มนตราดอกกุหลาบ
8.7
เขียนโดย 2305
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.
25 บท
0 วิจารณ์
25.88K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) บทที่ 16
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 16
วันเวลาค่อยๆคืบคลานผ่านไป สำหรับรจนาแล้ว เธอมองดูเวลาที่ผ่านไป และเวลาที่กำลังจะมาถึงด้วยความปวดร้าวในใจ ทุกครั้งที่ต้องหยิบปากกาออกมาขีดฆ่าวันที่ที่ผ่านพ้นไปในปฏิทินก็ไม่ต่างกับการหยิบมีดเข้ามากรีดทำร้ายหัวใจของตนเอง วันวาเลนไทน์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา เมื่อได้เห็นคู่รักคู่อื่นเขาเฉลิมฉลองความรักที่มีต่อกันแล้ว ก็อดที่จะน้อยใจในความรักของตนเองไม่ได้ ยิ่งได้มองเห็นดอกกุหลาบที่มีให้เห็นเกลื่อนกลาดสายตาในวันนั้นด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งคิดถึงเขาขึ้นมาในทันที เสียงเพลงที่เธอและเขาโปรดปรานยังคงก้องอยู่ในโสตสัมผัส ราวกับว่ามีใครมาบันทึกและเล่นซ้ำไว้
“...สัญญาสิ สัญญากับฉันว่า ทุกครั้งที่เธอได้เห็นดอกกุหลาบ เธอจะคิดถึงแต่ฉัน...”
เธอจรดปากกาขีดฆ่าวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปด้วยความเจ็บปวดใจ เหลืออีกเพียง 7 วันเท่านั้น อองรีก็จะกลับปารีสแล้ว และจะเป็นการจากกันที่ไม่มีวันจะได้พบกันอีกแล้ว แม้ว่าเธอเองจะเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เขาเป็นฝ่ายไปจากเธอ แต่เมื่อเวลายิ่งใกล้เข้ามา เธอเองกลับเป็นฝ่ายที่ต้องอ่อนแอลงทุกทีๆ และยิ่งเมื่อนึกถึงวันหมั้นที่รออยู่เบื้องหน้าด้วยแล้ว ทำให้เธอแทบอยากจะขาดใจตายเสียให้ได้ในทันที
วันต่อมาเมื่อเธอสอบเสร็จ ผู้คุมสอบก็แจ้งให้เธอทราบว่า อาจารย์นงนุชต้องการพบกับเธอ เธอจึงได้ไปพบกับนงนุชที่ห้องทำงาน
“ครูได้ทราบมาว่าเธอได้สละสิทธิ์ทุนที่ทางฝรั่งเศสให้มาเสียแล้วหรือ”
“ค่ะ”รจนาตอบอย่างไม่เต็มปากเต็มคำเท่าใดนัก
“ทำไมหรือ ครูสู้อุตสาห์เขียนหนังสือรับรองให้เธอ แต่เธอกลับทิ้งทุนก้อนนี้ไปอย่างไม่ใยดี”
“หนูกราบขอโทษค่ะ แต่หนูมีความจำเป็นเพราะว่าพ่อของหนูได้เสียชีวิตอย่างกะทันหัน หนูไม่อาจทอดทิ้งให้แม่ต้องอยู่ตามลำพังคนเดียวได้”
“ครูเห็นใจ แต่ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ เธอคงไม่รู้หรอกว่าทุนก้อนนี้เขาให้กันยากเพียงใด”
“หนูต้องกราบขอโทษอาจารย์อีกครั้งค่ะ”
“เธอแน่ใจนะว่ามีแต่เฉพาะเรื่องของแม่ของเธอเท่านั้น”
“อาจารย์...”รจนารู้สึกตกใจที่ถูกนงนุชซักเอาเช่นนั้น
“ครูเพิ่งทราบมาว่า อองรีได้ทำเรื่องขอโอนหน่วยกิตเพื่อกลับไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส”
“จริงหรือคะ”รจนาถามด้วยความรู้สึกราวกับจะขาดใจ
“เธอไม่รู้เรื่องนี้เลยหรือ เธอสองคนผิดใจอะไรกันหรือเปล่า”
“หนู...หนู...”รจนาได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะกล่าวเช่นไรดี
“ความจริงครูก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายการตัดสินใจของเธอทั้งสองหรอกนะ เพียงแต่ว่าครูเสียดายโอกาสความก้าวหน้าของพวกเธอ มีเรื่องอะไรก็ควรจะพูดคุยกัน ปรับความเข้าใจกันเสีย อย่าถือทิฐิเจ้าแง่แสนงอนกัน ทั้งสองคนล้วนโตๆกันแล้ว ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”
รจนาเดินออกจากห้องทำงานของนงนุช ด้วยจิตใจที่วุ่นวายสับสนไปหมด ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจยอมแพ้ความดื้อรั้นของตัวเองด้วยการโทรศัพท์ไปหาอองรีในทันที เสียงสัญญาณที่ปลายทางดังขึ้นครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะถูกตัดสัญญาณไป เธอรู้สึกเหมือนโดนคมมีดกรีดเข้าไปกลางใจ เมื่อรู้ว่าอองรีตัดสายโทรศัพท์ที่เธอโทรมา แต่เธอก็ยังไม่ละความพยายาม โดยการพิมพ์ข้อความส่งไปหาเขา
“ฉันจะคอยคุณอยู่ที่สระน้ำ จนกว่าคุณจะมานะคะ”
อองรีหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมาเปิดดูข้อความ แล้วเก็บใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ก่อนที่จะหันมาก้มหน้าก้มตา เล่นเกมส์จากตู้เกมส์หยอดเหรียญด้วยความเมามัน เขาสาดกระสุนเข้าใส่ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าอย่างคุ้มคลั่งราวกับโกรธแค้นกันมานาน เพื่อเป็นการระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่ได้รับมาในช่วงหลายวันมานี้
รจนายังคงนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดริมสระน้ำหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อรอคอยเขามานานกว่าสองชั่วโมงแล้วและยังไม่มีทีท่าว่าจะล้มเลิกความตั้งใจแต่อย่างใด เธอมองดูรอบกายได้พบนักศึกษาหลายคนมานั่งให้อาหารปลาในบ่อนั้น บ้างก็มาเป็นคู่รักกัน บ้างก็มาคนเดียวเช่นเธอทำให้เธออดรู้สึกสงสัยไม่ได้ว่าคนที่มานั่งคนเดียวเช่นเธอนั้น จะกำลังทุกข์ระทมเช่นเดียวกันหรือไม่ ขั้นบันไดที่เธอกำลังนั่งอยู่นี้ เคยเป็นขั้นบันไดที่เธอเคยยืนประกวดนางนพมาศเมื่อสองปีก่อน และเป็นขั้นบันไดที่เธอเคยถ่ายรูปคู่กันกับเขาในงานคืนวันเดียวกันนั้น และเป็นรูปที่อองรีใช้เป็นภาพหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาตั้งแต่นั้นมา ซึ่งเธอไม่แน่ใจว่าปัจจุบันเขาได้ลบภาพนั้นทิ้งไปหรือยัง เพราะไม่ได้พบหรือติดต่อกับเขามาเกือบสองอาทิตย์แล้ว และเป็นสองอาทิตย์ที่แสนจะเจ็บปวดและทรมานใจสำหรับเธอเสียเหลือเกิน
“มีบางคนบอกผมว่า หญิงชายคู่ใดมานั่งจู๋จี๋กันที่ริมสระน้ำแห่งนี้ มักจะต้องเลิกรากันไป” อองรีกล่าวมาจากด้านหลังของเธอ หลังจากปล่อยให้เธอรอคอยมาเป็นเวลานาน เขายังคงยืนอยู่และไม่ยอมนั่งลงข้างๆที่เธอนั่ง
“แล้วคุณเชื่อไหมคะ” รจนากล่าวตอบโดยที่ไม่ได้หันมามองเขา สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ฝูงปลาที่พากันมาแย่งอาหารจากผู้ที่มาเลี้ยงมัน
“ผมไม่จำเป็นต้องเชื่อ เพราะผมถูกคุณบอกเลิกอย่างไม่มีเหตุผลทั้งๆที่ไม่ได้มานั่งที่นี่”
เธอรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปถึงในหัวใจ เมื่อได้ยินคำพูดที่เสียดแทงเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามควบคุมความรู้สึกก่อนที่จะถามอย่างเป็นการเป็นงานว่า
“ฉันได้ข่าวมาว่าคุณได้ขอโอนหน่วยกิตเพื่อที่จะกลับไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสหรือคะ”
“ครับ ผมไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ไปอีกทำไมกัน”
รจนาเหลียวหน้ากลับมามองเขาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นออกมาก่อนที่จะก้มหน้าลงแล้วรีบป้ายมันออก เพราะไม่อยากให้เขาได้เห็นถึงความอ่อนแอของเธอ
“ผมมาที่นี่เพราะต้องการที่จะอยู่กับคุณ ในเมื่อไม่มีคุณเสียแล้ว ผมก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”
“ลืมไปแล้วหรือคะว่าตอนที่คุณอ้างเหตุผลกับพ่อของคุณว่าอย่างไร คุณบอกท่านว่าอยากจะมาศึกษาวิถีชีวิต วัฒนธรรมของคนไทย เพื่อที่จะได้นำกลับไปช่วยธุรกิจของคุณพ่อของคุณในการขยายตลาดที่นี่”
“ผมได้ศึกษามาเพียงพอแล้ว และคิดว่าสิ่งที่ดีจริงๆของที่นี่มีเพียงพระพุทธศาสนาเท่านั้น นอกนั้นมีแต่ความหลอกลวง จอมปลอมและไร้เหตุผล”
รจนาเหลียวหน้ามามองดูเขาอีกครั้งโดยที่ไม่ได้กล่าวตอบโต้อันใด อองรีจึงกล่าวต่อไปว่า
“ผมคิดว่าบางทีความเจ็บปวดที่ผมกำลังได้รับอยู่ขณะนี้ อาจจะเป็นกฏแห่งกรรมที่ผมเคยทำร้ายจิตใจของผู้หญิงมามากมายในอดีต เวลานี้ผมกำลังชดใช้กรรมที่ผมได้ก่อเอาไว้ แม้ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด ผมก็ยินดีที่จะชดใช้มัน”
“เราทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตนเองที่จะต้องชดใช้ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง”
“ผมยังนับว่าโชคดีกว่าคุณ เพราะผมรับกรรมโดยการที่ต้องผิดหวังจากผู้หญิงที่ผมรัก แต่คุณสิ นอกจากต้องผิดหวังจากผู้ชายที่คุณรักแล้ว คุณยังต้องอยู่กับผู้ชายที่คุณไม่ได้รักอีกด้วย”
รจนาต้องกัดริมฝีปากของตนเองเพื่อกลั้นความรู้สึกและไม่ให้น้ำตาต้องไหลหลั่งออกมาอีกครั้ง คำกล่าวของเขานั้นทั้งเสียดแทง ทั้งกระทบความรู้สึกในใจของเธอโดยตรงและที่สำคัญมันเป็นความจริงที่เธอเองก็ยังต้องยอมรับและไม่อาจจะแยกแยะได้ว่า การไม่ได้อยู่กับชายคนรัก กับการที่ต้องเป็นภรรยาของชายที่เธอไม่ได้รักนั้น อย่างใดจะเป็นทุกข์และเจ็บปวดมากกว่ากัน
“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว ผมคงขอลาแค่นี้”เขากล่าวแล้วก็หันหลังเดินกลับจากไป แต่เมื่อเดินไปได้สองก้าวก็หยุดแล้วหันมากล่าวเพิ่มเติมว่า “แล้วถ้าไม่จำเป็น กรุณาอย่าโทรมาหาผมอีกนะครับ ผมพยายามที่จะลืมคุณอยู่ แม้ว่ามันจะยากและทรมานเพียงใดก็ตาม”
รจนาได้แต่นั่งฟังเสียงฝีเท้าของเขาที่ค่อยๆเดินจากไป โดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวมามองเขาเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาของเธอค่อยๆไหลลงอาบใบหน้าอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมได้อีกต่อไป
การสอบในวิชาสุดท้ายได้เสร็จสิ้นลง สำหรับรจนาแล้วดูเหมือนจะเป็นการสิ้นสุดในหลายสิ่งหลายอย่างสำหรับเธอ เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้ใช้ชีวิตในฐานะนิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ วันรุ่งขึ้นเธอก็จะเป็นคนตกงานคนหนึ่ง หลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ ก็จะเป็นคู่หมั้นของจักษุแพทย์ที่เปิดคลีนิคอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่สิ่งที่นำความทุกข์ที่สุดมาให้เธอก็คือ วันพรุ่งนี้ จะเป็นวันที่อองรีจะเดินทางกลับปารีส ตามที่เขาได้บอกเธอไว้และจะเป็นการจากกันที่จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกชั่วนิรันดร
เธอกลับมาที่บ้านที่อยุธยา เอนหลังอยู่บนเตียงในห้องนอนแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูอัลบั้มรูปถ่ายที่เธอกับเขาได้ถ่ายคู่กัน เธอเลื่อนดูรูปเหล่านั้นอย่างช้าๆก่อนที่จะค่อยๆกดลบออกไปทีละภาพด้วยความปวดร้าวใจ ก่อนที่จะหลับตาลงนอนขณะที่โทรศัพท์เครื่องนั้นยังวางอยู่บนตัวของเธอทั้งคืน
เธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยดวงตาที่บวมช้ำเนื่องจากผ่านการร้องไห้มาตลอดทั้งคืน ยิ่งใกล้เวลาที่อองรีจะออกเดินทางเท่าไรก็ยิ่งเหมือนกับว่าใจของเธอใกล้จะขาดลงมากเท่านั้น ราตรีชำเลืองมองดูใบหน้าและอาการเศร้าซึมของบุตรสาวแล้วก็ได้แต่แอบสงสารอยู่ในใจ แต่ก็ยังใจแข็งว่าสิ่งที่เธอทำนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อรจนาแล้ว
รจนาเปิดโทรทัศน์เพื่อหวังจะช่วยให้คลายความทุกข์โศกลงได้บ้าง เธอเปลี่ยนช่องไปมาอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งมาถึงสถานีแห่งหนึ่งที่กำลังเสนอสรุปข่าวประจำวัน แล้วก็ต้องหยุดดูด้วยความสนใจเมื่อผู้ประกาศข่าวได้รายงานว่า
“เจ้าของลิขสิทธิ์เครื่องหนังยี่ห้อฟรังซัวร์ ได้ประกาศถอนฟ้อง ไม่เอาความต่อแม่ค้าที่ขายสินค้าปลอมแปลงแล้ว”
จากนั้นก็มีภาพของแม่ค้าผู้นั้นพร้อมกับบุตรสาวของเธอ กำลังยกมือไหว้อองรี ที่ไหว้ตอบด้วยความนอบน้อมเช่นกัน ก่อนที่เขาจะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวด้วยภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำว่า
“ในนามของบริษัท ฟรังซัวร์ ผมขอโทษและขอแสดงความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่ให้ความอุดหนุนในสินค้าของฟรังซัวร์ด้วยดีเสมอมา แม้ว่าเราจะได้รับความเสียหายบ้างจากสินค้าที่ปลอมแปลงเหล่านี้ แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว เราเห็นว่า นั่นเป็นเพราะคนไทยรักสินค้าของเรา อยากมี อยากได้ สินค้าของเรา เราจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกีดกันสินค้าของเราจากคนไทย”
“หมายความว่าทางฟรังซัวร์จะยินยอมให้สินค้าของตนถูกละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือคะ” ผู้สื่อข่าวได้ถามเขา
“ผมเชื่อในวิจารณญาณของคนไทยครับ สินค้าฟรังซัวร์ของแท้นั้นมีคุณภาพดีเยี่ยมคุ้มค่ากับราคาที่คุณต้องจ่ายไปอย่างแน่นอน เป็นทางเลือกของคนไทยครับ ว่าอยากได้สินค้าราคาสูงแต่มีคุณภาพดี สามารถขายต่อได้ในราคาเหมาะสม หรือต้องการของปลอมแปลงเลียนแบบที่มีคุณภาพด้อยลงมา”
“แล้วฟรังซัวร์จะยอมแบกรับความเสียหายนี้ได้ตลอดไปหรือคะ”
“ฟรังซัวร์มีสาขาทั่วโลก เรามั่นใจในคุณภาพของสินค้าของเราครับ ลูกค้าของเราที่มีเกียรติ ถึงอย่างไรก็ไม่ซื้อสินค้าปลอมแปลงที่วางขายอยู่ริมถนนอยู่แล้ว ในทำนองเดียวกันคนบางคนที่ชอบซื้อของปลอมของเลียนแบบ คนกลุ่มนี้ถึงอย่างไรก็ไม่ซื้อสินค้าของเราอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน และเราคิดว่าคนกลุ่มนี้ มีจำนวนเล็กน้อย แต่ถ้าคนเล็กน้อยกลุ่มนี้สามารถช่วยให้แม่ลูกที่น่าสงสารสองคน สามารถยังชีพอยู่ได้บนผืนแผ่นดินนี้ ทางฟรังซัวร์ก็ยินดีด้วยครับ”
รจนาดูการสัมภาษณ์ของอองรีจนจบด้วยความรู้สึกสำนึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง เธอตัดสินใจในทันทีว่า เธอจะไม่ยอมให้เขาเดินทางกลับไป โดยที่ยังคงมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันตกค้างอยู่เป็นอันขาด คิดดังนั้นแล้ว เธอก็คว้ากระเป๋าแล้วแจ้งแก่ผู้เป็นมารดาว่า เธอจะต้องเข้ากรุงเทพฯเพื่อไปพบเขา แล้วออกเดินทางไปในทันที
ทางด้านอองรีเมื่อดำเนินเรื่องคดีความเสร็จสิ้นลงแล้ว ก็ตั้งใจที่จะไปพบกับรจนาเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน เขาเช่ารถแท็กซี่เหมาทั้งวันไว้หนึ่งคัน แล้วให้พาเขาไปยังบ้านของเธอที่อยุธยา เขานั่งหลับตาตลอดเส้นทางที่เดินทางด้วยความเศร้าใจ และมาลืมตาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเริ่มรู้สึกว่า สภาพการจราจรไม่ได้เคลื่อนไหลด้วยความคล่องตัวดังเดิม
“สงสัยข้างหน้าจะมีอุบัติเหตุครับ”คนขับรถกล่าว เมื่อเห็นเขาลืมตาขึ้นมามองออกไปหน้ารถ เพื่อดูการจราจรค่อยๆเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ สลับกับหยุดนิ่งเป็นพักๆ ที่เบื้องหน้าฝั่งตรงข้ามนั้น มีแสงไฟจากหลังคารถกู้ภัย ส่องแสงแวบๆอยู่ไม่ไกล
“อุบัติเหตุฝั่งตรงข้ามครับ แต่ฝั่งเราติดเพราะชะลอดู”คนขับรถพยายามพูดให้ตลก แต่เมื่ออองรีเห็นสภาพอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาในทันที รถตู้โดยสารที่กำลังจะมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ เกิดอุบัติเหตุชนกับต้นไม้ข้างทาง จนตัวรถนั้นถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หน่วยกู้ภัยกำลังใช้เครื่องมือตัดถ่างซากรถเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังคงติดอยู่ในซาก ในขณะเดียวกัน อองรีก็มองเห็นห่อผ้าสีขาวที่ห่อหุ้มร่างอันไร้ลมหายใจของผู้โดยสารอีกจำนวนหนึ่ง ถูกห่อและวางเรียงรายอยู่ที่พื้นถนนนั้น
หน่วยกู้ภัยช่วยกันอุ้มร่างหนึ่งออกมาจากซากรถแล้ววางลงบนเปลสนามก่อนจะช่วยกันยกไปขึ้นรถพยาบาลที่จอดรออยู่ อองรีมองดูด้วยความสังเวชใจ พลางภาวนาให้ผู้เคราะห์ร้ายรายนั้นอย่าได้เป็นอันตรายอันใดมากมาย ในขณะที่รถของเขาได้เคลื่อนตัวผ่านจากจุดที่ติดขัดได้และออกวิ่งต่อไปอย่างรวดเร็วในทันที อองรีเอนกายลงพิงกับเบาะอีกครั้งด้วยความรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก
เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยกันยกเตียงที่มีร่างของผู้บาดเจ็บขึ้นสู่รถพยาบาลด้วยความเร่งรีบ ทำให้แขนข้างซ้ายของผู้ได้รับบาดเจ็บโผล่พ้นออกมาจากผ้าคลุม ที่นิ้วนางข้างซ้ายของผู้ได้รับบาดเจ็บผู้นั้น สวมแหวนทองเนื้อเกลี้ยงวงหนึ่งที่บัดนี้ ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน
อองรีเดินทางมาถึงวัดท้ายบ้านเพื่อกราบลาหลวงตาเจ้าอาวาสที่เขาเคารพ และอำลาสิงห์ในเวลาเดียวกัน เขาได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้แก่สิงห์ไว้ด้วย เพื่อให้เป็นทุนตั้งตัวทำฟาร์มไก่ไข่ ตามที่เจ้าตัวใฝ่ฝัน จากนั้น เขาจึงได้เดินไปยังบ้านของรจนา และได้พบกับราตรีที่อยู่ตามลำพัง จึงทำให้เขารู้สึกผิดหวังและเข้าใจว่า รจนายังคงหลบหนีไม่อยากที่จะพบกับเขาอีกเช่นเคย อองรีจึงกราบลาราตรีและฝากบอกอำลาไปยังรจนาด้วย พร้อมทั้งฝากอวยพรให้เธอและวัชรินทร์ให้อยู่ครองรักกันอย่างมีความสุข หลังจากนั้นเขาก็ได้หยิบซองสีขาวออกมาจากกระเป๋าแล้วฝากราตรีให้มอบต่อรจนา ราตรีรับมาด้วยความสงสัยจึงเปิดออกดู ก็พบว่าภายในซองมีเช็คฉบับหนึ่ง ที่มียอดเงินจำนวนมากจนเธอตกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ทำไมคุณจึงต้องให้เงินยายรจมากถึงเพียงนี้”
“เป็นเงินของเธอครับ เป็นค่าออกแบบกระเป๋าตามสิทธิที่เธอควรจะได้รับ ต้องฝากขอโทษเธอด้วยนะครับที่บริษัททำงานล่าช้า กว่าจะทำเรื่องตั้งเบิกให้เธอได้”
ราตรีเห็นความซึมเศร้าของอองรีแล้วก็รู้สึกทั้งรักและสงสารในคราเดียวกัน เธอเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่า หากไม่ใช่เพราะบันทึกเล่มนั้นแล้ว เธอจะยังคงกีดกันความรักของลูกสาวกับชายชาวต่างชาติคนนี้ไหม เธอได้พบกับอองรีหลายครั้งหลายหนตลอดเวลาที่เขาติดตามรจนามาที่นี่ เธอรู้ซึ้งถึงความดีงามของเขา ความมีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นผู้ชายที่ดีที่คอยติดตามดูแลลูกสาวของเธอด้วยความเป็นห่วงและความรักอย่างที่สุด และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รจนามีความรักให้
อองรีอยู่สนทนากับราตรีสักพักจึงขอลากลับ ขณะกำลังเดินผ่านแปลงกุหลาบที่เขาและเธอเคยปลูกและรักษาดูแลร่วมกันมานั้น เขาได้พบว่าบัดนี้ กุหลาบเหล่านั้นดูอับเฉา ไม่เบ่งบานงดงามเหมือนเคย เขาจึงได้เดินไปยังตุ่มน้ำแล้วตักน้ำมารดจนชุ่ม จากนั้นจึงย่อกายลงนั่งยองๆมองดูกุหลาบทั้งสองต้นด้วยความอาลัยพร้อมกับแว่วเสียงบางอย่างขึ้นมาในจิตใจ
“...สัญญาสิ สัญญากับฉันว่า ทุกครั้งที่คุณได้เห็นดอกกุหลาบ คุณจะคิดถึงแต่ฉัน...”
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาถือไว้ขณะนั่งอยู่ในรถและคิดด้วยความลังเลใจว่าควรจะโทรไปหารจนาดีไหม ใจจริงแล้วเขาเองก็อยากจะพบกับเธออีกสักครั้ง แต่ด้วยความมีทิฐิและเขาเองเป็นฝ่ายที่ห้ามไม่ให้เธอติดต่อมาหาเขาเอง ครั้นจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นโทรกลับไปหาก็เหมือนกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดคำพูดเสียเอง อองรีใคร่ครวญอยู่นาน จนในที่สุดก็ยอมแพ้ต่อความต้องการของตนเอง เขากดหมายเลขโทรศัพท์ของเธอแล้วเฝ้ารอคอยด้วยใจที่เต้นระทึก เสียงสัญญาณดังขึ้นหลายครั้ง แต่ไม่มีผู้ใดรับสาย อองรีบังเกิดความน้อยใจขึ้นมาในทันทีว่า บางทีขณะนี้เธออาจกำลังใช้เวลาอยู่กับวัชรินทร์ก็เป็นได้ คิดดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสายโทรศัพท์แล้วสั่งให้คนขับรถมุ่งหน้าไปยังสนามบินทันที
เขานำกระเป๋าสัมภาระลงเครื่องเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังเตร็ดเตร่อยู่บริเวณเคาน์เตอร์ ด้วยความหวังสุดท้ายว่ารจนาจะยอมมาพบกับเขาอีกสักครั้ง เขาพยายามโทรไปหาเธออีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีผู้รับสายเช่นเดิม เขานั่งรอและเฝ้าโทรศัพท์หาเธอเช่นนั้นอยู่เป็นเวลานาน แต่ผลที่ได้รับยังคงไม่มีผู้รับสายเช่นเดิม เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปยังด่านตรวจคน เพื่อตรวจประทับลงตราเดินทางออกจากประเทศไทย จากนั้นจึงเข้ามาพักผ่อนในห้องพักรับรองของสายการบิน เขาโทรศัพท์ไปหารจนาอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีผู้รับสายเช่นเดิม เขาเอนหลังลงพิงกับเบาะอันอ่อนนุ่มแล้วหลับตาลงด้วยความอ่อนใจ แล้วต้องมาลืมตาอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นที่หอมรุนแรงของดอกกุหลาบที่เขาคุ้นเคยโชยมากระทบจมูก เขาขยี้สายตาขับไล่ความเหนื่อยล้า แล้วได้พบว่าเบื้องหน้าของเขาเวลานี้ มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมใส่ชุดไทย กำลังยืนมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เหมือนกับจะอ้อนวอนขอความเห็นใจ
“รจนา !”อองรีร้องเรียกออกมาด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะพบกับเธอที่นี่ เธอย่อกายลงนั่งข้างๆเขา แล้วกล่าวกับเขาว่า
“อโหสิให้ฉันด้วยนะคะ ฉันขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเคยทำให้คุณต้องเสียใจ”
“ผมเข้าใจ ผมไม่เคยถือโทษโกรธคุณเลย”อองรีกล่าวพลางรวบมือทั้งสองข้างของเธอขึ้นมาเกาะกุมไว้ ด้วยเกรงว่าเธอจะหนีเขาไปอีก
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง”รจนากล่าวแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ อองรีพยายามที่จะเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ แต่มือของเธอกลับค่อยๆเลื่อนหลุดออกไปจากมือของเขาที่เกาะกุมเอาไว้อยู่ ร่างของรจนาค่อยๆถอยห่างออกไปทุกทีๆ อองรีรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไล่ตามเธอไป แต่ร่างของเธอกลับยิ่งถอยห่างเร็วขึ้นไปอีกจนสุดความสามารถที่เขาจะไล่ตามทัน อองรีร้องเรียกชื่อเธอออกมาด้วยเสียงอันดัง ก่อนที่จะตกใจตื่นขึ้นมาและรู้ว่า ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
วันเวลาค่อยๆคืบคลานผ่านไป สำหรับรจนาแล้ว เธอมองดูเวลาที่ผ่านไป และเวลาที่กำลังจะมาถึงด้วยความปวดร้าวในใจ ทุกครั้งที่ต้องหยิบปากกาออกมาขีดฆ่าวันที่ที่ผ่านพ้นไปในปฏิทินก็ไม่ต่างกับการหยิบมีดเข้ามากรีดทำร้ายหัวใจของตนเอง วันวาเลนไทน์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา เมื่อได้เห็นคู่รักคู่อื่นเขาเฉลิมฉลองความรักที่มีต่อกันแล้ว ก็อดที่จะน้อยใจในความรักของตนเองไม่ได้ ยิ่งได้มองเห็นดอกกุหลาบที่มีให้เห็นเกลื่อนกลาดสายตาในวันนั้นด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งคิดถึงเขาขึ้นมาในทันที เสียงเพลงที่เธอและเขาโปรดปรานยังคงก้องอยู่ในโสตสัมผัส ราวกับว่ามีใครมาบันทึกและเล่นซ้ำไว้
“...สัญญาสิ สัญญากับฉันว่า ทุกครั้งที่เธอได้เห็นดอกกุหลาบ เธอจะคิดถึงแต่ฉัน...”
เธอจรดปากกาขีดฆ่าวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปด้วยความเจ็บปวดใจ เหลืออีกเพียง 7 วันเท่านั้น อองรีก็จะกลับปารีสแล้ว และจะเป็นการจากกันที่ไม่มีวันจะได้พบกันอีกแล้ว แม้ว่าเธอเองจะเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เขาเป็นฝ่ายไปจากเธอ แต่เมื่อเวลายิ่งใกล้เข้ามา เธอเองกลับเป็นฝ่ายที่ต้องอ่อนแอลงทุกทีๆ และยิ่งเมื่อนึกถึงวันหมั้นที่รออยู่เบื้องหน้าด้วยแล้ว ทำให้เธอแทบอยากจะขาดใจตายเสียให้ได้ในทันที
วันต่อมาเมื่อเธอสอบเสร็จ ผู้คุมสอบก็แจ้งให้เธอทราบว่า อาจารย์นงนุชต้องการพบกับเธอ เธอจึงได้ไปพบกับนงนุชที่ห้องทำงาน
“ครูได้ทราบมาว่าเธอได้สละสิทธิ์ทุนที่ทางฝรั่งเศสให้มาเสียแล้วหรือ”
“ค่ะ”รจนาตอบอย่างไม่เต็มปากเต็มคำเท่าใดนัก
“ทำไมหรือ ครูสู้อุตสาห์เขียนหนังสือรับรองให้เธอ แต่เธอกลับทิ้งทุนก้อนนี้ไปอย่างไม่ใยดี”
“หนูกราบขอโทษค่ะ แต่หนูมีความจำเป็นเพราะว่าพ่อของหนูได้เสียชีวิตอย่างกะทันหัน หนูไม่อาจทอดทิ้งให้แม่ต้องอยู่ตามลำพังคนเดียวได้”
“ครูเห็นใจ แต่ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ เธอคงไม่รู้หรอกว่าทุนก้อนนี้เขาให้กันยากเพียงใด”
“หนูต้องกราบขอโทษอาจารย์อีกครั้งค่ะ”
“เธอแน่ใจนะว่ามีแต่เฉพาะเรื่องของแม่ของเธอเท่านั้น”
“อาจารย์...”รจนารู้สึกตกใจที่ถูกนงนุชซักเอาเช่นนั้น
“ครูเพิ่งทราบมาว่า อองรีได้ทำเรื่องขอโอนหน่วยกิตเพื่อกลับไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส”
“จริงหรือคะ”รจนาถามด้วยความรู้สึกราวกับจะขาดใจ
“เธอไม่รู้เรื่องนี้เลยหรือ เธอสองคนผิดใจอะไรกันหรือเปล่า”
“หนู...หนู...”รจนาได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะกล่าวเช่นไรดี
“ความจริงครูก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายการตัดสินใจของเธอทั้งสองหรอกนะ เพียงแต่ว่าครูเสียดายโอกาสความก้าวหน้าของพวกเธอ มีเรื่องอะไรก็ควรจะพูดคุยกัน ปรับความเข้าใจกันเสีย อย่าถือทิฐิเจ้าแง่แสนงอนกัน ทั้งสองคนล้วนโตๆกันแล้ว ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”
รจนาเดินออกจากห้องทำงานของนงนุช ด้วยจิตใจที่วุ่นวายสับสนไปหมด ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจยอมแพ้ความดื้อรั้นของตัวเองด้วยการโทรศัพท์ไปหาอองรีในทันที เสียงสัญญาณที่ปลายทางดังขึ้นครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะถูกตัดสัญญาณไป เธอรู้สึกเหมือนโดนคมมีดกรีดเข้าไปกลางใจ เมื่อรู้ว่าอองรีตัดสายโทรศัพท์ที่เธอโทรมา แต่เธอก็ยังไม่ละความพยายาม โดยการพิมพ์ข้อความส่งไปหาเขา
“ฉันจะคอยคุณอยู่ที่สระน้ำ จนกว่าคุณจะมานะคะ”
อองรีหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมาเปิดดูข้อความ แล้วเก็บใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ก่อนที่จะหันมาก้มหน้าก้มตา เล่นเกมส์จากตู้เกมส์หยอดเหรียญด้วยความเมามัน เขาสาดกระสุนเข้าใส่ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าอย่างคุ้มคลั่งราวกับโกรธแค้นกันมานาน เพื่อเป็นการระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่ได้รับมาในช่วงหลายวันมานี้
รจนายังคงนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดริมสระน้ำหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อรอคอยเขามานานกว่าสองชั่วโมงแล้วและยังไม่มีทีท่าว่าจะล้มเลิกความตั้งใจแต่อย่างใด เธอมองดูรอบกายได้พบนักศึกษาหลายคนมานั่งให้อาหารปลาในบ่อนั้น บ้างก็มาเป็นคู่รักกัน บ้างก็มาคนเดียวเช่นเธอทำให้เธออดรู้สึกสงสัยไม่ได้ว่าคนที่มานั่งคนเดียวเช่นเธอนั้น จะกำลังทุกข์ระทมเช่นเดียวกันหรือไม่ ขั้นบันไดที่เธอกำลังนั่งอยู่นี้ เคยเป็นขั้นบันไดที่เธอเคยยืนประกวดนางนพมาศเมื่อสองปีก่อน และเป็นขั้นบันไดที่เธอเคยถ่ายรูปคู่กันกับเขาในงานคืนวันเดียวกันนั้น และเป็นรูปที่อองรีใช้เป็นภาพหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาตั้งแต่นั้นมา ซึ่งเธอไม่แน่ใจว่าปัจจุบันเขาได้ลบภาพนั้นทิ้งไปหรือยัง เพราะไม่ได้พบหรือติดต่อกับเขามาเกือบสองอาทิตย์แล้ว และเป็นสองอาทิตย์ที่แสนจะเจ็บปวดและทรมานใจสำหรับเธอเสียเหลือเกิน
“มีบางคนบอกผมว่า หญิงชายคู่ใดมานั่งจู๋จี๋กันที่ริมสระน้ำแห่งนี้ มักจะต้องเลิกรากันไป” อองรีกล่าวมาจากด้านหลังของเธอ หลังจากปล่อยให้เธอรอคอยมาเป็นเวลานาน เขายังคงยืนอยู่และไม่ยอมนั่งลงข้างๆที่เธอนั่ง
“แล้วคุณเชื่อไหมคะ” รจนากล่าวตอบโดยที่ไม่ได้หันมามองเขา สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ฝูงปลาที่พากันมาแย่งอาหารจากผู้ที่มาเลี้ยงมัน
“ผมไม่จำเป็นต้องเชื่อ เพราะผมถูกคุณบอกเลิกอย่างไม่มีเหตุผลทั้งๆที่ไม่ได้มานั่งที่นี่”
เธอรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปถึงในหัวใจ เมื่อได้ยินคำพูดที่เสียดแทงเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามควบคุมความรู้สึกก่อนที่จะถามอย่างเป็นการเป็นงานว่า
“ฉันได้ข่าวมาว่าคุณได้ขอโอนหน่วยกิตเพื่อที่จะกลับไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสหรือคะ”
“ครับ ผมไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ไปอีกทำไมกัน”
รจนาเหลียวหน้ากลับมามองเขาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นออกมาก่อนที่จะก้มหน้าลงแล้วรีบป้ายมันออก เพราะไม่อยากให้เขาได้เห็นถึงความอ่อนแอของเธอ
“ผมมาที่นี่เพราะต้องการที่จะอยู่กับคุณ ในเมื่อไม่มีคุณเสียแล้ว ผมก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”
“ลืมไปแล้วหรือคะว่าตอนที่คุณอ้างเหตุผลกับพ่อของคุณว่าอย่างไร คุณบอกท่านว่าอยากจะมาศึกษาวิถีชีวิต วัฒนธรรมของคนไทย เพื่อที่จะได้นำกลับไปช่วยธุรกิจของคุณพ่อของคุณในการขยายตลาดที่นี่”
“ผมได้ศึกษามาเพียงพอแล้ว และคิดว่าสิ่งที่ดีจริงๆของที่นี่มีเพียงพระพุทธศาสนาเท่านั้น นอกนั้นมีแต่ความหลอกลวง จอมปลอมและไร้เหตุผล”
รจนาเหลียวหน้ามามองดูเขาอีกครั้งโดยที่ไม่ได้กล่าวตอบโต้อันใด อองรีจึงกล่าวต่อไปว่า
“ผมคิดว่าบางทีความเจ็บปวดที่ผมกำลังได้รับอยู่ขณะนี้ อาจจะเป็นกฏแห่งกรรมที่ผมเคยทำร้ายจิตใจของผู้หญิงมามากมายในอดีต เวลานี้ผมกำลังชดใช้กรรมที่ผมได้ก่อเอาไว้ แม้ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด ผมก็ยินดีที่จะชดใช้มัน”
“เราทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตนเองที่จะต้องชดใช้ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง”
“ผมยังนับว่าโชคดีกว่าคุณ เพราะผมรับกรรมโดยการที่ต้องผิดหวังจากผู้หญิงที่ผมรัก แต่คุณสิ นอกจากต้องผิดหวังจากผู้ชายที่คุณรักแล้ว คุณยังต้องอยู่กับผู้ชายที่คุณไม่ได้รักอีกด้วย”
รจนาต้องกัดริมฝีปากของตนเองเพื่อกลั้นความรู้สึกและไม่ให้น้ำตาต้องไหลหลั่งออกมาอีกครั้ง คำกล่าวของเขานั้นทั้งเสียดแทง ทั้งกระทบความรู้สึกในใจของเธอโดยตรงและที่สำคัญมันเป็นความจริงที่เธอเองก็ยังต้องยอมรับและไม่อาจจะแยกแยะได้ว่า การไม่ได้อยู่กับชายคนรัก กับการที่ต้องเป็นภรรยาของชายที่เธอไม่ได้รักนั้น อย่างใดจะเป็นทุกข์และเจ็บปวดมากกว่ากัน
“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว ผมคงขอลาแค่นี้”เขากล่าวแล้วก็หันหลังเดินกลับจากไป แต่เมื่อเดินไปได้สองก้าวก็หยุดแล้วหันมากล่าวเพิ่มเติมว่า “แล้วถ้าไม่จำเป็น กรุณาอย่าโทรมาหาผมอีกนะครับ ผมพยายามที่จะลืมคุณอยู่ แม้ว่ามันจะยากและทรมานเพียงใดก็ตาม”
รจนาได้แต่นั่งฟังเสียงฝีเท้าของเขาที่ค่อยๆเดินจากไป โดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวมามองเขาเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาของเธอค่อยๆไหลลงอาบใบหน้าอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมได้อีกต่อไป
การสอบในวิชาสุดท้ายได้เสร็จสิ้นลง สำหรับรจนาแล้วดูเหมือนจะเป็นการสิ้นสุดในหลายสิ่งหลายอย่างสำหรับเธอ เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้ใช้ชีวิตในฐานะนิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ วันรุ่งขึ้นเธอก็จะเป็นคนตกงานคนหนึ่ง หลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ ก็จะเป็นคู่หมั้นของจักษุแพทย์ที่เปิดคลีนิคอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่สิ่งที่นำความทุกข์ที่สุดมาให้เธอก็คือ วันพรุ่งนี้ จะเป็นวันที่อองรีจะเดินทางกลับปารีส ตามที่เขาได้บอกเธอไว้และจะเป็นการจากกันที่จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกชั่วนิรันดร
เธอกลับมาที่บ้านที่อยุธยา เอนหลังอยู่บนเตียงในห้องนอนแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูอัลบั้มรูปถ่ายที่เธอกับเขาได้ถ่ายคู่กัน เธอเลื่อนดูรูปเหล่านั้นอย่างช้าๆก่อนที่จะค่อยๆกดลบออกไปทีละภาพด้วยความปวดร้าวใจ ก่อนที่จะหลับตาลงนอนขณะที่โทรศัพท์เครื่องนั้นยังวางอยู่บนตัวของเธอทั้งคืน
เธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยดวงตาที่บวมช้ำเนื่องจากผ่านการร้องไห้มาตลอดทั้งคืน ยิ่งใกล้เวลาที่อองรีจะออกเดินทางเท่าไรก็ยิ่งเหมือนกับว่าใจของเธอใกล้จะขาดลงมากเท่านั้น ราตรีชำเลืองมองดูใบหน้าและอาการเศร้าซึมของบุตรสาวแล้วก็ได้แต่แอบสงสารอยู่ในใจ แต่ก็ยังใจแข็งว่าสิ่งที่เธอทำนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อรจนาแล้ว
รจนาเปิดโทรทัศน์เพื่อหวังจะช่วยให้คลายความทุกข์โศกลงได้บ้าง เธอเปลี่ยนช่องไปมาอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งมาถึงสถานีแห่งหนึ่งที่กำลังเสนอสรุปข่าวประจำวัน แล้วก็ต้องหยุดดูด้วยความสนใจเมื่อผู้ประกาศข่าวได้รายงานว่า
“เจ้าของลิขสิทธิ์เครื่องหนังยี่ห้อฟรังซัวร์ ได้ประกาศถอนฟ้อง ไม่เอาความต่อแม่ค้าที่ขายสินค้าปลอมแปลงแล้ว”
จากนั้นก็มีภาพของแม่ค้าผู้นั้นพร้อมกับบุตรสาวของเธอ กำลังยกมือไหว้อองรี ที่ไหว้ตอบด้วยความนอบน้อมเช่นกัน ก่อนที่เขาจะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวด้วยภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำว่า
“ในนามของบริษัท ฟรังซัวร์ ผมขอโทษและขอแสดงความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่ให้ความอุดหนุนในสินค้าของฟรังซัวร์ด้วยดีเสมอมา แม้ว่าเราจะได้รับความเสียหายบ้างจากสินค้าที่ปลอมแปลงเหล่านี้ แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว เราเห็นว่า นั่นเป็นเพราะคนไทยรักสินค้าของเรา อยากมี อยากได้ สินค้าของเรา เราจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกีดกันสินค้าของเราจากคนไทย”
“หมายความว่าทางฟรังซัวร์จะยินยอมให้สินค้าของตนถูกละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือคะ” ผู้สื่อข่าวได้ถามเขา
“ผมเชื่อในวิจารณญาณของคนไทยครับ สินค้าฟรังซัวร์ของแท้นั้นมีคุณภาพดีเยี่ยมคุ้มค่ากับราคาที่คุณต้องจ่ายไปอย่างแน่นอน เป็นทางเลือกของคนไทยครับ ว่าอยากได้สินค้าราคาสูงแต่มีคุณภาพดี สามารถขายต่อได้ในราคาเหมาะสม หรือต้องการของปลอมแปลงเลียนแบบที่มีคุณภาพด้อยลงมา”
“แล้วฟรังซัวร์จะยอมแบกรับความเสียหายนี้ได้ตลอดไปหรือคะ”
“ฟรังซัวร์มีสาขาทั่วโลก เรามั่นใจในคุณภาพของสินค้าของเราครับ ลูกค้าของเราที่มีเกียรติ ถึงอย่างไรก็ไม่ซื้อสินค้าปลอมแปลงที่วางขายอยู่ริมถนนอยู่แล้ว ในทำนองเดียวกันคนบางคนที่ชอบซื้อของปลอมของเลียนแบบ คนกลุ่มนี้ถึงอย่างไรก็ไม่ซื้อสินค้าของเราอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน และเราคิดว่าคนกลุ่มนี้ มีจำนวนเล็กน้อย แต่ถ้าคนเล็กน้อยกลุ่มนี้สามารถช่วยให้แม่ลูกที่น่าสงสารสองคน สามารถยังชีพอยู่ได้บนผืนแผ่นดินนี้ ทางฟรังซัวร์ก็ยินดีด้วยครับ”
รจนาดูการสัมภาษณ์ของอองรีจนจบด้วยความรู้สึกสำนึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง เธอตัดสินใจในทันทีว่า เธอจะไม่ยอมให้เขาเดินทางกลับไป โดยที่ยังคงมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันตกค้างอยู่เป็นอันขาด คิดดังนั้นแล้ว เธอก็คว้ากระเป๋าแล้วแจ้งแก่ผู้เป็นมารดาว่า เธอจะต้องเข้ากรุงเทพฯเพื่อไปพบเขา แล้วออกเดินทางไปในทันที
ทางด้านอองรีเมื่อดำเนินเรื่องคดีความเสร็จสิ้นลงแล้ว ก็ตั้งใจที่จะไปพบกับรจนาเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน เขาเช่ารถแท็กซี่เหมาทั้งวันไว้หนึ่งคัน แล้วให้พาเขาไปยังบ้านของเธอที่อยุธยา เขานั่งหลับตาตลอดเส้นทางที่เดินทางด้วยความเศร้าใจ และมาลืมตาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเริ่มรู้สึกว่า สภาพการจราจรไม่ได้เคลื่อนไหลด้วยความคล่องตัวดังเดิม
“สงสัยข้างหน้าจะมีอุบัติเหตุครับ”คนขับรถกล่าว เมื่อเห็นเขาลืมตาขึ้นมามองออกไปหน้ารถ เพื่อดูการจราจรค่อยๆเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ สลับกับหยุดนิ่งเป็นพักๆ ที่เบื้องหน้าฝั่งตรงข้ามนั้น มีแสงไฟจากหลังคารถกู้ภัย ส่องแสงแวบๆอยู่ไม่ไกล
“อุบัติเหตุฝั่งตรงข้ามครับ แต่ฝั่งเราติดเพราะชะลอดู”คนขับรถพยายามพูดให้ตลก แต่เมื่ออองรีเห็นสภาพอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาในทันที รถตู้โดยสารที่กำลังจะมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ เกิดอุบัติเหตุชนกับต้นไม้ข้างทาง จนตัวรถนั้นถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หน่วยกู้ภัยกำลังใช้เครื่องมือตัดถ่างซากรถเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังคงติดอยู่ในซาก ในขณะเดียวกัน อองรีก็มองเห็นห่อผ้าสีขาวที่ห่อหุ้มร่างอันไร้ลมหายใจของผู้โดยสารอีกจำนวนหนึ่ง ถูกห่อและวางเรียงรายอยู่ที่พื้นถนนนั้น
หน่วยกู้ภัยช่วยกันอุ้มร่างหนึ่งออกมาจากซากรถแล้ววางลงบนเปลสนามก่อนจะช่วยกันยกไปขึ้นรถพยาบาลที่จอดรออยู่ อองรีมองดูด้วยความสังเวชใจ พลางภาวนาให้ผู้เคราะห์ร้ายรายนั้นอย่าได้เป็นอันตรายอันใดมากมาย ในขณะที่รถของเขาได้เคลื่อนตัวผ่านจากจุดที่ติดขัดได้และออกวิ่งต่อไปอย่างรวดเร็วในทันที อองรีเอนกายลงพิงกับเบาะอีกครั้งด้วยความรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก
เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยกันยกเตียงที่มีร่างของผู้บาดเจ็บขึ้นสู่รถพยาบาลด้วยความเร่งรีบ ทำให้แขนข้างซ้ายของผู้ได้รับบาดเจ็บโผล่พ้นออกมาจากผ้าคลุม ที่นิ้วนางข้างซ้ายของผู้ได้รับบาดเจ็บผู้นั้น สวมแหวนทองเนื้อเกลี้ยงวงหนึ่งที่บัดนี้ ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน
อองรีเดินทางมาถึงวัดท้ายบ้านเพื่อกราบลาหลวงตาเจ้าอาวาสที่เขาเคารพ และอำลาสิงห์ในเวลาเดียวกัน เขาได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้แก่สิงห์ไว้ด้วย เพื่อให้เป็นทุนตั้งตัวทำฟาร์มไก่ไข่ ตามที่เจ้าตัวใฝ่ฝัน จากนั้น เขาจึงได้เดินไปยังบ้านของรจนา และได้พบกับราตรีที่อยู่ตามลำพัง จึงทำให้เขารู้สึกผิดหวังและเข้าใจว่า รจนายังคงหลบหนีไม่อยากที่จะพบกับเขาอีกเช่นเคย อองรีจึงกราบลาราตรีและฝากบอกอำลาไปยังรจนาด้วย พร้อมทั้งฝากอวยพรให้เธอและวัชรินทร์ให้อยู่ครองรักกันอย่างมีความสุข หลังจากนั้นเขาก็ได้หยิบซองสีขาวออกมาจากกระเป๋าแล้วฝากราตรีให้มอบต่อรจนา ราตรีรับมาด้วยความสงสัยจึงเปิดออกดู ก็พบว่าภายในซองมีเช็คฉบับหนึ่ง ที่มียอดเงินจำนวนมากจนเธอตกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ทำไมคุณจึงต้องให้เงินยายรจมากถึงเพียงนี้”
“เป็นเงินของเธอครับ เป็นค่าออกแบบกระเป๋าตามสิทธิที่เธอควรจะได้รับ ต้องฝากขอโทษเธอด้วยนะครับที่บริษัททำงานล่าช้า กว่าจะทำเรื่องตั้งเบิกให้เธอได้”
ราตรีเห็นความซึมเศร้าของอองรีแล้วก็รู้สึกทั้งรักและสงสารในคราเดียวกัน เธอเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่า หากไม่ใช่เพราะบันทึกเล่มนั้นแล้ว เธอจะยังคงกีดกันความรักของลูกสาวกับชายชาวต่างชาติคนนี้ไหม เธอได้พบกับอองรีหลายครั้งหลายหนตลอดเวลาที่เขาติดตามรจนามาที่นี่ เธอรู้ซึ้งถึงความดีงามของเขา ความมีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นผู้ชายที่ดีที่คอยติดตามดูแลลูกสาวของเธอด้วยความเป็นห่วงและความรักอย่างที่สุด และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รจนามีความรักให้
อองรีอยู่สนทนากับราตรีสักพักจึงขอลากลับ ขณะกำลังเดินผ่านแปลงกุหลาบที่เขาและเธอเคยปลูกและรักษาดูแลร่วมกันมานั้น เขาได้พบว่าบัดนี้ กุหลาบเหล่านั้นดูอับเฉา ไม่เบ่งบานงดงามเหมือนเคย เขาจึงได้เดินไปยังตุ่มน้ำแล้วตักน้ำมารดจนชุ่ม จากนั้นจึงย่อกายลงนั่งยองๆมองดูกุหลาบทั้งสองต้นด้วยความอาลัยพร้อมกับแว่วเสียงบางอย่างขึ้นมาในจิตใจ
“...สัญญาสิ สัญญากับฉันว่า ทุกครั้งที่คุณได้เห็นดอกกุหลาบ คุณจะคิดถึงแต่ฉัน...”
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาถือไว้ขณะนั่งอยู่ในรถและคิดด้วยความลังเลใจว่าควรจะโทรไปหารจนาดีไหม ใจจริงแล้วเขาเองก็อยากจะพบกับเธออีกสักครั้ง แต่ด้วยความมีทิฐิและเขาเองเป็นฝ่ายที่ห้ามไม่ให้เธอติดต่อมาหาเขาเอง ครั้นจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นโทรกลับไปหาก็เหมือนกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดคำพูดเสียเอง อองรีใคร่ครวญอยู่นาน จนในที่สุดก็ยอมแพ้ต่อความต้องการของตนเอง เขากดหมายเลขโทรศัพท์ของเธอแล้วเฝ้ารอคอยด้วยใจที่เต้นระทึก เสียงสัญญาณดังขึ้นหลายครั้ง แต่ไม่มีผู้ใดรับสาย อองรีบังเกิดความน้อยใจขึ้นมาในทันทีว่า บางทีขณะนี้เธออาจกำลังใช้เวลาอยู่กับวัชรินทร์ก็เป็นได้ คิดดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสายโทรศัพท์แล้วสั่งให้คนขับรถมุ่งหน้าไปยังสนามบินทันที
เขานำกระเป๋าสัมภาระลงเครื่องเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังเตร็ดเตร่อยู่บริเวณเคาน์เตอร์ ด้วยความหวังสุดท้ายว่ารจนาจะยอมมาพบกับเขาอีกสักครั้ง เขาพยายามโทรไปหาเธออีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีผู้รับสายเช่นเดิม เขานั่งรอและเฝ้าโทรศัพท์หาเธอเช่นนั้นอยู่เป็นเวลานาน แต่ผลที่ได้รับยังคงไม่มีผู้รับสายเช่นเดิม เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปยังด่านตรวจคน เพื่อตรวจประทับลงตราเดินทางออกจากประเทศไทย จากนั้นจึงเข้ามาพักผ่อนในห้องพักรับรองของสายการบิน เขาโทรศัพท์ไปหารจนาอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีผู้รับสายเช่นเดิม เขาเอนหลังลงพิงกับเบาะอันอ่อนนุ่มแล้วหลับตาลงด้วยความอ่อนใจ แล้วต้องมาลืมตาอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นที่หอมรุนแรงของดอกกุหลาบที่เขาคุ้นเคยโชยมากระทบจมูก เขาขยี้สายตาขับไล่ความเหนื่อยล้า แล้วได้พบว่าเบื้องหน้าของเขาเวลานี้ มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมใส่ชุดไทย กำลังยืนมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เหมือนกับจะอ้อนวอนขอความเห็นใจ
“รจนา !”อองรีร้องเรียกออกมาด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะพบกับเธอที่นี่ เธอย่อกายลงนั่งข้างๆเขา แล้วกล่าวกับเขาว่า
“อโหสิให้ฉันด้วยนะคะ ฉันขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเคยทำให้คุณต้องเสียใจ”
“ผมเข้าใจ ผมไม่เคยถือโทษโกรธคุณเลย”อองรีกล่าวพลางรวบมือทั้งสองข้างของเธอขึ้นมาเกาะกุมไว้ ด้วยเกรงว่าเธอจะหนีเขาไปอีก
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง”รจนากล่าวแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ อองรีพยายามที่จะเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ แต่มือของเธอกลับค่อยๆเลื่อนหลุดออกไปจากมือของเขาที่เกาะกุมเอาไว้อยู่ ร่างของรจนาค่อยๆถอยห่างออกไปทุกทีๆ อองรีรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไล่ตามเธอไป แต่ร่างของเธอกลับยิ่งถอยห่างเร็วขึ้นไปอีกจนสุดความสามารถที่เขาจะไล่ตามทัน อองรีร้องเรียกชื่อเธอออกมาด้วยเสียงอันดัง ก่อนที่จะตกใจตื่นขึ้นมาและรู้ว่า ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ