มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  25.83K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) บทที่ 13

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 13

ความรักระหว่างอองรีและรจนานับวันก็ยิ่งเบ่งบานและแนบแน่นขึ้น มีบ้างที่เคยผิดใจกัน ทะเลาะกัน แง่งอนกันไปมา แต่เมื่อปรับความเข้าใจกันแล้ว ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกที่มีต่อกันนั้น ผูกพันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก แม้จะเป็นเวลาปิดภาคเรียน ที่อองรีต้องเดินทางกลับบ้านของเขา แต่ทั้งสองคนก็ไม่รู้สึกห่างเหินกันเท่าใดนัก เพราะเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบัน ทำให้สามารถติดต่อถึงกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และยังสามารถพูดคุยกันแบบสามารถเห็นหน้าของอีกฝ่ายได้ จึงทำให้ถึงแม้ตัวจะห่างกันเพียงใด แต่หัวใจของทั้งสองคนแล้ว กลับไม่เคยรู้สึกห่างกันเลย

ในเดือนสิงหาคม ปีถัดมา รจนาก็ได้รู้จักกับ ปิแอร์ บิดาของอองรีที่เดินทางมาเพื่อตรวจเยี่ยมกิจการสาขาที่นี่ และถือโอกาสมาเยี่ยมบุตรชายด้วย เดิมทีรจนารู้สึกหวั่นใจเมื่ออองรีชวนให้เธอไปร่วมทานข้าวกับบิดาของเขา ด้วยรู้สึกหวั่นเกรงในบารมีของคนที่เป็นมหาเศรษฐีระดับโลก แต่เมื่อได้พบกับตัวจริงของปิแอร์แล้ว เธอกลับพบว่า เขามีความเรียบง่าย เป็นกันเองและไม่ถือตัว เช่นเดียวกับอองรีผู้เป็นบุตรชาย

เมื่อเธอเรียนมาจนถึงเทอมสุดท้ายของการศึกษาแล้ว อองรีได้แนะนำว่าเธอควรจะไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส เพราะที่นั่นจะเป็นที่ๆสอนเธอเกี่ยวกับแฟชั่นและการออกแบบได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ความจริงแล้ว รจนาไม่เคยมีความคิดที่จะไปเรียนต่อยังต่างประเทศมาก่อนเลย เพราะรู้สึกเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝันสำหรับเธอ แต่เมื่ออองรีได้อธิบายให้เธอฟังถึงอนาคตของเธอที่จะสดใสเพียงใด หากสำเร็จการศึกษามาจากฝรั่งเศส เธอจึงได้นำเรื่องนี้มาปรึกษากับ อาจารย์นงนุช ซึ่งนงนุชก็สนับสนุนเต็มที่เช่นกัน เพราะเห็นว่าเธอเป็นเด็กที่มีอนาคตคนหนึ่ง รจนาเมื่อได้รับฟังความเห็นจากหลายๆฝ่ายแล้ว จึงได้ตัดสินใจยื่นใบสมัครเพื่อขอรับทุนไปศึกษาต่อที่นั่น โดยมีอองรีคอยช่วยเหลือในเรื่องการหาข้อมูลของมหาวิทยาลัยต่างๆที่นั่น มาให้เธอพิจารณา

รจนาดำเนินเรื่องทั้งหมดโดยที่ไม่ได้ปรึกษาหรือขอความเห็นจากพ่อและแม่ของเธอเลย เพราะเธอคิดว่าเธอคงจะไม่มีโอกาสได้รับทุนตามที่ขอ เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงมาก คงไม่มีมหาวิทยาลัยแห่งใดออกทุนให้แก่เธออย่างแน่นอน แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น เมื่อมหาวิทยลัยแห่งหนึ่งในกรุงปารีส ยินดีให้ทุนการศึกษาแก่เธอเพื่อไปศึกษาต่อที่นั่น ในระดับปริญญาโท โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆทั้งสิ้น เธอรีบนำข่าวดีนี้มาบอกแก่อองรีด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ที่ทั้งสองคนมักจะนัดพบกันเป็นประจำ

“ฉันได้แล้ว อองรี ฉันได้ทุนแล้ว”รจนาร้องด้วยความดีใจมาแต่ไกล อองรีรวบเอวของเธอแล้วยกตัวเธอจนลอยขึ้นจากพื้นก่อนที่จะหมุนไปรอบๆด้วยความดีใจ โดยไม่ได้สนใจสายตาของคนรอบข้างแต่อย่างใด

สุดสัปดาห์นั้นรจนาได้กลับไปที่บ้านของเธอเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้แก่บิดามารดาทราบ ตอนแรกทั้งสองคนมีอาการตกใจด้วยความเป็นห่วงที่ลูกสาวคนเดียวจะต้องไปเรียนต่อไกลถึงยังประเทศฝรั่งเศส แต่เรืองดูเหมือนจะคิดได้ถึงประโยชน์ที่บุตรสาวจะได้รับ จึงกล่าวสนับสนุน และแสดงความดีใจไปกับรจนาด้วย ตรงกันข้ามกับราตรีที่ยังมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด

“จะเรียนไปทำไมนักหนา แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ”ราตรีพยายามทักท้วงแต่เรืองก็ช่วยบุตรสาวว่า

“ให้ลูกไปเรียนเถิด ไหนๆก็เรียนมาถึงเพียงนี้แล้ว อีกแค่สองปีจะเป็นไรไปเชียว เราจะได้มีหน้ามีตา มีลูกสาวเรียนจบจากเมืองนอกเมืองนาเหมือนกัน”

“ให้รจนาไปเรียนเถิดครับ”อองรีช่วยเกลี้ยกล่อมอีกคน “เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ ถ้าได้อาจารย์ดีๆช่วยแนะนำขัดเกลาเพิ่มให้อีกสักหน่อย อนาคตของเธอจะไปไกลมากเลยครับ”

“แล้วจะไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวได้อย่างไรกัน”ราตรีเผยความเป็นห่วงออกมา

“อย่าเป็นห่วงเลยครับ ผมจะช่วยดูแลคุ้มครองเธออย่างดีที่สุด”

ราตรีมองดูอองรีแล้วหันมามองบุตรสาวสลับกันไปมาด้วยความรู้สึกยังไม่คลายความกังวล รจนาทราบถึงความรู้สึกของผู้เป็นแม่ จึงกุมมือของเธอไว้แล้วกล่าวว่า

“แม่จ๋า หนรู้ว่าแม่เป็นห่วง แต่เชื่อใจหนูนะ หนูจะไปเรียน หนูจะไม่ทำอะไรที่เสียหายหรือเสื่อมเสียให้แม่ต้องเสียใจเด็ดขาด แม่เชื่อใจหนูนะ แค่สองปีเท่านั้น แล้วหนูจะเอาความสำเร็จกลับมาหาพ่อกับแม่ให้ได้”

ราตรีเห็นความมุ่งมั่นของบุตรสาวเช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจขัดใจได้ คืนนั้นก่อนเข้านอนเธอได้เปิดลิ้นชักที่หัวเตียงแล้วหยิบบันทึกเก่าๆเล่มหนึ่งออกมา ภายในบันทึกเล่มนั้นมีรูปภาพใบหนึ่งเหน็บอยู่ เธอหยิบภาพนั้นออกมาดูอีกครั้งหนึ่ง ภาพของหญิงชายที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับรจนาและอองรี เธอมองดูภาพนั้นแล้วก็รำพึงในใจว่า

“ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันควรจะทำอย่างไรดี”

เสียงของแม่ชีสงวนผู้นำบันทึกและรูปภาพนี้มาให้ ก่อนที่แกจะสิ้นบุญ ได้ดังขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง

“ทั้งคู่ไม่เพียงแค่เป็นเนื้อคู่กันแต่ยังเป็นคู่อาฆาตพยาบาทที่จองเวรผูกพันกันมาหลายชาติแล้ว”

เวลาผ่านไป รจนาต้องยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวสอบภาคปลายและเตรียมตัวที่จะเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ยิ่งใกล้วันเวลาเข้ามาเพียงใด เธอก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นระคนหวาดกลัว จนบางครั้งนึกท้อใจไม่อยากที่จะไปศึกษาต่อแล้ว แต่เมื่อนึกถึงอนาคตอันสดใสที่รออยู่เบื้องหน้าแล้ว ก็ทำให้เธอมีวิริยะมานะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ได้บังเกิดขึ้น ก่อนที่เธอจะออกเดินทางเพียงแค่เดือนเศษๆเท่านั้น เมื่อเรืองบิดาของเธอได้เสียชีวิตกระทันหันด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน การสูญเสียบิดาไปอย่างไม่ทันคาดคิดนี้ ทำให้เธอตกใจและเสียใจจนทำอะไรไม่ถูก ยิ่งได้เห็นความโศกเศร้าของผู้เป็นมารดาด้วยแล้ว เธอก็บังเกิดความกังวลใจว่า จะปล่อยให้แม่ของเธออยู่ตามลำพังเช่นนี้ได้อย่างไร

งานศพของเรืองถูกจัดแบบเรียบง่ายตามวิถีของชาวชนบท อองรีมาอยู่ช่วยงานและค้างคืนอยู่ที่วัดตลอดเวลา 3 วันที่มีงานศพ หลังจากจบงานในคืนวันสุดท้าย รจนาได้บอกแก่อองรีว่า เธอคงไม่สามารถไปเรียนต่อต่างประเทศได้แล้ว เพราะเป็นห่วงราตรีที่ต้องอยู่ตามลำพังที่นี่ อองรีรับฟังด้วยความเข้าใจ แม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของเธอ แต่เขาก็ทราบดีว่า ช่วงนี้ รจนาได้พบกับความเศร้าโศกมามากพอแล้ว จึงไม่อยากหาเรื่องหนักใจมารบกวนเธออีก เขาจึงได้แต่ปลอบใจเธอว่า

“เอาไว้รอโอกาสหน้า เมื่อคุณพร้อมจึงค่อยเสนอเรื่องขอทุนใหม่ก็ได้”

รจนารับคำด้วยความสิ้นหวังเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่อองรีพยายามจะปลอบโยนเธอนั้น คงไม่อาจที่จะเป็นจริงได้อีกแล้ว

ตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นกำหนดการเผาศพนั้น รจนาก็ต้องประหลาดใจที่วัชรินทร์ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย เขาเดินลงมาจากรถเก๋งเข้ามากราบราตรี และกล่าวแสดงความเสียใจกับรจนา

“พี่เข้ามาธุระที่กรุงเทพฯได้ทราบข่าวจากกุลวดี จึงได้รีบมา”

“ขอบคุณพี่มากค่ะ” รจนากล่าวแล้วเชื้อเชิญให้วัชรินทร์ไปนั่งตามที่นั่งที่จัดไว้ วัชรินทร์กวาดสายตามองดูแขกที่มาร่วมในงาน แล้วก็ได้ประสานสายตากับอองรีที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง ทั้งสองคนค้อมศีรษะให้แก่กันและกัน เพื่อเป็นการทักทาย

หลังจากนั้นก็เริ่มทำพิธีเคลื่อนศพรอบเชิงตะกอน รจนาในฐานะบุตรสาวคนเดียว ทำหน้าที่เป็นผู้ถือกระถางธูปเดินนำหน้าขบวนด้วยน้ำตาที่อาบนองใบหน้าเช่นเดียวกับราตรีที่เดินเกาะแขนวัชรินทร์ตามมาทางด้านหลัง ส่วนอองรีนั้นเดินปะปนอยู่กับผู้ที่มาร่วมงานคนอื่นๆ และเดินจนครบสามรอบ จึงได้เคลื่อนศพขึ้นสู่เชิงตะกอน

หลังจากส่งศพเข้าเตาแล้วจุดไฟเผาแล้ว ผู้ที่มาร่วมงานต่างพากันทยอยกันกลับ คงเหลือแต่วัชรินทร์ที่ยืนคุยอยู่กับรจนาตามลำพัง ในขณะที่อองรีก็นั่งคุยอยู่กับสิงห์ ทั้งๆที่สายตาจับจ้องการคุยกันของทั้งสองคนอย่างไม่วางตา

“จากนี้ไปต้องทำอย่างไรต่อไปครับ”อองรีแสร้งถามสิงห์เพื่อแสดงความสนใจในพิธีกรรมเผาศพของคนไทย

“ก็ต้องรอจนไฟมอด จึงจะเก็บอัฐิเถ้ามาบรรจุไว้ในโกศ”

“ถ้าเราไม่เผาแต่ใช้วิธีฝังจะได้ไหมครับ”

“ฝังก็ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องขุดขึ้นมาเผาเช่นกัน คนไทยเชื่อว่าการเผาศพคือการส่งวิญญาณของผู้ตายให้ไปขึ้นสวรรค์”สิงห์กล่าวแล้วเหลือบตาดูก็พบว่าอองรีกำลังให้ความสนใจในการสนทนาของรจนากับวัชรินทร์อยู่ จึงกระเซ้าว่า

“นั่นใครล่ะ ทำไมจึงปล่อยให้คุยกับยัยรจตามลำพังเช่นนี้ ไม่หึงหรือ”

“หึง?”อองรีทวนคำพลางครุ่นคิดว่าตัวเองเป็นดังที่สิงห์กล่าวหรือไม่ “ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อใจเธอ”

“เชื่อใจเธอ แล้วเชื่อใจตัวเองหรือเปล่า ดูสิหน้าบึ้งเป็นยักษ์เชียว”

คืนนั้นหลังจากที่รจนาดูแลให้ราตรีเข้านอนเรียบร้อยแล้ว เธอก็ออกมานั่งคุยกับอองรีที่สนามหน้าบ้าน ข้างๆแปลงกุหลาบที่ทั้งสองซื้อมาปลูกร่วมกันในคราวก่อน ทั้งสองคนนั่งเคียงข้างกันอยู่บนม้านั่งยาว ต่างคนต่างเหม่อมองออกไปในท้องฟ้าที่มืดมิด โดยที่ไม่มีผู้ใดเริ่มต้นกล่าวอันใด ทั้งๆที่ต่างมีเรื่องที่อยากจะคุยกันอย่างมากมาย รจนาเหลือบมองดูอองรีที่มีอาการเงียบขรึมตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว ทำให้เธอคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นเพราะการมาของวัชรินทร์ ซึ่งเธอเองก็ไม่สบายใจในเรื่องนี้เช่นกัน ในที่สุดจึงค่อยๆเลียบเคียงเล่าว่า

“พี่วัชรินทร์เขามาประชุมที่กรุงเทพฯแล้วได้ข่าวว่าพ่อของฉันเสีย เขาจึงมาร่วมงานด้วย”

“ดีจังครับที่เขามา ผมไม่ได้เห็นคุณมีความสุขเช่นนี้มาหลายวันแล้ว”

รจนาจับน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจของเขาออกมาได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่พอใจในคำพูดประชดประชันของเขาเช่นกัน จึงแกล้งกล่าวต่อไปว่า

“ค่ะ นานๆพบกันทีก็อดที่จะคิดถึงกันไม่ได้ พี่หมอเขาทำงานใช้ทุนหมดแล้ว เวลานี้กำลังจะเปิดคลีนิคของตนเองอยู่”

“หรือครับ”อองรีกล่าวสั้นๆอย่างไม่สนใจ

“พี่หมอเขาว่าเขาจะไม่กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เขาอยากอยู่ทำงานที่หนองคายสร้างเนื้อสร้างตัวที่นั่น เขาอยากให้ฉันไปช่วยงานที่คลีนิคที่กำลังจะเปิดด้วย”

“แล้วคุณคิดอย่างไร”

“ฉันขอเวลาคิดดูก่อน”

อองรีรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันที เพราะในความเข้าใจของเขา การที่ผู้หญิงไทยบอกว่า คิดดูก่อนนั้น ความหมายคือยอมรับแล้ว เขาจึงกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า

“คุณยอมทิ้งอนาคตของคุณโดยการยกเลิกการไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส เพราะคุณเป็นห่วงคุณแม่ของคุณ ไม่อยากทิ้งท่านไว้ตามลำพัง แล้วการที่คุณจะไปอยู่ที่หนองคายนั้นไม่เป็นการทิ้งท่านไว้ตามลำพังหรือ”

“อองรี คุณต้องเข้าใจนะคะ เมื่อไม่มีพ่อแล้ว ครอบครัวของฉันจะมีรายได้จากทางใด ฉันต้องทำงานแล้วค่ะ ฉันไม่อาจที่จะเรียนหนังสือได้อีกต่อไปแล้ว”

“ทำงาน? คุณคิดว่าการที่คุณไปทำงานเป็นเสมียนที่คลินิก คุณจะได้เงินสักเท่าไรกัน”

“พี่หมอเขาไม่ได้ขอให้ฉันไปเป็นลูกจ้างของเขาหรอกคะ” รจนากล่าวเบาๆด้วยความยากลำบาก

“ถ้าเช่นนั้น เขาต้องการอะไร”อองรีถามด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นในคำตอบที่จะได้ฟัง

“เขาขอฉันแต่งงาน!”

“ว่าไงนะครับ!”อองรีร้องเสียงดังด้วยความตกใจ จนรจนาต้องปรามให้หรี่เสียงลง

“เบาๆค่ะ เดี๋ยวแม่จะตื่น”

“ขอคุณแต่งงานในระหว่างงานศพของพ่อของคุณนี่นะครับ”อองรีหรี่เสียงลงแต่ก็ยังคงกล่าวอย่างไม่พอใจ รจนาพยักหน้าโดยไม่กล้าสบตากับเขา อองรีระบายลมหายใจออกมาทางปากอย่างแรงก่อนที่จะกล่าวว่า

“ผมรักและเคารพในคนไทยและวัฒนธรรมของคนไทยเสมอมา ก่อนที่ผมจะมาที่นี่ คุณพ่อของผมได้เตือนแล้วเตือนอีกในเรื่อการแสดงออกต่อผู้หญิงไทย ผมรู้จักกับคุณ ผมรักคุณ ผมอยากจะกอดคุณ ผมอยากจะจูบคุณ แต่ผมก็ต้องหักห้ามใจ เพราะวัฒนธรรมไทยไม่อนุญาตให้แสดงความรักกันอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าการแสดงความรักกันนั้นไม่ดีไม่งามตรงไหน แต่ถึงกระนั้นผมก็ให้ความเคารพและให้เกียรติเสมอมา ผมไม่คิดเลยว่าคนไทยแท้ๆเช่นหมอวัชรินทร์จะกล้าขอคุณแต่งงานในงานศพของคุณพ่อของคุณ เรื่องอย่างนี้ฝรั่งที่บ้านผมยังไม่กล้าที่จะทำกันเลยครับ”

รจนารับฟังอองรีระบายความในใจด้วยความรู้สึกเข้าใจและรักในตัวเขามากขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดที่จริงจังและมาจากใจของเขาเช่นนี้

“ฉันก็ไม่ได้รับปากกับพี่เขาสักหน่อย”

“แต่คุณก็ไม่ปฏิเสธในทันที สำหรับผู้หญิงไทยแล้ว การคิดดูก่อนคือการตอบรับไม่ใช่หรือครับ”

“คุณนี่ เลิกคิดแบบตรรกะบ้าๆอะไรของคุณนี่สักทีเถิด”

“หรือว่ามันไม่จริงเล่าครับ ถ้าผู้หญิงไทยบอกว่าคิดดูก่อน นั่นหมายถึงยอมรับ ถ้าบอกว่าไม่นั่นหมายถึงขอคิดดูก่อน แต่ถ้าบอกว่าใช่ในทันที นั่นไม่ใช่ผู้หญิงไทย”

รจนาต้องหัวเราะออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า

“เป็นแค่คำพูดเปรียบเทียบสนุกๆ คุณอย่าไปจริงจังเลยค่ะ”

“แต่คุณก็ยังไม่ได้ปฏิเสธเขาไป”อองรียืนกรานคำพูดอีกครั้ง

“เอาเถิดค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะโทรไปปฏิเสธเขา พอใจหรือยังคะ พ่อเงาะป่า”เธอแกล้งยั่วเพื่อให้เขามีอารมณ์ดีขึ้น

“สัญญานะครับ”อองรีกล่าวพร้อมกับชูนิ้วก้อยข้างขวาขึ้นมาเบื้องหน้า รจนายื่นนิ้วของเธอเข้ามาเกี่ยวกับนิ้วของเขา แล้วกล่าวรับคำว่า

“สัญญาค่ะ”

ทั้งสองคนยืนเกี่ยวก้อยกันค้างกันอยู่เช่นนั้น สายตาทั้งสองคู่สอดประสานกัน แม้ในแสงอันมืดสลัวของยามค่ำคืนก็ยังคงมองเห็นประกายแวววาวที่ระยิบระยับออกมาจากดวงตาของกันและกัน อองรีค่อยๆโน้มกายลงมาจนจมูกของเขาสัมผัสกับแก้มที่หอมกรุ่นของเธอ รจนาเอียงหน้าหลบไปเล็กน้อยก่อนที่จะยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขึ้นมากั้นกลาง

“ยังอยู่ในวันเผาศพของพ่อของฉันอยู่นะคะ”เธอกล่าวเบาๆเพื่อเตือนสติเขา อองรีรู้ตัวขึ้นมาจึงค่อยๆถอนจมูกของเขาออกมาให้ห่างจากแก้มของเธอด้วยความเสียดาย

“กลับได้แล้วล่ะค่ะ ดึกแล้ว เดี๋ยวพี่สิงห์จะคอยนาน”

อองรีรับคำแล้วลุกขึ้นยืน พร้อมกับจับมือข้างซ้ายของเธอขึ้นมากุมอยู่ตรงหน้าแล้วพูดว่า

“นิ้วนางข้างนี้ อย่าสวมแหวนของใครนอกจากของผมนะครับ”

กล่าวจบแล้ว ริมฝีปากของเขาก็สัมผัสกับริมฝีปากของเธออย่างรวดเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว มารู้สึกตัวอีกครั้งเขาก็เดินออกไปได้2-3ก้าวแล้ว ก่อนที่จะหันมาแล้วใช้มือส่งจูบให้กับเธออีกครั้งหนึ่ง รจนายืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่เป็นเวลานาน ได้แต่เอื้อมนิ้วขึ้นมาสัมผัสที่ริมฝีปากของตนเองเบาๆ และเคลิบเคลิ้มราวกับต้องมนต์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา