มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  26.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) บทที่ 17

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 17

เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่วทั้งบริเวณหน้าห้องผ่าตัด ราตรีแทบจะล้มทั้งยืน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแจ้งที่บ้านว่ารจนาประสบอุบัติเหตุ อาการสาหัส เธอและกุลวดีเร่งรีบเดินทางมายังโรงพยาบาลในทันที และได้รับแจ้งเพียงว่า ขณะนี้คณะแพทย์กำลังพยายามช่วยชีวิตของบุตรสาวของเธออย่างสุดความสามารถ เมื่อได้ฟังคำชี้แจงจบลง ราตรีก็กอดกับกุลวดีแล้วร้องไห้คร่ำครวญอย่างไม่อายใคร จนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง การผ่าตัดจึงเสร็จสิ้นลง ราตรีรีบตรงเข้าไปถามอาการของบุตรสาวจากแพทย์ที่ทำการรักษาในทันทีด้วยความร้อนใจ นายแพทย์ผู้นั้นค่อยๆยกมือขึ้นปลดผ้าปิดปากแล้วกล่าวปลอบโยนด้วยความสงสารเห็นใจว่า

“คนไข้ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส เธอต้องสูญเสียดวงตาไปทั้งสองข้าง สมองได้รับความกระทบกระเทือนมีเลือดออกในช่องสมอง หมอได้ผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะเพื่อนำเลือดที่คั่งออก....”

“เธอจะปลอดภัยไหมคะ เธอจะปลอดภัยใช่ไหมคะคุณหมอ”ราตรีรีบถามทันทีเพราะไม่อาจทนรับฟังอาการบาดเจ็บของลูกสาวได้อีกต่อไป

“เวลานี้อาการของเธอยังไม่พ้นขีดอันตราย หมอจะพยายามให้ดีที่สุดครับ”แพทย์ผู้นั้นกล่าวแล้วก็เดินจากไป ราตรีเมื่อเห็นการแสดงออกของแพทย์เช่นนี้ก็เข้าใจไปในทันทีว่าอาการของรจนานั้น คงจะหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่จะช่วยเหลือได้อีกต่อไป เธอทรุดลงนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้คร่ำครวญ ราวกับคนเสียสติ กุลวดีต้องพยายามปลอบโยนให้เธอพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ พร้อมกับพยุงเธอขึ้นมานั่งบนที่นั่งตามเดิม แต่ปากของราตรีก็ยังพร่ำเพ้อไม่หยุด

“เป็นเพราะเขา...เป็นเพราะเขาคนเดียว”

“น้าราตรี น้าพูดถึงใครกัน ใครทำร้ายรจหรือ”กุลวดีถามด้วยความสงสัย

“อองรี เป็นเพราะอองรี เป็นเพราะอองรี”ราตรีกล่าวพร้อมกับร้องไห้ออกมา

“อองรี? อองรีทำไมหรือคะ”

“เพราะรจกำลังจะเดินทางไปพบเขา ถ้ารจไม่ไปหาเขา เธอก็จะไม่ประสบอุบัติเหตุเช่นนี้”

“อย่าไปโทษเขาเลยค่ะ เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”กุลวดีพยายามปลอบโยน

“เธอไม่รู้อะไร” ราตรีเสียงแข็งอย่างน่ากลัว “เขาทั้งสองมีความอาฆาตแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อนแล้ว และยังติดตามกันมาจนถึงชาตินี้อีกด้วย”

กุลวดีเข้าใจว่าราตรีเสียใจจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกล่าวอะไรออกมา จึงพยายามปลอบโยนเท่าที่จะทำได้ แต่ราตรียังคงคร่ำครวญต่อไปว่า

“ฉันอุตสาห์ห้ามไม่ให้เขาทั้งสองคนคบกันแล้ว ไม่คิดเลยว่าจนถึงวันสุดท้ายที่จะต้องจากกันอยู่แล้ว ยังเกิดเรื่องขึ้นมาจนได้”

“น้าราตรี ! น้าเป็นคนห้ามไม่ให้รจนาคบกับอองรีเองหรือ”

“น้าทำทุกอย่างทุกวิถีทางที่จะปกป้องรจ ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่ใจอ่อนนิดเดียวที่ยอมให้รจไปพบเขาได้เป็นครั้งสุดท้าย จะทำให้รจต้องเป็นเช่นนี้”

“น้ายิ่งพูด หนูก็ยิ่งไม่เข้าใจ “กุลวดีพูดด้วยความสงสัย ขณะนั้นพยาบาลได้ออกมาจากห้องผ่าตัดพร้อมกับนำเสื้อผ้าและข้าวของที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของรจนา ออกมาให้แก่ผู้ที่เป็นญาติ ราตรีเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดของบุตรสาวเช่นนั้น ก็ร้องไห้ยิ่งขึ้นไปอีก พยาบาลจึงหันมากล่าวแก่กุลวดีแทนว่า

“นี่เป็นเสื้อผ้าข้าวของของผู้ป่วยค่ะ ยังมีแหวนอีกวงที่เธอสวมใส่อยู่แต่ยังไม่สามารถถอดออกมาได้ในขณะนี้ เพราะมือของเธอบวมมากค่ะ”

“แล้วอาการของเธอเป็นอย่างไรบ้างคะ”

“ยังค่อนข้างหนักค่ะ เธอต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ในขณะนี้ และแพทย์ไม่อนุญาตให้เยี่ยมด้วย คุณพาคุณน้ากลับไปพักก่อนก็ได้ค่ะ เพราะอยู่ที่นี่ก็ไม่อาจช่วยเหลืออันใดได้อยู่แล้ว”

คำกล่าวของพยาบาลเหมือนกับจะยืนยันอีกครั้งว่าอาการของรจนานั้นสาหัสเพียงใด ราตรีนั้นเข้าใจว่าบุตรสาวคงไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตแล้ว เพียงแต่ผู้เป็นแพทย์ยังไม่อยากที่จะพูดสิ่งใดที่เป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของเธอ กุลวดีมองดูเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของเพื่อนรักด้วยจิตใจที่หดหู่ ที่กระเป๋าสะพายของรจนาที่มีเข็มกลัดรูปถ่ายของเธอและอองรีที่ถ่ายคู่กันที่วัดไตรมิตรนั้น ได้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเหมือนกับในวันแรกที่รจนาได้มันมา ทำให้กุลวดีต้องรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้นมาในทันที เมื่อรจนาถูกเข็มของมันทิ่มแทงขณะที่เธอพยายามจะปลดมันออกจากอกเสื้อที่เธอกลัดมันไว้อยู่

กุลวดีเปิดดูในกระเป๋าสะพายของเพื่อนรัก ได้พบบันทึกเก่าๆเล่มหนึ่งอยู่ภายใน เธอหยิบบันทึกเล่มนั้นออกมาโดยไม่ทันระวังทำให้ภาพถ่ายเก่าๆใบหนึ่งร่วงหล่นมาจากบันทึกเล่มนั้น เธอหยิบภาพถ่ายที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเช่นเดียวกันขึ้นมาจากพื้น แล้วมองดูภาพของคนทั้งสองด้วยความตกใจ ก่อนที่จะได้ยินเสียงของราตรีดังขึ้นมาจากด้านหลังว่า

“ลองอ่านบันทึกของแม่ชีแม้นดูสิ แล้วเธอจะรู้ว่าที่น้าพูดนั้นหมายถึงอะไร”

รจนายังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู.เป็นเวลาหลายวันโดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมาแต่อย่างใด วัชรินทร์ได้เดินทางไปๆมาๆจากหนองคายเพื่อมาดูอาการอยู่อย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ราตรีและกุลวดีก็ผลัดกันมาเฝ้าด้วยความเป็นห่วงแม้จะรู้ตัวว่าไม่อาจจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว รจนายังคงนอนนิ่งในสภาพไม่รู้สึกตัว และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ตลอดเวลา เธอนอนสงบนิ่งราวกับตุ๊กตาตัวหนึ่งที่มีเพียงลมหายใจที่รวยรินเท่านั้นที่บ่งบอกว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่ รอบศีรษะของเธอมีผ้าพันแผลพันโดยรอบ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ขณะที่ทั่วทั้งใบหน้ามีร่องรอยบาดแผลเล็กๆอยู่ประปราย ส่วนที่ปากและจมูกของเธอมีสายยางและท่อระโยงระยางรุงรังเต็มไปหมด สร้างความสมเพชเวทนาให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่กุลวดีกำลังนั่งอ่านบันทึกของแม่ชีแม้นอยู่ที่หน้าห้องนั้น แพทย์คนหนึ่งได้ถูกตามตัวมาอย่างรวดเร็วและตรงไปยังเตียงที่รจนานอนรักษาตัวอยู่ กุลวดีมองดูจากภายนอกด้วยความตกใจ เมื่อเห็นแพทย์ผู้นั้นหยิบไฟฉายขึ้นมาแล้วส่องไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของรจนาทีละข้างสลับกันไปมา โดยมีพยาบาลคนหนึ่งคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ จากนั้นแพทย์ผู้นั้นก็จับวัดชีพจรที่ข้อมือของเธอ ก่อนที่จะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับพยาบาลคนนั้น แล้วจึงเดินออกมา กุลวดีจึงรีบเข้าไปถามทันทีด้วยความเป็นห่วงว่า

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ คุณหมอ”

“พยาบาลเธอสังเกตเห็นคนไข้รู้สึกตัว จึงตามผมมาดู แต่ก็ไม่มีอะไรครับ คงเป็นปฏิกิริยาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่สามารถเกิดขึ้นได้ อาการทั่วไปยังคงทรงๆเช่นเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

เมื่อแพทย์ผู้นั้นเดินจากไปแล้ว กุลวดีได้เดินเข้าไปดูอาการของรจนาพร้อมกับพูดคุยกับพยาบาลผู้นั้นที่ยังคงยืนอยู่ที่ข้างเตียง

“ฉันเห็นจริงๆค่ะ คนไข้ขยับมือรู้สึกตัว”พยาบาลเล่าให้กุลวดีฟัง “คือฉันเห็นว่ามือของเธอหายบวมแล้ว จึงพยายามที่จะถอดแหวนที่เธอสวมใส่อยู่ให้แก่คุณไป คุณคงเข้าใจนะคะว่าเป็นระเบียบของโรงพยาบาลที่ไม่อนุญาตให้คนไข้สวมเครื่องประดับใดๆติดตัว ขณะที่ฉันพยายามจะถอดแหวนวงนี้ออกนั้น เธอกำมือไว้แน่นราวกับจะขัดขืน ฉันจึงก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของเธอว่า คุณคะ คุณไม่อยากให้ฉันถอดแหวนวงนี้ออกใช่ไหมคะ เมื่อฉันกล่าวจบ น้ำตาของเธอก็ค่อยๆไหลรินออกมา คุณดูสิคะดวงตาของเธอยังเปียกชื้นอยู่เลย”

กุลวดีมองดูตามที่พยาบาลผู้นั้นบอก และก็เห็นคราบน้ำตาที่เปียกชื้นเป็นแนวยาวจริงดังที่เธอว่า เธอจึงกล่าวขอร้องกับพยาบาลผู้นั้นว่า

“คุณพยาบาลคะ ฉันขอความกรุณาอย่าได้ถอดแหวนวงนี้ออกจากนิ้วของเธอเลยนะคะ”

“แต่ว่ามันเป็นระเบียบของทางโรงพยาบาลนะคะ”

“ดิฉันเข้าใจค่ะ แต่ขอให้เห็นแก่ความสุขของคนไข้เถิดนะคะ คือว่าแหวนวงนี้มีความหมายสำหรับเธอมาก เพราะเป็นแหวนที่ผู้ชายที่เธอรักที่สุดได้มอบให้แก่เธอค่ะ”

“อ๋อ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ คงเป็นแหวนของคุณหมอวัชรินทร์ใช่ไหมคะ ถ้าเช่นนั้นดิฉันจะเรียนให้หัวหน้าพยาบาลทราบและขออนุญาตให้เป็นกรณีพิเศษนะคะ”

กุลวดีกล่าวขอบคุณเธอเบาๆ และเมื่อพยาบาลผู้นั้นเดินจากไปแล้ว เธอจึงได้หันมามองเพื่อนรักด้วยความรู้สึกสงสารจับใจก่อนที่จะโน้มตัวลงมากระซิบข้างๆหูของรจนาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า

“รจ...เธอรอเขาอยู่ใช่ไหม ...เธออยากจะพบกับเขาใช่ไหม”

ร่างที่นอนนอนสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้สิ่งใด กลับค่อยๆปรากฎหยาดน้ำตารินไหลออกมาทางหางตาทั้งสองข้างจนชุ่มใบหน้าไปหมด กุลวดีเห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้า เธอรีบวิ่งลงไปยังร้านค้าชั้นล่างเพื่อส่งข้อความทางอินเตอร์เน็ตไปหาอองรีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

อองรีออกเดินทางมายังประเทศไทยในทันทีที่ได้รับการแจ้งข่าวจากกุลวดี เขาครุ่นคิดด้วยความเสียใจตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน เมื่อทราบว่ารจนาได้รับอุบัติเหตุในวันเดียวกับที่เขาเดินทาง เพราะเหตุนี้เธอจึงไม่ได้รับสายโทรศัพท์จากเขาที่พยายามติดต่อหาเธอหลายครั้งหลายหน เป็นเหตุให้เขาเข้าใจผิดและโกรธเคืองเธอ โดยที่ไม่ได้คิดสักนิดว่ารจนาผู้น่าสงสาร กำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตของตนด้วยความเจ็บปวดและเดียวดายตามลำพัง อองรีคิดถึงคำสัญญาของเขาที่เคยกล่าวกับเธอในวันที่ทั้งสองคนไปเที่ยวระยองด้วยกัน ตอนที่รจนาได้กล่าวว่า

“ฉันไม่ได้อยากมีเจ้าชายมาเคียงข้าง ฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการคนธรรมดาๆที่พร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างฉัน ในยามที่ฉันอับจนและต้องการกำลังใจอย่างที่สุด เท่านั้น”

“ให้โอกาสผู้ชายธรรมดาคนนี้ ได้มีโอกาสที่จะยืนอยู่เคียงข้างคุณ แม้ในยามที่คุณรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังและต้องการกำลังใจอย่างที่สุด ได้ไหมครับ”

อองรีคิดถึงเหตุการณ์และคำสัญญาที่เขาได้ให้กับเธอในตอนนั้นแล้วก็ต้องหันหน้าออกไปทางหน้าต่างของเครื่องบิน แล้วร้องไห้ออกมา

“ผมขอโทษ...ผมขอโทษที่ทอดทิ้งคุณไปในยามที่คุณกำลังลำบากเช่นนี้”

เขาเดินทางมายังโรงพยาบาลในทันทีที่เครื่องบินลงจอดเรียบร้อยแล้ว กุลวดีที่นั่งเฝ้าไข้อยู่ได้พาเขาเข้าไปในห้องผู้ป่วยวิกฤติที่รจนานอนพักอยู่ในทันที ก่อนที่เธอจะปลีกตัวแยกออกมาเพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่กับเธอตามลำพัง เธอออกมาจากห้องได้ไม่นาน วัชรินทร์ก็เดินออกมาจากลิฟท์ เพื่อจะเข้าไปเยี่ยมรจนา แต่กุลวดีได้เหนี่ยวรั้งเขาไว้ แล้วพาเขากลับเข้าไปในลิฟท์อีกครั้งก่อนที่จะกดลิฟท์ลงไปยังชั้นล่าง

อองรียืนเกาะขอบเตียงมองดูรจนาด้วยน้ำตาที่คลอทั้งสองข้าง ท่อช่วยหายใจ สายน้ำเกลือที่ระโยงระยางสร้างความเจ็บปวดให้แก่เขาราวกับเป็นฝ่ายโดนเข็มเหล่านั้นทิ่มแทงเสียเอง เขามองดูมือข้างซ้ายของเธอที่ยังคงสวมใส่แหวนที่เขามอบไว้ให้อยู่ด้วยความสำนึกตื้นตัน ก่อนที่จะค่อยๆโน้มตัวลงกระซิบกับเธอว่า

“ผมกลับมาแล้ว ผมอยู่กับคุณที่นี่แล้ว ถ้าผมรู้ว่าคุณเจ็บถึงเพียงนี้ ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณไปเด็ดขาด ได้โปรดตื่นขึ้นมาคุยกับผมสิครับ ตื่นขึ้นมาสิครับ รจนา ผมรักคุณนะ คุณได้ยินไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราทั้งสอง แต่ผมไม่เคยหมดรักในตัวคุณ ได้โปรดเถิดครับ ตื่นขึ้นมาคุยกับผมเถิดครับ”

ไม่มีการตอบสนองใดๆจากรจนา เธอยังคงนอนสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น อองรีค่อยๆวางมือของเขาทาบทับกับมือของเธอเบาๆ แล้วเฝ้ารอคอยด้วยความหวังว่าเธอจะบีบมือของเขาเบาๆสักครั้งหนึ่ง เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าเธอรับรู้ถึงการมาของเขาแล้ว

ทุกวินาทีผ่านไปอย่างช้าๆ อองรีรอคอยด้วยความอดทนและในที่สุดก็ต้องผิดหวังเมื่อพยาบาลได้เข้ามาเตือนว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว น้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้างของเขาไหลหลั่งลงอาบใบหน้าในทันทีที่รู้ว่าถึงเวลาต้องร่ำลาจากเธอแล้ว

กุลวดีพาอองรีลงมานั่งคุยที่สวนด้านล่าง อองรีมีท่าทางอิดโรยและซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เขานั่งลงที่ม้านั่งพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมา

“รจเธอกำลังจะเดินทางไปพบคุณในวันนั้น”กุลวดีเริ่มเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้เขาฟัง “เธอทราบข่าวจากทางโทรทัศน์ว่าคุณไม่เอาความสองแม่ลูกคู่นั้นแล้ว ก็ผลุนผลันออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อหวังจะพบกับคุณในทันที”

“คงเป็นรถโดยสารคันนั้น”อองรีทบทวนความทรงจำด้วยความเจ็บปวด “ผมกำลังจะเดินทางมาพบกับเธอเช่นกัน ระหว่างทางผมได้พบกับรถโดยสารที่ประสบอุบัติเหตุฝั่งตรงข้าม ผมไม่คิดเลย...ไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น” อองรีกล่าวแล้วก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะหักห้ามใจแล้วกล่าวต่อไปว่า “ถ้าเธอไม่มาพบผม เธอคงไม่ต้องเป็นเช่นนี้”

“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ มันเป็นคราวเคราะห์หรือบางทีอาจจะเป็นกรรมเก่าของเธอเองเสียมากกว่า”

“คนอย่างรจนาไม่น่าจะเป็นคนมีกรรม”อองรีเถียงแทนหญิงสาวคนรัก “เธอเป็นคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์หรือผู้ด้อยโอกาสทางสังคมอยู่เสมอ วันเกิดของเธอ เธอยังได้ไปบริจาคดวงตาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แต่เธอกลับสูญเสียดวงตาทั้งสองของเธอไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้หรือ ผมเคยเชื่อในเรื่องของกฏแห่งกรรมตามที่หลวงตาได้เคยสั่งสอนเอาไว้ แต่ทำไมคนดีๆเช่นรจนาจึงไม่ได้รับผลแห่งกรรมดีที่เธอเพียรกระทำเล่า”

“คุณอองรีคะ กรุณาสงบจิตสงบใจสักครู่ได้ไหมคะ” กุลวดีพยายามกล่าวปลอบโยนเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของเขาเริ่มที่จะพลุ่งพล่านขึ้นมา “ฉันคิดว่า บางทีมันมีบางสิ่งบางอย่างเกินความสามารถที่คนธรรมดาอย่างเราจะเข้าใจได้” กล่าวแล้วกุลวดีก็หยิบบันทึกเล่มนั้นออกจากกระเป๋าของเธอแล้วส่งต่อให้เขา

“คุณลองอ่านดูนะคะ”อองรีรับสมุดบันทึกเล่มนั้นมาด้วยความสงสัย ขณะกำลังจะเปิดออกอ่านนั้น นงนุชก็ได้โทรศัพท์เข้ามาหาเขา

“ครับคุณอา ผมมาอยู่เมืองไทยแล้วครับ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า พ่อของเธอโทรมาบอกว่าเธอผลุนผลันมาจากฝรั่งเศสโดยไม่บอกกล่าวอันใด จึงได้โทรมาฝากให้อาช่วยดูแล พ่อของเธอเป็นห่วงเธอมากนะ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ผมไม่เป็นอะไรครับ แต่....”

“แต่...แต่อะไรหรืออองรี”นงนุชถามด้วยความร้อนรน

“รจนาครับ รจนาประสบอุบัติเหตุ อาการสาหัสมากครับ”อองรีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สะอื้นร่ำไห้ อย่างไม่อาจที่จะควบคุมอารมณ์ได้อีก นงนุชเมื่อได้รับทราบข่าวร้ายก็อุทานด้วยความตกใจ ก่อนที่จะตั้งสติได้และหันมาปลอบโยนอองรีว่า

“ใจเย็นๆนะอองรี รจนาเธออยู่กับหมอแล้ว เธอต้องปลอดภัย ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน จะมาพบกับอาได้ไหมหรือว่าจะให้อาไปพบ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเย็นๆผมจะแวะไปหาคุณอาเองครับ”

เย็นวันนั้นอองรีไปหาศักดาและนงนุช ที่บ้านของพวกเขาในสภาพที่ซึมเศร้าจนนงนุชเห็นแล้วอดที่จะรู้สึกสงสารไม่ได้ และตระหนักในบัดนั้นว่าความรักที่เขามีต่อรจนานั้น มากมายเพียงใด

“คุณอาครับ คุณอาเชื่อในเรื่องชาติปางก่อน การกลับชาติมาเกิดไหมครับ” อองรีถามหลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จ

“อาไม่แน่ใจ บางคนก็ว่ามี แต่ก็ยังหาหลักฐานอันใดมาพิสูจน์จริงๆจังๆไม่ได้”นงนุชตอบ

“แม่ของรจนาให้ผมเลิกคบกับเธอ เพราะเชื่อว่าผมเป็นต้นเหตุให้รจนาในชาติปางก่อนต้องฆ่าตัวตาย แล้วยิ่งรจนามาประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ ขณะที่กำลังจะเดินทางมาพบกับผมด้วยแล้ว เธอยิ่งโกรธและด่าว่าผมเป็นการใหญ่ว่าเป็นต้นเหตุให้ลูกของเธอเป็นเช่นนี้”

“อะไร จะไร้เหตุผลถึงเพียงนี้”นงนุชปลอบ “อย่าคิดมากไปเลย บางทีเธออาจกำลังเสียใจที่ลูกของเธอเป็นเช่นนี้ จึงขาดสติยั้งคิดไปบ้าง”

อองรียื่นบันทึกพร้อมกับภาพถ่ายใบนั้นให้แก่นงนุช ทันทีที่เธอเห็นภาพถ่ายใบนั้นที่มีรูปภาพของคนที่หน้าเหมือนกับเขาและรจนาแล้ว เธอก็ต้องร้องอุทานขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ก่อนที่จะส่งต่อให้แก่ศักดา ผู้เป็นสามี

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา