มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  25.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) บทที่ 21

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 21
รจนาตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาลแล้วไม่พบว่ามีใครอยู่เฝ้าไข้เธอดังเช่นปกติ เธอจึงค่อยๆเดินเกาะขอบเตียงพาตัวเองเดินไปยังห้องน้ำอย่างช้าๆ เธอเดินมาที่อ่างล้างหน้าและเมื่อได้เปิดน้ำลูบไล้ตามใบหน้าแล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเป็นอย่างมาก เธอมองดูใบหน้าของตนเองในกระจกด้วยความพึงใจ นานเหลือเกินแล้วที่เธอไม่ได้ส่องกระจกแล้วเห็นภาพของตัวเองเช่นนี้ เธอยกปลายนิ้วขึ้นแตะรอบๆดวงตาที่เพิ่งกลับมามองเห็นได้ใหม่ด้วยความทะนุถนอม ก่อนที่จะชะโงกหน้าเข้าไปให้ใกล้กระจกมากยิ่งขึ้น เธอเพ่งดูดวงตาดวงนั้นด้วยความสนใจ เธอเพ่งดูซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“อองรี !”
รจนาพยุงตัวเองเดินกลับมายังเตียงนอนด้วยความสงสัย ขณะนั้นพยาบาลคนหนึ่งได้เดินเข้ามาในห้อง เธอจึงแสร้งถามว่า
“คุณพยาบาลคะ ญาติของฉันที่บริจาคดวงตาให้แก่ฉันนั้น อาการเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“แข็งแรงดีแล้วค่ะ เขาออกจากโรงพยาบาลไปได้สองวันแล้ว”
รจนารู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดเข้าใส่กลางดวงใจ ทำไมทั้งวัชรินทร์และใครๆต้องโกหกเธอว่า ดวงตาที่เธอได้รับมานี้ มาจากผู้ที่เสียชีวิตแล้ว ทำไม ทำไม รจนาเฝ้าถามตัวเองถึงเหตุผลหลายครั้งหลายหน และรอจนพยาบาลผู้นั้นเดินออกจากห้องไปแล้ว เธอจึงเดินไปยังชั้นวางโทรศัพท์ ไล่ปลายนิ้วดูหมายเลขโทรศัพท์ที่เคลือบแผ่นพลาสติกติดไว้ที่กำแพงข้างๆกัน แล้วกดเลขหมายที่เธอต้องการทันที
“สวัสดีค่ะ ดิฉันอยากจะทราบว่า มีคนไข้ชื่ออองรีเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลนี้ไหมคะ”
ทางปลายสายใช้เวลาตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง จึงแจ้งมาว่า
“มีค่ะ แต่ออกจากโรงพยาบาลไปได้สองวันแล้วนะคะ”
“ไม่ทราบว่าเขามารับการรักษาด้วยเรื่องอันใดคะ”
“น่าจะเกี่ยวกับทางตา เพราะเป็นคนไข้ของคุณหมอวัชรินทร์ค่ะ”
รจนาวางหูโทรศัพท์ลงในทันทีและรีบโทรไปหากุลวดี ด้วยใจที่ร้อนรน
“กุล”เธอกรอกเสียงไปตามสายทันทีที่กุลวดีรับสาย “อองรีใช่ไหม อองรีใช่
ไหมที่บริจาคดวงตาให้ฉัน”
กุลวดีซึ่งอยู่ในรถของวัชรินทร์และกำลังเดินทางกลับจากสนามบิน ตกใจและไม่ทันตั้งตัว จนไม่อาจจะกล่าวอะไรได้ เมื่อโดนรจนาคาดคั้นถามเอาเช่นนี้
“อองรีอยู่ที่ไหน กุล ฉันรู้นะว่าเขาบริจาคดวงตาให้แก่ฉัน ได้โปรดเถิดกุล บอกฉันมา ฉันอยากพบเขา ฉันต้องพบเขาให้ได้”รจนากล่าววิงวอนด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“รจ เธอใจเย็นๆก่อนนะ”กุลวดีพยายามปลอบโยน “แล้วอย่าร้องไห้ จะไม่ดีกับดวงตาที่เพิ่งได้รับการปลูกถ่ายนะ”
“ฉันไม่สนใจ! เธอต้องบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าอองรีอยู่ไหน” รจนาคาดคั้นอย่างจริงจังจนกุลวดี เกรงว่าเพื่อนรักจะเป็นอันตรายจึงได้เผยความจริงว่า
“อองรี เขา...เขาเพิ่งเดินทางกลับไปปารีส เมื่อสักครู่นี้เอง”
“กลับปารีส !”รจนาทวนคำด้วยความปวดร้าวใจ “ทำไมเขาต้องหลบหนีฉันด้วย ทำไมพวกเธอจึงได้ร่วมมือกันปิดบังฉัน” รจนากล่าวแล้วก็ร้องไห้ออกมาด้วยความคับแค้นใจ
“รจ ใจเย็นๆนะ หยุดร้องไห้แล้วฟังฉันก่อน...”
จากนั้นกุลวดีก็เล่าให้เธอฟังตั้งแต่ที่อองรีได้กลับมาดูอาการของเธอ และออกบวชตามคำแนะนำของหลวงตา และออกบิณฑบาตรไปยังบ้านของเธอทุกวัน โดยที่ไม่เคยได้รับการถวายอาหารจากราตรีเลย จนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนที่เขาจะลาสิกขาเพื่อสละดวงตาให้แก่เธอข้างหนึ่ง
รจนารับฟังคำบอกเล่าจากกุลวดีด้วยความปวดร้าวใจจนไม่มีแรงที่จะยืนหยัดได้อีกต่อไป เธอค่อยๆทรุดตัวลงกับพื้นนั่งพิงกำแพงแล้วสะอึกสะอื้นร่ำไห้ออกมาด้วยความเศร้าโศกเสียใจ อองรีได้จากไปแล้ว และจะไม่กลับมาอีก เหมือนดังที่เขาเคยบอกกับเธอไว้ แต่เขาได้มอบสิ่งที่มีค่าและมีความหมายยิ่งให้แก่เธอ เขาได้คืนความสว่างไสวในชีวิตให้แก่เธอด้วยความเสียสละอันใหญ่ยิ่งของเขา รจนาคิดถึงเขา คิดถึงความดีของเขา แล้วก็ต้องฟุบหน้าลงร้องไห้กับพื้นอย่างน่าเวทนา เธอร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับพื้นเช่นนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งพยาบาลคนเดิม เดินกลับเข้ามา เมื่อเห็นสภาพของเธอเช่นนั้น จึงรีบประคองเธอให้ลุกขึ้นแล้วพากลับไปนอนที่เตียง
“คุณคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าเจ็บแผล”
“คุณพยาบาลคะ เมื่อไรฉันจึงจะออกจากโรงพยาบาลได้คะ ทำไมฉันจีงไม่สามารถออกจากที่นี่ได้พร้อมกับญาติที่มาบริจาคดวงตาให้แก่ฉันได้คะ”
“คุณเป็นผู้รับบริจาค หมอจึงต้องดูอาการอีกสักพักว่าร่างกายของคุณจะปฏิเสธสิ่งแปลกปลอมหรือไม่ค่ะ ใจเย็นๆนะคะ อีกไม่กี่วันก็คงได้กลับไปหาพี่ชายที่แสนดีแล้วล่ะค่ะ ฟังวิทยุไหมคะ เดี๋ยวดิฉันจะเปิดให้ฟัง”
พยาบาลผู้นั้นเปิดวิทยุให้เธอฟังเพลงเพื่อคลายเหงา แต่กลับกลายเป็นว่าเพลงที่เปิดนั้นเป็นเพลง มนตราดอกกุหลาบที่อองรีและเธอต่างมีความผูกพันกับเพลงนี้ จนเธอต้องหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อได้ฟังเนื้อร้องตอนที่ว่า
“...สัญญาสิ สัญญากับฉันว่า ทุกครั้งที่เธอได้เห็นดอกกุหลาบ เธอจะคิดถึงแต่ฉัน...”

รจนาหลับตาลงด้วยความช้ำชอกใจ ป่านนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ จะคิดถึงเธอเหมือนกับที่เธอกำลังคิดถึงเขาจนแทบจะขาดใจหรือไม่ เขาจะรู้หรือไม่ว่าในยามนี้ เธอต้องการมีเขาอยู่เคียงข้างเพียงใด เธอค่อยๆยกมือข้างซ้ายที่ยังคงสวมใส่แหวนวงนั้นของเขาอยู่ ก่อนที่จะค่อยๆยกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของเธอเบาๆแล้วหลับตาลงด้วยความปวดร้าวใจ
เสียงเพลงจากวิทยุจบลง ก่อนที่จะมีการประกาศข่าวด่วนแทรกเข้ามา
“เกิดเหตุโกลาหลที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อสายการบินไทย เที่ยวบินที่ทีจี 640 ที่จะออกเดินทางไปยังกรุงปารีส ต้องเลื่อนการเดินทางออกไปกะทันหัน เมื่อผู้โดยสารและลูกเรือพากันได้กลิ่นคล้ายควันไฟอบอวลในห้องผู้โดยสาร นักบินจึงได้ตัดสินใจไม่นำเครื่องขึ้นบินและอพยพผู้โดยสารทั้งหมดออกมาจากเครื่องเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุและที่มา ข่าวคืบหน้าเราจะนำเสนอในช่วงถัดไป”
รจนาลุกขึ้นจากเตียงแล้วออกเดินทางไปยังสนามบินในทันที ด้วยความหวังเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกับเขาอีกสักครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม เธอนั่งรถฝ่าสภาพการจราจรที่ติดขัด ด้วยจิตใจอันร้อนรุ่ม เมื่อรถแท็กซี่จอดส่งเธอที่หน้าอาคารผู้โดยสารแล้ว เธอก็วิ่งลงจากรถเพื่อเข้าไปในอาคารทันที แต่ด้วยสายตาที่สามารถใช้การได้เพียงข้างเดียว ทำให้เธอกะระยะวัตถุสิ่งของรอบกายคลาดเคลื่อนไปจากที่ควรจะเป็น เธอวิ่งชนรถเข็นกระเป๋าที่จอดอยู่ข้างทางจนล้มลงด้วยความเจ็บปวด แต่ก็กัดฟันลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกวาดตามองไปยังผู้โดยสารที่เนืองแน่นอยู่ภายในอาคารด้วยความร้อนรน ก่อนที่จะคิดขึ้นได้และวิ่งไปยังกระดานแสดงตารางการบินแล้วไล่สายตาที่พร่ามัวดูเที่ยวบินที่จะออกเดินทางไปปารีส เธอพบเที่ยวบินดังกล่าว อยู่ที่ตอนบนของตาราง เมื่อไล่สายตาไปตลอดทั้งบรรทัด ก็พบกับข้อความที่แจ้งว่า เที่ยวบินนี้ได้ออกบินแล้ว
“ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้”รจนาพยายามปลอบใจตนเอง “นี่เป็นข้อมูลเก่า เขายังไม่ได้แก้ไข จะออกบินได้อย่างไรกัน มีกลิ่นควันในห้องโดยสารเช่นนั้น”
เธอมองหาเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แล้วตรงเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้ยืนยันว่า เที่ยวบินดังกล่าวได้ออกเดินทางไปแล้ว เมื่อไม่ถึงสิบนาทีที่ผ่านมา เธอรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงขึ้นมาในทันที เธอกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้นั้น แล้วค่อยๆเดินจากมาด้วยน้ำตาที่นองใบหน้า เธอเดินลากเท้าอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ทั้งกำลังกายกำลังใจ ดูเหมือนจะเหือดหายไปทั้งหมด ความผิดหวังเสียใจจู่โจมรุมเร้าเธอจนไม่อาจจะทานทนได้อีกต่อไป เธอเดินไปได้อีกสองสามก้าวก็รู้สึกหูอื้อตามัว ได้ยินแต่เสียงหวีดหวิวคล้ายเสียงลมพัดดังก้องไปหมด ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าล้วนกลายเป็นสีเหลืองอมเขียวราวกับถูกน้ำยาฉาบไว้ แล้วเธอก็รู้สึกว่าเธอไม่อาจที่จะทรงกายได้อีกต่อไป ร่างของเธอค่อยๆล่องลอยราวกับว่าวน้อยที่ถูกตัดสายและกำลังล่องลอยไปตามกระแสลมอย่างไร้จุดหมาย และอีกไม่นานก็คงจะตกกระทบพื้นดิน ขณะที่ความรู้สึกของเธอกำลังจะดับวูบลงนั้น เธอก็ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยนบางอย่างเข้ามาโอบอุ้มเธอเอาไว้ เธอไม่ได้ล้มลงกระแทกพื้นอันแข็งกระด้างตามที่คิดแต่แรก แต่เธอกำลังอยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่งที่แสนจะอบอุ่นและนุ่มนวล เธอคิดว่าเธอกำลังฝันไป และเมื่อเธอพยายามที่จะลืมตาขึ้นมา เธอก็ได้พบกับใบหน้าและแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของใครคนหนึ่ง คนที่มีผ้าปิดตาที่ดวงตาอีกข้างเช่นเดียวกับเธอ
“อองรี” เธอกล่าวเบาๆอย่างไร้เรี่ยวแรง “เป็นคุณจริงๆ ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ เป็นคุณจริงๆ” เธอกล่าวได้แค่นั้นแล้วก็ร้องไห้อยู่กับอกของเขา
อองรีพยุงเธอไปนั่งที่เก้าอี้ เขาโอบกอดร่างอันอ่อนแอบอบบางของเธอด้วยความทะนุถนอมแล้วมองดูเธอด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความรักและความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง
“รจนา คุณมาที่นี่ทำไม ทำไมคุณไม่พักอยู่ที่โรงพยาบาล”
“ฉัน...ฉันต้องมาหาคุณ ฉันอยากจะพบกับคุณ”รจนากล่าวด้วยความอ่อนระโหย
“คุณยังไม่แข็งแรง ผมจะพาคุณกลับไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”อองรีกล่าวแล้วทำท่าจะลุกขึ้น แต่รจนารีบจับข้อมือของเขาไว้แน่นแล้วกล่าวว่า
“อย่าคะ ฉันไม่ต้องการที่จะจากคุณไปไหนอีก”
“แต่คุณดูอ่อนแอมากนะครับ ให้ผมไปเรียกรถพยาบาลดีกว่า”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่ต้องการ”รจนากล่าวแล้วก็พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือด้วยความเสียใจ “คุณเคยสัญญากับฉัน คุณเคยสัญญากับฉันว่าจะอยู่เคียงข้างฉัน ในยามที่ฉันอ่อนแอและต้องการกำลังใจที่สุดไม่ใช่หรือคะ”
“ครับ...”อองรีกล่าวด้วยความซึมเศร้าเช่นกัน
“เวลานี้ฉันอ่อนแอและปวดร้าวในใจเหลือเกินค่ะ ฉันต้องการคุณ ต้องการกำลังใจ ต้องการความรักจากคุณยิ่งกว่าสิ่งใดๆ กอดฉันไว้สิคะ ได้โปรดกอดฉันไว้ แม้ว่าฉันจะต้องตายลงในวินาทีนี้ ก็ขอให้ฉันได้ตายขณะอยู่ในอ้อมกอดของคุณเถิดนะคะ”
แม้ว่ารจนาจะกล่าวในขณะที่ร่างกายของเธออ่อนแอเหลือเกินจนดูราวกับว่าเธอกำลังเพ้อเพราะพิษของความเจ็บป่วย แต่อองรีก็ทราบดีว่าสิ่งที่เธอกล่าวนั้น เธอได้กลั่นกรองออกมาจากจิตใจที่แท้จริงของเธอที่ไม่มีการเสแสร้งหรือปิดบังอันใด เขาโอบกอดเธอตามที่เธอร้องขอพร้อมทั้งหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความรักและสงสาร
“อย่าทิ้งฉันไปนะคะ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ”
รจนากล่าวแล้วก็ซุกใบหน้าเข้าหาไออุ่นจากอกของเขา ทั้งสองคนนั่งกอดกันอยู่บนม้านั่งเช่นนั้นโดยที่ไม่ได้กล่าวอันใดอีกเป็นเวลานาน รจนาจึงเริ่มฟื้นคืนกำลังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เธอค่อยๆขยับกายพร้อมกับยกมือขึ้นป้ายหยาดน้ำตาที่ยังคงไหลออกมา
“ฉันคิดว่าจะไม่ได้พบกับคุณอีกแล้ว”
“ผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
“คุณไม่อยากจะพบกับฉันอีกแล้วหรือคะ”เธอตัดพ้อด้วยความน้อยใจ
“คุณไม่ทราบหรอกครับว่าผมต้องเจ็บปวดและทรมานใจเพียงใด เมื่อรู้ว่ากำลังจะต้องจากคุณไป”
“คุณเองก็คงไม่ทราบว่าฉันเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่เถิดนะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าฉันจะต้องตกนรกหมกไหม้เพียงใด ฉันไม่กลัวทั้งสิ้น ขอเพียงให้ฉันได้อยู่กับคุณ ได้รักคุณ เหมือนกับที่คุณรักฉัน ฉันก็พร้อมที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากทั้งปวง”
“รจนา”อองรีกล่าวอย่างมีกำลังใจ “ ผมรอคำพูดคำนี้ของคุณเท่านั้น ขอเพียงคุณกล่าวว่าคุณต้องการผมเท่านั้น ผมก็พร้อมที่จะยืนเคียงข้างคุณตั้งแต่บัดนี้และตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ตาม”
ทั้งสองคนโผเข้ากอดกันอย่างแนบแน่นอีกครั้งและถ่ายทอดความรู้สึกของแต่ละฝ่ายผ่านอ้อมแขนและไออุ่นถึงกันและกัน รจนาเงยหน้าขึ้นมองดูเขาอีกครั้งพร้อมกับค่อยๆเอื้อมมืออกไปสัมผัสรอบดวงตาที่ปิดผ้าปิดแผลไว้แล้วกล่าวด้วยความห่วงใยว่า
“เจ็บมากไหมคะ”
“เพื่อคุณแล้ว เจ็บแค่ไหนผมก็ยอมทน”
เธอซุกกายลงในอ้อมกอดของเขาด้วยความซาบซึ้งอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้จึงถามว่า
“จริงสิ คุณไม่ได้บินเที่ยวบินนี้หรือคะ”
“ผมกำลังจะออกบินแล้ว แต่จู่ๆก็ได้กลิ่นควันไฟอบอวลไปทั้งลำ นักบินจึงตัดสินใจให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องก่อน เพื่อทำการตรวจสอบ ระหว่างนั้นพี่สิงห์ได้โทรเข้ามาหาผมพอดี”
“พี่สิงห์นะหรือคะ”
“ครับ พี่สิงห์โทรมาแจ้งว่าหลวงตาต้องการพบผมด่วน บอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
“ผมก็ยังไม่ทราบ แต่ฟังจากน้ำเสียงของพี่สิงห์แล้วคงจะสำคัญจริงๆ ผมจึงตัดสินใจยกเลิกการเดินทาง เพื่อจะกลับไปพบกับหลวงตา แต่ไม่คาดว่าจะได้พบกับคุณเสียก่อน”
“เราไปพบหลวงตาด้วยกันนะคะ”
“คุณไปอยู่ที่โรงพยาบาลก่อนดีกว่าครับ หมอยังห้ามไม่ให้คุณเดินทางหรือทำอะไรที่กระทบกระเทือนมากๆ ไม่ใช่หรือครับ”
จากนั้นอองรีได้ค่อยๆประคองเธอออกมาขึ้นรถแท็กซี่เพื่อกลับมาส่งเธอที่โรงพยาบาลซึ่งกำลังวุ่นวายกันใหญ่อันเนื่องมาจากการหายตัวไปของเธอ ทั้งวัชรินทร์และกุลวดี ที่ได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาล ก็รีบกลับมาและแยกย้ายกันออกค้นหาเธอจนทั่ว
อองรีพารจนากลับเข้ามายังห้องของเธอโดยที่ไม่มีใครพบเห็น รจนายังมีท่าทีอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้เขาจากไป แม้ว่าอองรีจะยืนยันหนักแน่นเพียงใด เธอก็ยังไม่อาจตัดใจให้เขาไปตามลำพังได้
“ฉันไม่อยากให้คุณจากไปอีกเลย ฉันกลัวค่ะ กลัวว่าคุณจะไม่กลับมาหาฉันอีก”
อองรีประคองมือข้างซ้ายของเธอขึ้นมาแล้วจูบที่หลังมือเบาๆ แล้วกล่าวว่า
“ครั้งก่อนที่ผมได้สวมแหวนวงนี้ให้แก่คุณ ผมได้บอกคุณว่าผมจะไม่ยอมให้นิ้วนี้ของคุณสวมแหวนของคนอื่นนอกจากของผม แต่ผมกลับเป็นฝ่ายหลีกหนีไปเสียเอง ในขณะที่คุณไม่เคยยอมให้ใครถอดแหวนวงนี้ออกจากนิ้วของคุณเลย ได้โปรดให้อภัยผมและให้โอกาสผมอีกสักครั้ง ผมสัญญาว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมต้องกลับมาหาคุณให้ได้”
รจนาหลับตาลงขณะที่อองรีค่อยๆประทับริมฝีปากของเขากับของเธออย่างช้าๆและนุ่มนวล ต่างพากันถ่ายทอดความรู้สึก ความรัก ความโหยหาที่มีต่อกันอย่างดูดดื่มซาบซึ้งในรสสัมผัสที่ถ่ายทอดออกมาจากหัวใจทั้งสองดวงที่เปี่ยมไปด้วยความรักความผูกพันธ์ต่อกัน
วัชรินทร์ออกค้นหารจนาจนทั่ว แต่ก็ยังไม่พบจึงได้เดินกลับมาที่ห้องของเธอ เมื่อเปิดประตูเข้ามาจึงได้พบกับภาพที่คนทั้งสองกำลังแสดงออกถึงความรักซึ่งกันและกันอย่างดูดดื่ม เขาค่อยๆถอยหลังออกมาเบาๆแล้วปิดประตูลงอย่างช้าๆ เอนหลังพิงกำแพงนอกห้องด้วยความเสียใจ ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าของกุลวดีที่กำลังเดินมาทางนี้ จึงได้ฉุดแขนของเธอให้เดินไปอีกทางในทันที โดยไม่สนใจเสียงร้องถามด้วยความแปลกใจของเธอแต่อย่างใด
อองรีเดินทางมาถึงวัดท้ายบ้านและได้เข้าไปพบกับหลวงตาเจ้าอาวาสในทันที หลวงตาได้อธิบายถึงเหตุผลที่ต้องการพบกับเขาเป็นการด่วนว่า
“เช้าวันนี้ ขณะที่อาตมากำลังนั่งทำสมาธิอยู่นั้น อาตมาก็ได้ยินเสียงเด็กทารกร้องจนไม่อาจมีสมาธิต่อไปได้ เมื่อตรวจสอบดูก็ไม่พบเด็กทารกที่ไหน แต่เมื่อนั่งสมาธิอีก ก็ได้ยินเสียงอีก เป็นเสียงทารกจากในนิมิตขณะที่อาตมาทำสมาธิอยู่ อาตมาบังเกิดความสงสัยเพราะไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงไปหยิบบันทึกของแม่ชีแม้นมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง”
“บันทึกของแม่ชีแม้นเล่มนั้นหรือครับ”อองรีถามด้วยความสงสัย
“ใช่แล้วโยม บันทึกเล่มนั้น อาตมาเกรงว่ากรรมของโยมทั้งสองเห็นทีจะยังไม่หมดสิ้น”
“หลวงตาหมายความว่าอย่างไรครับ”อองรีร้องถามด้วยความสงสัยและเป็นกังวลในทันที
“อาตมาเชื่อว่าทั้งโยมและโยมรจนาต่างพากันอโหสิกรรมและให้อภัยซึ่งกันและกันอันเป็นการตัดเวรตัดกรรมกันจนหมดสิ้นแล้ว”
“ครับ ผมก็คิดและตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น”
“แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่โยมรสได้ทำร้ายเขา และอาตมาคิดว่าเขายังจองเวรจองกรรมเธออยู่”
“ใครกันหรือครับหลวงตา”
“ลูกของเธอเอง!” คำกล่าวของหลวงตาทำให้อองรีต้องตกใจและอุทานออกมาอย่างลืมตัว ก่อนที่จะตั้งใจฟังหลวงตากล่าวต่อไปว่า “จากที่ได้อ่านบันทึกนี้ โยมรสตั้งใจจะทำร้ายจิตใจของผู้เป็นสามี ด้วยการทำลายชีวิตของบุตรอันเป็นที่รักยิ่งของเขา โยมรสยังมีกรรมจากการทำร้ายลูกของตนเองอยู่นะโยม”
อองรีเดินทางกลับมายังโรงพยาบาลในเย็นวันนั้นด้วยจิตใจที่เศร้าหมอง ทันทีที่รจนาเห็นเขาเปิดประตูเข้ามา เธอก็โผเข้ากอดเขาด้วยความยินดีแล้วรำพึงรำพรรณว่า
“ฉันเป็นห่วงคุณแทบแย่ เฝ้าแต่สวดมนต์ให้คุณเดินทางอย่างปลอดภัย”
“ผมกลับมาหาคุณตามสัญญาแล้วไง” อองรีกล่าวพร้อมกับกอดเธอตอบ ก่อนที่จะได้ยินเสียงกระแอมของกุลวดี ดังแทรกขึ้นมาก่อนที่จะกล่าวว่า
“นี่แหละหนา เขาว่ายาอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากำลังใจ ดูสินั่งซึมเศร้าอยู่ทั้งวัน พอพระเอกโผล่มาเท่านั้น หายป่วยเป็นปลิดทิ้งเลย”
รจนาเอียงอายจนหน้าแดงที่ถูกเพื่อนกระเซ้าเช่นนั้น จึงผละออกจากอ้อมกอดของเขาแต่มือของทั้งสองคนยังคงเกาะเกี่ยวกันอยู่ไม่ยอมปล่อยออกจากกัน กุลวดีเห็นดังนั้นจึงไม่อยากอยู่ขัดความสุขของคนทั้งสองจึงแสร้งกล่าวว่า
“ฉันหิวข้าวแล้ว คุณอองรีคะ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนกับเธอก่อนได้ไหมคะ”
อองรีรับคำอย่างขรึมๆ จนรจนาแปลกใจ และเมื่อกุลวดีเดินออกไปแล้ว เธอจึงถามเขาว่า
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ ดูท่าทางคุณเหมือนกับกังวลอะไรอยู่”
อองรีตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เขาไปพบกับหลวงตาให้เธอฟังทั้งหมด ก่อนที่จะสรุปว่า
“ที่ผมหนักใจคือ เราไม่ทราบว่าลูกของเรา เอ้อ...ผมหมายถึงเด็กคนนั้น เป็นใคร แล้วเวลานี้แกอยู่ที่ไหน”
รจนารับฟังคำบอกเล่าจากเขาโดยที่ไม่ได้บังเกิดความวิตกกังวลแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับเกิดความรู้สึกพร้อมที่จะยอมรับชะตากรรมของตนเองอย่างไม่เกรงกลัว
“ฉันพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับกรรมที่ฉันได้ก่อเอาไว้แล้วค่ะ ดีเหมือนกันจะได้หมดสิ้นเวรสิ้นกรรมกันเสียที”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป”อองรีกล่าวแล้วก็กอดให้กำลังใจเธออีกครั้งหนึ่ง
คืนนั้น รจนาได้ฝันไปว่าเธอถูกกักขังอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่คับแคบและมีแต่ความมืดมิดและมีน้ำอยู่รอบกายเต็มไปหมด เธอรู้สึกว่าเธอกำลังจมอยู่ใต้น้ำ หายใจไม่ออก จะร้องให้ใครช่วยก็ไม่มีเสียงออกจากลำคอ เธอพยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แต่ยิ่งดิ้นรนเท่าไรก็เหมือนกับยิ่งจมลงไปในน้ำมากเท่านั้น แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเด็กทารกร้อง แล้วค่อยๆร้องดังขึ้นๆ จนกลายเป็นเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราด ทำให้เธอต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อที่ออกจนชุ่มโชกตัว
วันรุ่งขึ้น แพทย์อีกคนที่ไม่ใช่วัชรินทร์ได้มาตรวจดูอาการของเธอและอนุญาตให้เธอกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ รจนารู้สึกสงสัยว่าทำไมวัชรินทร์จึงไม่ได้มาเป็นผู้มาตรวจอาการของเธอเหมือนเช่นเคย จึงได้สอบถามกับกุลวดี และได้รับคำตอบว่า
“พี่หมอเขากลับไปแล้ว เขายอมแพ้ในความรักของเธอกับอองรีและไม่อยากอยู่เป็นคนกลางที่ขวางความสุขของเธอทั้งสองอีกต่อไป”
รจนาแม้จะรู้สึกโล่งใจแต่ก็ยังอดที่จะสงสารและเห็นใจเขาไม่ได้ อย่างน้อยเธอก็อยากจะกล่าวขอบคุณเขา ในสิ่งดีๆที่เขาพยายามทำให้แก่เธอ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยได้ตอบสนองความดีของเขาเท่าใดนัก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา