มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  25.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) บทที่ 11

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 11

นับตั้งแต่อองรีได้มาที่บ้านของรจนาที่อยุธยาแล้ว ความรักของทั้งสองคนก็ผลิบานอย่างรวดเร็วราวกับต้นไม้ใบหญ้าที่ได้รับสายฝนที่โปรยปรายในฤดูฝน และยิ่งมีโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่อองรีซื้อให้เธอในวันเกิดด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนยิ่งแนบแน่นเพิ่มขึ้นไปอีก อันเนื่องมาจากคุณสมบัติพิเศษของโทรศัพท์ที่ทำให้สามารถติดต่อถึงกันได้หลากหลายรูปแบบไม่เว้นวันเวลาและสถานที่ รจนาเองก็รู้สึกว่าเมื่อได้ใช้โทรศัพท์ชนิดนี้แล้ว ทำให้เธอกล้าที่จะแสดงบางอย่างออกมามากขึ้น ทั้งๆที่ปกติแล้วเธอจะเป็นคนที่ค่อนข้างสำรวมและระมัดระวังในเรื่องการแสดงออกอยู่เสมอ วันหนึ่งอองรีนึกสนุกจึงแกล้งพิมพ์ข้อความไปหาเธอ ขณะที่เธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หอพักในยามค่ำคืนว่า

“คิดถึงจัง” รจนาชำเลืองมองดูข้อความนั้นแล้วก็ยิ้มๆก่อนที่จะพิมพ์ตอบกลับไปว่า

“ตาบ๊องส์”

อองรีส่งสติกเกอร์รูปหน้าเศร้าละห้อยกลับไปหาเธอ รจนาจึงส่งรูปแลบลิ้นตอบกลับมา อองรีเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ชอบใจว่าเธอสามารถใช้งานได้อย่างชำนาญแล้ว จึงส่งรูปคนชูหัวแม่มือไปให้ รจนาได้รับแล้วก็ต้องแอบหัวเราะเบาๆ ในขณะที่กุลวดีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆสังเกตอาการของเพื่อนรักแล้วก็รู้สึกสับสนในใจ เพราะใจหนึ่งก็ยินดีที่เห็นเพื่อนมีความสุข แต่อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วง เพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติ วัฒนธรรมประเพณี ที่เกรงว่าทั้งสองคนจะปรับตัวเข้าหากันไม่ได้ กุลวดีนั่งตรึกตรองอยู่นาน จนสุดท้ายตัดสินใจถามว่า

“รจ พักนี้เธอได้ติดต่อกับพี่วัชรินทร์บ้างหรือเปล่า”

“ไม่ได้ติดต่อเลย มีอะไรหรือเปล่า”รจนากล่าวก่อนที่จะปิดโทรศัพท์แล้ววางข้างตัว

“เธอยังโกรธพี่เขาอยู่หรือ”

“เปล่า”เธอร้องเสียงดัง “ฉันไม่ได้โกรธพี่เขาสักหน่อย”

“โล่งอกไปที”กุลวดีกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ “พี่เขาเสียใจมากนะในเหตุการณ์วันนั้น”

“ฉันก็เสียใจที่เป็นต้นเหตุให้เขากับแม่ต้องมาทะเลาะกัน”เธอกล่าวอย่างสำนึกผิด

“รจ..ทำไมเธอจึงไม่ให้โอกาสพี่เขาบ้างล่ะ เหมือนกับที่เธอให้แก่..เอ้อ...ฉันหมายถึง อองรี”

“ฉันพยายามแล้ว แต่ฉันรู้สึกว่าเราเข้ากันไม่ได้ เรามีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันเหลือเกิน ฉันรู้สึกอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเองยามที่ต้องอยู่กับพี่เขา”

“เป็นเพราะฐานะของพี่วัชรินทร์กับของเธอด้วยหรือเปล่า”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง”

กุลวดีนิ่งไปสักครู่เหมือนกำลังชั่งใจว่าควรจะกล่าวต่อไปดีหรือไม่ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจกล่าวว่า

“พี่เขาเป็นห่วงเธอนะ เขามีบางสิ่งบางอย่างอยากจะบอกให้เธอรู้ แต่เขาเกรงว่าเธอจะเข้าใจเขาผิด เขาจึงส่งมาให้ฉันแทน”

“เรื่องอะไรหรือ”รจนาถามอย่างสนใจ

“เอาไว้พรุ่งนี้ ฉันจะส่งเมลที่ฉันได้รับมาจากพี่หมอ แล้วส่งต่อให้เธอลองเปิดอ่านดูเอาเองนะ”

วันรุ่งขึ้น รจนารู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก เมื่อทราบว่ากระเป๋าที่เธอออกแบบและตัดเย็บ ได้คะแนนเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียน เธอรีบนำกระเป๋าใบนั้น ไปยังห้องสมุด เพื่อรอที่จะอวดอองรี ด้วยความภาคภูมิใจ ระหว่างที่นั่งรอเขาอยู่นั้น เธอได้เปิดอีเมลที่กุลวดีส่งต่อมาให้ออกอ่านด้วยความสนใจใคร่รู้ในเบื้องแรก แต่เมื่อยิ่งอ่านไปกลับมีความรู้สึกหวั่นไหวและผิดหวังเสียใจติดตามมา เพราะเอกสารที่แนบมากับเมลนั้น ได้นำบทความจากนิตยสารที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสแนบมาด้วย เธออ่านพร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ บทความที่เหมือนบทซุบซิบในวงสังคมชั้นสูง มีการกล่าวพาดพิงถึงอองรีและนำรูปภาพของเขามาลงประกอบอย่างชัดเจน

“ฝรั่งเศสเงียงเหงา เมื่อเจ้าชายแห่งกรุงปารีส มาเรียนที่ประเทศไทย” เป็นตัวหนังสือพาดหัวของบทความนั้น ตามด้วยตัวอักษรที่ขนาดย่อมลงมาที่ตีพิมพ์ว่า “หรือว่าเขาจะเบื่อกลิ่นอายของสาวๆชาวฝรั่งเศสเสียแล้ว”

รจนาค่อยๆอ่านบทความนั้นด้วยใจที่เต้นระทึก อองรีที่ปรากฏเป็นตัวตนอยู่ในบทความนี้ ไม่เหมือนกับอองรีที่เธอรู้จักแม้แต่น้อย แม้รจนาจะพยายามปลอบใจตนเองว่า น่าจะเป็นคนที่มีชื่อเหมือนกัน แต่ภาพถ่ายที่นำมาลงประกอบนั้น เป็นภาพของอองรีอย่างแน่นอน

“อองรีผู้เป็นทายาทคนเดียวของมหาเศรษฐี เจ้าของผลิตภัณฑ์ เครื่องหนังและเครื่องแต่งกาย ฟรังซัวร์อันลือชื่อ ผู้ที่เปลี่ยนคู่ควงได้ไวกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้า ผู้ที่ร่ำลือนักว่าสามารถทำให้ผู้หญิงคนไหนก็ตามที่เขาสนใจ ต้องหลงรักเขาภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที และสามารถสลัดผู้หญิงคนนั้นทิ้งไปได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที”

รจนาค่อยๆขยับมือเลื่อนบทความไปอย่างช้าๆด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ภาพที่ปรากฏต่อหน้าเธอหลายรูป เป็นภาพที่แสดงถึงความสนิทสนมใกล้ชิดของเขากับผู้หญิงหลายรายไม่ซ้ำหน้ากัน บางรายถึงขนาดยืนจูบกันในที่สาธารณะก็ยังมี

“ว่ากันว่า นางแบบที่จะได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าของฟรังซัวร์นั้น จะต้องผ่านการพิจารณาตรวจสอบ อย่างใกล้ชิดและส่วนตัว จากเขาเสียก่อน” บทความนั้นพิมพ์เน้นตัวดำหนาตรงคำว่า “ตรวจสอบอย่างใกล้ชิดและส่วนตัว” เหมือนกับจงใจให้ผู้อ่านตีความได้ด้วยตนเอง ดวงตาของเธอเริ่มเปียกชื้นเนื่องจากหยาดน้ำตาที่เริ่มรินไหลออกมา สายตาที่จับจ้องหน้าจอเริ่มพร่ามัวจนเธอต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับ เพื่อที่จะสามารถอ่านได้ต่อไป

เสียงสัญญาณจากโทรศัพท์ดังขึ้นเบาๆ อองรีพิมพ์ข้อความส่งมาถามว่า เธอกำลังอยู่ที่ไหน รจนาจึงพิมพ์ตอบกลับไปว่า

“อยู่ห้องสมุด มาพบฉันตอนนี้ได้ไหมคะ”

อองรีเดินทางมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน รจนาลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยไม่ได้กล่าวอันใด เพื่อหลีกทางให้เขาได้ดูภาพและข้อความเหล่านั้นด้วยตนเอง เขามองหน้าจอที่มีข้อความและรูปภาพปรากฏด้วยความตกตะลึง ก่อนที่จะนั่งลงอ่านด้วยความสนใจ เมื่ออ่านจบ เขาก็พบว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว อองรีรีบเดินออกจากห้องสมุดเพื่อตามหาเธอในทันที แล้วก็ได้พบว่าเธอกำลังนั่งหันหลังให้อยู่ที่ม้านั่งด้านนอกตามลำพัง เขาร้องเรียกเธอ แต่เธอไม่หันกลับมา เขาจึงเดินไปนั่งลงยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอ

“เป็นความจริงใช่ไหมคะ”รจนากล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นก่อนที่น้ำตาที่พยายามเก็บกลั้นไว้จะไหลอาบใบหน้าอย่างสุดจะหักห้ามได้อีกต่อไป

“ขอให้ผมได้อธิบาย...”

รจนาไม่รอให้เขาพูดจบก็เข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ในบทความนั้นเป็นความจริง เธอลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วตั้งใจจะเดินจากไปในทันที แต่อองรีรีบคว้าข้อมือของเธอไว้แล้ววิงวอนขอให้เธอฟังคำอธิบายจากเขาก่อน รจนาพยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากการยึดกุมของเขา แต่อองรีจับไว้แน่นและไม่ยอมปล่อย จนในที่สุด เธอต้องยอมนั่งลงตามเดิมเมื่อเห็นสายตาของผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมากำลังมองด้วยความสนใจ

“ผมยอมรับว่าครั้งหนึ่งผมเคยเป็นเช่นนั้น”อองรีสารภาพตามตรง “แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันเมื่อผมได้รู้จักกับคุณ ได้คบกับคุณจึงทำให้ผมได้รู้ว่า คุณค่าที่แท้จริงของชีวิตนั้นคืออะไร”

“ทำไมคุณถึงไม่เคยบอกฉันว่าคุณเป็นทายาทของมหาเศรษฐีพันล้านหมื่นล้าน คุณเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นฝรั่งเดินดินกินข้าวแกงเพื่ออะไรกัน คุณสนุกใช่ไหมที่ได้หลอกฉัน”รจนากล่าวอย่างมีอารมณ์

“ที่ผมไม่บอกเพราะผมอยากจะลองใจคุณ”

“ลองใจ?”รจนาทวนคำอย่างไม่พอใจ

“ผู้หญิงหลายคนที่เข้ามาในชีวิตของผม ล้วนเข้ามาเพื่อหวังประโยชน์จากความร่ำรวยของผมทั้งสิ้น แต่กับคุณแล้ว คุณต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆที่ผมรู้จัก คุณคบหากับผมโดยที่ไม่ได้สนใจในความร่ำรวยของผม แม้บางครั้งผมเป็นฝ่ายที่เต็มใจที่จะหยิบยื่นให้คุณแต่คุณก็เป็นฝ่ายที่ปฏิเสธแทบทุกครั้ง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่น”

“แล้วมีอะไรอีกไหมคะที่คุณได้ลองใจฉัน”น้ำเสียงของเธอยังไม่ได้คลายความโกรธลง

“ผมขอโทษ ที่ผมทำเช่นนั้นก็เพื่ออยากจะพิสูจน์ว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ผมใฝ่ฝันหาจริงๆ”

“หยุดเรื่องผู้หญิงในฝันของคุณเสียทีเถอะค่ะ กี่คนแล้วคะที่คุณพูดเช่นนี้กับพวกเธอแล้วก็ขับไล่เธอไปเสียจากความฝันอันแสนหวานของคุณเมื่อคุณตื่นขึ้นมา น่าภูมิใจใช่ไหมคะ แข่งกันทำเวลาที่จะทำให้ผู้หญิงหลงรักคุณได้เร็วที่สุดเท่าใด แข่งกันทำสถิติผู้หญิงที่หลงกลคุณ นี่คุณคงนับฉันเข้าไปอยู่ในบัญชีความสำเร็จของคุณด้วยแล้วสิ”

“ไม่ครับ รจนา ไม่ใช่เช่นนั้น จริงอยู่ตอนผมอยู่ที่ปารีส ผมใช้ชีวิตสนุกสนานไปกับเพื่อนๆในการแข่งขันกันจีบผู้หญิงเพื่อความสนุกสนาน แต่กับคุณผมไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย คุณต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆที่ผมรู้จัก”

“เพราะคุณไม่เคยเสนอความรวยของคุณให้แก่ฉันกระมังคะ ไม่แน่นะ ถ้าคุณเสนอ ฉันอาจจะหลงรักคุณภายในหนึ่งนาทีก็ได้”รจนากล่าวอย่างประชดประชัน

“กับคนอื่นผมอาจจะทำให้เธอหลงรักได้ภายในสามสิบนาที แต่กับคุณผมกลับเป็นฝ่ายหลงรักคุณตั้งแต่นาทีแรกที่ได้พบกัน กับคนอื่นผมอาจจะทิ้งเธอได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที แต่กับคุณ ผมจะไม่มีวันยอมสูญเสียคุณไปเด็ดขาด”

“นั่นเป็นเพราะคุณยังไม่ได้ในสิ่งที่คุณหวังจากฉัน และคุณจะไม่มีวันได้ด้วย”รจนากล่าวแล้วก็ลุกขึ้นเดินจากไปในทันที คงทิ้งให้อองรีนั่งซึมเศร้าอยู่ที่ม้านั่งนั้นแต่เพียงผู้เดียวตามลำพัง

หลังจากวันนั้น เธอก็ไม่ได้พูดคุยกับเขาอีกเลย แม้อองรีจะตามงอนง้อเพียงใด เธอก็ยังคงวางปึ่งเฉยเมยต่อเขา พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบกับเขา หากถึงเวลาทานอาหารที่เคยทานร่วมกัน เธอก็จะเลี่ยงไปทานก่อนหรือหลัง เพื่อจะได้ไม่ต้องพบกับเขา และเมื่อเรียนสร็จ ก็จะตรงกลับไปหอพักในทันที ครั้นถึงเวลาที่ต้องออกไปแสดงดนตรี แม้อองรีจะมารอรับเช่นเคย แต่เธอก็ยังคงไม่ยอมพูดกับเขา ได้แต่ปล่อยให้เขาเดินตามมาส่งที่หอพัก ทำราวกับว่าไม่มีตัวตนของเขาอยู่ในที่นั้น

เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ อองรีมาหาเธอที่หอพักจึงได้ทราบจากเพื่อนๆที่หอว่าเธอเดินทางกลับบ้านที่อยุธยาแล้ว เขาจึงได้ออกเดินทางตามไปในทันที แต่เมื่อไปถึง เขากลับตัดสินใจแวะไปยังวัดท้ายบ้าน ที่เขาเคยขออาศัยหลับนอน และได้เข้าไปกราบขออนุญาตจากหลวงตาเจ้าอาวาสเพื่อขอพักอาศัย ในช่วงวันหยุดนี้ ซึ่งก็ได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสด้วยความเมตตา เขาจึงได้ติดตามสิงห์กลับไปที่ห้องพัก

“เป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมดูหน้าตาไม่สดใสเลย”สิงห์ถามอองรีเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ครับ ผมมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ”

“นึกอยู่แล้ว คนสบายใจไม่มีใครมาวัดกันหรอก ว่าแต่มีเรื่องอะไรเล่า พี่พอจะช่วยได้ไหม”

อองรีรู้สึกนับถือในน้ำใจไมตรีของคนไทยยิ่งขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นรจนา หรือว่าสิงห์ที่เขาเพิ่งรู้จัก ต่างก็พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ด้วยความเต็มใจทั้งสิ้น

“ผมทะเลาะกับรจนามาครับ”

“ตายละวา”สิงห์อุทานด้วยความตกใจ “ทะเลาะกับใครไม่ทะเลาะ ไปทะเลาะกับยัยรจ สงสัยต้องบวชล้างซวยเสียสามวัดแล้วกระมัง”

“ครับ ผมยอมบวชครับ”อองรีพูดด้วยความซื่อจนสิงห์ต้องร้องอย่างตกใจว่า

“เฮ้ย ไม่ได้ๆ พี่แค่เปรียบเปรยให้ฟังเฉยๆ”

“ไม่ได้หรือครับ ถ้าต้องทำอะไรเพื่อให้รจนาคืนดีกับผม ผมยอมทำได้ทุกอย่างเลยครับ”

“ทางศาสนาพุทธนั้นเขาสอนว่า ทุกข์นั้นเกิดจากเหตุ ถ้าจะดับทุกข์ก็ต้องดับที่เหตุ ยัยรจเธอโกรธคุณด้วยเรื่องอะไร คุณก็ต้องไปแก้ที่ตรงนั้น”

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่รจนากำลังเตรียมที่จะใส่บาตรอยู่นั้น เธอก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นอองรีเดินตามหลวงตามาด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม เขาไม่ได้สบสายตากับเธอ แต่เหลือบตาลงต่ำมองดูพื้นดินราวกับผู้ทรงศีลอันเคร่งครัด รจนาค่อยๆตักข้าวสวยใส่ลงในบาตรด้วยมืออันสั่นเทา ตามด้วยกับข้าวคาวหวาน และดอกบัว ก่อนที่จะคุกเข่าลงพนมมือรับศีลรับพร สายตาของเธอเหลือบดูเท้าของอองรีที่ไม่ได้สวมรองเท้าที่ ค่อยๆเดินตามหลวงตาไปอย่างช้าๆ เธอลุกขึ้นยืนแล้วมองตามร่างนั้นไปด้วยความรู้สึกปวดร้าวในใจ

ตอนบ่ายวันนั้น เธอเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างที่อยู่ที่สถานีรถโดยสารนั้น เธออดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองหาใครคนหนึ่ง ด้วยคิดว่าเขาควรจะเดินทางกลับด้วยรถเที่ยวนี้ ถ้าไม่ต้องการถึงกรุงเทพฯค่ำเกินไป เธอรอจนได้เวลาที่รถออก แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของอองรีที่จะมาแต่อย่างใด เธอเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯตามลำพังด้วยความรู้สึกที่เดียวดายยิ่งนัก เธอกลับมาถึงและตรงไปที่ร้านอาหารเพื่อแสดงดนตรีต่อในทันที เมื่อเสร็จจากงานก็ไม่พบอองรีมานั่งคอยดังที่เขาเคยมาคอยเธออยู่เสมอ เธอเริ่มรู้สึกตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่หัวใจของตนเอง และไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า การพยายามที่จะลืมเขานั้น จะยากเย็นถึงเพียงนี้ เธอเดินกลับมาหอพักด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ บางครั้งก็อยากยอมแพ้ใจตนเอง ด้วยการกลับไปง้อคืนดีกับเขา แต่แล้วก็กลับมีทิฐิมานะขึ้นมาในเวลาไม่นาน เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดู ไม่มีข่าวคราวจากเขามาสองวันแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่ได้คุยกับเขามาได้หลายวันแล้ว แต่ระหว่างนั้นเขาก็ยังเฝ้าวนเวียนส่งข้อความมาสารภาพผิด มาออดอ้อน มางอนง้ออยู่ไม่ได้ขาด แต่สองวันที่ผ่านมานี้ ไม่มีการติดต่อจากเขาอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าเธอจะได้พบเขาในขณะใส่บาตรอย่างใกล้ชิด แต่การวางเฉยของเขากลับเหมือนราวกับว่าได้เพิ่มความห่างเหินระหว่างกันให้มากขึ้นไปอีก

เธอตัดสินใจยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยการเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาเขา แต่สายสัญญาณปลายทางกลับบอกว่า ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ ทำให้เธอกลับยิ่งร้อนรุ่มในใจขึ้นไปอีก เธอเข้าไปในเฟซบุคเพื่อหวังจะใช้เป็นช่องทางในการติดต่อกับเขา แต่เมื่อเข้าไปดูก็พบว่า อองรีได้ระบุตำแหน่งของตนเองว่ากำลังอยู่ที่วัดท้ายบ้าน พร้อมทั้งพิมพ์ข้อความกำกับว่า “กำลังปฏิบัติธรรมอยู่”

เธออ่านข้อความด้วยความตกใจ เมื่อทราบว่าเขาไม่ได้กลับมา เขายังคงอยู่ที่นั่น ทั้งๆที่เป็นเวลากลางคืนของวันอาทิตย์แล้ว และพรุ่งนี้เขาก็มีชั่วโมงที่จะต้องเรียนตั้งแต่เช้าด้วย รจนาเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนหนังสือมาตลอด การขาดเรียนสำหรับเธอแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงทำให้เธออดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ว่า เขากำลังทำการประชดเธอด้วยวิธีที่ผิดๆหรือเปล่า คืนนั้นเธอเข้านอนด้วยจิตใจที่ว้าวุ่นและไม่อาจข่มตานอนหลับได้ตลอดทั้งคืนจนกระทั่งรุ่งเช้า

เช้านี้เธอมีเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสกับนงนุชพอดี ซึ่งนงนุชได้ขอพบกับเธอเป็นการส่วนตัวหลังจากจบชั้นเรียนแล้ว

“ครูเห็นจากเฟซบุคว่าอองรีไปปฏิบัติธรรมที่วัดท้ายบ้าน เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ จึงได้ทิ้งหนังสือหนังหาหันหน้าเข้าวัดเช่นนี้”

“หนู...หนู..ก็ไม่ทราบค่ะ”รจนาตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจเพราะรู้ตัวดีว่ากำลังพูดปด นงนุชมองดูอาการของรจนาด้วยท่าทางครุ่นคิด ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วกล่าวว่า

“อองรีเขาก็มักจะเป็นเช่นนี้ เปลี่ยนแปลงไปมาราวกับพายุที่แปรปรวน นับตั้งแต่ที่ต้องสูญเสียแม่ของเขาไป”นงนุชรำพึงออกมาอย่างลืมตัว

“อาจารย์หมายความว่าอย่างไรคะ”รจนาถามด้วยความสนใจในทันที

“ที่จริงครูไม่ควรที่จะเอาเรื่องส่วนตัวของเขามาบอกแก่เธอ แต่ครูเห็นว่ามีแต่เธอเท่านั้นที่เหนี่ยวรั้งไม่ให้เขาเตลิดไปในทางที่ไม่ดีได้”

“หนู...หนู ไม่เข้าใจค่ะ”

“เธอคงได้เห็นบทความเกี่ยวกับตัวเขาที่แพร่กระจายอยู่ในสังคมออนไลน์แล้วใช่ไหม ครูเกรงว่าอองรีจะเตลิดไปเพราะเรื่องนี้” รจนาก้มหน้านิ่งไม่ตอบอันใด นงนุชจึงกล่าวต่อไปว่า “ถ้าใครที่ไม่รู้จักเขาดีพอ ก็จะคิดว่าเขาเป็นเช่นนั้น ซึ่งครูก็ไม่อยากจะเถียงแทน ว่าเขาทำเช่นนั้นเพราะเหตุอันใด...”

จากนั้นนงนุชได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของอองรีตั้งแต่สมัยที่เขายังเล็กให้แก่รจนาฟังว่า พ่อของอองรีนั้นได้แต่งงานกับผู้หญิงที่มีฐานะร่ำรวยในระดับเดียวกัน จนกระทั่งให้กำเนิดทายาทตัวน้อยผู้มีนามว่าอองรี แต่ครอบครัวที่เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สินเงินทองนั้น ใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป เพราะปิแอร์ผู้เป็นพ่อนั้น ไม่ได้รักแม่ของเขาเลย ปิแอร์นั้นตกหลุมรักนักศึกษาสาวต่างชาติคนหนึ่งที่ได้พบกันขณะที่เธอไปศึกษาต่อที่นั่นและตั้งใจที่จะแต่งงานกับเธอ แต่พ่อแม่ของปิแอร์นั้นไม่ยอมและขู่ที่จะตัดเขาออกจากกองมรดก ปิแอร์จึงจำต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่มีฐานะเดียวกันที่พ่อแม่หาให้ จนกระทั่งให้กำเนิดอองรีขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นปิแอร์ก็ไม่เคยลืมสาวต่างชาติคนนั้น เขายังคงอาลัยอาวรณ์เฝ้าคิดถึงเธออยู่ไม่คลาย จนเวลาผ่านไปได้สามปีก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลืมเธอได้ แม่ของอองรีจึงหมดความอดทนและได้ขอแยกทางกัน เธอตั้งใจพาอองรีไปเลี้ยงดูด้วยตัวเธอเอง แต่ระหว่างที่เดินทางนั้น รถของเธอได้ประสพอุบัติเหตุ เธอเสียชีวิตคาที่ ส่วนอองรีนั้นปลอดภัย แต่ก็ต้องทนเห็นผู้เป็นมารดาเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา นับแต่นั้นมา เขาก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีกับผู้หญิงทุกคน ด้วยเข้าใจว่า ผู้หญิงเหล่านั้นเป็นตัวการทำให้ครอบครัวของเขาต้องแตกแยก และทำให้แม่ของเขาต้องเสียชีวิต เขาจึงใช้เสน่ห์และความร่ำรวยของเขา ทำลายผู้หญิงคนแล้วคนเล่า

“หนูไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อนเลยค่ะ”รจนากล่าวทันทีเมื่อนงนุชเล่าจบ

“ครั้งหนึ่งครูเคยเรียกเธอมาเพื่อเตือนเธอให้ระมัดระวังในการคบกับเขา เธอคงเข้าใจนะว่าครูเป็นห่วงเธอเพราะไม่เพียงแต่เธอเป็นผู้หญิงเท่านั้น แต่เธอยังเป็นคนไทยด้วย คนไทยเช่นเดียวกับผู้หญิงที่พ่อของเขาหลงรักจนเป็นเหตุให้แม่ของเขาต้องตาย ครูจึงกลัวว่าเธอจะตกเป็นเป้าหมายของการแก้แค้นของเขา”

“อาจารย์...อาจารย์คิดเช่นนี้จริงๆหรือคะ”รจนาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เมื่อก่อนครูคิด และเฝ้าดูการคบหาของเธอทั้งสองคนอย่างใกล้ชิดและพบว่าอองรีเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อคบกับเธอ ครูคิดว่าถ้าเขาจะทำร้ายเธอนั้น เขาคงทำไปนานแล้ว ถ้าเรามองเขาด้วยความเป็นธรรมแล้ว เธออาจจะไม่รู้จัก อองรี เจ้าชายแห่งกรุงปารีส แต่สำหรับครูแล้ว ครูรู้จักเขาดี และพบว่า อองรี เจ้าชายแห่งกรุงปารีส ตามบทความที่ปรากฏในโลกออนไลน์นั้น ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับอองรี นักศึกษาจุฬา ลูกศิษย์คนนี้ของครู ราวกับคนละคน”

รจนามีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักเมื่อได้คุยและทราบข้อมูลจากนงนุช เธอพยายามติดต่อกลับไปหาเขา แต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้เช่นเคย อองรีขาดเรียนไปทั้งสัปดาห์ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกร้อนใจและเป็นกังวลมากขึ้น ดังนั้นในตอนบ่ายของวันศุกร์เธอจึงได้โทรไปขอลาการแสดงดนตรีในตอนกลางคืนและได้เดินทางกลับไปอยุธยาในทันที

เธอกลับมาถึงบ้าน เอากระเป๋าเก็บเข้าที่แล้วก็ตั้งใจที่จะไปพบกับเขา เพื่อปรับความเข้าใจกันให้รู้เรื่อง แต่เมื่อเหลือบมองดูบนโต๊ะอาหารที่มีถุงยาวางอยู่มากมาย เธอจึงหยิบขึ้นมาดู เห็นว่าบนฉลากที่ปิดอยู่ระบุชื่อคนไข้คือ นายเรือง บิดาของเธอ

“แม่ พ่อเป็นอะไร ทำไมถึงมียามากมายขนาดนี้”เธอร้องถามแม่ที่อยู่ข้างๆด้วยความตกใจในทันที

“พ่อเขาล้มฟุบที่ท้ายนา เมื่อวันก่อน ดีว่าได้เพื่อนฝรั่งของลูกมาพบ จึงช่วยกันพาไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน”

รจนารับฟังด้วยความตกใจและรีบเข้าไปดูอาการของพ่อที่นอนอยู่ในห้องทันที เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วจึงคลายความกังวลลง เมื่อเดินออกมาพบราตรีกำลังนั่งอยู่ที่หน้าบ้านจึงถามว่า

“แม่ ระหว่างที่หนูไม่อยู่ อองรีเขาทำอะไรบ้าง”

“แม่ก็เห็นเขาเดินตามหลวงตามาบิณฑบาตรทุกเช้า ว่าแต่เขาไม่กลับไปเรียนหนังสือแล้วหรือ” ราตรีถามด้วยความสงสัยเช่นเดียวกับรจนาที่อยากรู้ในคำตอบเช่นเดียวกัน จึงได้เร่งรีบเดินไปตามคันนาเพื่อไปยังวัดท้ายบ้านในทันที

ดวงอาทิตย์เริ่มลดต่ำลง อากาศกำลังเย็นสบายจากสายลมยามเย็นที่พัดมาไม่ขาดระยะ รจนาเดินมาจนถึงเพิงที่ปลายนาแห่งนั้น เพิงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ที่เธอถือกำเนิดขึ้นมา แต่บัดนี้ อองรีกำลังนั่งอยู่ที่นั่น เขานั่งหันหน้าเข้าวัด จึงไม่ได้เห็นเธอที่เดินมาจากทางด้านหลัง รจนาค่อยๆเดินมาอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่เงียบพอที่จะไม่ให้เขาได้ยิน อองรีหันกลับมาเผชิญหน้ากับเธอด้วยสีหน้าที่ราบเรียบราวกับผิวน้ำที่สงบนิ่ง

รจนาเดินเข้าไปใกล้จนได้ระยะแล้วสองมือของเธอก็ระดมทุบฟาดเข้าใส่ลำตัวของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง อองรียืนสงบนิ่งราวกับรูปปั้น ไม่หลบหนี ไม่ป้องกันหรือตอบโต้แต่อย่างใด รจนาทุบตีเขาเพื่อระบายความรู้สึกที่อัดอั้นมาตลอดหลายวัน พร้อมกับกล่าวว่า

“คนบ้า จะบอกสักคำก็ไม่ได้....หายไปเฉยๆเช่นนี้ ไม่รู้หรือว่าใครๆเขาเป็นห่วงเพียงใด”

“ผมขอโทษ....”อองรีกล่าวเนิบๆทำให้รจนาต้องหยุดทุบตีเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะกล่าวพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆไหลรินออกมาว่า

“นอกจากขอโทษ ขอโทษ แล้ว คุณพูดคำอื่นเป็นบ้างไหม”

“ผมรักคุณ!”อองรีกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ รจนายืนตะลึงอยู่สักครู่ก่อนที่จะโผเข้ากอดร่างของเขาอย่างแนบแน่นแล้วสะอื้นร่ำไห้อยู่กับอกอันผึ่งผายของเขา โดยที่ไม่อาจกล่าวอันใดออกมา อองรีค่อยๆยกแขนทั้งสองข้างของเขา ขึ้นโอบกอดเธอเบาๆ แล้วค่อยๆกระชับขึ้นทุกทีๆ

ดวงอาทิตย์ค่อยๆลับลงจากขอบฟ้า ความมืดค่อยๆคืบคลานเข้าปกคลุม แต่ความรักในหัวใจของหนุ่มสาวทั้งสองคนกลับสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง รจนาปล่อยกายให้อยู่ในอ้อมกอดของอองรีโดยไม่คิดจะหลบหนีไปไหน ขณะที่ถามเขาว่า

“จะกลับไปเรียนหนังสือได้หรือยัง”

“ผมได้เรียนเรื่องราวทางโลกมาทั้งชีวิตแล้ว เพิ่งจะได้ศึกษาเรื่องทางธรรมไม่กี่วันมานี้เอง”

รจนารู้สึกแปลกใจในคำตอบของเขา การไม่ได้พบกันเพียงแค่ไม่กี่วัน ทำให้เขาดูเปลี่ยนไปมาก ดูเคร่งขรึม สงบ เยือกเย็น ราวกับพระนักบวชที่บวชเรียนมาแล้วหลายปี

“ผมชอบชีวิตเช่นนี้”อองรีเริ่มกล่าวอีกครั้ง “ถ้าเป็นไปได้ผมอยากมาที่นี่บ่อยๆ ชีวิตที่นี่สงบ ไม่ต้องรีบร้อนเร่งรีบ แก่งแย่งกันเหมือนชีวิตในเมืองใหญ่ ผมมาอยู่ตั้งหลายวันแทบไม่ต้องใช้เงินเลย นอนที่วัด ทานอาหารก้นบาตรพระ เป็นชีวิตที่สงบและเรียบง่ายดีจริงๆ”

“คุณยังหนุ่มแน่น มีพละกำลังที่จะทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมอีกมาก กลับไปเรียนหนังสือก่อนนะคะ เรียนให้สำเร็จให้สมกับที่คุณพ่อ คุณ....”รจนาเกือบหลุดคำพูดว่าคุณแม่ออกมา ดีแต่ว่านึกขึ้นมาได้ทัน

“ยังไงผมก็ต้องกลับไปอยู่แล้ว เพราะผมได้รับรู้แล้วว่า การที่ไม่มีคุณอยู่เคียงข้างนั้น เจ็บปวดและทรมานเพียงใด”

รจนาต้องก้มหน้าด้วยความเอียงอาย ก่อนที่จะพูดแก้เขินเพื่อขอตัวกลับบ้านเพราะเห็นว่าเริ่มที่จะมืดแล้ว

“ให้ผมเดินไปส่งนะครับ จะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมคุณพ่อของคุณด้วย”

“ไปสิคะ”เธอกล่าวอย่างยินดี “ต้องขอขอบคุณมากนะคะที่เป็นธุระช่วยดูแลให้”

อองรีไม่ได้กล่าวตอบแต่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกมือขวาแล้วหงายฝ่ามือยื่นมาให้เธอ

“ให้ผมจูงมือได้ไหมครับ เดี๋ยวคุณจะพลาดพลั้งตกคันนาไป”

รจนาหัวเราะเบาๆครั้งหนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า

“ฉันวิ่งเล่นที่นี่มาตั้งแต่เล็กๆ ต่อให้หลับตาเดินฉันก็เดินถูก”

อองรีไม่ได้โต้เถียงแต่ยังไม่ยอมลดมือข้างนั้นลง รจนามองดูรอบกายเห็นว่าบรรยากาศรอบด้านมืดสลัวลงมากแล้ว จึงคลายกังวลที่จะถูกใครพบเห็นลง เธอค่อยๆวางมือของเธอลงบนมือของเขาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะออกเดินตามเขาไปด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา