มนตราดอกกุหลาบ
8.7
เขียนโดย 2305
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.
25 บท
0 วิจารณ์
25.88K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) บทที่ 14
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 14
การสูญเสียบิดาไป ทำให้รจนาต้องปรับตัวอยู่พอสมควร เธอต้องยกเลิกการแสดงดนตรี ในตอนค่ำของวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รายได้ดีที่สุด เพื่อกลับมาอยู่เป็นเพื่อนกับแม่ของเธอ การเดินทางในวันศุกร์นั้น ก็ต้องเดินทางในตอนค่ำ เพราะเธอมีเรียนจนถึงตอนเย็น แต่ถึงจะเป็นการเดินทางในยามค่ำคืน เธอก็ยังรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยเสมอ เพราะมีอองรีร่วมเดินทางมาด้วยทุกครั้ง
รจนามาถึงบ้านที่อยุธยาก็สองทุ่มกว่าแล้ว และได้พบกับบ้านที่เงียบสงัดและมืดสนิทจนเธอรู้สึกกลัว เธอเดินไปเคาะประตูหน้าบ้านด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยจะดี ไม่มีเสียงตอบรับจากราตรีแต่อย่างใด รจนารีบเดินอ้อมไปรอบบ้านพลางร้องเรียกมารดาของตนเป็นระยะๆ ในขณะที่อองรีต้องใช้ไฟจากโทรศัพท์มือถือช่วยส่องทางและร้องเตือนให้เธอก้าวเดินด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีสัตว์ร้ายซุ่มซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้ รจนาเดินมาจนถึงหน้าต่างห้องนอนของราตรี เธอร้องเรียกอยู่สักพักด้วยจิตใจที่หวั่นไหว เกรงว่าผู้เป็นแม่จะมีภัยอันตรายอันใด สักพักจึงมีเสียงของราตรีร้องตอบออกมา จึงทำให้เธอค่อยคลายความกังวลลงได้
“ทำไมบ้านช่องถึงได้มืดเช่นนี้เล่าแม่”เธอถามทันทีที่เห็นราตรีเปิดประตูออกมารับ
“ไฟดับมาได้สองวันแล้ว แม่ไม่รู้ทำไม สงสัยพ่อเขาจะลืมไปจ่ายค่าไฟ”
รจนารู้สึกสะอื้นขึ้นมาในอกทันทีด้วยความสงสารผู้เป็นมารดาที่ต้องทนอยู่กับความมืดเช่นนี้ตามลำพังมาได้หลายวันแล้ว เธอค่อยๆประคองราตรีให้เดินเข้าบ้านโดยอาศัยแสงเทียนที่จุดเอาไว้ช่วยนำทาง
“เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูจะไปชำระให้ แล้วค่าน้ำด้วยนะแม่ ได้บิลมาหรือยัง”
“แม่ไม่รู้ ลองหาดูบนโต๊ะเถิด”
ราตรีกล่าวอย่างท้อแท้จนรจนารู้สึกสงสารแม่ขึ้นมาจับใจ เมื่อก่อนตอนที่พ่อยังมีชีวิตยังอยู่ ยังมีเพื่อนคิดเพื่อนคุย ตอนนี้พ่อจากไปแล้ว ทำให้แม่ต้องอยู่บ้านตามลำพังตลอดสัปดาห์ที่เธอไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อองรีขอตัวกลับไปที่วัดก่อน เพื่อให้เธอพาแม่กลับเข้าไปในห้องนอน ราตรีนอนลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ขณะที่รจนาใช้พัดโบกไปมาเพื่อให้ความเย็นแก่เธอแทนพัดลมไฟฟ้า ราตรีนอนหันหน้าเข้ากำแพง แต่ไม่อาจที่จะข่มตาหลับได้ จึงได้กล่าวว่า
“สองวันก่อนเพื่อนของลูกคนที่เป็นหมอ ได้แวะมาหาแม่ที่นี่”
มือของรจนาที่โบกพัดอยู่ไปมาหยุดชะงักลงทันที เมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมเรื่องที่เคยรับปากกับอองรีว่าจะโทรไปตอบปฏิเสธข้อเสนอของวัชรินทร์เสียสนิท
“เขาแวะมาทำไมหรือจ๊ะ” เธอถามพร้อมกับเริ่มโบกพัดในมืออีกครั้งหนึ่ง
“เขาบอกแม่ว่า ลูกใกล้จะเรียนจบแล้ว ถ้าลูกเรียนจบเมื่อไร เขาอยากจะขอ...”
“ขอ..ขออะไรหรือแม่”รจนาหยุดพัดในทันทีแล้วเขย่าต้นขาของผู้เป็นแม่อย่างลืมตัว
“เขาบอกว่าเขาตัดสินใจที่จะเปิดคลินิกที่หนองคาย เขาอยากให้ลูกแต่งงานกับเขาแล้วไปอยู่กับเขาที่นั่น”
รจนารู้สึกโกรธวัชรินทร์ในทันทีที่รู้ว่าเขากล้าทำอุกอาจถึงเพียงนี้ โดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจของเธอแม้แต่น้อย มีแต่มายื่นข้อเสนอ ข้อเรียกร้องเอาจากเธอไม่พอ นี่ยังมายื่นข้อเสนอถึงแม่ของเธออีก
“หนูไม่ไปหรอกแม่ หนูไม่ไปไหนทั้งนั้น หนูจะอยู่ดูแลแม่ที่นี่”
“เขายินดีที่จะให้แม่ไปอยู่ด้วย”
รจนาตกตะลึงในน้ำเสียงและคำพูดของผู้เป็นมารดา เพราะฟังดูราวกับว่าเธอได้ตกลงปลงใจไปกับข้อเสนอนั้นแล้ว
“แม่พูดราวกับว่าจะยกหนูให้กับเขา”
“ก็ถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะเสียหายอะไร”
รจนาโบกพัดในมืออีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอโบกให้กับตัวเองที่เริ่มรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาในทันที
“เมื่อก่อนแม่เคยเตือนหนูมิใช่หรือว่าอย่าไปยุ่งกับเขา ฐานะของเราแตกต่างกัน”
“แต่ตอนนี้เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว พ่อไม่อยู่กับเราแล้ว เราไม่มีที่พึ่งพิงแล้วนะลูก ลูกไม่รู้หรอกว่าการที่ต้องนอนอยู่คนเดียวในบ้านที่มันมืดมิดวังเวงนั้น มันแสนจะเจ็บปวดเพียงใด แม่คิดมาหลายคืนแล้วว่า แม่ไม่อาจให้ลูกของแม่ต้องพบกับสภาพที่ทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้ ถ้าลูกได้แต่งงานกับเขา ด้วยฐานะและอาชีพการงานของเขาจะสามารถเลี้ยงดูอุ้มชูไม่ให้ลูกต้องตกระกำลำบากอีกต่อไป”
“หนูไม่เคยกลัวความลำบาก แม่ไม่รู้หรอกว่า แม่ของเขาเคยด่าว่าดูถูกหนูเพียงใด”
“แม่รู้ เขาเล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะพาลูกไปอยู่กับเขาที่หนองคาย เพื่อที่จะไม่ให้ครอบครัวของเขาเข้ามายุ่งกับลูกได้อีก”
“แม่คิดว่าคุณหญิงเขาจะยอมให้ลูกชายคนเดียวของเขามาแต่งงานกับผู้หญิงบ้านนอกฐานะยากจนอย่างหนูหรือ และที่สำคัญ หนูไม่เคยนึกรักเขาเลย”
“แล้วลูกรักใคร อองรีใช่ไหม”
แม้ว่าจะอยู่ในท่ามกลางความมืด แต่รจนาก็ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตากับผู้เป็นแม่ แต่ถึงกระนั้นราตรีก็เข้าใจในความรู้สึกของบุตรสาวเป็นอย่างดี จึงกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า
“ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็ไม่ยอมให้ลูกแต่งงานกับเขา”
“แม่ !” รจนาร้องอย่างตกใจ “ทำไมเล่าแม่ เขาไม่ดีตรงไหนหรือจ๊ะ”
“เขาเป็นฝรั่งต่างชาติ เข้ากับเราไม่ได้หรอก”
“แม่ไม่เห็นหรือจ๊ะว่าเขาปรับตัวเข้ากับคนไทยได้ดีเพียงใด พูดภาษาไทย ร.เรือ ล.ลิงได้ชัดกว่าคนไทยบางคนเสียอีก”
“มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก พวกฝรั่งนั้นไม่เคยรักใครจริงจัง พอเบื่อแล้วก็แยกทางกัน แม่ไม่อยากให้ลูกต้องเป็นหม้ายผัวทิ้ง”
“อองรีไม่ใช่คนเช่นนั้นค่ะ หนูมั่นใจ”
“แต่แม่มั่นใจในหมอวัชรินทร์มากกว่า เขาสู้อุตสาห์มาขอลูกจากแม่ เขายอมผิดใจกับแม่ของเขาก็เพื่อลูก ไม่ใช่เพราะเขารักลูกมากหรอกหรือ เชื่อแม่เถอะ แม่เป็นผู้ใหญ่ถึงปูนนี้แล้ว แม่มองใครไม่ผิดหรอก”
“แต่นี่มันความสุขของหนูทั้งชีวิตนะแม่ แม่จะให้หนูแต่งงานกับคนที่หนูไม่ได้รักได้อย่างไร”
“ที่ลูกต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะความดื้อรั้นที่เอาแต่ใจของลูกนี่แหละ”ราตรีเริ่มขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ
“เรื่องอื่นหนูยอมทำตามที่แม่ต้องการทุกอย่าง แต่เรื่องคู่ครองนี่หนูขอเลือกของหนูเอง”
“ก็เพราะลูกคิดเช่นนี้ ชาตินี้จึงต้องมาตกระกำลำบากเกิดเป็นลูกชาวนาจนๆเช่นนี้”ราตรีกระแทกเสียงดังจนรจนาตกใจ
“แม่พูดเรื่องอะไรกันจ๊ะ”
ราตรีไม่กล่าวอันใด แต่ลุกขึ้นไปเปิดตู้แล้วหยิบบันทึกเก่าๆเล่มนั้นออกมาส่งให้แก่รจนา
“ลูกเอาไปอ่านดู แล้วลูกจะเข้าใจแม่ นี่คือบันทึกที่แม่ชีแม้นได้จดบันทึกเอาไว้”
“แม่ชีแม้น ? ใครกันหรือจ๊ะ”
“แม่ชีแม้น เป็นอาจารย์ของแม่ชีสงวน อดีตนั้นเคยเป็นทาสรับใช้ในชาติปางก่อนของลูก”
รจนาเลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าเธอได้ยินมาผิดหรือว่าแม่ของเธอพูดผิดกันแน่
“ชาติปางก่อน?” เธอทวนคำด้วยความสงสัย
“ในชาติปางก่อน ลูกกับอองรี เคยเป็นคู่พยาบาทอาฆาตกันมาก่อน และยังมีเวรมีกรรมผูกพันกันมาถึงชาตินี้ หากแม่ยอมให้ลูกแต่งงงานกับเขาแล้ว ลูกกับเขาก็จะต้องฆ่าฟันกันอีก”
“แม่เอาเรื่องอะไรมาพูด มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
ราตรีหยิบรูปถ่ายใบนั้นส่งให้แก่รจนา เธอรับมาแล้วเอาไปส่องกับแสงเทียน แล้วก็ต้องตกใจจนมือสั่นระรัวที่พบว่า รูปถ่ายใบนั้นเป็นภาพของคนที่มีใบหน้าเหมือนเธอกับอองรียิ่งนัก
คืนนั้น รจนาจุดเทียนนั่งอ่านบันทึกเล่มนั้นทั้งคืนจนจบ เมื่ออ่านจบในครั้งแรก เธอยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่แม่ชีแม้นได้บันทึก แต่เมื่อนึกทบทวนถึงสิ่งที่อองรีเคยบอกเธอว่า เขามักจะฝันถึงผู้หญิงไทยคนหนึ่งอยู่บ่อยๆ จนเป็นเหตุจูงใจให้เขาเดินทางมาเมืองไทย และพบกับเธอในที่สุดแล้ว ทำให้เธอเริ่มจะเชื่อว่าสิ่งที่อองรีกล่าวนั้น ไม่ใช่อุบายในการจีบผู้หญิงของเขาตามที่เธอเข้าใจมาตลอด เธอเอื้อมมือไปปลดเข็มกลัดที่เธอถ่ายคู่กับเขาตอนที่รู้จักกันใหม่ๆที่ติดอยู่บนกระเป๋าสะพายของเธอ นำมาถือไว้บนมือ แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ที่เธอปลดตะขอของมันแล้วพลาดจนถูกเข็มแทงทำให้เลือดไหลออกมาเปรอะเปื้อนรูปของทั้งสองคนบนเข็มกลัด ซึ่งอุบัติเหตุเช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับอองรีเช่นเดียวกัน ยิ่งเมื่อได้อ่านบันทึกของแม่ชีแม้นแล้ว ยิ่งทำให้เธอหวั่นวิตกว่าความรักของเธอกับเขา จะต้องจบลงด้วยความเศร้าโศก ดังเช่นที่แม่ชีแม้นได้บันทึกเอาไว้
เธอเหลือบมองดูนาฬิกา เห็นว่าเป็นเวลาตีสี่กว่าๆแล้ว จึงได้ลุกขึ้นแล้วหุงข้าว ทำอาหารเพื่อเตรียมใส่บาตรดังเคย เมื่อหลวงตาเจ้าอาวาสพร้อมพระลูกวัดอีก 4 รูปได้ เดินทางมาถึง รจนายกสำรับอาหารขึ้นจบ อธิษฐานแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเรืองผู้เป็นบิดา รวมถึงท่านเจ้าคุณและคุณหญิงรื่น ผู้เป็นบิดามารดา ในชาติปางก่อนด้วย เมื่อหลวงตารับบิณฑบาตรและให้ศีลให้พรจบแล้ว ราตรีจึงได้เรียนกับท่านว่า
“ท่านคะ เสร็จจากบิณฑบาตแล้วช่วยให้อองรีมาที่บ้านของอิฉันสักครู่ได้ไหมคะ”
“ได้สิโยม มีธุระอะไรจะเรียกใช้ก็เชิญตามสบาย เอาไว้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้ ให้เจ้าสิงห์เดินตามคนเดียวก็พอ”
อองรีส่งย่ามที่สะพายให้แก่สิงห์ ขณะที่รจนารู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาในทันที เมื่อปลอดคนดีแล้ว ราตรีจึงได้กล่าวอย่างเป็นงานเป็นการว่า
“คุณอองรี ฉันต้องขอบคุณที่คุณมีน้ำใจคอยติดตามดูแลลูกสาวของฉันมาตลอด แต่นับจากนี้เป็นต้นไป ฉันขอร้องให้คุณอยู่ห่างๆจากลูกสาวของฉันเอาไว้ เพราะฉันได้ตัดสินใจที่จะยกลูกสาวของฉันให้เป็นเมียของหมอวัชรินทร์แล้ว”
อองรีรับฟังด้วยความตกใจและไม่ทันตั้งตัว เขาหันไปมองรจนาเพื่อจะขอความมั่นใจในความรักของเธอที่ยังคงมีต่อเขา แต่สิ่งที่พบเห็นกลับทำให้เขาต้องปวดร้าวใจยิ่งขึ้น เมื่อรจนาไม่กล้าสบสายตากับเขา ได้แต่ก้มหน้าแล้วสั่นสะอื้นร่ำไห้อยู่เช่นนั้น
“ฉันมีเรื่องที่จะบอกคุณแค่นี้ค่ะ”ราตรีกล่าวแล้วหันมาสั่งลูกสาวว่า “รจ เก็บของแล้วเข้าบ้านเดี๋ยวนี้”
อองรียืนมองดูรจนาเดินเข้าบ้านด้วยความเจ็บปวดใจ เขาเรียกเธอ แต่เธอไม่หันมามองเขาแม้แต่น้อย ทำให้เขาต้องเดินกลับวัดด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ในขณะที่รจนาแอบมองจากหน้าต่างที่ห้องนอนของเธอ มองดูอองรีเดินจากไปด้วยความเจ็บปวดจนเธอต้องหลั่งน้ำตาออกมาอาบใบหน้า
รจนากลับมานั่งที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบบันทึกเล่มนั้นออกมาอ่านอีกครั้ง พลางคิดใคร่ครวญอย่างหนัก หากสิ่งที่บันทึกไว้นั้น ไม่เป็นความจริง แล้วรูปถ่ายที่เธอสมรสกับเขาในชาติปางก่อนจะมาปรากฏอยู่ได้อย่างไร เธอละสายตาออกไปนอกห้อง แปลงกุหลาบที่เธอและอองรีเคยช่วยกันปลูก บัดนี้กำลังผลิดอกเบ่งบานอย่างสวยงามตรงข้ามกับความรู้สึกในใจของทั้งสองคนอย่างสิ้นเชิง
“...สัญญาสิ สัญญากับฉันว่า ทุกครั้งที่เธอได้เห็นดอกกุหลาบ เธอจะคิดถึงแต่ฉัน...”
บทเพลงที่เธอโปรดปรานผุดขึ้นมาในมโนสำนึก ภาพถ่าย ดอกกุหลาบ ความฝัน บันทึก ทุกอย่างดูสอดคล้องกลมกลืนกันหมด เมื่อใคร่ครวญหลายครั้งหลายหนแล้ว ในที่สุดรจนาก็คิดว่า ทุกสิ่งที่แม่ชีแม้นได้บันทึกไว้นั้น เป็นความจริง จึงรำพึงในใจว่า
“อองรีคะ ฉันเคยทำร้ายคุณอย่างแสนสาหัสมาแล้วในชาติปางก่อน ฉันไม่อยากที่จะทำร้ายคุณอีกแล้วในชาตินี้ อภัยให้ฉันด้วยนะคะ หากวันใดที่เราหมดเวรหมดกรรมซึ่งกันและกันแล้ว ฉันขอภาวนาให้เราได้กลับมารักกัน ดังเช่นชาตินี้อีกนะคะ”
รจนากลับเข้ากรุงเทพฯโดยที่นัดให้วัชรินทร์มารับ อองรีมองเห็นเธอเดินขึ้นรถของวัชรินทร์และแสร้งทำเป็นไม่มองมายังเขาด้วยความปวดร้าวใจ รจนาได้ตัดขาดการติดต่อจากเขาทุกอย่าง อองรีเฝ้าติดตามหาเธอจนแทบจะคลั่ง ในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น เขาไปหาเธอที่คณะของเธอเพื่อหวังจะได้ทานข้าวกับเธอเหมือนดังเคย แต่สิ่งที่พบคือเธอได้เดินขึ้นรถของวัชรินทร์ที่มาจอดรอรับอยู่ก่อนแล้ว อองรีมองดูรถคันนั้นแล่นผ่านหน้าเขาไป โดยที่รจนาที่นั่งอยู่ตอนหน้าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเขา แต่ทว่า เมื่อรถคันนั้นแล่นผ่านไปแล้ว รจนาก็อดไม่ได้ที่จะมองดูอองรีผ่านทางกระจกด้านข้าง แล้วก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ
วัชรินทร์พารจนาไปนั่งทานอาหารที่ร้านอาหารหรูหราในย่านนั้น ระหว่างนั้นเขาหยิบการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาส่งให้เธอแล้วกล่าวว่า
“นี่เป็นตัวอย่างการ์ดเชิญงานหมั้นของเรา รจจะปรับปรุงแก้ไขอะไรไหม”
รจนาได้แต่กวาดตามองผ่านๆ แทบจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเนื้อหาภายในแต่อย่างใด
“ถ้าพี่หมอเห็นว่าดีแล้ว รจก็ไม่ขัดข้องอะไรค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นพี่จะสั่งพิมพ์เลยนะ ของน้องรจใช้เพียง 50 ใบเท่านั้นเองหรือ”
“ค่ะ รจแค่บอกกับเพื่อนๆและญาติสนิทไม่กี่รายเท่านั้น”
วัชรินทร์สังเกตเห็นสีหน้าท่าทางอาการที่ไม่ค่อยสดใสร่าเริงของเธอ จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า
“รจ มีอะไรที่ไม่สบายใจหรือเปล่าจ๊ะ”
“ปะ...ปะ..เปล่าค่ะ”รจนารีบแก้ตัว “รจเพียงแต่รู้สึกตื่นเต้นมากไปหน่อยค่ะ”
วัชรินทร์ทราบดีว่าเธอพยายามที่จะปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง จึงกล่าวปลอบประโลมว่า
“พี่สัญญานะ ว่าพี่จะรักรจไม่ให้น้อยกว่าที่ใครเคยรักรจมา ลืมเขาเสียเถิด ถึงอย่างไรเขาก็เข้ากับพวกเราไม่ได้อยู่แล้ว”
“อย่ากล่าวถึงเขาให้รจได้ยินอีกเลยค่ะ รจขอร้อง”
เธอกล่าวได้แค่นั้นแล้วก็แสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาตักอาหารรับประทาน ด้วยความรู้สึกขมขื่นในใจ
ขณะที่อองรีพยายามติดตามหารจนาจนเหนื่อยอ่อน ด้วยความสงสัยใคร่จะรู้ว่าเหตุใด เธอจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาอย่างสิ้นเชิงและรวดเร็วเช่นนี้ ค่ำวันนั้นเขาตัดสินใจไปที่ร้านอาหารที่เธอต้องแสดงดนตรีไทยเป็นประจำ และก็ได้พบกับเธอที่กำลังแสดงอยู่บนเวทีตามที่คาดหวัง รจนามีท่าทางตกใจเล็กน้อยที่เห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เธอพยายามแสดงดนตรีของเธอไปโดยไม่สบสายตากับเขาแม้แต่น้อย อองรีไม่ได้แตะต้องอาหารที่สั่งมาเลย คงได้แต่จิบน้ำเพื่อดับความร้อนรุ่มในจิตใจเพื่อหวังให้เบาบางลงเท่านั้น เมื่อรจนาแสดงจบ เธอก็ลงจากเวทีเพื่อมาถ่ายรูปกับลูกค้าตามโต๊ะอาหาร เหมือนที่เธอเคยปฏิบัติมาทุกครั้ง เธอเดินผ่านโต๊ะของเขาเพื่อผ่านไปยังโต๊ะที่มีแขกชาวต่างชาตินั่งอยู่สี่คนโดยที่ไม่ได้ทักทายเขาแม้แต่น้อย ขณะที่เธอกำลังยืนหามุมที่เหมาะแก่การถ่ายรูปอยู่นั้น ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ได้ฉุดเธออย่างแรง จนเธอเสียหลัก นั่งลงบนตักของชายคนนั้น เธอตกใจด้วยไม่ทันตั้งตัว ขณะที่กำลังจะพยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นนั้น กล้องถ่ายรูปจากกลุ่มเพื่อนๆของชายคนนั้น ก็ระดมกันถ่ายภาพกันอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเฮฮาด้วยความชอบใจ รจนาพยายามที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่ชายคนนั้นได้จับต้นแขนของเธอไว้แน่น จนเธอรู้สึกเจ็บ จากนั้นชายคนนั้น ได้หยิบธนบัตรใบละ 500 บาทออกมาแล้วพยายามที่จะสอดลงไปในร่องอกของเธอที่มีผ้าแถบพันอยู่ รจนาดิ้นสุดแรงจนหลุดพ้นออกมาได้ ในเวลาเดียวกับที่กำปั้นของอองรีชกเข้าที่ใบหน้าของชายคนนั้นอย่างแรงจนเขาตกลงจากเก้าอี้
หลังจากนั้นก็เกิดความชุลมุนว่นวายขึ้นมาในทันที เพื่อนๆของชายคนนั้น ช่วยกันรุมชกต่อยอองรีจนหมอบลงไปกองกับพื้น ก่อนที่พนักงานในร้านจะช่วยกันแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกันสำเร็จ หญิงวัยกลางคนที่เป็นเจ้าของร้าน หยิบไมโครโฟน ขึ้นไปพูดบนเวทีเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ได้โปรดหยุด อย่ามีเรื่องกันอีกเลยนะคะ และกรุณาให้เกียรติแก่นักแสดงของเราด้วย เธอเป็นนักศึกษาทำงานหาเงินเพื่อเรียนหนังสือ เธอไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่พวกคุณคิด กรุณาให้เกียรติพวกเราด้วยนะคะ ที่นี่ขายแต่อาหารและการแสดงอันเป็นวัฒนธรรมของชาติเราเท่านั้นค่ะ”
บรรดาลูกค้าที่ก่อเรื่องพากันรู้สึกละอายใจ จึงหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อเป็นค่าอาหารแล้วชวนกันเดินออกไป
รจนารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาพบกับอองรีที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งในสวนด้านนอก เธอมาพร้อมกับผ้าขนหนูที่ห่อน้ำแข็งมาเต็มผืน แล้วนั่งลงข้างๆเขา ก่อนที่จะค่อยๆประคบร่องรอยฟกช้ำที่ปรากฏอยู่ทั่วใบหน้าของเขา อองรีต้องสะดุ้งเมื่อความเย็นของน้ำแข็งกระทบถูกบาดแผลจนรจนาต้องเบามือลง และก้มหน้าก้มตาทำให้โดยไม่ได้กล่าวอันใด
“คุณทำเช่นนี้ทำไม”อองรีถามอย่างอดรนทนไม่ไหว
“เรื่องอะไรหรือคะ”รจนาทำเป็นไม่รู้เรื่องในสิ่งที่เขาถาม
“คุณหนีหน้าผม ตัดการติดต่อจากผมทุกอย่าง”
“คุณได้ยินที่แม่ของฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือคะ ฉันกำลังจะแต่งงาน คงจะไม่เป็นการดีกระมังถ้ายังคงพบกับคุณอยู่” รจนากล่าวเรียบๆขณะยังคงประคบแผลให้เขาอยู่ ขณะที่อองรีรับฟังแล้วต้องถอนหายใจยาวๆออกมา
“คนดีๆอย่างคุณ ดีเสียจนโกหกไม่เป็น ผมดูผมก็รู้แล้วว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นไม่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริงของคุณ”
“นั่นก็เป็นสิทธิของคุณที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด”
“รจนา คุณจะให้ผมเข้าใจว่าคุณจะยอมแต่งงานกับผู้ชายที่คุณไม่ได้รัก เพียงเพราะว่าแม่ของคุณสั่งมาอย่างนั้นหรือ คุณเรียนหนังสือมาสูงขนาดนี้แล้ว ทำไมยังยอมให้คนอื่นมาบังคับชักนำเช่นนี้ได้”
“คุณไม่เข้าใจวัฒนธรรมของคนไทยหรอกค่ะ เราต้องเชื่อฟังพ่อแม่ของเรา เพราะท่านมีบุญคุณกับเราและผ่านโลกมามากกว่าเรา แล้วอีกอย่างคุณแน่ใจหรือว่าฉันไม่ได้รักพี่วัชรินทร์”
อองรีค่อยๆล้วงกล่องเล็กๆออกมาจากอกเสื้อของเขา แล้วหยิบแหวนทองผิวเกลี้ยงวงหนึ่งออกมา เขาค่อยๆประคองมือข้างซ้ายของเธอขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะบรรจงสวมแหวนวงนั้นลงบนนิ้วนางข้างนั้น โดยที่รจนาได้แต่มองดูอย่างไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืน คงมีแต่หยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างช้าๆ
“ผมเคยบอกว่าผมจะไม่ยอมให้นิ้วนางข้างนี้ของคุณสวมแหวนของคนอื่น”อองรีกล่าวอย่างหนักแน่นจนรจนาต้องร่ำไห้ออกมาในที่สุด และกล่าวว่า
“อองรี ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้กับฉันเลยค่ะ”
“หากคุณหมดรักผมในวันใด ให้คุณถอดออก จะทิ้ง จะขาย จะทำลาย ก็สุดแล้วแต่คุณ แต่โปรดอย่าส่งคืนให้กับผมเป็นอันขาด เพราะนั่นจะทำให้ผมต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องเห็นมัน”
รจนาสะอื้นร่ำไห้อย่างไม่อาจจะหักห้ามใจได้อีก เธอโผเข้าซบหน้ากับอกของเขาแล้วรำพึงรำพรรณว่า
“ขอให้คุณได้รู้ไว้ว่า ทุกสิ่งที่ฉันทำไป ฉันไม่ได้ทำเพราะสิ้นรักคุณ แต่ที่ฉันทำนั้น ฉันทำเพราะรักคุณ รักยิ่งกว่าสิ่งใดๆ”
อองรีค่อยๆยกแขนทั้งสองของเขาขึ้นมาโอบกอดรอบกายของเธอ ด้วยความรักและหวงแหนราวกับจะไม่ยอมให้เธอจากไป
วัชรินทร์ที่เพิ่งลงจากรถด้วยตั้งใจจะขับมารับรจนา ได้เดินผ่านมาและเห็นภาพเหตุการณ์นี้พอดี เขาหยุดมองดูคนทั้งสองคนอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ก่อนที่จะค่อยๆเดินกลับไปที่รถแล้วขับออกไปอย่างเงียบๆ
รจนาร้องไห้อยู่สักพักหนึ่ง จนเมื่อคลายความเศร้าโศกลงได้บ้างแล้ว เธอจึงรวบรวมความเข้มแข็ง ก่อนที่จะหยิบซองสีชมพูซองหนึ่งออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้แก่อองรี
“หมายความว่าอย่างไรครับ”อองรีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นรัวเช่นเดียวกับมือของเขา
“การ์ดงานหมั้นของฉันค่ะ อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ป่านนั้นคุณอาจจะบินกลับบ้านไปแล้วก็ได้ค่ะ ฉันแค่อยากจะแจ้งให้ทราบเท่านั้น เพราะอันที่จริงฉันก็ไม่อยากให้คุณไปงานของฉันอยู่แล้ว”
อองรีทั้งโกรธทั้งตกใจ ชั่วชีวิตของนักรักที่ได้ฉายาว่า เจ้าชายแห่งกรุงปารีส อย่างเขา ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาจะรู้สึกพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงมากเท่าครั้งนี้มาก่อน
“คุณทำเช่นนี้ได้อย่างไร คุณลืมความรักของเราที่เฝ้าฟูมฟักกันมาตลอดสามปีนี้ได้อย่างไร”
“คุณเองน่าจะรู้ดีกว่าฉัน เวลาคุณอยู่ที่ปารีส คุณทิ้งผู้หญิงแต่ละคน คุณเคยนึกถึงความหลังที่คุณมีต่อเธอหรือไม่คะ”
อองรีนิ่งอึ้งเมื่อถูกย้อนเอาเช่นนี้ หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า กฏแห่งกรรม ตามที่หลวงตาวัดท้ายบ้าน ได้สั่งสอนเขาเอาไว้ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังพยายามที่จะเถียงว่า
“นั่นไม่เหมือนกัน ผู้หญิงเหล่านั้นผมไม่เคยนึกรักเธออยู่แล้ว เช่นเดียวกับพวกเธอที่ไม่ได้รักผมเช่นกัน แต่รักเงินของผม รักความร่ำรวยของผม”
“ฉันก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ ฉันก็รักเงินของคุณ รักความร่ำรวยของคุณ และตอนนี้ฉันก็ได้พบกับคนที่ถึงแม้จะร่ำรวยไม่เท่ากับคุณ แต่เขาก็รักฉันไม่น้อยไปกว่าคุณและพร้อมที่จะอุ้มชูดูแล ฉันและแม่ตลอดไป”
อองรีโกรธจนแทบจะคุมอารมณ์ไม่อยู่ จึงถามเธออย่างเบาๆแต่เต็มไปด้วยความเสียดสีว่า
“บอกผมหน่อยสิ การทำเช่นนี้ต่างกับการขายตัวตรงไหน”
รจนารู้สึกโกรธขึ้นมาในทันทีเช่นกัน แม้จะรู้สึกผิดที่เป็นฝ่ายตั้งใจยั่วเขาก่อน
“ค่ะ ไม่ต่างกันหรอกค่ะ ฉันยอมรับว่าฉันอยากได้เงิน คุณล่ะคะ สนใจจะซื้อฉันบ้างไหมคะ”
อองรีผุดลุกขึ้นยืนทันที เขามองเธอด้วยความผิดหวังอย่างแรงก่อนที่จะกล่าวว่า
“ถ้าคุณอยากให้ผมเดินออกไปจากชีวิตของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องกระทำหรือพูดจาเยี่ยงนี้”กล่าวจบ เขาก็หันหลังแล้วเดินจากไปในทันที เขาเดินจากออกมาด้วยอารมณ์อันขุ่นมัว จนมานั่งที่ป้ายรถเมล์ที่ปากซอย อย่างไม่รู้ตัวว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่แล้วเขาก็อดคิดที่จะเป็นห่วงเธอขึ้นมาไม่ได้ จึงได้ลุกขึ้นแล้ววิ่งกลับไปที่ร้านอาหารในทันที รจนายังคงนั่งอยู่ที่เดิม เธอซบหน้าลงกับพื้นโต๊ะสะอึกสะอื้นร่ำไห้ด้วยความปวดร้าวใจ อองรีเห็นภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเช่นนั้น ก็บังเกิดความสงสารเห็นใจขึ้นมา เขาจึงได้เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างๆเธอพร้อมกับวางฝ่ามือลงบนไหล่ของเธออย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า
“กลับเถิดครับ ดึกมากแล้ว”
ทั้งสองคนพากันเดินไปตามทางโดยที่ไม่ได้พูดอันใดต่อกัน เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่า หากพูดอะไรออกไปในเวลาเช่นนี้ ก็มีแต่จะทะเลาะกันบานปลายยิ่งขึ้น จึงได้แต่เดินเคียงข้างกันไปอย่างเงียบๆ และต่างพากันคิดว่า บางทีคืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่ทั้งสองคนจะได้เดินเคียงข้างกันเช่นนี้ เพราะนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ชีวิตของทั้งสองคงไม่อาจเหมือนเดิมได้ต่อไปอีกแล้ว
ยามนั้นท้องถนนยังคงคับคั่งไปด้วยการจราจรที่เนืองแน่น และผู้คนยังคงเดินทางกันอย่างขวักไขว่ บนทางเท้าพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยริมทาง กำลังต่อรองราคาขายสินค้ากับนักท่องเที่ยวและผู้ที่เดินทางผ่านไปมาอย่างคึกคัก ทันใดนั้นเอง รจนาก็ได้ยินเสียงของอองรีกำลังโต้เถียงกับใครด้วยความโมโห เธอรีบหันหลังกลับไปดูก็พบว่าเขากำลังมีปากเสียงกับแม่ค้าคนหนึ่งที่ขายกระเป๋าอยู่ที่แผงลอยริมถนน
“มีเรื่องอะไรหรือคะ” รจนารีบถามเมื่อเห็นอองรีมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจ แม่ค้าผู้นั้นที่กำลังยืนกอดลูกสาววัยสิบขวบ ที่กำลังกลัวจนตัวสั่น ที่เห็นท่าทางโกรธกริ้วอันน่ากลัวของเขา
“ดูพวกนี้สิครับ เขาก็อปปี้แบบกระเป๋าของฟรังซัวร์มาขายในราคาถูกๆ ทำอย่างนี้ธุรกิจของคุณพ่อของผมก็แย่สิครับ”
รจนามองดูกระเป๋าที่อองรีถืออยู่ และก็เห็นเช่นเดียวกับเขาว่า เป็นกระเป๋ายี่ห้อฟรังซัวร์ที่ถูกทำเลียนแบบขึ้นมา
“พวกคุณทำกันเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับพวกหัวขโมย”อองรียังคงดุด่าแม่ค้าคนนั้นไม่หยุด รจนาจึงได้วางกระเป๋าปลอมใบนั้นลง แล้วฉุดมือของเขาเดินขึ้นสถานีรถไฟฟ้าไป
“ตามฉันมาค่ะ ฉันจะพาคุณไปดูอะไร” รจนากล่าวขณะพาอองรีเดินขึ้นบันไดเลื่อน แต่เมื่อขึ้นไปได้ไม่นาน รถตำรวจคันหนึ่งก็วิ่งมาจอดเทียบที่ข้างทางเท้านั้น ตำรวจสี่นายลงมาจากรถแล้วตรงเข้าทำการจับกุมสองแม่ลูกพร้อมกับกระเป๋าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ที่เป็นของกลางในทันที โดยมีฝรั่งต่างชาติสองคนยืนเท้าสะเอวมองดูการจับกุมด้วยความพอใจ ในขณะที่รจนาที่ยืนมองลงมาจากบันไดเลื่อนของสถานีรถไฟฟ้า ต้องมองเห็นภาพของเด็กน้อยร้องไห้ เพราะถูกตำรวจจับกุมไปพร้อมกับผู้เป็นแม่ด้วยความสะเทือนใจ
รจนาพาอองรีลงรถไฟฟ้าที่สถานีราชดำริแล้วเดินลิ่วตรงไปยังศูนย์การค้าหรูหราแห่งหนึ่งในย่านนั้น เพื่อตรงไปยังร้านค้าตัวแทนจำหน่ายสินค้าของฟรังซัวร์ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ที่เปิดร้านขายอยู่ในห้างนั้น แล้วชี้ให้เขาดูผู้คนที่กำลังจับจ่ายอยู่ในร้านนั้นกันอย่างคึกคัก เนื่องจากช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ กำลังจะมาถึง
“คุณดูคนเหล่านั้นสิคะ ลูกค้าของคุณทั้งนั้น คนระดับนี้ เขาไม่มาซื้อสินค้าที่วางขายอยู่ริมถนนหรอกค่ะ และเช่นเดียวกับคนที่ซื้อสินค้าริมถนน เขาก็ไม่สามารถมาซื้อสินค้าราคาแพงๆในร้านของคุณได้เช่นกัน คนเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ค่ะ เขาดูออกว่าอะไรของจริงอะไรคือของเลียนแบบ แม่ค้าริมถนนเขาเอาของปลอมมาขาย แต่เขาก็ขายในราคาของปลอม ใบละสองร้อยสามร้อย ไม่ใช่ว่ามาหลอกขายใบละสองสามหมื่นบาทอย่าง....”รจนาหยุดพูดในทันทีเมื่อสายตาของเธอเหลือบไปเห็นกระเป๋าใบหนึ่งที่ตั้งโชว์ในครอบกระจก พร้อมกับมีป้ายประกาศว่า “สินค้ามาใหม่” ถัดมามีป้ายประกาศอีกอันหนึ่ง เขียนว่า “สินค้าขายดี”
“นี่มัน.... นี่มัน... กระเป๋าที่ฉันออกแบบนี่คะ”
อองรีหันไปดูตามที่เธอชี้ แล้วก็เห็นเช่นเดียวกัน เป็นแบบของกระเป๋าที่รจนาเคยออกแบบเมื่อสองปีที่แล้ว และได้รับคะแนนเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียน และอองรีเคยนำแบบที่เธอออกนี้ ส่งไปเสนอแก่พ่อของเขา แต่เรื่องก็เงียบหายไป จนเขาเข้าใจว่า คงไม่ผ่านการพิจารณา แต่เวลานี้ กระเป๋าที่เกิดจากความคิดของเธอ ได้มาวางขายอยู่ที่เบื้องหน้านี้แล้ว อองรีสับสนและละอายใจจนไม่รู้ที่จะกล่าวอันใด ตรงข้ามกับรจนาที่กล่าวอย่างไม่พอใจว่า
“พวกคุณ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ร้อยกว่าปีก่อนพวกคุณเอาเปรียบ รังแกประเทศของฉันอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ทีคนไทยลักลอบปลอมแปลงสินค้าของพวกคุณ พวกคุณทำราวกับจะเป็นจะตาย เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แล้วทีพวกคุณขโมยความคิดของฉันเล่า ไม่ผิดใช่ไหม...”
รจนากล่าวแล้วก็หลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งด้วยความคับแค้นใจ เธอสะบัดแขนจากการพยายามเกาะกุมของอองรี ก่อนที่จะเดินออกจากห้างแล้วเรียกรถแท็กซี่ โดยที่อองรีต้องรีบวิ่งตามมาแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับได้ทันพอดีก่อนที่รถจะออกและพามาส่งที่สถานีตำรวจตามที่รจนาว่าจ้างมา
ภาพที่ปรากฏต่อหน้าเธอที่สถานีตำรวจนั้น เป็นภาพที่ชวนให้เวทนายิ่งนัก แม่ค้าที่ขายกระเป๋าถูกจับเข้าห้องขังโดยมีบุตรสาวตัวน้อยนั่งร้องไห้เกาะลูกกรงอยู่ภายนอกโดยมีลูกกรงเหล็กคั่นกลางระหว่างสองแม่ลูกผู้น่าสงสาร รจนาพยายามไปอ้อนวอนขอร้องตำรวจให้เห็นแก่เมตตาธรรม แต่ร้อยเวรผู้นั้นก็กล่าวด้วยความเห็นใจว่า เขาจำเป็นต้องทำตามหน้าที่ เพราะคดีนี้ เจ้าทุกข์คือบริษัทจากต่างประเทศ ที่แต่งตั้งทนายให้มาแจ้งความดำเนินคดีมานานแล้ว เมื่อรจนาสอบถามถึงวงเงินประกันตัว ก็ได้รับคำตอบเป็นตัวเลขที่สูงเกินกว่าความสามารถของเธอที่จะช่วยได้ เธอได้ขออนุญาตร้อยเวรผู้นั้น เพื่อขอเข้าไปนั่งคุยกับผู้ต้องขังและบุตรสาวใกล้ๆ เพื่อปลอบโยนและสอบถามว่า ทั้งสองมีญาติพี่น้องหรือไม่อย่างไร และคำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ทั้งสองคนอยู่กันตามลำพัง ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก ทำให้รจนาเป็นห่วง น้องปลา เด็กผู้หญิงคนนั้นยิ่งนัก เพราะหากแม่ต้องได้รับโทษเช่นนี้แล้ว เด็กผู้หญิงอายุเพียงเท่านี้ จะอยู่ตัวคนเดียวตามลำพังได้อย่างไร
เธอตัดสินใจเฉพาะหน้าด้วยการขออนุญาตแม่ของเด็กให้เด็กได้มาอยู่กับเธอก่อน เพราะหากว่าอยู่ที่นี่แล้ว คงไม่เป็นผลดีทั้งต่อสุขภาพและจิตใจของเด็กน้อย ทีแรกผู้เป็นแม่ไม่ยินยอม เพราะเกรงว่ารจนาจะมาหลอกเอาลูกสาวเธอไป รจนาจึงต้องให้ความมั่นใจโดยการให้ตำรวจลงบันทึกประจำวัน พร้อมทั้งบันทึกบัตรประชาชนและบัตรนักศึกษา ของเธอเอาไว้เป็นหลักฐาน ผู้เป็นแม่จึงยินยอมให้พาบุตรสาวของเธอไปได้
ขณะที่รจนากำลังให้ตำรวจทำการลงบันทึกประจำวันไว้อยู่นั้น อองรีได้โทรศัพท์ทางไกลไปฝรั่งเศส เพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงได้ทราบว่าทางบริษัท มีการโยกย้ายแต่งตั้งผู้จัดการแผนกออกแบบคนใหม่ ซึ่งคาดว่าคงจะปัดฝุ่นเอาแบบที่อองรีเคยเสนอไปเมื่อสองปีก่อนกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ปิแอร์รับปากที่จะทำการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ รวมทั้งจ่ายค่าตอบแทนให้แก่รจนา ผู้ออกแบบตัวจริงด้วยตามที่อองรีร้องขอมา
รจนาจูงมือปลาลงมาจากบนโรงพัก เธอเปิดกระเป๋าเงินเพื่อตรวจดูจำนวนเงินว่ามีมากน้อยเพียงใด ก่อนที่จะตัดสินใจเรียกรถแท็กซี่ ให้ไปส่งที่ ถนนข้าวสาร ที่เธอเข้าใจว่าน่าจะมีห้องพักราคาถูกๆให้เช่าได้ แต่อองรีที่ติดตามมาแล้วขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ได้บอกแก่คนขับรถว่า
“ไม่ต้องไปถนนข้าวสารหรอกครับ ไปโรงแรมดุสิตธานีแทน”
รจนารับฟังด้วยความขุ่นเคืองใจ เธอไม่คิดว่าอองรีทำด้วยความหวังดี แต่กลับคิดว่าเขาเจตนาที่จะยั่วเธอ เพราะหากไม่ต้องการให้เธอไปพักตามโรงแรมที่แถวถนนข้าวสารแล้ว ทำไมไม่เลือกโรงแรมอื่นๆที่อยู่แถวนี้ ทำไมต้องเจาะจงว่าเป็นโรงแรมดุสิตธานี โรงแรมที่จะเป็นสถานที่จัดงานหมั้นของเธอในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
การสูญเสียบิดาไป ทำให้รจนาต้องปรับตัวอยู่พอสมควร เธอต้องยกเลิกการแสดงดนตรี ในตอนค่ำของวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รายได้ดีที่สุด เพื่อกลับมาอยู่เป็นเพื่อนกับแม่ของเธอ การเดินทางในวันศุกร์นั้น ก็ต้องเดินทางในตอนค่ำ เพราะเธอมีเรียนจนถึงตอนเย็น แต่ถึงจะเป็นการเดินทางในยามค่ำคืน เธอก็ยังรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยเสมอ เพราะมีอองรีร่วมเดินทางมาด้วยทุกครั้ง
รจนามาถึงบ้านที่อยุธยาก็สองทุ่มกว่าแล้ว และได้พบกับบ้านที่เงียบสงัดและมืดสนิทจนเธอรู้สึกกลัว เธอเดินไปเคาะประตูหน้าบ้านด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยจะดี ไม่มีเสียงตอบรับจากราตรีแต่อย่างใด รจนารีบเดินอ้อมไปรอบบ้านพลางร้องเรียกมารดาของตนเป็นระยะๆ ในขณะที่อองรีต้องใช้ไฟจากโทรศัพท์มือถือช่วยส่องทางและร้องเตือนให้เธอก้าวเดินด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีสัตว์ร้ายซุ่มซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้ รจนาเดินมาจนถึงหน้าต่างห้องนอนของราตรี เธอร้องเรียกอยู่สักพักด้วยจิตใจที่หวั่นไหว เกรงว่าผู้เป็นแม่จะมีภัยอันตรายอันใด สักพักจึงมีเสียงของราตรีร้องตอบออกมา จึงทำให้เธอค่อยคลายความกังวลลงได้
“ทำไมบ้านช่องถึงได้มืดเช่นนี้เล่าแม่”เธอถามทันทีที่เห็นราตรีเปิดประตูออกมารับ
“ไฟดับมาได้สองวันแล้ว แม่ไม่รู้ทำไม สงสัยพ่อเขาจะลืมไปจ่ายค่าไฟ”
รจนารู้สึกสะอื้นขึ้นมาในอกทันทีด้วยความสงสารผู้เป็นมารดาที่ต้องทนอยู่กับความมืดเช่นนี้ตามลำพังมาได้หลายวันแล้ว เธอค่อยๆประคองราตรีให้เดินเข้าบ้านโดยอาศัยแสงเทียนที่จุดเอาไว้ช่วยนำทาง
“เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูจะไปชำระให้ แล้วค่าน้ำด้วยนะแม่ ได้บิลมาหรือยัง”
“แม่ไม่รู้ ลองหาดูบนโต๊ะเถิด”
ราตรีกล่าวอย่างท้อแท้จนรจนารู้สึกสงสารแม่ขึ้นมาจับใจ เมื่อก่อนตอนที่พ่อยังมีชีวิตยังอยู่ ยังมีเพื่อนคิดเพื่อนคุย ตอนนี้พ่อจากไปแล้ว ทำให้แม่ต้องอยู่บ้านตามลำพังตลอดสัปดาห์ที่เธอไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อองรีขอตัวกลับไปที่วัดก่อน เพื่อให้เธอพาแม่กลับเข้าไปในห้องนอน ราตรีนอนลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ขณะที่รจนาใช้พัดโบกไปมาเพื่อให้ความเย็นแก่เธอแทนพัดลมไฟฟ้า ราตรีนอนหันหน้าเข้ากำแพง แต่ไม่อาจที่จะข่มตาหลับได้ จึงได้กล่าวว่า
“สองวันก่อนเพื่อนของลูกคนที่เป็นหมอ ได้แวะมาหาแม่ที่นี่”
มือของรจนาที่โบกพัดอยู่ไปมาหยุดชะงักลงทันที เมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมเรื่องที่เคยรับปากกับอองรีว่าจะโทรไปตอบปฏิเสธข้อเสนอของวัชรินทร์เสียสนิท
“เขาแวะมาทำไมหรือจ๊ะ” เธอถามพร้อมกับเริ่มโบกพัดในมืออีกครั้งหนึ่ง
“เขาบอกแม่ว่า ลูกใกล้จะเรียนจบแล้ว ถ้าลูกเรียนจบเมื่อไร เขาอยากจะขอ...”
“ขอ..ขออะไรหรือแม่”รจนาหยุดพัดในทันทีแล้วเขย่าต้นขาของผู้เป็นแม่อย่างลืมตัว
“เขาบอกว่าเขาตัดสินใจที่จะเปิดคลินิกที่หนองคาย เขาอยากให้ลูกแต่งงานกับเขาแล้วไปอยู่กับเขาที่นั่น”
รจนารู้สึกโกรธวัชรินทร์ในทันทีที่รู้ว่าเขากล้าทำอุกอาจถึงเพียงนี้ โดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจของเธอแม้แต่น้อย มีแต่มายื่นข้อเสนอ ข้อเรียกร้องเอาจากเธอไม่พอ นี่ยังมายื่นข้อเสนอถึงแม่ของเธออีก
“หนูไม่ไปหรอกแม่ หนูไม่ไปไหนทั้งนั้น หนูจะอยู่ดูแลแม่ที่นี่”
“เขายินดีที่จะให้แม่ไปอยู่ด้วย”
รจนาตกตะลึงในน้ำเสียงและคำพูดของผู้เป็นมารดา เพราะฟังดูราวกับว่าเธอได้ตกลงปลงใจไปกับข้อเสนอนั้นแล้ว
“แม่พูดราวกับว่าจะยกหนูให้กับเขา”
“ก็ถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะเสียหายอะไร”
รจนาโบกพัดในมืออีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอโบกให้กับตัวเองที่เริ่มรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาในทันที
“เมื่อก่อนแม่เคยเตือนหนูมิใช่หรือว่าอย่าไปยุ่งกับเขา ฐานะของเราแตกต่างกัน”
“แต่ตอนนี้เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว พ่อไม่อยู่กับเราแล้ว เราไม่มีที่พึ่งพิงแล้วนะลูก ลูกไม่รู้หรอกว่าการที่ต้องนอนอยู่คนเดียวในบ้านที่มันมืดมิดวังเวงนั้น มันแสนจะเจ็บปวดเพียงใด แม่คิดมาหลายคืนแล้วว่า แม่ไม่อาจให้ลูกของแม่ต้องพบกับสภาพที่ทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้ ถ้าลูกได้แต่งงานกับเขา ด้วยฐานะและอาชีพการงานของเขาจะสามารถเลี้ยงดูอุ้มชูไม่ให้ลูกต้องตกระกำลำบากอีกต่อไป”
“หนูไม่เคยกลัวความลำบาก แม่ไม่รู้หรอกว่า แม่ของเขาเคยด่าว่าดูถูกหนูเพียงใด”
“แม่รู้ เขาเล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะพาลูกไปอยู่กับเขาที่หนองคาย เพื่อที่จะไม่ให้ครอบครัวของเขาเข้ามายุ่งกับลูกได้อีก”
“แม่คิดว่าคุณหญิงเขาจะยอมให้ลูกชายคนเดียวของเขามาแต่งงานกับผู้หญิงบ้านนอกฐานะยากจนอย่างหนูหรือ และที่สำคัญ หนูไม่เคยนึกรักเขาเลย”
“แล้วลูกรักใคร อองรีใช่ไหม”
แม้ว่าจะอยู่ในท่ามกลางความมืด แต่รจนาก็ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตากับผู้เป็นแม่ แต่ถึงกระนั้นราตรีก็เข้าใจในความรู้สึกของบุตรสาวเป็นอย่างดี จึงกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า
“ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็ไม่ยอมให้ลูกแต่งงานกับเขา”
“แม่ !” รจนาร้องอย่างตกใจ “ทำไมเล่าแม่ เขาไม่ดีตรงไหนหรือจ๊ะ”
“เขาเป็นฝรั่งต่างชาติ เข้ากับเราไม่ได้หรอก”
“แม่ไม่เห็นหรือจ๊ะว่าเขาปรับตัวเข้ากับคนไทยได้ดีเพียงใด พูดภาษาไทย ร.เรือ ล.ลิงได้ชัดกว่าคนไทยบางคนเสียอีก”
“มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก พวกฝรั่งนั้นไม่เคยรักใครจริงจัง พอเบื่อแล้วก็แยกทางกัน แม่ไม่อยากให้ลูกต้องเป็นหม้ายผัวทิ้ง”
“อองรีไม่ใช่คนเช่นนั้นค่ะ หนูมั่นใจ”
“แต่แม่มั่นใจในหมอวัชรินทร์มากกว่า เขาสู้อุตสาห์มาขอลูกจากแม่ เขายอมผิดใจกับแม่ของเขาก็เพื่อลูก ไม่ใช่เพราะเขารักลูกมากหรอกหรือ เชื่อแม่เถอะ แม่เป็นผู้ใหญ่ถึงปูนนี้แล้ว แม่มองใครไม่ผิดหรอก”
“แต่นี่มันความสุขของหนูทั้งชีวิตนะแม่ แม่จะให้หนูแต่งงานกับคนที่หนูไม่ได้รักได้อย่างไร”
“ที่ลูกต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะความดื้อรั้นที่เอาแต่ใจของลูกนี่แหละ”ราตรีเริ่มขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ
“เรื่องอื่นหนูยอมทำตามที่แม่ต้องการทุกอย่าง แต่เรื่องคู่ครองนี่หนูขอเลือกของหนูเอง”
“ก็เพราะลูกคิดเช่นนี้ ชาตินี้จึงต้องมาตกระกำลำบากเกิดเป็นลูกชาวนาจนๆเช่นนี้”ราตรีกระแทกเสียงดังจนรจนาตกใจ
“แม่พูดเรื่องอะไรกันจ๊ะ”
ราตรีไม่กล่าวอันใด แต่ลุกขึ้นไปเปิดตู้แล้วหยิบบันทึกเก่าๆเล่มนั้นออกมาส่งให้แก่รจนา
“ลูกเอาไปอ่านดู แล้วลูกจะเข้าใจแม่ นี่คือบันทึกที่แม่ชีแม้นได้จดบันทึกเอาไว้”
“แม่ชีแม้น ? ใครกันหรือจ๊ะ”
“แม่ชีแม้น เป็นอาจารย์ของแม่ชีสงวน อดีตนั้นเคยเป็นทาสรับใช้ในชาติปางก่อนของลูก”
รจนาเลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าเธอได้ยินมาผิดหรือว่าแม่ของเธอพูดผิดกันแน่
“ชาติปางก่อน?” เธอทวนคำด้วยความสงสัย
“ในชาติปางก่อน ลูกกับอองรี เคยเป็นคู่พยาบาทอาฆาตกันมาก่อน และยังมีเวรมีกรรมผูกพันกันมาถึงชาตินี้ หากแม่ยอมให้ลูกแต่งงงานกับเขาแล้ว ลูกกับเขาก็จะต้องฆ่าฟันกันอีก”
“แม่เอาเรื่องอะไรมาพูด มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
ราตรีหยิบรูปถ่ายใบนั้นส่งให้แก่รจนา เธอรับมาแล้วเอาไปส่องกับแสงเทียน แล้วก็ต้องตกใจจนมือสั่นระรัวที่พบว่า รูปถ่ายใบนั้นเป็นภาพของคนที่มีใบหน้าเหมือนเธอกับอองรียิ่งนัก
คืนนั้น รจนาจุดเทียนนั่งอ่านบันทึกเล่มนั้นทั้งคืนจนจบ เมื่ออ่านจบในครั้งแรก เธอยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่แม่ชีแม้นได้บันทึก แต่เมื่อนึกทบทวนถึงสิ่งที่อองรีเคยบอกเธอว่า เขามักจะฝันถึงผู้หญิงไทยคนหนึ่งอยู่บ่อยๆ จนเป็นเหตุจูงใจให้เขาเดินทางมาเมืองไทย และพบกับเธอในที่สุดแล้ว ทำให้เธอเริ่มจะเชื่อว่าสิ่งที่อองรีกล่าวนั้น ไม่ใช่อุบายในการจีบผู้หญิงของเขาตามที่เธอเข้าใจมาตลอด เธอเอื้อมมือไปปลดเข็มกลัดที่เธอถ่ายคู่กับเขาตอนที่รู้จักกันใหม่ๆที่ติดอยู่บนกระเป๋าสะพายของเธอ นำมาถือไว้บนมือ แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ที่เธอปลดตะขอของมันแล้วพลาดจนถูกเข็มแทงทำให้เลือดไหลออกมาเปรอะเปื้อนรูปของทั้งสองคนบนเข็มกลัด ซึ่งอุบัติเหตุเช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับอองรีเช่นเดียวกัน ยิ่งเมื่อได้อ่านบันทึกของแม่ชีแม้นแล้ว ยิ่งทำให้เธอหวั่นวิตกว่าความรักของเธอกับเขา จะต้องจบลงด้วยความเศร้าโศก ดังเช่นที่แม่ชีแม้นได้บันทึกเอาไว้
เธอเหลือบมองดูนาฬิกา เห็นว่าเป็นเวลาตีสี่กว่าๆแล้ว จึงได้ลุกขึ้นแล้วหุงข้าว ทำอาหารเพื่อเตรียมใส่บาตรดังเคย เมื่อหลวงตาเจ้าอาวาสพร้อมพระลูกวัดอีก 4 รูปได้ เดินทางมาถึง รจนายกสำรับอาหารขึ้นจบ อธิษฐานแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเรืองผู้เป็นบิดา รวมถึงท่านเจ้าคุณและคุณหญิงรื่น ผู้เป็นบิดามารดา ในชาติปางก่อนด้วย เมื่อหลวงตารับบิณฑบาตรและให้ศีลให้พรจบแล้ว ราตรีจึงได้เรียนกับท่านว่า
“ท่านคะ เสร็จจากบิณฑบาตแล้วช่วยให้อองรีมาที่บ้านของอิฉันสักครู่ได้ไหมคะ”
“ได้สิโยม มีธุระอะไรจะเรียกใช้ก็เชิญตามสบาย เอาไว้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้ ให้เจ้าสิงห์เดินตามคนเดียวก็พอ”
อองรีส่งย่ามที่สะพายให้แก่สิงห์ ขณะที่รจนารู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาในทันที เมื่อปลอดคนดีแล้ว ราตรีจึงได้กล่าวอย่างเป็นงานเป็นการว่า
“คุณอองรี ฉันต้องขอบคุณที่คุณมีน้ำใจคอยติดตามดูแลลูกสาวของฉันมาตลอด แต่นับจากนี้เป็นต้นไป ฉันขอร้องให้คุณอยู่ห่างๆจากลูกสาวของฉันเอาไว้ เพราะฉันได้ตัดสินใจที่จะยกลูกสาวของฉันให้เป็นเมียของหมอวัชรินทร์แล้ว”
อองรีรับฟังด้วยความตกใจและไม่ทันตั้งตัว เขาหันไปมองรจนาเพื่อจะขอความมั่นใจในความรักของเธอที่ยังคงมีต่อเขา แต่สิ่งที่พบเห็นกลับทำให้เขาต้องปวดร้าวใจยิ่งขึ้น เมื่อรจนาไม่กล้าสบสายตากับเขา ได้แต่ก้มหน้าแล้วสั่นสะอื้นร่ำไห้อยู่เช่นนั้น
“ฉันมีเรื่องที่จะบอกคุณแค่นี้ค่ะ”ราตรีกล่าวแล้วหันมาสั่งลูกสาวว่า “รจ เก็บของแล้วเข้าบ้านเดี๋ยวนี้”
อองรียืนมองดูรจนาเดินเข้าบ้านด้วยความเจ็บปวดใจ เขาเรียกเธอ แต่เธอไม่หันมามองเขาแม้แต่น้อย ทำให้เขาต้องเดินกลับวัดด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ในขณะที่รจนาแอบมองจากหน้าต่างที่ห้องนอนของเธอ มองดูอองรีเดินจากไปด้วยความเจ็บปวดจนเธอต้องหลั่งน้ำตาออกมาอาบใบหน้า
รจนากลับมานั่งที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบบันทึกเล่มนั้นออกมาอ่านอีกครั้ง พลางคิดใคร่ครวญอย่างหนัก หากสิ่งที่บันทึกไว้นั้น ไม่เป็นความจริง แล้วรูปถ่ายที่เธอสมรสกับเขาในชาติปางก่อนจะมาปรากฏอยู่ได้อย่างไร เธอละสายตาออกไปนอกห้อง แปลงกุหลาบที่เธอและอองรีเคยช่วยกันปลูก บัดนี้กำลังผลิดอกเบ่งบานอย่างสวยงามตรงข้ามกับความรู้สึกในใจของทั้งสองคนอย่างสิ้นเชิง
“...สัญญาสิ สัญญากับฉันว่า ทุกครั้งที่เธอได้เห็นดอกกุหลาบ เธอจะคิดถึงแต่ฉัน...”
บทเพลงที่เธอโปรดปรานผุดขึ้นมาในมโนสำนึก ภาพถ่าย ดอกกุหลาบ ความฝัน บันทึก ทุกอย่างดูสอดคล้องกลมกลืนกันหมด เมื่อใคร่ครวญหลายครั้งหลายหนแล้ว ในที่สุดรจนาก็คิดว่า ทุกสิ่งที่แม่ชีแม้นได้บันทึกไว้นั้น เป็นความจริง จึงรำพึงในใจว่า
“อองรีคะ ฉันเคยทำร้ายคุณอย่างแสนสาหัสมาแล้วในชาติปางก่อน ฉันไม่อยากที่จะทำร้ายคุณอีกแล้วในชาตินี้ อภัยให้ฉันด้วยนะคะ หากวันใดที่เราหมดเวรหมดกรรมซึ่งกันและกันแล้ว ฉันขอภาวนาให้เราได้กลับมารักกัน ดังเช่นชาตินี้อีกนะคะ”
รจนากลับเข้ากรุงเทพฯโดยที่นัดให้วัชรินทร์มารับ อองรีมองเห็นเธอเดินขึ้นรถของวัชรินทร์และแสร้งทำเป็นไม่มองมายังเขาด้วยความปวดร้าวใจ รจนาได้ตัดขาดการติดต่อจากเขาทุกอย่าง อองรีเฝ้าติดตามหาเธอจนแทบจะคลั่ง ในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น เขาไปหาเธอที่คณะของเธอเพื่อหวังจะได้ทานข้าวกับเธอเหมือนดังเคย แต่สิ่งที่พบคือเธอได้เดินขึ้นรถของวัชรินทร์ที่มาจอดรอรับอยู่ก่อนแล้ว อองรีมองดูรถคันนั้นแล่นผ่านหน้าเขาไป โดยที่รจนาที่นั่งอยู่ตอนหน้าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเขา แต่ทว่า เมื่อรถคันนั้นแล่นผ่านไปแล้ว รจนาก็อดไม่ได้ที่จะมองดูอองรีผ่านทางกระจกด้านข้าง แล้วก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ
วัชรินทร์พารจนาไปนั่งทานอาหารที่ร้านอาหารหรูหราในย่านนั้น ระหว่างนั้นเขาหยิบการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาส่งให้เธอแล้วกล่าวว่า
“นี่เป็นตัวอย่างการ์ดเชิญงานหมั้นของเรา รจจะปรับปรุงแก้ไขอะไรไหม”
รจนาได้แต่กวาดตามองผ่านๆ แทบจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเนื้อหาภายในแต่อย่างใด
“ถ้าพี่หมอเห็นว่าดีแล้ว รจก็ไม่ขัดข้องอะไรค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นพี่จะสั่งพิมพ์เลยนะ ของน้องรจใช้เพียง 50 ใบเท่านั้นเองหรือ”
“ค่ะ รจแค่บอกกับเพื่อนๆและญาติสนิทไม่กี่รายเท่านั้น”
วัชรินทร์สังเกตเห็นสีหน้าท่าทางอาการที่ไม่ค่อยสดใสร่าเริงของเธอ จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า
“รจ มีอะไรที่ไม่สบายใจหรือเปล่าจ๊ะ”
“ปะ...ปะ..เปล่าค่ะ”รจนารีบแก้ตัว “รจเพียงแต่รู้สึกตื่นเต้นมากไปหน่อยค่ะ”
วัชรินทร์ทราบดีว่าเธอพยายามที่จะปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง จึงกล่าวปลอบประโลมว่า
“พี่สัญญานะ ว่าพี่จะรักรจไม่ให้น้อยกว่าที่ใครเคยรักรจมา ลืมเขาเสียเถิด ถึงอย่างไรเขาก็เข้ากับพวกเราไม่ได้อยู่แล้ว”
“อย่ากล่าวถึงเขาให้รจได้ยินอีกเลยค่ะ รจขอร้อง”
เธอกล่าวได้แค่นั้นแล้วก็แสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาตักอาหารรับประทาน ด้วยความรู้สึกขมขื่นในใจ
ขณะที่อองรีพยายามติดตามหารจนาจนเหนื่อยอ่อน ด้วยความสงสัยใคร่จะรู้ว่าเหตุใด เธอจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาอย่างสิ้นเชิงและรวดเร็วเช่นนี้ ค่ำวันนั้นเขาตัดสินใจไปที่ร้านอาหารที่เธอต้องแสดงดนตรีไทยเป็นประจำ และก็ได้พบกับเธอที่กำลังแสดงอยู่บนเวทีตามที่คาดหวัง รจนามีท่าทางตกใจเล็กน้อยที่เห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เธอพยายามแสดงดนตรีของเธอไปโดยไม่สบสายตากับเขาแม้แต่น้อย อองรีไม่ได้แตะต้องอาหารที่สั่งมาเลย คงได้แต่จิบน้ำเพื่อดับความร้อนรุ่มในจิตใจเพื่อหวังให้เบาบางลงเท่านั้น เมื่อรจนาแสดงจบ เธอก็ลงจากเวทีเพื่อมาถ่ายรูปกับลูกค้าตามโต๊ะอาหาร เหมือนที่เธอเคยปฏิบัติมาทุกครั้ง เธอเดินผ่านโต๊ะของเขาเพื่อผ่านไปยังโต๊ะที่มีแขกชาวต่างชาตินั่งอยู่สี่คนโดยที่ไม่ได้ทักทายเขาแม้แต่น้อย ขณะที่เธอกำลังยืนหามุมที่เหมาะแก่การถ่ายรูปอยู่นั้น ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ได้ฉุดเธออย่างแรง จนเธอเสียหลัก นั่งลงบนตักของชายคนนั้น เธอตกใจด้วยไม่ทันตั้งตัว ขณะที่กำลังจะพยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นนั้น กล้องถ่ายรูปจากกลุ่มเพื่อนๆของชายคนนั้น ก็ระดมกันถ่ายภาพกันอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเฮฮาด้วยความชอบใจ รจนาพยายามที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่ชายคนนั้นได้จับต้นแขนของเธอไว้แน่น จนเธอรู้สึกเจ็บ จากนั้นชายคนนั้น ได้หยิบธนบัตรใบละ 500 บาทออกมาแล้วพยายามที่จะสอดลงไปในร่องอกของเธอที่มีผ้าแถบพันอยู่ รจนาดิ้นสุดแรงจนหลุดพ้นออกมาได้ ในเวลาเดียวกับที่กำปั้นของอองรีชกเข้าที่ใบหน้าของชายคนนั้นอย่างแรงจนเขาตกลงจากเก้าอี้
หลังจากนั้นก็เกิดความชุลมุนว่นวายขึ้นมาในทันที เพื่อนๆของชายคนนั้น ช่วยกันรุมชกต่อยอองรีจนหมอบลงไปกองกับพื้น ก่อนที่พนักงานในร้านจะช่วยกันแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกันสำเร็จ หญิงวัยกลางคนที่เป็นเจ้าของร้าน หยิบไมโครโฟน ขึ้นไปพูดบนเวทีเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ได้โปรดหยุด อย่ามีเรื่องกันอีกเลยนะคะ และกรุณาให้เกียรติแก่นักแสดงของเราด้วย เธอเป็นนักศึกษาทำงานหาเงินเพื่อเรียนหนังสือ เธอไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่พวกคุณคิด กรุณาให้เกียรติพวกเราด้วยนะคะ ที่นี่ขายแต่อาหารและการแสดงอันเป็นวัฒนธรรมของชาติเราเท่านั้นค่ะ”
บรรดาลูกค้าที่ก่อเรื่องพากันรู้สึกละอายใจ จึงหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อเป็นค่าอาหารแล้วชวนกันเดินออกไป
รจนารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาพบกับอองรีที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งในสวนด้านนอก เธอมาพร้อมกับผ้าขนหนูที่ห่อน้ำแข็งมาเต็มผืน แล้วนั่งลงข้างๆเขา ก่อนที่จะค่อยๆประคบร่องรอยฟกช้ำที่ปรากฏอยู่ทั่วใบหน้าของเขา อองรีต้องสะดุ้งเมื่อความเย็นของน้ำแข็งกระทบถูกบาดแผลจนรจนาต้องเบามือลง และก้มหน้าก้มตาทำให้โดยไม่ได้กล่าวอันใด
“คุณทำเช่นนี้ทำไม”อองรีถามอย่างอดรนทนไม่ไหว
“เรื่องอะไรหรือคะ”รจนาทำเป็นไม่รู้เรื่องในสิ่งที่เขาถาม
“คุณหนีหน้าผม ตัดการติดต่อจากผมทุกอย่าง”
“คุณได้ยินที่แม่ของฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือคะ ฉันกำลังจะแต่งงาน คงจะไม่เป็นการดีกระมังถ้ายังคงพบกับคุณอยู่” รจนากล่าวเรียบๆขณะยังคงประคบแผลให้เขาอยู่ ขณะที่อองรีรับฟังแล้วต้องถอนหายใจยาวๆออกมา
“คนดีๆอย่างคุณ ดีเสียจนโกหกไม่เป็น ผมดูผมก็รู้แล้วว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นไม่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริงของคุณ”
“นั่นก็เป็นสิทธิของคุณที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด”
“รจนา คุณจะให้ผมเข้าใจว่าคุณจะยอมแต่งงานกับผู้ชายที่คุณไม่ได้รัก เพียงเพราะว่าแม่ของคุณสั่งมาอย่างนั้นหรือ คุณเรียนหนังสือมาสูงขนาดนี้แล้ว ทำไมยังยอมให้คนอื่นมาบังคับชักนำเช่นนี้ได้”
“คุณไม่เข้าใจวัฒนธรรมของคนไทยหรอกค่ะ เราต้องเชื่อฟังพ่อแม่ของเรา เพราะท่านมีบุญคุณกับเราและผ่านโลกมามากกว่าเรา แล้วอีกอย่างคุณแน่ใจหรือว่าฉันไม่ได้รักพี่วัชรินทร์”
อองรีค่อยๆล้วงกล่องเล็กๆออกมาจากอกเสื้อของเขา แล้วหยิบแหวนทองผิวเกลี้ยงวงหนึ่งออกมา เขาค่อยๆประคองมือข้างซ้ายของเธอขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะบรรจงสวมแหวนวงนั้นลงบนนิ้วนางข้างนั้น โดยที่รจนาได้แต่มองดูอย่างไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืน คงมีแต่หยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างช้าๆ
“ผมเคยบอกว่าผมจะไม่ยอมให้นิ้วนางข้างนี้ของคุณสวมแหวนของคนอื่น”อองรีกล่าวอย่างหนักแน่นจนรจนาต้องร่ำไห้ออกมาในที่สุด และกล่าวว่า
“อองรี ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้กับฉันเลยค่ะ”
“หากคุณหมดรักผมในวันใด ให้คุณถอดออก จะทิ้ง จะขาย จะทำลาย ก็สุดแล้วแต่คุณ แต่โปรดอย่าส่งคืนให้กับผมเป็นอันขาด เพราะนั่นจะทำให้ผมต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องเห็นมัน”
รจนาสะอื้นร่ำไห้อย่างไม่อาจจะหักห้ามใจได้อีก เธอโผเข้าซบหน้ากับอกของเขาแล้วรำพึงรำพรรณว่า
“ขอให้คุณได้รู้ไว้ว่า ทุกสิ่งที่ฉันทำไป ฉันไม่ได้ทำเพราะสิ้นรักคุณ แต่ที่ฉันทำนั้น ฉันทำเพราะรักคุณ รักยิ่งกว่าสิ่งใดๆ”
อองรีค่อยๆยกแขนทั้งสองของเขาขึ้นมาโอบกอดรอบกายของเธอ ด้วยความรักและหวงแหนราวกับจะไม่ยอมให้เธอจากไป
วัชรินทร์ที่เพิ่งลงจากรถด้วยตั้งใจจะขับมารับรจนา ได้เดินผ่านมาและเห็นภาพเหตุการณ์นี้พอดี เขาหยุดมองดูคนทั้งสองคนอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ก่อนที่จะค่อยๆเดินกลับไปที่รถแล้วขับออกไปอย่างเงียบๆ
รจนาร้องไห้อยู่สักพักหนึ่ง จนเมื่อคลายความเศร้าโศกลงได้บ้างแล้ว เธอจึงรวบรวมความเข้มแข็ง ก่อนที่จะหยิบซองสีชมพูซองหนึ่งออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้แก่อองรี
“หมายความว่าอย่างไรครับ”อองรีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นรัวเช่นเดียวกับมือของเขา
“การ์ดงานหมั้นของฉันค่ะ อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ป่านนั้นคุณอาจจะบินกลับบ้านไปแล้วก็ได้ค่ะ ฉันแค่อยากจะแจ้งให้ทราบเท่านั้น เพราะอันที่จริงฉันก็ไม่อยากให้คุณไปงานของฉันอยู่แล้ว”
อองรีทั้งโกรธทั้งตกใจ ชั่วชีวิตของนักรักที่ได้ฉายาว่า เจ้าชายแห่งกรุงปารีส อย่างเขา ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาจะรู้สึกพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงมากเท่าครั้งนี้มาก่อน
“คุณทำเช่นนี้ได้อย่างไร คุณลืมความรักของเราที่เฝ้าฟูมฟักกันมาตลอดสามปีนี้ได้อย่างไร”
“คุณเองน่าจะรู้ดีกว่าฉัน เวลาคุณอยู่ที่ปารีส คุณทิ้งผู้หญิงแต่ละคน คุณเคยนึกถึงความหลังที่คุณมีต่อเธอหรือไม่คะ”
อองรีนิ่งอึ้งเมื่อถูกย้อนเอาเช่นนี้ หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า กฏแห่งกรรม ตามที่หลวงตาวัดท้ายบ้าน ได้สั่งสอนเขาเอาไว้ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังพยายามที่จะเถียงว่า
“นั่นไม่เหมือนกัน ผู้หญิงเหล่านั้นผมไม่เคยนึกรักเธออยู่แล้ว เช่นเดียวกับพวกเธอที่ไม่ได้รักผมเช่นกัน แต่รักเงินของผม รักความร่ำรวยของผม”
“ฉันก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ ฉันก็รักเงินของคุณ รักความร่ำรวยของคุณ และตอนนี้ฉันก็ได้พบกับคนที่ถึงแม้จะร่ำรวยไม่เท่ากับคุณ แต่เขาก็รักฉันไม่น้อยไปกว่าคุณและพร้อมที่จะอุ้มชูดูแล ฉันและแม่ตลอดไป”
อองรีโกรธจนแทบจะคุมอารมณ์ไม่อยู่ จึงถามเธออย่างเบาๆแต่เต็มไปด้วยความเสียดสีว่า
“บอกผมหน่อยสิ การทำเช่นนี้ต่างกับการขายตัวตรงไหน”
รจนารู้สึกโกรธขึ้นมาในทันทีเช่นกัน แม้จะรู้สึกผิดที่เป็นฝ่ายตั้งใจยั่วเขาก่อน
“ค่ะ ไม่ต่างกันหรอกค่ะ ฉันยอมรับว่าฉันอยากได้เงิน คุณล่ะคะ สนใจจะซื้อฉันบ้างไหมคะ”
อองรีผุดลุกขึ้นยืนทันที เขามองเธอด้วยความผิดหวังอย่างแรงก่อนที่จะกล่าวว่า
“ถ้าคุณอยากให้ผมเดินออกไปจากชีวิตของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องกระทำหรือพูดจาเยี่ยงนี้”กล่าวจบ เขาก็หันหลังแล้วเดินจากไปในทันที เขาเดินจากออกมาด้วยอารมณ์อันขุ่นมัว จนมานั่งที่ป้ายรถเมล์ที่ปากซอย อย่างไม่รู้ตัวว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่แล้วเขาก็อดคิดที่จะเป็นห่วงเธอขึ้นมาไม่ได้ จึงได้ลุกขึ้นแล้ววิ่งกลับไปที่ร้านอาหารในทันที รจนายังคงนั่งอยู่ที่เดิม เธอซบหน้าลงกับพื้นโต๊ะสะอึกสะอื้นร่ำไห้ด้วยความปวดร้าวใจ อองรีเห็นภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเช่นนั้น ก็บังเกิดความสงสารเห็นใจขึ้นมา เขาจึงได้เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างๆเธอพร้อมกับวางฝ่ามือลงบนไหล่ของเธออย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า
“กลับเถิดครับ ดึกมากแล้ว”
ทั้งสองคนพากันเดินไปตามทางโดยที่ไม่ได้พูดอันใดต่อกัน เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่า หากพูดอะไรออกไปในเวลาเช่นนี้ ก็มีแต่จะทะเลาะกันบานปลายยิ่งขึ้น จึงได้แต่เดินเคียงข้างกันไปอย่างเงียบๆ และต่างพากันคิดว่า บางทีคืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่ทั้งสองคนจะได้เดินเคียงข้างกันเช่นนี้ เพราะนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ชีวิตของทั้งสองคงไม่อาจเหมือนเดิมได้ต่อไปอีกแล้ว
ยามนั้นท้องถนนยังคงคับคั่งไปด้วยการจราจรที่เนืองแน่น และผู้คนยังคงเดินทางกันอย่างขวักไขว่ บนทางเท้าพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยริมทาง กำลังต่อรองราคาขายสินค้ากับนักท่องเที่ยวและผู้ที่เดินทางผ่านไปมาอย่างคึกคัก ทันใดนั้นเอง รจนาก็ได้ยินเสียงของอองรีกำลังโต้เถียงกับใครด้วยความโมโห เธอรีบหันหลังกลับไปดูก็พบว่าเขากำลังมีปากเสียงกับแม่ค้าคนหนึ่งที่ขายกระเป๋าอยู่ที่แผงลอยริมถนน
“มีเรื่องอะไรหรือคะ” รจนารีบถามเมื่อเห็นอองรีมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจ แม่ค้าผู้นั้นที่กำลังยืนกอดลูกสาววัยสิบขวบ ที่กำลังกลัวจนตัวสั่น ที่เห็นท่าทางโกรธกริ้วอันน่ากลัวของเขา
“ดูพวกนี้สิครับ เขาก็อปปี้แบบกระเป๋าของฟรังซัวร์มาขายในราคาถูกๆ ทำอย่างนี้ธุรกิจของคุณพ่อของผมก็แย่สิครับ”
รจนามองดูกระเป๋าที่อองรีถืออยู่ และก็เห็นเช่นเดียวกับเขาว่า เป็นกระเป๋ายี่ห้อฟรังซัวร์ที่ถูกทำเลียนแบบขึ้นมา
“พวกคุณทำกันเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับพวกหัวขโมย”อองรียังคงดุด่าแม่ค้าคนนั้นไม่หยุด รจนาจึงได้วางกระเป๋าปลอมใบนั้นลง แล้วฉุดมือของเขาเดินขึ้นสถานีรถไฟฟ้าไป
“ตามฉันมาค่ะ ฉันจะพาคุณไปดูอะไร” รจนากล่าวขณะพาอองรีเดินขึ้นบันไดเลื่อน แต่เมื่อขึ้นไปได้ไม่นาน รถตำรวจคันหนึ่งก็วิ่งมาจอดเทียบที่ข้างทางเท้านั้น ตำรวจสี่นายลงมาจากรถแล้วตรงเข้าทำการจับกุมสองแม่ลูกพร้อมกับกระเป๋าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ที่เป็นของกลางในทันที โดยมีฝรั่งต่างชาติสองคนยืนเท้าสะเอวมองดูการจับกุมด้วยความพอใจ ในขณะที่รจนาที่ยืนมองลงมาจากบันไดเลื่อนของสถานีรถไฟฟ้า ต้องมองเห็นภาพของเด็กน้อยร้องไห้ เพราะถูกตำรวจจับกุมไปพร้อมกับผู้เป็นแม่ด้วยความสะเทือนใจ
รจนาพาอองรีลงรถไฟฟ้าที่สถานีราชดำริแล้วเดินลิ่วตรงไปยังศูนย์การค้าหรูหราแห่งหนึ่งในย่านนั้น เพื่อตรงไปยังร้านค้าตัวแทนจำหน่ายสินค้าของฟรังซัวร์ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ที่เปิดร้านขายอยู่ในห้างนั้น แล้วชี้ให้เขาดูผู้คนที่กำลังจับจ่ายอยู่ในร้านนั้นกันอย่างคึกคัก เนื่องจากช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ กำลังจะมาถึง
“คุณดูคนเหล่านั้นสิคะ ลูกค้าของคุณทั้งนั้น คนระดับนี้ เขาไม่มาซื้อสินค้าที่วางขายอยู่ริมถนนหรอกค่ะ และเช่นเดียวกับคนที่ซื้อสินค้าริมถนน เขาก็ไม่สามารถมาซื้อสินค้าราคาแพงๆในร้านของคุณได้เช่นกัน คนเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ค่ะ เขาดูออกว่าอะไรของจริงอะไรคือของเลียนแบบ แม่ค้าริมถนนเขาเอาของปลอมมาขาย แต่เขาก็ขายในราคาของปลอม ใบละสองร้อยสามร้อย ไม่ใช่ว่ามาหลอกขายใบละสองสามหมื่นบาทอย่าง....”รจนาหยุดพูดในทันทีเมื่อสายตาของเธอเหลือบไปเห็นกระเป๋าใบหนึ่งที่ตั้งโชว์ในครอบกระจก พร้อมกับมีป้ายประกาศว่า “สินค้ามาใหม่” ถัดมามีป้ายประกาศอีกอันหนึ่ง เขียนว่า “สินค้าขายดี”
“นี่มัน.... นี่มัน... กระเป๋าที่ฉันออกแบบนี่คะ”
อองรีหันไปดูตามที่เธอชี้ แล้วก็เห็นเช่นเดียวกัน เป็นแบบของกระเป๋าที่รจนาเคยออกแบบเมื่อสองปีที่แล้ว และได้รับคะแนนเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียน และอองรีเคยนำแบบที่เธอออกนี้ ส่งไปเสนอแก่พ่อของเขา แต่เรื่องก็เงียบหายไป จนเขาเข้าใจว่า คงไม่ผ่านการพิจารณา แต่เวลานี้ กระเป๋าที่เกิดจากความคิดของเธอ ได้มาวางขายอยู่ที่เบื้องหน้านี้แล้ว อองรีสับสนและละอายใจจนไม่รู้ที่จะกล่าวอันใด ตรงข้ามกับรจนาที่กล่าวอย่างไม่พอใจว่า
“พวกคุณ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ร้อยกว่าปีก่อนพวกคุณเอาเปรียบ รังแกประเทศของฉันอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ทีคนไทยลักลอบปลอมแปลงสินค้าของพวกคุณ พวกคุณทำราวกับจะเป็นจะตาย เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แล้วทีพวกคุณขโมยความคิดของฉันเล่า ไม่ผิดใช่ไหม...”
รจนากล่าวแล้วก็หลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งด้วยความคับแค้นใจ เธอสะบัดแขนจากการพยายามเกาะกุมของอองรี ก่อนที่จะเดินออกจากห้างแล้วเรียกรถแท็กซี่ โดยที่อองรีต้องรีบวิ่งตามมาแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับได้ทันพอดีก่อนที่รถจะออกและพามาส่งที่สถานีตำรวจตามที่รจนาว่าจ้างมา
ภาพที่ปรากฏต่อหน้าเธอที่สถานีตำรวจนั้น เป็นภาพที่ชวนให้เวทนายิ่งนัก แม่ค้าที่ขายกระเป๋าถูกจับเข้าห้องขังโดยมีบุตรสาวตัวน้อยนั่งร้องไห้เกาะลูกกรงอยู่ภายนอกโดยมีลูกกรงเหล็กคั่นกลางระหว่างสองแม่ลูกผู้น่าสงสาร รจนาพยายามไปอ้อนวอนขอร้องตำรวจให้เห็นแก่เมตตาธรรม แต่ร้อยเวรผู้นั้นก็กล่าวด้วยความเห็นใจว่า เขาจำเป็นต้องทำตามหน้าที่ เพราะคดีนี้ เจ้าทุกข์คือบริษัทจากต่างประเทศ ที่แต่งตั้งทนายให้มาแจ้งความดำเนินคดีมานานแล้ว เมื่อรจนาสอบถามถึงวงเงินประกันตัว ก็ได้รับคำตอบเป็นตัวเลขที่สูงเกินกว่าความสามารถของเธอที่จะช่วยได้ เธอได้ขออนุญาตร้อยเวรผู้นั้น เพื่อขอเข้าไปนั่งคุยกับผู้ต้องขังและบุตรสาวใกล้ๆ เพื่อปลอบโยนและสอบถามว่า ทั้งสองมีญาติพี่น้องหรือไม่อย่างไร และคำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ทั้งสองคนอยู่กันตามลำพัง ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก ทำให้รจนาเป็นห่วง น้องปลา เด็กผู้หญิงคนนั้นยิ่งนัก เพราะหากแม่ต้องได้รับโทษเช่นนี้แล้ว เด็กผู้หญิงอายุเพียงเท่านี้ จะอยู่ตัวคนเดียวตามลำพังได้อย่างไร
เธอตัดสินใจเฉพาะหน้าด้วยการขออนุญาตแม่ของเด็กให้เด็กได้มาอยู่กับเธอก่อน เพราะหากว่าอยู่ที่นี่แล้ว คงไม่เป็นผลดีทั้งต่อสุขภาพและจิตใจของเด็กน้อย ทีแรกผู้เป็นแม่ไม่ยินยอม เพราะเกรงว่ารจนาจะมาหลอกเอาลูกสาวเธอไป รจนาจึงต้องให้ความมั่นใจโดยการให้ตำรวจลงบันทึกประจำวัน พร้อมทั้งบันทึกบัตรประชาชนและบัตรนักศึกษา ของเธอเอาไว้เป็นหลักฐาน ผู้เป็นแม่จึงยินยอมให้พาบุตรสาวของเธอไปได้
ขณะที่รจนากำลังให้ตำรวจทำการลงบันทึกประจำวันไว้อยู่นั้น อองรีได้โทรศัพท์ทางไกลไปฝรั่งเศส เพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงได้ทราบว่าทางบริษัท มีการโยกย้ายแต่งตั้งผู้จัดการแผนกออกแบบคนใหม่ ซึ่งคาดว่าคงจะปัดฝุ่นเอาแบบที่อองรีเคยเสนอไปเมื่อสองปีก่อนกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ปิแอร์รับปากที่จะทำการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ รวมทั้งจ่ายค่าตอบแทนให้แก่รจนา ผู้ออกแบบตัวจริงด้วยตามที่อองรีร้องขอมา
รจนาจูงมือปลาลงมาจากบนโรงพัก เธอเปิดกระเป๋าเงินเพื่อตรวจดูจำนวนเงินว่ามีมากน้อยเพียงใด ก่อนที่จะตัดสินใจเรียกรถแท็กซี่ ให้ไปส่งที่ ถนนข้าวสาร ที่เธอเข้าใจว่าน่าจะมีห้องพักราคาถูกๆให้เช่าได้ แต่อองรีที่ติดตามมาแล้วขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ได้บอกแก่คนขับรถว่า
“ไม่ต้องไปถนนข้าวสารหรอกครับ ไปโรงแรมดุสิตธานีแทน”
รจนารับฟังด้วยความขุ่นเคืองใจ เธอไม่คิดว่าอองรีทำด้วยความหวังดี แต่กลับคิดว่าเขาเจตนาที่จะยั่วเธอ เพราะหากไม่ต้องการให้เธอไปพักตามโรงแรมที่แถวถนนข้าวสารแล้ว ทำไมไม่เลือกโรงแรมอื่นๆที่อยู่แถวนี้ ทำไมต้องเจาะจงว่าเป็นโรงแรมดุสิตธานี โรงแรมที่จะเป็นสถานที่จัดงานหมั้นของเธอในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ