มนตราดอกกุหลาบ
8.7
เขียนโดย 2305
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.
25 บท
0 วิจารณ์
25.89K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
20) บทที่ 19
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 19
หลังจากที่อยู่พักฟื้นจนอาการต่างๆหายเป็นปกติดีแล้ว รจนาจึงได้เดินทางกลับมาอยู่ที่บ้านที่อยุธยา เธอต้องอยู่ในโลกแห่งความมืดมิดด้วยความเดียวดาย มีเพียงราตรีผู้เป็นมารดาเท่านั้นที่คอยอยู่ดูแลตลอดเวลา ส่วนคนอื่นๆนั้นก็ล้วนมีภาระหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องกระทำ จะแวะมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราวก็ยามที่มีเวลาเท่านั้น รจนาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการฟังเสียงจากรายการโทรทัศน์หรือวิทยุ เท่านั้น ที่เป็นเพื่อนคลายเหงา
ราตรีจัดสำรับกับข้าวเสร็จ จึงพยุงรจนามาที่โต๊ะอาหาร เธอตักอาหารด้วยความยากลำบากและทำอาหารตกหกเรี่ยราดรอบจาน ราตรีเห็นเช่นนั้นจึงตักอาหารใส่ช้อนแล้วค่อยๆป้อนเธอทีละคำ ราวกับกำลังป้อนเด็กเล็ก รจนาทานข้าวที่แม่ป้อนให้แล้วก็น้ำตาคลอ
“แทนที่หนูจะเป็นฝ่ายดูแลแม่ที่แก่ตัวลง กลับกลายเป็นแม่ที่ต้องมีภาระเลี้ยงดูหนูอีก หนูนี่ช่างบาปหนาเสียจริงๆ”
“อย่าคิดมากไปเลยลูก ยังไงเสียแม่ก็คือแม่ ต้องดูแลปกป้องลูกจนถึงที่สุดอยู่แล้ว”
ราตรีกล่าวพลางลูบไล้ศีรษะของบุตรสาวด้วยความรักและทะนุถนอมปานแก้วตาดวงใจ รจนากอดแม่แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความรันทดใจ พร้อมกับพร่ำกล่าวโทษแต่ตัวเองว่าเป็นเพียงคนพิการที่ไร้ค่าได้แต่เป็นภาระของคนอื่นอยู่ร่ำไป ราตรีพยายามปลอบโยนและให้กำลังใจ และชวนให้ทานอาหารต่อ แต่เธอปฏิเสธว่าทานไม่ลง อยากจะนอนพัก ราตรีจึงได้แต่ประคองเธอเข้าไปในห้องนอนตามที่เธอต้องการ
รจนานอนน้ำตาไหลด้วยความคิดถึงอองรี เขาคงไม่รู้ว่าเธอเจ็บปวดเพียงใดในยามนี้ ในยามที่สภาพร่างกายและจิตใจของเธออ่อนแออย่างถึงที่สุด เป็นช่วงเวลาที่เธออยากจะอยู่ใกล้กับเขาให้มากที่สุด แต่ดูเหมือนว่าอองรีจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงความระทมทุกข์ของเธอเลย โทรศัพท์ที่เธอเคยใช้ติดต่อกับเขาก็เสียหายจากอุบัติเหตุจนไม่อาจใช้การได้อีกต่อไปแล้ว เธอจึงได้แต่นอนคิดถึงเขาจนน้ำตาเปียกชุ่มหมอนไปหมด เธอค่อยๆเอื้อมมือออกไปคลำจนพบเข็มกลัดที่มีรูปของเธอถ่ายคู่กับเขาที่วัดไตรมิตร แล้วยกมันขึ้นมาจูบเบาๆ
“อองรีคะ ฉันขอให้คุณอโหสิกรรมในสิ่งที่ฉันได้ทำร้ายคุณมาทั้งในชาตินี้และชาติที่ผ่านๆมาด้วยนะคะ หากชาติหน้ามีจริง ฉันขอให้เราได้พบกัน ได้รักกัน โดยที่ไม่มีอุปสรรคใดๆอีกเลยนะคะ”
เธอค่อยๆรวบผ้าห่มแพรผืนบางๆขึ้นวางพาดกับขื่อเพดานเหนือศีรษะ ก่อนที่จะจับปลายอีกด้านเข้ามาบรรจบกันแล้วมัดเป็นเงื่อนตายที่แข็งแรง แล้วจึงค่อยๆคล้องลงมายังลำคอของเธอ จากนั้นจึงทิ้งตัวลงจากบนเตียงที่ยืนอยู่ในทันที
ราตรีทำธุระนอกบ้านเสร็จก็ค่อยๆเปิดประตูห้องนอนของบุตรสาวเข้ามาแล้วก็ต้องเห็นภาพที่ทำให้ตกใจจนแทบสิ้นสติ เธอรีบดึงเก้าอี้เข้ามาแล้วปีนขึ้นไปอุ้มร่างของรจนาลงมา ในขณะที่รจนาพยายามที่จะดิ้นรนขัดขืน พร้อมกับร้องว่า
“แม่ปล่อยหนู หนูอยากตาย หนูไม่อยากมีชีวิตแบบนี้อีกแล้ว”
ราตรีทุบตีบุตรสาวด้วยความเสียใจและกล่าวด้วยความคับแค้นใจว่า
“ลูกทำเช่นนี้ได้อย่างไร ทำเช่นนี้เหมือนกับจะฆ่าแม่ให้ตายทั้งเป็นรู้ไหม”
“แม่ หนูไม่อยากอยู่แล้ว หนูไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว”
“ได้ถ้าเช่นนั้นเรามาผูกคอตายพร้อมกันทีเดียวเลย” กล่าวแล้วราตรีก็ทำเป็นจะลุกขึ้นไปเตรียมการตามที่ขู่ รจนาได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจตรงเข้าไขว่คว้าแล้วกอดขาของราตรีเอาไว้
“แม่จ๋า หนูขอโทษ แม่อย่าทำเช่นนี้เลย หนูจะไม่ทำอีกแล้ว”
เสียงพระสวดมนต์จากวัดท้ายบ้านล่องลอยมากระทบโสตประสาท ทำให้อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเธอสงบลง รจนาสงบสติอารมณ์ลงแล้วนั่งพับเพียบ พนมมือแล้วตั้งใจฟังด้วยความสงบ พร้อมกับรับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เสียงสวดมนต์ของพระได้นำพาความเมตตา ความปราถนาดีมายังเธอ ทำให้เธอรู้สึกสำนึกตื้นตันขึ้นมาจนต้องหลั่งน้ำตาออกมาขณะตั้งใจฟังพระสวด โดยไม่ทราบสาเหตุ
ราตรีทรุดตัวลงนั่งแล้วกอดบุตรสาวพร้อมกับร้องไห้ออกมาเช่นเดียวกัน สิงห์ที่ตั้งใจจะมาเยี่ยมและนำไข่มาฝาก ได้เข้ามาพบเห็นเหตุการณ์พอดี ก็อดที่จะสงสารสองแม่ลูกจนไม่อาจจะห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ เมื่อสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกได้แล้ว จึงเข้าไปนั้งลงข้างๆสองแม่ลูกแล้วกล่าวปลอบโยนรจนา เมื่อพระสวดจบลงแล้วว่า
“รจ รจต้องอดทนนะ พี่เชื่อว่าวันหนึ่งรจจะต้องมองเห็นได้ดังเดิม ระหว่างนี้ถ้ารจอยากได้อะไรหรืออยากไปไหนให้บอกพี่สิงห์นะ พี่สิงห์จะให้น้องรจขี่หลังเหมือนสมัยที่เรายังเด็กๆไง รจจำได้ใช่ไหม”
รจนารู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินสิงห์กล่าวเช่นนั้น จึงยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความตื้นตันใจแล้วกล่าวว่า
“ขอบคุณจ้ะพี่สิงห์ แต่ฉันโตเป็นสาวแล้ว จะไปเที่ยวขี่หลังพี่เหมือนเมื่อก่อนคงไม่งามเท่าใดนัก”
“อย่าไปคิดอะไรมาก เราก็เหมือนพี่เหมือนน้องกันอยู่แล้ว พี่ก็ได้อาศัยข้าวก้นบาตรที่น้าราตรีและรจ ถวายพระมานี่แหละจึงได้โตเป็นผู้เป็นคนมาจนถึงทุกวันนี้ อ้อนี่พี่เอาไข่ไก่จากแม่ไก่ที่พี่เลี้ยงมาฝากด้วยนะจ๊ะ”
“พี่สิงห์เลี้ยงไก่ด้วยหรือจ๊ะ”รจนาถามด้วยความสงสัย
“อืม ก็ได้ทุนจากพระ..”สิงห์ชะงักไปทันทีเมื่อสบสายตาที่ถมึงทึงของราตรี “พี่หมายถึงทุนที่พี่เก็บหอมรอมริบมาจากการเป็นเด็กวัดจ้ะ”
“ดีจังที่พี่สามารถมีอาชีพที่พี่ใฝ่ฝันได้ ส่วนฉันเองคงไม่อาจที่จะฝันอะไรได้อีกแล้ว”รจนากล่าวแล้วก็เริ่มกลับมาซึมเศร้าอีกครั้ง ราตรีจึงต้องกระตุ้นบุตรสาวว่า
“เดี๋ยวเราเอาไข่นี้ไปทำอาหารใส่บาตรพระพรุ่งนี้ดีไหม รจไม่ได้ทำบุญมาตั้งนานแล้วนี่ลูก”
“จ้ะ ทำไข่พะโล้ก็แล้วกัน อย่างน้อยหนูยังพอช่วยแม่ปอกเปลือกไข่ได้”
“ดีจ้ะ ๆ”สิงห์กล่าวอย่างยินดี พระท่านชอบฉันไข่พะโล้ด้วย”
“พระที่ไหนชอบไข่พะโล้ นายสิงห์”ราตรีดุสิงห์เหมือนจะเตือนเป็นนัย จนสิงห์ต้องรีบแก้ตัวว่า
“ก็พระก็ต้องคู่กับไข่พะโล้ไง เหมือนเพลงตอนเด็กๆที่เราร้องต่อกันใช่ไหมรจ ถ้าแม่ชีก็ต้องชอบกล้วยบวชชี ใช่ไหม”
รจนาฟังคำแก้ตัวของสิงห์ แต่จู่ๆจิตใจกลับไปคิดถึงอองรีขึ้นมา แล้วนึกถึงเหตุการณ์วันที่เธอกับเขาอยู่ที่หาดแม่รำพึงอีกครั้งหนึ่ง
“ไข่ดำๆที่แช่อยู่ในน้ำดำๆนั้น เรียกว่าอะไรครับ”
“ไข่พะโล้ค่ะ”รจนาต้องกลั้นหัวเราะในคำถามของเขา
อองรีสั่งข้าวราดไข่พะโล้ แล้วยกจานอาหารมานั่งทานที่โต๊ะ ก่อนจะเล่าว่า
“ผมเคยสั่งทานที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย แต่แม่ค้าพากันหัวเราะใหญ่”
“ทำไมหรือคะ”
“ผมสั่งว่า ไข่ดำ เขาจึงหัวเราะเอา”
รจนานึกถึงความหลังอันหอมหวานในครั้งกระนั้น แล้วก็ต้องหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยราตรีจัดเตรียมอาหารที่จะถวายพระ เธอช่วยปอกเปลือกไข่ เพื่อเตรียมทำไข่พะโล้ ช่วยคั้นกะทิ เพื่อทำกล้วยบวชชี เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราตรีจึงได้แบ่งอาหารใส่ถุงพลาสติกไว้เพื่อเตรียมใส่บาตรพระจำนวน 5 ชุด
หลวงตาเจ้าอาวาสเดินนำพระลูกวัดอีก 5 รูปมารับบิณฑบาตรที่บ้านหลังนี้เป็นแห่งแรก ราตรีค่อยๆประคองบุตรสาวให้ตักข้าวใส่บาตรของหลวงตา ตามด้วยไข่พะโล้และกล้วยบวชชี ก่อนที่จะถวายดอกบัวเป็นรายการสุดท้าย จากนั้นจึงใส่บาตรให้แก่พระลำดับถัดไปจนครบตามอาหารที่จัดเตรียมไว้ทั้ง 5 ชุด พระอองรีที่อยู่ในลำดับที่หก ยังคงยืนก้มหน้ามองพื้นด้วยความสงบนิ่ง โดยที่ยังคงไม่ได้รับการใส่บาตรเช่นเคย
รจนานั่งพับเพียบพนมมือรับศีลรับพรจากพระด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ เมื่อพระให้ศีลให้พรเสร็จสิ้นแล้วก็ค่อยๆเดินจากมาเพื่อไปยังบ้านอื่นต่อไป รจนายังคงนั่งส่งพระด้วยอาการสำรวมสงบนิ่ง แม้ตาของเธอจะมองไม่เห็น แต่หูทั้งสองข้างของเธอก็ตั้งใจฟังเสียงฝีเท้าของพระเหล่านั้นที่เดินจากไปด้วยความสนใจ แล้วร้องถามราตรีด้วยความสงสัยว่า
“แม่จ๋า มีพระมาทั้งหมดกี่รูปจ๊ะ”
“ก็ 5 รูปเหมือนทุกทีไง”ราตรีปดลูกสาวในขณะที่สิงห์ซึ่งยังเดินผ่านมาได้ไม่ไกล ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ จึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
“แต่หนูได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนว่ามีมากกว่านั้นนะจ๊ะ”
“ก็ไอ้สิงห์อีกคนนีงไง ไอ้สิงห์มันเดินตามขบวนพระทุกวันนั่นแหละ”
รจนาคิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเธอได้ใส่บาตรในวันต่อๆมา เธอก็เริ่มเกิดความสงสัยว่าจำนวนพระมีกี่รูปกันแน่ จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง ฝนตกลงมาอย่างหนัก เพิ่งจะมาหยุดตอนที่เกือบจะรุ่งสางแล้ว รจนาและแม่ได้ออกมาเตรียมใส่บาตรเช่นเคย หลังจากรับศีลรับพรเสร็จสิ้นแล้ว เธอก็ส่งพระด้วยความสงบ น้ำฝนที่ตกมาเมื่อคืน ยังคงค้างเจิ่งอยู่บนพื้นดินเป็นจุดๆ รจนาเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าของพระที่ย่ำลงไปในแอ่งน้ำด้วยความตั้งใจ และตัดสินใจร้องถามไปในทันทีเมื่อได้ยินเสียงย่ำน้ำครั้งที่ 7 ว่า
“ขอประทานโทษค่ะ มีหลวงพี่รูปใด ยังไม่ได้รับบิณฑบาตบ้างไหมคะ”
ราตรีตกตะลึงในคำถามของบุตรสาว ขณะที่ขบวนพระหยุดนิ่งแต่ไม่มีใครกล้าที่จะตอบคำถามของเธอ พระอองรีซึ่งอยู่ในอาการสำรวมมาตลอดทุกวัน เมื่อได้ยินเสียงของรจนาร้องถามเช่นนี้ ก็บังเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาในจิตใจทันที
“ใส่ครบแล้วไงลูก เราเตรียมอาหารมา 5 ชุดก็ได้ใส่ครบทั้ง5 รูปแล้วไง” ราตรียังคงปดลูกสาวอีก ทำให้สิงห์บังเกิดความไม่พอใจจึงกล่าวประชดว่า
“ก็มีแต่พระเก่าๆทั้งนั้น ที่น้องรจเคยใส่บาตรให้ชั่วนาตาปี”
วันรุ่งขึ้น รจนาขอให้ราตรีจัดเตรียมอาหารไว้ 6 ชุด เมื่อราตรีถามถึงเหตุผลเธอก็บอกว่าเธออยากจะให้แก่สิงห์ เพราะสงสารที่สิงห์ต้องทานข้าวก้นบาตรพระมาตลอด และเมื่อเธอใส่บาตรให้พระครบทั้ง 5 รูปแล้ว รจนาก็กล่าวแก่สิงห์ว่า
“พี่สิงห์จ๊ะ ช่วยรับอาหารชุดนี้จากฉันด้วยนะจ๊ะ”
สิงห์รับอาหารชุดนั้นใส่ย่ามด้วยความยินดีและนำมาถวายให้แก่พระอองรีเมื่อกลับมาถึงวัด เพื่อให้พระอองรีได้รับอาหารที่ถวายโดยรจนาเป็นครั้งแรก หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา รจนาก็ได้เตรียมอาหาร เพิ่มเป็นวันละ 6 ชุด ทุกวันโดยที่เธอเองก็ไม่ทราบว่ามีอะไรมาดลใจให้เธอทำเช่นนั้น
วันหนึ่งรจนาเกิดความรู้สึกอยากเล่นดนตรีเพื่อคลายความเหงา เธอจึงนำขิมที่เก็บไว้อยู่ออกมาและเริ่มบรรเลงในทันที ขณะนั้นพระอองรีกำลังนั่งกรรมฐานอยู่ ท่านได้ยินเสียงขิมที่ล่องลอยมาอย่างชัดเจน และทราบดีว่ารจนาเป็นผู้บรรเลงเพลงนี้ ท่านพยายามรวบรวมสมาธิและจิตใจไม่ให้ไขว้เขว แต่เสียงดนตรีที่ล่องลอยมา แม้จะดูนุ่มนวลแต่มีพลานุภาพราวกับจะทำลายกำแพงสมาธิของท่านให้แตกอย่างไม่มีชิ้นดี เหงื่อเม็ดโตๆผุดออกจากทั่วทั้งใบหน้าของท่าน ท่านพยายามข่มจิตข่มใจให้กลับมาอยู่ในสมาธิ สุดท้ายเมื่อไม่อาจอดทนนั่งต่อไปได้ ท่านก็ได้ยินเสียงของหลวงตาที่นั่งอยู่ข้างๆดังขึ้นลอยๆว่า
“จิตเอ๋ย จงกลับมา”
พระอองรีกลับมามีสมาธิใหม่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้ยินคำเตือนสติของหลวงตา จากนั้นไม่นาน เสียงบรรเลงขิมก็สิ้นสุดลง
หลังจากที่อยู่พักฟื้นจนอาการต่างๆหายเป็นปกติดีแล้ว รจนาจึงได้เดินทางกลับมาอยู่ที่บ้านที่อยุธยา เธอต้องอยู่ในโลกแห่งความมืดมิดด้วยความเดียวดาย มีเพียงราตรีผู้เป็นมารดาเท่านั้นที่คอยอยู่ดูแลตลอดเวลา ส่วนคนอื่นๆนั้นก็ล้วนมีภาระหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องกระทำ จะแวะมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราวก็ยามที่มีเวลาเท่านั้น รจนาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการฟังเสียงจากรายการโทรทัศน์หรือวิทยุ เท่านั้น ที่เป็นเพื่อนคลายเหงา
ราตรีจัดสำรับกับข้าวเสร็จ จึงพยุงรจนามาที่โต๊ะอาหาร เธอตักอาหารด้วยความยากลำบากและทำอาหารตกหกเรี่ยราดรอบจาน ราตรีเห็นเช่นนั้นจึงตักอาหารใส่ช้อนแล้วค่อยๆป้อนเธอทีละคำ ราวกับกำลังป้อนเด็กเล็ก รจนาทานข้าวที่แม่ป้อนให้แล้วก็น้ำตาคลอ
“แทนที่หนูจะเป็นฝ่ายดูแลแม่ที่แก่ตัวลง กลับกลายเป็นแม่ที่ต้องมีภาระเลี้ยงดูหนูอีก หนูนี่ช่างบาปหนาเสียจริงๆ”
“อย่าคิดมากไปเลยลูก ยังไงเสียแม่ก็คือแม่ ต้องดูแลปกป้องลูกจนถึงที่สุดอยู่แล้ว”
ราตรีกล่าวพลางลูบไล้ศีรษะของบุตรสาวด้วยความรักและทะนุถนอมปานแก้วตาดวงใจ รจนากอดแม่แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความรันทดใจ พร้อมกับพร่ำกล่าวโทษแต่ตัวเองว่าเป็นเพียงคนพิการที่ไร้ค่าได้แต่เป็นภาระของคนอื่นอยู่ร่ำไป ราตรีพยายามปลอบโยนและให้กำลังใจ และชวนให้ทานอาหารต่อ แต่เธอปฏิเสธว่าทานไม่ลง อยากจะนอนพัก ราตรีจึงได้แต่ประคองเธอเข้าไปในห้องนอนตามที่เธอต้องการ
รจนานอนน้ำตาไหลด้วยความคิดถึงอองรี เขาคงไม่รู้ว่าเธอเจ็บปวดเพียงใดในยามนี้ ในยามที่สภาพร่างกายและจิตใจของเธออ่อนแออย่างถึงที่สุด เป็นช่วงเวลาที่เธออยากจะอยู่ใกล้กับเขาให้มากที่สุด แต่ดูเหมือนว่าอองรีจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงความระทมทุกข์ของเธอเลย โทรศัพท์ที่เธอเคยใช้ติดต่อกับเขาก็เสียหายจากอุบัติเหตุจนไม่อาจใช้การได้อีกต่อไปแล้ว เธอจึงได้แต่นอนคิดถึงเขาจนน้ำตาเปียกชุ่มหมอนไปหมด เธอค่อยๆเอื้อมมือออกไปคลำจนพบเข็มกลัดที่มีรูปของเธอถ่ายคู่กับเขาที่วัดไตรมิตร แล้วยกมันขึ้นมาจูบเบาๆ
“อองรีคะ ฉันขอให้คุณอโหสิกรรมในสิ่งที่ฉันได้ทำร้ายคุณมาทั้งในชาตินี้และชาติที่ผ่านๆมาด้วยนะคะ หากชาติหน้ามีจริง ฉันขอให้เราได้พบกัน ได้รักกัน โดยที่ไม่มีอุปสรรคใดๆอีกเลยนะคะ”
เธอค่อยๆรวบผ้าห่มแพรผืนบางๆขึ้นวางพาดกับขื่อเพดานเหนือศีรษะ ก่อนที่จะจับปลายอีกด้านเข้ามาบรรจบกันแล้วมัดเป็นเงื่อนตายที่แข็งแรง แล้วจึงค่อยๆคล้องลงมายังลำคอของเธอ จากนั้นจึงทิ้งตัวลงจากบนเตียงที่ยืนอยู่ในทันที
ราตรีทำธุระนอกบ้านเสร็จก็ค่อยๆเปิดประตูห้องนอนของบุตรสาวเข้ามาแล้วก็ต้องเห็นภาพที่ทำให้ตกใจจนแทบสิ้นสติ เธอรีบดึงเก้าอี้เข้ามาแล้วปีนขึ้นไปอุ้มร่างของรจนาลงมา ในขณะที่รจนาพยายามที่จะดิ้นรนขัดขืน พร้อมกับร้องว่า
“แม่ปล่อยหนู หนูอยากตาย หนูไม่อยากมีชีวิตแบบนี้อีกแล้ว”
ราตรีทุบตีบุตรสาวด้วยความเสียใจและกล่าวด้วยความคับแค้นใจว่า
“ลูกทำเช่นนี้ได้อย่างไร ทำเช่นนี้เหมือนกับจะฆ่าแม่ให้ตายทั้งเป็นรู้ไหม”
“แม่ หนูไม่อยากอยู่แล้ว หนูไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว”
“ได้ถ้าเช่นนั้นเรามาผูกคอตายพร้อมกันทีเดียวเลย” กล่าวแล้วราตรีก็ทำเป็นจะลุกขึ้นไปเตรียมการตามที่ขู่ รจนาได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจตรงเข้าไขว่คว้าแล้วกอดขาของราตรีเอาไว้
“แม่จ๋า หนูขอโทษ แม่อย่าทำเช่นนี้เลย หนูจะไม่ทำอีกแล้ว”
เสียงพระสวดมนต์จากวัดท้ายบ้านล่องลอยมากระทบโสตประสาท ทำให้อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเธอสงบลง รจนาสงบสติอารมณ์ลงแล้วนั่งพับเพียบ พนมมือแล้วตั้งใจฟังด้วยความสงบ พร้อมกับรับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เสียงสวดมนต์ของพระได้นำพาความเมตตา ความปราถนาดีมายังเธอ ทำให้เธอรู้สึกสำนึกตื้นตันขึ้นมาจนต้องหลั่งน้ำตาออกมาขณะตั้งใจฟังพระสวด โดยไม่ทราบสาเหตุ
ราตรีทรุดตัวลงนั่งแล้วกอดบุตรสาวพร้อมกับร้องไห้ออกมาเช่นเดียวกัน สิงห์ที่ตั้งใจจะมาเยี่ยมและนำไข่มาฝาก ได้เข้ามาพบเห็นเหตุการณ์พอดี ก็อดที่จะสงสารสองแม่ลูกจนไม่อาจจะห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ เมื่อสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกได้แล้ว จึงเข้าไปนั้งลงข้างๆสองแม่ลูกแล้วกล่าวปลอบโยนรจนา เมื่อพระสวดจบลงแล้วว่า
“รจ รจต้องอดทนนะ พี่เชื่อว่าวันหนึ่งรจจะต้องมองเห็นได้ดังเดิม ระหว่างนี้ถ้ารจอยากได้อะไรหรืออยากไปไหนให้บอกพี่สิงห์นะ พี่สิงห์จะให้น้องรจขี่หลังเหมือนสมัยที่เรายังเด็กๆไง รจจำได้ใช่ไหม”
รจนารู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินสิงห์กล่าวเช่นนั้น จึงยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความตื้นตันใจแล้วกล่าวว่า
“ขอบคุณจ้ะพี่สิงห์ แต่ฉันโตเป็นสาวแล้ว จะไปเที่ยวขี่หลังพี่เหมือนเมื่อก่อนคงไม่งามเท่าใดนัก”
“อย่าไปคิดอะไรมาก เราก็เหมือนพี่เหมือนน้องกันอยู่แล้ว พี่ก็ได้อาศัยข้าวก้นบาตรที่น้าราตรีและรจ ถวายพระมานี่แหละจึงได้โตเป็นผู้เป็นคนมาจนถึงทุกวันนี้ อ้อนี่พี่เอาไข่ไก่จากแม่ไก่ที่พี่เลี้ยงมาฝากด้วยนะจ๊ะ”
“พี่สิงห์เลี้ยงไก่ด้วยหรือจ๊ะ”รจนาถามด้วยความสงสัย
“อืม ก็ได้ทุนจากพระ..”สิงห์ชะงักไปทันทีเมื่อสบสายตาที่ถมึงทึงของราตรี “พี่หมายถึงทุนที่พี่เก็บหอมรอมริบมาจากการเป็นเด็กวัดจ้ะ”
“ดีจังที่พี่สามารถมีอาชีพที่พี่ใฝ่ฝันได้ ส่วนฉันเองคงไม่อาจที่จะฝันอะไรได้อีกแล้ว”รจนากล่าวแล้วก็เริ่มกลับมาซึมเศร้าอีกครั้ง ราตรีจึงต้องกระตุ้นบุตรสาวว่า
“เดี๋ยวเราเอาไข่นี้ไปทำอาหารใส่บาตรพระพรุ่งนี้ดีไหม รจไม่ได้ทำบุญมาตั้งนานแล้วนี่ลูก”
“จ้ะ ทำไข่พะโล้ก็แล้วกัน อย่างน้อยหนูยังพอช่วยแม่ปอกเปลือกไข่ได้”
“ดีจ้ะ ๆ”สิงห์กล่าวอย่างยินดี พระท่านชอบฉันไข่พะโล้ด้วย”
“พระที่ไหนชอบไข่พะโล้ นายสิงห์”ราตรีดุสิงห์เหมือนจะเตือนเป็นนัย จนสิงห์ต้องรีบแก้ตัวว่า
“ก็พระก็ต้องคู่กับไข่พะโล้ไง เหมือนเพลงตอนเด็กๆที่เราร้องต่อกันใช่ไหมรจ ถ้าแม่ชีก็ต้องชอบกล้วยบวชชี ใช่ไหม”
รจนาฟังคำแก้ตัวของสิงห์ แต่จู่ๆจิตใจกลับไปคิดถึงอองรีขึ้นมา แล้วนึกถึงเหตุการณ์วันที่เธอกับเขาอยู่ที่หาดแม่รำพึงอีกครั้งหนึ่ง
“ไข่ดำๆที่แช่อยู่ในน้ำดำๆนั้น เรียกว่าอะไรครับ”
“ไข่พะโล้ค่ะ”รจนาต้องกลั้นหัวเราะในคำถามของเขา
อองรีสั่งข้าวราดไข่พะโล้ แล้วยกจานอาหารมานั่งทานที่โต๊ะ ก่อนจะเล่าว่า
“ผมเคยสั่งทานที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย แต่แม่ค้าพากันหัวเราะใหญ่”
“ทำไมหรือคะ”
“ผมสั่งว่า ไข่ดำ เขาจึงหัวเราะเอา”
รจนานึกถึงความหลังอันหอมหวานในครั้งกระนั้น แล้วก็ต้องหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยราตรีจัดเตรียมอาหารที่จะถวายพระ เธอช่วยปอกเปลือกไข่ เพื่อเตรียมทำไข่พะโล้ ช่วยคั้นกะทิ เพื่อทำกล้วยบวชชี เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราตรีจึงได้แบ่งอาหารใส่ถุงพลาสติกไว้เพื่อเตรียมใส่บาตรพระจำนวน 5 ชุด
หลวงตาเจ้าอาวาสเดินนำพระลูกวัดอีก 5 รูปมารับบิณฑบาตรที่บ้านหลังนี้เป็นแห่งแรก ราตรีค่อยๆประคองบุตรสาวให้ตักข้าวใส่บาตรของหลวงตา ตามด้วยไข่พะโล้และกล้วยบวชชี ก่อนที่จะถวายดอกบัวเป็นรายการสุดท้าย จากนั้นจึงใส่บาตรให้แก่พระลำดับถัดไปจนครบตามอาหารที่จัดเตรียมไว้ทั้ง 5 ชุด พระอองรีที่อยู่ในลำดับที่หก ยังคงยืนก้มหน้ามองพื้นด้วยความสงบนิ่ง โดยที่ยังคงไม่ได้รับการใส่บาตรเช่นเคย
รจนานั่งพับเพียบพนมมือรับศีลรับพรจากพระด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ เมื่อพระให้ศีลให้พรเสร็จสิ้นแล้วก็ค่อยๆเดินจากมาเพื่อไปยังบ้านอื่นต่อไป รจนายังคงนั่งส่งพระด้วยอาการสำรวมสงบนิ่ง แม้ตาของเธอจะมองไม่เห็น แต่หูทั้งสองข้างของเธอก็ตั้งใจฟังเสียงฝีเท้าของพระเหล่านั้นที่เดินจากไปด้วยความสนใจ แล้วร้องถามราตรีด้วยความสงสัยว่า
“แม่จ๋า มีพระมาทั้งหมดกี่รูปจ๊ะ”
“ก็ 5 รูปเหมือนทุกทีไง”ราตรีปดลูกสาวในขณะที่สิงห์ซึ่งยังเดินผ่านมาได้ไม่ไกล ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ จึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
“แต่หนูได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนว่ามีมากกว่านั้นนะจ๊ะ”
“ก็ไอ้สิงห์อีกคนนีงไง ไอ้สิงห์มันเดินตามขบวนพระทุกวันนั่นแหละ”
รจนาคิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเธอได้ใส่บาตรในวันต่อๆมา เธอก็เริ่มเกิดความสงสัยว่าจำนวนพระมีกี่รูปกันแน่ จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง ฝนตกลงมาอย่างหนัก เพิ่งจะมาหยุดตอนที่เกือบจะรุ่งสางแล้ว รจนาและแม่ได้ออกมาเตรียมใส่บาตรเช่นเคย หลังจากรับศีลรับพรเสร็จสิ้นแล้ว เธอก็ส่งพระด้วยความสงบ น้ำฝนที่ตกมาเมื่อคืน ยังคงค้างเจิ่งอยู่บนพื้นดินเป็นจุดๆ รจนาเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าของพระที่ย่ำลงไปในแอ่งน้ำด้วยความตั้งใจ และตัดสินใจร้องถามไปในทันทีเมื่อได้ยินเสียงย่ำน้ำครั้งที่ 7 ว่า
“ขอประทานโทษค่ะ มีหลวงพี่รูปใด ยังไม่ได้รับบิณฑบาตบ้างไหมคะ”
ราตรีตกตะลึงในคำถามของบุตรสาว ขณะที่ขบวนพระหยุดนิ่งแต่ไม่มีใครกล้าที่จะตอบคำถามของเธอ พระอองรีซึ่งอยู่ในอาการสำรวมมาตลอดทุกวัน เมื่อได้ยินเสียงของรจนาร้องถามเช่นนี้ ก็บังเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาในจิตใจทันที
“ใส่ครบแล้วไงลูก เราเตรียมอาหารมา 5 ชุดก็ได้ใส่ครบทั้ง5 รูปแล้วไง” ราตรียังคงปดลูกสาวอีก ทำให้สิงห์บังเกิดความไม่พอใจจึงกล่าวประชดว่า
“ก็มีแต่พระเก่าๆทั้งนั้น ที่น้องรจเคยใส่บาตรให้ชั่วนาตาปี”
วันรุ่งขึ้น รจนาขอให้ราตรีจัดเตรียมอาหารไว้ 6 ชุด เมื่อราตรีถามถึงเหตุผลเธอก็บอกว่าเธออยากจะให้แก่สิงห์ เพราะสงสารที่สิงห์ต้องทานข้าวก้นบาตรพระมาตลอด และเมื่อเธอใส่บาตรให้พระครบทั้ง 5 รูปแล้ว รจนาก็กล่าวแก่สิงห์ว่า
“พี่สิงห์จ๊ะ ช่วยรับอาหารชุดนี้จากฉันด้วยนะจ๊ะ”
สิงห์รับอาหารชุดนั้นใส่ย่ามด้วยความยินดีและนำมาถวายให้แก่พระอองรีเมื่อกลับมาถึงวัด เพื่อให้พระอองรีได้รับอาหารที่ถวายโดยรจนาเป็นครั้งแรก หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา รจนาก็ได้เตรียมอาหาร เพิ่มเป็นวันละ 6 ชุด ทุกวันโดยที่เธอเองก็ไม่ทราบว่ามีอะไรมาดลใจให้เธอทำเช่นนั้น
วันหนึ่งรจนาเกิดความรู้สึกอยากเล่นดนตรีเพื่อคลายความเหงา เธอจึงนำขิมที่เก็บไว้อยู่ออกมาและเริ่มบรรเลงในทันที ขณะนั้นพระอองรีกำลังนั่งกรรมฐานอยู่ ท่านได้ยินเสียงขิมที่ล่องลอยมาอย่างชัดเจน และทราบดีว่ารจนาเป็นผู้บรรเลงเพลงนี้ ท่านพยายามรวบรวมสมาธิและจิตใจไม่ให้ไขว้เขว แต่เสียงดนตรีที่ล่องลอยมา แม้จะดูนุ่มนวลแต่มีพลานุภาพราวกับจะทำลายกำแพงสมาธิของท่านให้แตกอย่างไม่มีชิ้นดี เหงื่อเม็ดโตๆผุดออกจากทั่วทั้งใบหน้าของท่าน ท่านพยายามข่มจิตข่มใจให้กลับมาอยู่ในสมาธิ สุดท้ายเมื่อไม่อาจอดทนนั่งต่อไปได้ ท่านก็ได้ยินเสียงของหลวงตาที่นั่งอยู่ข้างๆดังขึ้นลอยๆว่า
“จิตเอ๋ย จงกลับมา”
พระอองรีกลับมามีสมาธิใหม่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้ยินคำเตือนสติของหลวงตา จากนั้นไม่นาน เสียงบรรเลงขิมก็สิ้นสุดลง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ