนั้นก็ไม่ยอมทำ อ้างถึงอันตรายต่างๆนานา แต่เมื่ออองรีเสนอเงินรางวัลให้เป็นที่น่าพอใจแล้ว เขาก็ขอเวลาไปจัดเตรียมอุปกรณ์เช่นพวกบันได ไฟฉาย เป็นต้น
ระหว่างที่นั่งรอชายคนนั้นจัดหาอุปกรณ์อยู่นั้น รจนาได้มีโอกาสที่จะได้สำรวจดูศาลาการเปรียญที่เธอกำลังนั่งคอยอยู่ด้วยความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นผนัง เพดาน พื้นกระดาน ที่ดูคุ้นเคย ราวกับว่าเธอเคยอยู่อาศัยที่นี่มาก่อน เธอลูบไล้มือลงสัมผัสกับไม้กระดานด้วยความรู้สึกสุขใจอย่างไม่อาจที่จะอธิบายได้ ก่อนที่สายตาจะไปเห็นรูปภาพโบราณของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งใส่กรอบแขวนติดอยู่บนผนัง
“นั่นรูปภาพของใครกันคะ”เธอถามเจ้าอาวาสด้วยความตื่นเต้น
“อาตมาก็ไม่ทราบ ติดกับเรือนหลังนี้มาตั้งนานแล้ว เข้าใจว่าน่าจะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้”
รจนาขออนุญาตคลานเข้าไปดูใกล้ๆแล้วเธอก็รู้สึกขึ้นมาในทันทีว่านี่คือภาพถ่ายของพระยาสุนทรอาลักษณ์ บิดาของเธอในชาติก่อน เธอก้มลงกราบที่รูปภาพนั้นด้วยความสำนึกตื้นตัน
เมื่อจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆพร้อมแล้ว ทั้งหมดก็เดินไปยังบ่อน้ำนั้นอีกครั้งหนึ่ง ชายคนนั้นได้ขยับแผ่นคอนกรีตที่ปิดปากบ่อออกก่อนที่จะพาดบันไดลงไปแล้วหยิบไฟฉายปีนลงไปตามขั้นบันไดทีละขั้น ไม่นาน เขาก็ปีนกลับขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ตื่นตกใจ
“มีโครงกระดูกข้างล่างจริงๆด้วย” ทุกคนในที่นั้นพากันตกใจ ไม่เว้นแม้แต่อองรีและรจนา ที่คาดอยู่ก่อนแล้วว่าจะได้พบกับอะไร เจ้าอาวาสได้นำผ้าขาวมาให้สองผืนเพื่อให้ชายคนนั้นลงไปเก็บโครงกระดูกขึ้นมา แต่ชายคนนั้นได้ขอจุดธูปเทียนเพื่อขอขมาก่อนที่จะลงไปอีกครั้งหนึ่ง เขาปีนขึ้นลงหลายครั้งหลายหน เพื่อเก็บชิ้นส่วนกระดูกขึ้นมา กองบนผ้าขาวที่จัดเตรียมเอาไว้ และเมื่อกระดูกชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนกับกะโหลกศีรษะของเด็กถูกเก็บขึ้นมาวางไว้ รจนาก็ต้องร่ำไห้ออกมาในทันทีที่เห็นกะโหลกชิ้นนั้น
เมื่อได้ทำการเก็บโครงกระดูกขึ้นมาหมดแล้ว เจ้าอาวาสจึงรวบปลายผ้าขาวผืนนั้นเข้าหากัน จากนั้นจึงนำไปทำพิธีสวดแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้และเผาพร้อมกันในคราวเดียวกัน รจนามองดูเปลวเพลิงที่แผดเผาโครงกระดูกเหล่านั้น พร้อมกับจุดธูปแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า
“ลูกจ๋า อโหสิให้แม่ด้วยนะ แม่อยากให้ลูกกลับมาเกิดเป็นลูกของแม่อีกครั้งหนึ่ง แม่ให้สัญญาว่าแม่จะไม่ทำร้ายลูกเช่นนี้อีกแล้ว”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ