มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  25.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทที่ 10

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 10

“คุณจะไม่อยู่ร่วมงานลอยกระทงที่มหาวิทยาลัยหรือครับ”อองรีร้องอย่างตกใจเมื่อทราบว่ารจนาจะไม่อยู่ร่วมงานในคืนนั้น

“พอดีตรงกับวันเกิดของฉันพอดีค่ะ ฉันจึงอยากกลับบ้านไปทำบุญกับพ่อกับแม่”

“เลื่อนกลับไปวันอื่นไม่ได้หรือครับ ผมคงไม่สนุกแน่ถ้าไม่มีคุณ”

“ฉันคิดว่าคุณคงสนุกกับการขายน้ำ จนลืมฉันเสียมากกว่า”รจนากระเซ้าตอบ

กุลวดีเดินอย่างรวดเร็วเข้ามาหาทั้งสองคนที่กำลังนั่งคุยกันอยู่แล้ว บอกแก่รจนาว่าพี่ปี4 ต้องการพบกับเธอเดี๋ยวนี้ รจนาจำต้องเดินตามกุลวดีไปพบรุ่นพี่ด้วยความสงสัย และเมื่อได้พบกับจินตนาที่เป็นหัวหน้าชั้นปี4 จึงได้ทราบว่า จินตนาต้องการให้เธอเป็นนางนพมาศตัวแทนของคณะ ในปีนี้

“แต่รจเป็นมาแล้วในปีก่อน ปีนี้น่าจะให้น้องๆปีหนึ่งได้แสดงบ้าง”

“พี่มองดูแล้ว ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับเธอเลย”จินตนากล่าวแล้วอ้อนวอนว่า “นะจ๊ะรจ ถือว่าทำเพื่อคณะของเราอีกสักครั้ง น้องปีหนึ่งที่พอดูได้ ก็ดันสวยสไตล์เกาหลีไปเสียนี่ พี่ว่าเธอนี่แหละสวยแบบไทยๆดี”

“แต่ว่าวันนั้นตรงกับวันเกิดของรจพอดี รจตั้งใจว่าจะกลับไปทำบุญกับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน”

“เลื่อนไปสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก” กุลวดีกล่าวเสริม “ถ้าเธอไม่ลงนะ พวกเด็กวิศวะต้องล้อพวกเราตายเลย”

เมื่อถูกทั้งเพื่อนและรุ่นพี่รุมเร้าเอาเช่นนั้นเธอจึงจำยอมต้องรับปาก ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้กลับไปบ้านในวันเกิดเพื่อไปทำบุญตามที่ได้ตั้งใจไว้ แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกยินดีที่จะได้อยู่ร่วมสนุกในงานลอยกระทงปีนี้ที่จะมีอองรีอยู่ด้วยนั่นเอง

ในวันลอยกระทงนั้น อองรีไม่ได้พบกับรจนาเลย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตน อองรีต้องติดต่อกับรถส่งน้ำและน้ำแข็ง อีกทั้งต้องจับจองสถานที่บริเวณรอบสระน้ำของมหาวิทยาลัย ที่จะใช้ขายน้ำ ขณะเดียวกัน รจนาก็ต้องช่วยเหลือเพื่อนๆที่คณะทำการประดิษฐ์กระทงแล้วยังต้องเตรียมตัวแต่งหน้าทำผม เพื่อเตรียมตัวเป็นนางนพมาศในคืนนี้อีกด้วย

เมื่อแดดร่มลมตก ผู้คนก็เริ่มหนาตาขึ้น เพลงลอยกระทงล่องลอยมาให้ได้ยินไม่ขาดระยะ อากาศกำลังเย็นสบาย หนุ่มสาวหลายคนควงกันมาเป็นคู่ๆ เพื่อมาลอยกระทงในสระน้ำ รวมทั้งมาหาซื้อของกินของใช้ ที่บรรดานักศึกษาพากันมาเปิดร้านขายของกันอย่างคึกคัก

อองรีขายน้ำร่วมกับเพื่อนๆด้วยความสนุกสนาน และยอมรับความจริงตามที่รจนาได้กล่าวไว้ว่า การขายน้ำนั้น ขายได้ง่ายและกำไรดี เพียงแค่ยังไม่ถึง 2 ทุ่ม เขาก็ขายน้ำไปได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว เมื่อถึงเวลา 3 ทุ่มตรง ดวงจันทร์เต็มดวงฉายแสงนวลตาอยู่บนท้องฟ้า เสียงพิธีกรจัดงานได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงเพื่อขอเปิดทางให้ขบวนของนางนพมาศเข้ามาในงาน จากนั้นพิธีกรก็เริ่มประกาศรายชื่อของนางนพมาศตัวแทนของแต่ละคณะ ซึ่งเมื่อประกาศชื่อของใครแล้วนางนพมาศผู้นั้นก็จะเดินเข้ามาแล้วไปหยุดอยู่ที่ริมสระน้ำ ท่ามกลางเสียงตบมือของผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบข้างที่ต่างพากันตบมือให้เกียรติแก่บรรดานางนพมาศเหล่านั้น รวมทั้งให้กำลังใจผู้ที่ตนรู้จักหรือเป็นตัวแทนของคณะที่ตนกำลังศึกษาอยู่ อองรีขายน้ำไป หูก็เงี่ยฟังเสียงพิธีกรที่ประกาศรายชื่อของนางนพมาศแต่ละคนด้วยความตื่นเต้นและวุ่นวายใจ จนแทบไม่มีสมาธิที่จะขายน้ำต่อไป และเมื่อพิธีกรขานชื่อรจนาออกมา เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่า แผ่นดินรอบข้างกำลังสั่นสะเทือนไปด้วยเสียงโห่ร้องและตบมือที่ดังกึกก้อง อองรีพยายามจะชะเง้อมองไปยังลานที่บรรดานางนพมาศยืนอยู่ ขณะที่ยังคงรินน้ำให้แก่ลูกค้าจนเผลอรินน้ำหกล้นแก้วออกมา เขารีบกล่าวคำขอโทษ ก่อนที่จะฝากหน้าที่ต่อให้เพื่อนช่วยดูแล ส่วนตัวเขานั้นได้รีบวิ่งไปเบียดเสียดกับผู้คนเพื่อมองหารจนาในทันที

เธออยู่ในชุดไทย ห่มสไบเฉียงสีฟ้า ยืนเคียงข้างกับบรรดานางนพมาศคนอื่นๆ อยู่บนขั้นบันไดของสระน้ำ ในขณะที่แสงไฟจากล้องถ่ายรูปพากันส่งแสงเป็นประกายกันอย่างไม่ขาดระยะ อองรียืนมองดูรจนาจากฝั่งตรงข้ามของสระน้ำด้วยความตื่นตะลึงในความงามของเธอ ที่งามดังเทพธิดาจำแลงกายลงมา

จากนั้นบรรดานางนพมาศต่างค่อยๆปล่อยกระทงลงสู่ผิวน้ำเบื้องหน้า แล้วถ่ายรูปร่วมกันอีกครั้ง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ซึ่งหลายคนก็ถูกเพื่อนๆรวมทั้งคนที่ไม่รู้จัก ขอถ่ายรูปด้วย เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะรจนา ที่ดูเหมือนว่าจะเด่นที่สุดในงานนี้ ก็มีคนเข้าคิวขอถ่ายรูปด้วยเป็นแถวยาวเหยียด อองรียืนดูรจนา ยิ้มแย้มแจ่มใสถ่ายรูปคู่กับคนที่มาขอถ่ายรูปด้วยอย่างไม่นึกรังเกียจ ก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ จึงหันหลังแล้วเดินกลับมาขายน้ำของตนตามเดิม

ผู้คนเริ่มทยอยกันกลับแล้ว ขณะที่น้ำก็ขายได้เกือบหมด อองรีเริ่มเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับเช่นกัน ขณะที่กำลังหันหลังเพื่อเก็บของอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงลูกค้าคนหนึ่งที่หน้าร้าน จึงถามไปด้วยความเคยชินว่า

“จะรับน้ำอะไรดีครับ”

“ฉันอยากจะถามว่า คุณอยากจะถ่ายรูปกับฉันบ้างไหมคะ”

อองรีรีบหันกลับมาดูด้วยความดีใจ รจนาส่งยิ้มให้เขาแล้วชวนกันเดินไปหามุมสวยๆ เพื่อที่จะถ่ายรูปร่วมกัน เธอยืนใกล้ชิดกับเขา เพื่อให้เขาใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ แต่เมื่อเห็นว่าเขาพยายามจะขยับโทรศัพท์ไปมาหลายครั้งก็ยังไม่สามารถเก็บภาพได้หมด เธอจึงเอียงกายเข้ามาใกล้เขามากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น จนหัวไหล่อันเปลือยเปล่าของเธอสัมผัสกับร่างของเขา ศีรษะของเธอที่โน้มเข้ามาทำให้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมกรุ่นที่โชยมาจากเรือนผมของเธอ อองรีมือสั่นราวกับจะควบคุมไม่ได้ เช่นเดียวกับรจนาที่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ก่อนที่เสียงชัตเตอร์จะดังขึ้น

อองรีกลับมาถึงห้องพักของตน เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ล้มตัวลงนอน แต่จิตใจกลับนึกคิดถึงแต่ตอนที่ได้มีโอกาสถ่ายรูปคู่กับเธอ กลิ่นกายและไออุ่น ยังคงอบอวลอยู่อย่างไม่จืดจาง เขาเหลือบมองดูนาฬิกา เห็นว่าเป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าแล้ว อยากจะโทรไปหาเธอ แต่ก็เห็นว่าดึกมากแล้ว แต่มาคิดอีกทีหนึ่ง เห็นว่าเธอเองก็เพิ่งกลับเช่นกัน คงจะยังไม่ได้นอนในทันที คิดดังนั้นแล้ว เขาจึงโทรศัพท์ไปหาเธอ ซึ่งเธอก็รับสายในเวลาอันรวดเร็วจนเขาแทบไม่ทันตั้งตัว

“รจค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เอ้อ.... ผม.... ผมอยากจะบอกว่า....ผมคิดถึงคุณจัง”

“เพิ่งแยกจากกันเมื่อครู่นี้เองนี่คะ”

“ครับ คือผมรู้สึกเสียดายว่าวันนี้ได้พบคุณแค่เดี๋ยวเดียว”

“เกเรใหญ่แล้วนะคะ ให้พบ ให้ถ่ายรูปด้วย ยังไม่พออีกหรือคะ”รจนาทำเป็นตำหนิทั้งๆที่ในใจรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่งที่เขาโทรมาหา อองรีนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะกล่าวว่า

“วันเสาร์หน้าที่คุณจะกลับบ้าน ให้ผมไปด้วยได้ไหมครับ”

คราวนี้รจนาเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปบ้าง เพราะต้องใช้ความคิดอย่างมากในการตัดสินใจ

“ขอฉันคิดดูก่อนก็แล้วกัน”

“ครับ”

“หลับฝันดีนะคะ”

“เช่นกันครับ อรุณสวัสดิ์ครับ”

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ตอนกลางคืนต้องใช้คำว่าราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

“ผมรู้แล้วครับ ผมแกล้งกล่าวผิดๆ เพื่อที่คุณจะได้ไม่รีบวางสาย”

“คุณนี่ ร้ายจริงๆเลย ฉันไม่เล่นด้วยแล้ว ง่วงนอนจะไปนอนแล้ว”

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”

อองรีรอจนรจนาวางสายแล้วเขาจึงวางตาม ด้วยความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ และมั่นใจว่า วันเสาร์หน้าเขาต้องได้ไปเที่ยวที่บ้านของเธอแน่ เพราะเขาได้รับคำบอกเล่ามาก่อนว่า ถ้าผู้หญิงไทยบอกว่า ขอคิดดูก่อนนั้น เธอหมายถึงตอบตกลงแล้ว อองรีค่อยๆเคลิ้มหลับ ในขณะที่ยังคงเห็นใบหน้าอันอ่อนหวานละมุนละไมของเธอปรากฏอยู่ในมโนภาพ และเฝ้าวนเวียนคิดถึงแต่เหตุการณ์ตอนที่เขาได้ถ่ายรูปคู่กับเธอ ในยามนั้น แก้มของเธออยู่ห่างจากแก้มของเขาแค่ปลายนิ้ว กลิ่นหอมจากเรือนร่างของเธอยังคงหอมติดจมูกอยู่จนบัดนี้ อองรีเคลิบเคลิ้มเห็นภาพตัวเองกำลังโน้มตัวลงจนปากและจมูกของเขาใกล้ที่จะสัมผัสกับแก้มอันเปล่งปลั่งของเธอ ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมากั้น

“มีอะไรหรือครับ”เขาถาม

“ตั้งแต่เราแต่งงานกันมา ฉันไม่เคยขัดใจคุณสักครั้ง แต่คืนนี้ ฉันจะขอสักครั้งได้ไหมคะ” รสกล่าวกับอังเดรผู้เป็นสามีด้วยความเอียงอาย

“ทำไมหรือครับ ลอยกระทงคืนนี้ คุณสวยเหลือเกิน คุณดูที่นอกหน้าต่างสิครับ ดวงจันทร์กลมโตเต็มดวง บรรยากาศที่สวยงามเช่นนี้ คุณยังจะขัดใจผมได้ลงคอหรือครับ”

“ฉันไม่ได้ต้องการขัดใจคุณหรอกค่ะ แต่ว่าฉัน...เอ่อ...ฉัน...”รสกล่าวพลางชี้มือไปยังหน้าท้องของตน อังเดรมองตาม ด้วยความครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ

“คุณกำลังตั้งท้องหรือครับ ผมกำลังจะมีลูกใช่ไหมครับ”

รสยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นท่าทางปีติยินดีของผู้เป็นสามี อังเดรค่อยๆประคองรสไปนอนที่เตียงด้วยความทะนุถนอม เขาแนบใบหน้าลงกับหน้าท้องที่ยังแบนราบของเธอ แล้วพูดกับลูกในท้องว่า

“ลูกรัก รีบออกมาไวๆนะ พ่อแทบจะรอลูกไม่ไหวแล้ว”

“คุณคะ จะเร่งให้แกออกมาทำไมกันคะ ต้องให้แกอยู่จนครบกำหนด จะได้มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์”

“ใช่ ใช่ ใช่แล้วครับ แข็งแรง บำรุง พรุ่งนี้ต้องเริ่มบำรุง คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าฉันอยากได้อะไรเป็นพิเศษฉันจะบอกยายแม้นให้ไปจัดหามา”

อังเดรเอื้อมแขนมาโอบกอดคนรักไว้ราวกับกลัวใครจะมาพรากไป แล้วถามว่า

“คุณคิดว่าลูกของเราจะหน้าตาเป็นเช่นไรครับ ผมยังไม่เคยเห็นเด็กลูกครึ่งฝรั่งเศสกับสยามมาก่อนเลย”

“คงไม่ต่างกับเด็กทั่วไปมากนักหรอกค่ะ เพราะคุณก็ไม่ใช่ฝรั่งผมทองตาสีฟ้า เหมือนฝรั่งคนอื่นๆ ผมของคุณสีน้ำตาล ตาของคุณก็สีน้ำตาล คงจะเข้ากันได้ดีกับของฉัน”

อองรีนอนยิ้มให้กับความฝันอันแสนหวานอยู่บนที่นอนที่หอพักของเขา อย่างมีความสุขเช่นนั้นตลอดทั้งคืน ต่างจากรจนา ที่ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับนึกตำหนิตนเองที่คิดฟุ้งซ่านจนเก็บเอาไปฝัน เป็นเรื่องเป็นราวเช่นนี้

วันเสาร์ถัดมา อองรีได้ติดตามรจนามาที่บ้านที่อยุธยาของเธอสมใจ เมื่อเธอได้แนะนำเขากับพ่อแม่ของเธอว่าเป็นเพื่อนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแล้ว พ่อแม่ของรจนาก็ต้อนรับเขาด้วยความยินดีและออกจะตื่นเต้นที่มีฝรั่งมาเยี่ยมที่บ้าน ต่างกุลีกุจอหาข้าวหาน้ำออกมาต้อนรับ แต่เนื่องจากรจนาไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าจะพาเพื่อนมาด้วย ราตรีผู้เป็นมารดาจึงไม่ได้เตรียมข้าวปลาอาหารไว้ต้อนรับ คงมีแต่กับข้าวที่เหลือจากมื้อเช้าที่ตั้งใจแบ่งไว้ให้บุตรสาวทานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รจนาเห็นผู้เป็นมารดาดูว้าวุ่นใจที่ไม่ได้เตรียมสำรับกับข้าวไว้ต้อนรับแขกผู้มาเยือน ก็กล่าวกับผู้เป็นแม่ว่า

“แม่จ๋า เดี๋ยวหนูจัดการเอง ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ”

“ตามใจ มีน้ำพริกเหลือพออยู่บ้างว่าแต่จะทานเป็นหรือเปล่าล่ะ”

อองรีชะโงกหน้าไปดูสำรับกับข้าวที่วางไว้อยู่บนโต๊ะ แล้วกล่าวว่า

“ผมทานได้ครับ มีไข่ดำของโปรดด้วย” รจนาหยิกที่ต้นขาของเขาทีหนึ่งโดยที่ไม่ให้มารดาของเธอเห็น อองรีจึงแก้คำพูดใหม่ว่า “เอ้อ ผมหมายถึงไข่พะโล้นะครับ”

“พูดภาษาไทยเก่งเสียด้วยนะพ่อคุณ”ราตรีกล่าวด้วยความเอ็นดู แล้วหันมากล่าวกับบุตรสาวว่า “ทำอะไรเพิ่มอีกสักสองสามอย่างสิ พะโล้มีแค่ลูกเดียว จะไปพอทานอะไร”

รจนาพาอองรีไปเดินในสวนเพื่อเด็ดยอดชะอมมาเจียวกับไข่ เมื่อเด็ดมาได้เพียงพอแล้ว เธอก็พาเขากลับมานั่งในบ้านแล้วสอนวิธีรูดใบของมันออกมา ซึ่งอองรีก็นั่งขัดสมาธิฟังด้วยความสนใจ

“เราต้องเด็ดส่วนยอดที่อ่อนนี้ก่อนนะคะ จากนั้นก็จับก้านของมันแล้วรูดไปตามทางเดียวกับหนาม เห็นหนามเล็กๆนั้นใช่ไหมคะ ต้องรูดไปทางเดียวกันนะคะ เพราะถ้ารูดสวนทางกันจะถูกหนามตำมือเอาได้”

รจนาอธิบายแล้วก็ทำให้ดู อองรีมองดูสักพัก ก็ขอลองทำดูบ้างเมื่อทำไปได้สักพักก็เกิดความชำนาญ รจนาจึงมอบหน้าที่นี้ให้เขาทำ ส่วนตัวเธอเองก็หันไปเตรียมอาหารอย่างอื่นต่อไป เมื่อเขารูดใบชะอมกองนั้นหมด รจนาก็หยิบไข่ไก่มาสองใบ ต่อยลงในชาม แล้วหยิบใบชะอมเหล่านั้นลงใส่ แล้วตีไข่ในชามนั้นให้เขาดู

“ตีอย่างนี้ เป็นไหมคะ ระวังอย่าตีแรงเดี๋ยวจะหกกระเด็นออกมา”

อองรีทำตามที่รจนาสอนด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ แต่ก็สำเร็จไปได้ด้วยดี จากนั้นเธอจึงติดเตาแล้วนำไข่นั้นจะไปทอด แต่อองรีไม่ยอมคืนไข่ในชามใบนั้นโดยบอกว่า

“ขอผมทำให้เสร็จเถอะครับ เพราะนี่จะเป็นอาหารจานแรกในชีวิตที่ผมทำด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ”

รจนารู้สึกขบขันแต่ก็ไม่อยากขัดใจ จึงได้แต่ยืนดูข้างๆคอยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือ

“ใช้ตะหลิวเกลี่ยเบาๆให้เป็นแพสิคะ”

“อะไรนะครับ”

“ตะหลิวค่ะ ตะหลิวในมือของคุณนะ เขี่ยให้ไข่มันกระจายเป็นแพ”

“อ้อ ตะหลิว ขอโทษครับ ผมไม่รู้จัก”

ในที่สุดไข่เจียวใบชะอมฝีมือของอองรี ก็สำเร็จไปได้ด้วยดี หลังจากที่ได้ทำครัวกันอย่างสนุกสนานแล้วทั้งสองคนจึงนั่งทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข อองรีคุยโม้โอ้อวดใหญ่ว่าไข่เจียวฝีมือของเขานั้นอร่อยมาก และทานอาหารมื้อนั้นด้วยความเอร็ดอร่อย จนหมดจานเกือบทุกอย่าง จากนั้นจึงช่วยกันเก็บจานชามที่กินเสร็จเพื่อไปล้าง รจนาเห็นจานใส่กุ้งฝอยทอด มีกุ้งหลงเหลืออยู่ชิ้นหนึ่ง จึงใช้มือหยิบขึ้นมาแล้วป้อนใส่ปากของเขา

“ทานให้หมดสิคะ ทำลายชีวิตของเขาแล้วก็อย่าให้พวกเขาต้องสูญเปล่า”

อองรีรู้สึกสะท้านวูบเมื่อปลายนิ้วของเธอสัมผัสกับริมฝีปากของเขา ก่อนที่จะค่อยๆเผยอปากออกรับกุ้งชิ้นนั้น หลังจากนั้น เมื่อช่วยกันล้างจานชามเสร็จแล้ว เธอจึงพาเขาไปเดินเล่นตามทุ่งนาที่พ่อและแม่ของเธอได้ปลูกข้าวเอาไว้ พลางอธิบายให้เขาฟัง ถึงวิธีการปลูกข้าว การเก็บเกี่ยว การสี จนกระทั่งทั้งสองคนเดินมาถึงเพิงเล็กๆแห่งหนึ่งที่ท้ายนาแห่งนั้น จึงพากันเดินเข้าไปนั่งหลบแดดและพักผ่อนใต้เพิงนั้น

“คุณเคยถามฉันใช่ไหมคะ ว่าทำไมฉันจึงชื่อว่ารจนา”

“ใช่ครับ และคุณยังไม่เคยบอก”

“ฉันเกิดที่นี่ค่ะ ที่เพิงที่เรากำลังนั่งอยู่นี่”

“เกิดที่นี่”อองรีร้องอย่างไม่เชื่อก่อนที่จะลุกขึ้น แล้วเดินถอยออกมาเพื่อดูเพิงแห่งนั้นให้เต็มตา และไม่อยากจะเชื่อว่า เพิงที่ปลูกรวกๆ มีเพียงเสาสี่ด้าน มีไม้กระดานปูพื้น มุงหลังคาด้วยใบจากแห้งๆเช่นนี้นะหรือจะเป็นที่ที่เธอได้ถือกำเนิดออกมา

“ตอนนั้นแม่ของฉันกำลังทำนาอยู่ แล้วเกิดเจ็บท้องขึ้นมากะทันหัน จะไปโรงพยาบาลก็ไม่ทัน จึงคลอดฉันที่นี่”

“แม่ของคุณทำคลอดเองเลยหรือครับ”

“ไม่ใช่ค่ะ พอดีมีแม่ชีท่านหนึ่งเดินผ่านมาพบ จึงได้ช่วยทำคลอดให้ และแม่ชีคนนี้ เป็นคนที่ตั้งชื่อให้ฉันว่ารจนา เพราะฉันเกิดที่กระท่อมปลายนา”

“แต่รจนาเป็นพระธิดาของท่านเจ้าเมืองนี่ครับ เธอไม่ได้เกิดที่กระท่อมสักหน่อย”

“เธอถูกพระบิดาขับไล่ให้มาอยู่ที่กระท่อมปลายนาไงคะ อย่าไปคิดมากเลยค่ะก็แค่นิยายพื้นบ้านเรื่องหนึ่งเท่านั้น”

“วันนี้ คุณจะพาผมไปชมอะไรอีกบ้างครับ”

“ไปชมวัดไหมคะ มาอยุธยาทั้งทีต้องมาเที่ยววัดค่ะ ที่นี่มีวัดสวยงามและใหญ่โตมากมาย เพราะในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของคนไทยมาก่อนและปัจจุบันยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยนะคะ”รจนากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ จนอองรีบังเกิดความสนใจและใคร่ที่จะได้ไปเที่ยวชมโดยเร็ว

“ถ้าเช่นนั้นเราไปกันเลย ฉันจะได้แวะทำบุญในวันเกิดด้วย อ้อ..”รจนาร้องขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นมาได้ “ฉันต้องแวะตลาดซื้อถ่านโทรศัพท์ก้อนใหม่ด้วย ก้อนเก่าสงสัยจะเสื่อมแล้ว”

“แล้วคุณมายุ่งอะไรกับโทรศัพท์ของผม คุณจะเปลี่ยนถ่านโทรศัพท์โดยไม่ขออนุญาตจากผมก่อนหรือ” อองรีกล่าวด้วยความไม่พอใจ พลางคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นมาจากมือของเธอ จนรจนาต้องตกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทันทีของเขา จึงกล่าวเสียงอ่อยๆว่า

“ฉันแค่เห็นว่าถ่านมันเสื่อมจึงอยากจะเปลี่ยนใหม่ ไม่เห็นจะต้องมาดุฉันเลย”

“ตอนที่ผมยกให้คุณใช้ คุณก็ดูเหมือนไม่ค่อยจะเต็มใจรับ อ้างว่ามีราคาแพงบ้าง จนผมต้องเปลี่ยนเป็นให้คุณยืมใช้แทน ดังนั้นคุณก็มีสิทธิแค่ยืมใช้เท่านั้น ไม่มีสิทธิที่จะมาเปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ โทรศัพท์ของผม”

“อองรี คุณเป็นอะไรไป”รจนาร้องอย่างแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นท่าทางเขาไม่พอใจเช่นนี้มาก่อน “คุณโกรธที่ฉันจะเปลี่ยนถ่านโทรศัพท์ของคุณหรือคะ”

“ผมไม่ได้โกรธ แต่ในเมื่อคุณไม่เต็มใจรับของๆผม คุณก็ไม่ควรมายุ่งวุ่นวายกับมัน”

“ก็ฉันเห็นว่าถ่านมันเสื่อม ถ้าเปลี่ยนใหม่ก็จะได้ใช้ต่อไปได้ ถ้าคุณไม่อยากให้เปลี่ยน ฉันไม่เปลี่ยนก็ได้ และต้องขอโทษนะคะที่มาวุ่นวายกับของๆคุณ”รจนากล่าวเชิงประชดประชัน

“รจนา คุณทราบไหมครับว่าวันก่อนที่คุณให้บ๊วยเค็มแก่ผมนั้น ผมดีใจเพียงใด แม้มันจะไม่มีราคามากมายอันใด แต่เมื่อมันเป็นสิ่งที่คุณให้กับผมแล้ว ผมถือว่ามันมีค่ามากสำหรับผม ผมอยากจะถามคุณว่า คุณจะรู้สึกเช่นไร ถ้าผมปฏิเสธไม่ยอมรับบ๊วยเค็มถุงนั้นจากคุณ”

รจนาเข้าใจในความรู้สึกของเขาขึ้นมาในทันที จึงกล่าวเสียงเบาๆว่า

“คุณน้อยใจหรือคะ”

“ครับ ผมน้อยใจ”อองรีกล่าวแล้วจ้องมองดูเธอไม่วางตา

“ที่จริงโทรศัพท์ของคุณเครื่องนี้ ฉันก็ใช้มาตลอดจนเหมือนกับของๆฉันเองอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นเอาเป็นว่านับจากนี้เป็นต้นไป ฉันยินดีรับโทรศัพท์เครื่องนี้จากคุณ หายน้อยใจหรือยังคะ”

“ยัง”อองรียังคงยืนกรานเสียงแข็ง

“อ้าว แล้วจะให้ทำอย่างไรคะ”

“สัญญาสิครับ ว่าวันหลังถ้าผมให้อะไรแก่คุณอีก คุณจะเต็มใจรับ ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะมีราคามากน้อยเพียงใด”

“ก็ได้ค่ะ ฉันสัญญา”

“แน่นะครับ”อองรีย้ำ

“สัญญา ก็บอกแล้วไงว่าสัญญา”รจนากล่าวพลางแบมือเพื่อขอโทรศัพท์คืน แต่อองรีไม่สนใจในท่าทีของเธอแต่กลับหย่อนโทรศัพท์เครื่องนั้นลงในเป้ของเขา ก่อนที่จะหยิบกล่องของขวัญออกมาชิ้นหนึ่ง

“สุขสันต์วันเกิดครับ”

รจนาตื่นเต้นและตื้นตันใจจนไม่อาจจะกล่าวอันใดออกมาได้แต่ทุบต้นแขนของเขาเบาๆเพื่อแก้อาการขวยเขิน ก่อนจะกล่าวว่า

“ทำเอาตกอกตกใจ นึกว่าจะโกรธด้วยเรื่องอะไร”

“ผมกลัวว่าคุณจะไม่ยอมรับของจากผมอีกน่ะครับ”

รจนาได้แต่ยิ้มขณะที่ค่อยๆแกะห่อของขวัญนั้นออกด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏออกมานั้นทำให้เธอทั้งรู้สึกตกใจและดีใจในคราเดียวกัน เพราะของขวัญที่อองรีมอบให้แก่เธอนั้น เป็นโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม และมีราคาค่อนข้างแพง ซึ่งรจนาเองก็อยากจะได้ไว้ใช้งานอยู่เช่นกัน แต่เมื่อเห็นราคาของมันแล้ว เธอก็ได้แต่เดินถอยออกมา

“ถูกใจไหมครับ”อองรีถาม ในขณะที่รจนาเองแม้จะรู้สึกเกรงใจ แต่ก็ไม่อยากกล่าวอันใดออกไป ที่จะทำให้เขาเกิดน้อยใจขึ้นมาอีก จึงได้แต่รับคำเบาๆว่า

“ค่ะ”

“แค่นี้เองนะหรือ น่าจะพูดให้มากกว่านี้สักหน่อย”อองรียั่วเธออีก

“ขอบคุณค่ะ”รจนาพูดย้ำช้าๆชัดๆแล้วก็ยิ้มให้แก่เขา

“คุณกำลังคิดเหมือนที่เคยคิดใช่ไหมครับว่าคุณไม่คู่ควรกับของเหล่านี้ ผมอยากให้คุณได้ทบทวนความคิดเสียใหม่ ผมเห็นว่าคุณเป็นคนดี เป็นคนขยัน รู้จักคุณค่าของเงิน แต่การรู้จักคุณค่าของเงินไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องไม่ใช้เงินนะครับ ผมอยากให้คุณให้รางวัลกับตัวเองบ้าง คุณเหนื่อย คุณอดออม เมื่อเราหาเงินมาได้แล้ว เราก็ควรจะซื้อหาของที่เราอยากได้และมีประโยชน์มาใช้บ้าง”

“อย่าพยายามที่จะเปลี่ยนฉันเลยค่ะ คุณได้เห็นตัวอย่างจากพี่วัชรินทร์มาแล้วไม่ใช่หรือคะ”

“ผมไม่ได้พยายามที่จะเปลี่ยนคุณ แต่ผมไม่อยากให้คุณเป็นคนที่ไม่ทันกับเทคโนโลยี่สมัยใหม่ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ราคาของสินค้าเหล่านี้ เดี๋ยวนี้ก็ถูกลงมามากแล้ว”

“แต่คุณเองก็ควรใช้จ่ายอย่างประหยัดเช่นกันนะคะ เพราะคุณต้องมาเรียนต่างบ้านต่างเมือง ไหนจะค่ากิน ค่าที่พัก ค่าเล่าเรียน จะได้ไม่รบกวนฐานะทางบ้านของคุณเกินไป”

“คุณอย่ากังวลไปเลยครับ เรื่องการประหยัดนี่ผมเองก็ไม่แพ้คุณหรอก ผมคิดดูแล้วตอนนี้คุณอายุย่าง 20 ปี ผมจะอยู่กับคุณจนถึงอายุ 80 ปี ถ้าเอาราคาของขวัญชิ้นนี้ หาร 60 ปีแล้ว เท่ากับมูลค่าต่อปีน้อยนิดเดียว”

“อะไรนะ”รจนาร้องอย่างตกใจ “นี่คุณจะไม่ให้ของขวัญวันเกิดของฉันหลังจากปีนี้อีกแล้วหรือ”

“ถูกต้องครับ คุณจะได้ไม่ต้องลำบากใจที่จะต้องรับของขวัญจากผมอีก”

“อย่างนี้ฉันก็แย่สิ อุตสาห์ลงทุนสัญญาให้แล้ว กลับมาบอกว่าจะไม่ให้อีกแล้ว”

“ไม่แน่นะ ถ้าคุณทำตัวดีๆ น่ารักๆ ผมอาจจะใจอ่อนมอบให้คุณอีกก็ได้”

รจนาหยิกต้นแขนของเขาเบาๆครั้งหนึ่งแล้วกล่าวด้วยความหมั่นไส้ว่า

“ร้ายกาจใหญ่แล้วนะ”

อองรีลูบต้นแขนที่ถูกหยิกด้วยความสุข ก่อนที่จะสอนวิธีใช้โทรศัพท์ให้แก่เธอ

“...แล้วนี่ กดปุ่มนี้สำหรับถ่ายรูป ต่อไปเวลาคุณไปเห็นแบบเสื้อผ้า หรือแบบกระเป๋าสวยๆ ไม่ต้องไปยืนวาดรูปให้เสียเวลานะครับ ถ่ายรูปแล้วเอากลับมาทำต่อที่หอพักก็ได้” กล่าวแล้วอองรีก็ทำให้เธอดูเป็นตัวอย่าง “...แล้วนี่ก็เอาไว้พิมพ์คุยกันโดยไม่ต้องออกเสียง คุณจะได้ไม่ต้องเกรงใจเพื่อนร่วมห้องของคุณเวลาที่จะคุยกับผม”

“ใครว่าฉันจะคุยกับคุณ”รจนากล่าวแล้วก็ค้อนให้เขาครั้งหนึ่ง

“หรือถ้าไม่พิมพ์ข้อความ จะส่งเป็นรูปภาพแทนก็ได้นะครับ”กล่าวจบเขาก็ส่งรูปหัวใจไปเข้ายังเครื่องของเธอ ทำให้เธอต้องหยิกที่ต้นแขนของเขาอีกครั้งหนึ่งด้วยความอาย

จากนั้นทั้งสองคนจึงได้เดินทางไปเที่ยวชมวัดต่างๆในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อองรีตื่นตาตื่นใจกับความงดงามและความใหญ่โตของวัดและพระพุทธรูปที่นี่มากถึงกับอุทานด้วยความเสียดายว่า ถ้าไม่ถูกทำลายเพราะไฟสงครามเมื่อ 200 กว่าปีก่อนแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นมหานครที่สวยงามที่สุดในโลกก็ว่าได้ รจนาพาเขาไปไหว้พระที่วัดพนัญเชิง เธอจุดธูปกำหนึ่ง แล้วแบ่งส่วนหนึ่งให้แก่เขา ก่อนที่นั่งพับเพียบลงพร้อมกับหลับตาพนมมือด้วยสมาธิอันแน่วแน่ ควันธูปที่ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ ปกคลุมร่างอันสงบนิ่งของเธอจนทำให้เธอดูงดงามราวกับเทพธิดาที่กำลังอยู่ท่ามกลางสายหมอก อองรีได้แต่มองดูความงามของเธอจนลืมตัว และมารู้สึกตัวเมื่อเธอสวดมนต์เสร็จแล้วลืมตาขึ้น เขาจึงได้นั่งลงและเริ่มสวดมนต์ตามอย่างที่เธอทำ

เมื่อออกมาจากวิหารของวัด รจนาหยิบเงินในกระเป๋าจำนวนหนึ่งออกมาบริจาคตามตู้บริจาคที่มีวางอยู่เรียงรายทั่วไป จนสร้างความแปลกใจให้แก่อองรีว่า ผู้หญิงที่ประหยัดมัธยัสถ์เช่นเธอนั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำบุญบริจาคการกุศลแล้ว เธอกลับไม่ลังเลที่จะบริจาคเงินแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้น เมื่อเธอเดินออกมาพบหน่วยเคลื่อนที่ของสภากาชาด ที่มาขอรับบริจาคดวงตา เธอก็เข้าร่วมสมัครลงชื่อเป็นผู้บริจาคดวงตาด้วยโดยไม่ลังเลใจเลย

“มีความสุขจัง วันนี้ได้ทำบุญตั้งหลายอย่าง”เธอบอกกับอองรีหลังจากที่เสร็จธุระจากการทำเรื่องบริจาคดวงตาให้กับสภากาชาด

“คุณไม่รู้สึกเสียดายหรือครับ”

“เสียดาย เสียดายทำไมคะ เราตายแล้วก็เอาไปใช้ไม่ได้ สู้เสียสละให้คนอื่นที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้เอาไปใช้ไม่ดีกว่าหรือคะ”

อองรีชื่นชมในเหตุผลของเธอ จากนั้นรจนาก็พาเขาไปเที่ยวชมวัดอื่นๆจนได้เวลาเย็น จึงบอกกับเขาว่า ต้องไปหาโรงแรมเพื่อให้เขาได้พักอาศัยคืนนี้ด้วย แต่เขากลับเสนอว่า เขาสามารถนอนค้างที่บ้านเธอก็ได้ ถ้าเธอไม่รังเกียจ แต่รจนาเกรงคำครหาของชาวบ้าน จึงเสนอว่า

“ถ้าคุณไม่อยากนอนโรงแรม ไปนอนที่วัดใกล้ๆบ้านของฉันเอาไหมคะ”

“ที่วัด ไปนอนค้างแรมได้ด้วยหรือครับ”

“ได้สิคะ วัดเป็นที่พึ่งของคนได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าที่พัก อาหารการกิน ถ้าคุณไม่กลัวลำบากนะคะ เพราะว่าจะให้สะดวกสบายอย่างโรงแรมคงไม่ได้”

“ผมอยู่ได้ครับ”อองรีรีบรับคำด้วยความยินดี “ผมอยากลองใช้ชีวิตแบบนี้ดูบ้างครับ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ลองดูค่ะ ฉันจะพาไป”

“เอ้อ ก่อนกลับ เราจะซื้ออะไรไปทานด้วยได้ไหมครับ”

“แม่ของฉันท่านคงเตรียมเอาไว้แล้ว หรือว่าคุณไม่ชอบทานอาหารพวกนี้คะ”

“ไม่ใช่ครับ ผมทานได้ เพียงแต่ว่าธรรมเนียมที่บ้านของผม เมื่อเราไปทานอาหารบ้านใคร ก็ควรจะมีอะไรไปฝากเจ้าของบ้านเขาสักหน่อย”

รจนาเข้าใจในความคิดของเขา จึงพาเขาไปซื้อหาอาหารบางอย่าง ระหว่างที่กำลังเลือกดูอาหารอยู่นั้น เธอก็เกิดชอบใจ ต้นกุหลาบที่แม่ค้านำมาวางขาย แล้วตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกต้นไหนดี ระหว่างต้นที่มีดอกสีชมพู กับต้นที่มีดอกสีขาว เธอจึงหันมาขอความเห็นจากเขา ซึ่งเขาก็แนะนำว่า

“ถ้าชอบทั้งสองต้น ก็ซื้อทั้งสองต้นสิครับ”

แต่รจนาไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของเขา เธอจึงเลือกซื้อต้นที่มีดอกสีชมพู อองรีจึงหยิบเงินออกมาแล้วซื้อต้นที่มีดอกสีขาวเพิ่มขึ้นอีกต้นหนึ่ง และเมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็หาพื้นที่ว่างๆ เพื่อที่จะนำกุหลาบของเธอปลูกลงดิน อองรีจึงขอปลูกกุหลาบของเขาลงดินใกล้ๆกันด้วย ทั้งสองคนจึงช่วยกันขุดดิน ช่วยกันปลูก และรดน้ำให้แก่กุหลาบทั้งสองต้น

“ทุกครั้งที่คุณกลับมาบ้าน แล้วเห็นกุหลาบที่ผมปลูก ขอให้คุณคิดถึงผมบ้างนะครับ”

รจนารู้สึกสะท้านเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อได้ยินเขากล่าวประโยคนี้ ซึ่งเป็นคำกล่าวที่เธอรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ราวกับว่าเคยมีใครกล่าวประโยคนี้ให้เธอฟังมาก่อน เย็นวันนั้น หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว รจนาก็พาอองรีเดินไปตามคันนา เพื่อไปยังวัดท้ายบ้านที่อยู่ไม่ไกล เธอขออนุญาตจากหลวงตาเจ้าอาวาส ให้อองรีได้พักอาศัยอยู่คืนหนึ่ง ซึ่งหลวงตาก็อนุญาตด้วยความเมตตา แล้วให้อองรีนอนพักห้องเดียวกับสิงห์ เด็กวัดอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน

อองรีกับสิงห์ คุยกันอย่างถูกคอและสิงห์ได้เล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับรจนาให้อองรีฟังมากมายด้วยความภูมิใจว่า รจนาเป็นเหมือนตัวแทนแห่งความภาคภูมิใจของคนในหมู่บ้านนี้ เธอได้รับรางวัลเรียนดีทุกปี ได้รับทุนการศึกษามาตลอดตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่ทำให้อองรีรู้สึกตื่นเต้นมากคือ แม่ชีที่ทำคลอดให้แก่เธอนั้น ก็อาศัยอยู่ที่วัดแห่งนี้เช่นกัน

ขณะที่อองรีกำลังนอนคุยกับสิงห์อย่างเพลิดเพลินนั้น เสียงดนตรีจากขิมได้ถูกบรรเลงให้ล่องลอยมาตามสายลม ในท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัดของราตรีนั้น

“นั่นแหละ ฝีมือบรรเลงของน้องรจ”สิงห์กล่าวด้วยความชื่นชม

“พี่สิงห์รู้ได้อย่างไรครับ”อองรีถามแม้ว่าตัวเขาเองก็เชื่อเช่นนั้น

“แถวนี้ หรือจะว่าจังหวัดนี้ทั้งจังหวัด ไม่มีใครบรรเลงขิมได้ไพเราะจับใจเท่าน้องรจอีกแล้ว ไพเราะขนาดหลวงตาต้องเคยขอไม่ให้บรรเลงช่วงที่พระท่านกำลังสวดมนต์ทำวัตร เพราะทำเอาพระหนุ่มๆที่เพิ่งบวชใหม่คุมสมาธิกันไม่อยู่มาเยอะแล้ว”

“จริงหรือครับ”อองรีถามด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดี

“ไม่เชื่อคุณก็ลองฟังดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่า เอเลเฟ้นก็ยังสู้ไม่ได้”

“พี่สิงห์คงหมายถึง บีโธเฟ่นใช่ไหมครับ”อองรีถามด้วยความรู้สึกขบขัน

“เออ นั่นแหละ อะไรเฟ่นๆทำนองนั้นแหละ หยุดคุย แล้วฟัง เดี๋ยวจบก่อนแล้วจะเสียดาย”

อองรีหยุดคุยอย่างว่าง่าย พลางตั้งอกตั้งใจฟังเสียงดนตรีที่ล่องลอยมา เขาหลับตาลงแล้วจิตนาการถึงภาพของเธอในชุดสไบเฉียงที่แสดงดนตรีอยู่เป็นประจำที่ร้านอาหาร แล้วก็ต้องปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปตามเสียงเพลงอย่างมีความสุข เมื่อเสียงเพลงจบลง เขาหันมาทางสิงห์เพื่อที่จะคุยต่อ แต่ปรากฏว่าสิงห์ได้นอนหลับสนิทไปแล้ว อองรียังไม่รู้สึกง่วง จึงนึกสนุกหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วพิมพ์ข้อความส่งไปหาเธอ

“เพลงไพเราะมาก”

“ขอบคุณค่ะ”รจนาพิมพ์ตอบกลับมา

“คิดถึงจัง”อองรีพิมพ์ไปอีกครั้งหนึ่ง

“อยู่วัดต้องสำรวมหน่อยนะคะ”

“ครับผม”อองรีตอบกลับมา ไม่นานรจนาก็พิมพ์กลับมาว่า

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

เช้าวันรุ่งขึ้น รจนาตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารสำหรับใส่บาตร ฟ้ายังไม่ทันสว่าง หลวงตาเจ้าอาวาสก็เดินนำพระอื่นๆอีก 4 รูปมาบิณฑบาตที่หน้าบ้าน รจนาต้องแปลกใจและปลื้มใจเมื่อพบว่าอองรีได้ติดตามหลวงตามาด้วยในฐานะเด็กวัดเช่นเดียวกับสิงห์ เธอต้องพยายามควบคุมความยินดีปรีดาของเธอไม่ให้แสดงออกมาทางใบหน้าจนมีพิรุธเมื่ออยู่ต่อหน้าหลวงตา เธอค่อยๆตักข้าวสวยร้อนๆลงบาตร ก่อนที่จะถวายกับข้าวซึ่งมัดใส่ถุงพลาสติกไว้เรียบร้อยแล้วใส่ลงบาตรตามไป จากนั้นจึงถวายดอกบัว ก่อนที่จะคุกเข่าลงพนมมือรับศีลรับพร แล้วก้มหน้ามองดูแต่เท้าที่ไม่ได้สวมร้องเท้าของอองรี ที่ค่อยๆออกเดินด้วยความสำรวมตามแถวของพระไปจนพ้นบริเวณบ้าน เธอจึงยืนขึ้นแล้วมองตามหลังอองรีไปด้วยความชื่นชมยินดี

เมื่อได้เวลาสายหน่อย เธอก็จัดอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อจะนำไปถวายแม่ชีที่วัด เมื่อไปถึงวัดก็พบว่าอองรีกำลังนั่งทานข้าวอยู่กับสิงห์ สิงห์จึงหันมาชวนรจนาให้ทานข้าวด้วยกัน

“ตามสบายเถอะพี่สิงห์ ฉันจะเอาอาหารไปถวายแม่ชีก่อน”

“จริงๆไม่ต้องลำบากก็ได้ หลวงตาท่านก็แบ่งไว้ให้อยู่แล้ว”สิงห์กล่าว

“ไม่ลำบากหรอกพี่ ฉันตั้งใจจะทำมาให้อยู่แล้ว” รจนากล่าวพลางมองดูอองรีที่ทำตัวกลมกลืนราวกับเด็กวัดด้วยความชื่นชม ก่อนที่อองรีจะกล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้น ให้ผมไปด้วยนะครับ ผมอยากจะไปกราบแม่ชีเช่นกัน”

อองรีรีบช่วยรจนาถือปิ่นโต แล้วออกเดินตามเธอไปยังที่พักของแม่ชีในทันที รจนามาหยุดยืนที่หน้ากุฏิเล็กๆหลังหนึ่งที่ถูกปลูกแยกห่างออกมา แล้วร้องเรียกผู้อยู่ภายในว่า

“แม่ชีสงวนจ๋า หนูนำอาหารมาถวายค่ะ”

บานประตูค่อยๆแง้มออกอย่างช้าๆ แม่ชีวัยชราผู้หนึ่งค่อยๆก้าวออกมาแล้วนั่งลงที่พื้นว่างหน้าห้อง

“รจนาเองหรือลูก” แม่ชีสงวนทักด้วยความคุ้นเคย

“ค่ะ หนูนำอาหารมาถวายค่ะ”

“ขอบใจลูก แล้วนั่น....”แม่ชีกำลังจะถามถึงอองรีที่นั่งอยู่ข้างแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาพอดี

“เพื่อนของหนูเองค่ะ เขาเป็นนักศึกษาต่างชาติที่มาเรียนที่นี่”รจนารีบแนะนำเพราะเข้าใจว่าแม่ชีคงตกใจที่เห็นฝรั่งต่างชาติมาปรากฏตัวที่นี่ ขณะเดียวกัน อองรีก็ยกมือไหว้ตามแบบที่รจนาทำด้วยความนอบน้อม แม่ชีผู้นั้นมองดูหนุ่มสาวทั้งสองคนสลับกันไปมา โดยไม่ได้กล่าวอันใด รจนาเห็นว่าท่านแก่ชรามากแล้ว จึงไม่อยากที่จะรบกวนการพักผ่อนของท่าน จึงได้กราบลาจากมา เมื่อทั้งสองคนเดินจากมาได้ไม่นาน แม่ชีผู้นั้นก็ลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง ไปหยุดอยู่ที่หน้ารูปถ่ายของแม่ชีผู้สูงวัยอีกท่านหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆนั่งลงแล้วก้มลงกราบที่รูปภาพนั้น แล้วจึงหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าๆเล่มหนึ่งที่วางอยู่ใต้หิ้งที่ติดรูปภาพนั้น ขึ้นมาคลี่เปิดดู จากนั้นจึงหยิบภาพถ่ายเก่าๆใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ในบันทึกเล่มนั้นออกมาดูด้วยมืออันสั่นเทิ้ม

รูปภาพใบนั้น แม้จะเริ่มลางเลือน แต่ก็ยังพอมองเห็นเค้าหน้าของชายหญิงที่ปรากฏในรูปได้อย่างชัดเจน แม้จะเป็นภาพที่ถูกถ่ายมานานกว่า 100 ปีแล้ว แต่ใบหน้าของหญิงชายในรูปนั้นกับละม้ายคล้ายกับใบหน้าของรจนาและอองรี ที่เพิ่งเดินจากไปเมื่อสักครู่ยิ่งนัก แม่ชีสงวนเงยหน้าขึ้นมองยังรูปภาพบนหิ้งของแม่ชีแม้น ผู้เป็นอาจารย์ แล้วกล่าวว่า

“อาจารย์แม่ขา พวกเขากลับมากันแล้วค่ะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา