กระทืบธรณี เหยียบนรก พลิกสวรรค์
7.7
เขียนโดย ใต้แผ่นฟ้า
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.18 น.
16 ตอน
0 วิจารณ์
19.03K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ลัทธิบัวขาว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 7 ลัทธิบัวขาว
กาลเวลาหมุนวนผลัดเปลี่ยน จากใบไม้ผลิสู่ใบไม้ล่วง จากร้อนผ่านฝนจนถึงหนาว จากสุขไปเป็นทุกข์ จิ้นเหออายุได้สิบปี มันแลดูสูงขึ้น แววตาคมข้มปราศจากริ้วรอยไร้เดียงสา กองกำลังพิทักษ์หมู่บ้านทำหน้าที่ได้ดี หมู่บ้านปกป้องตัวเองจากอสูรหยวนโหม่วได้แล้ว ลูกเด็กเล็กแดงถือกำเหนิดเกิดขึ้นมาใหม่ นำมาซึ่งความเบิกบานให้แก่ทุกผู้ทุกคน ผลผลิตก็ดีขึ้นในปีที่ผ่านมา รอยยิ้มสุขสำราญปลาบปลื้มท่วมท้น มีการเฉลิมฉลองกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนบานศาลกล่าวขอให้เป็นแบบนี้ทุกปี ช่างเป็นบรรยากาศอันรื่นเริง ผู้คนเนืองแน่นในบริเวณแคบๆ ของวัด
“ฆ่าให้หมดอย่าให้หนีรอดไปได้” สินเสียงคำสั่งที่ดังกึกก้องกลุ่มคนแปลกหน้าต่างชักอาวุธพุ่งเข้าหากลุ่มชาวบ้าน
เสียงผู้คนวิ่งแตกตื่นวิ่งอลหม่านเสียงกรีดร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ชายชุดดำถือดาบในมือเมื่ออยู่ใกล้ใครคนผู้นั้นเป็นต้องโดนดาบในมือมันสัมผัสร่าง ท่อนแขนล่วงลงมาหลังจากยกแขนรับดาบ โลหิตแดงโพยพุ่ง หญิงแก่ล้มลงคมดาบตามปักที่กลางหลัง หลายร่างล้วนสิ้นใจหยุดความเคลื่อนไหว หลายคนล้วนดิ้นล้นกระเสือกกะสน บ้างคืบคลานหมายมุ่งมีชีวิตรอด การไล่สังหารยังดำเนินต่อไป
“ช่วยด้วยๆ ไต้ซือช่วยพวกข้าด้วย” เสียงร้องตะโกนอวดครวญครางต่างระงมเปล่งออกมา
เหล่าชายฉกรรจ์ในชุดดำที่กลางอกด้านซ้ายต่างมีสัญลักษณ์เปลวเพลิงสีแดงเป็นรูปดอกบัว ตรงกลางกลุ่มยืนไว้ด้วยบุรุษหน้ายาว รวบผมมัดไว้บนกระหม่อมปล่อยจอนยาวพลิ้วไหวไปตามสายลม ที่หน้าคาดไว้ด้วยผ้าปิดตารูปร่างผอมสูงเปลือยท่อนบน ลายสักตั้งแต่หน้าอกด้านซ้ายยาวไปจนถึงสุดแขนซ้ายเป็นลายอักขระเปลวไฟในมือถือไว้ด้วยดาบยาววาววับ ท่าทางยโสโอหัง ยืนแสยะยิ้มดูการสังหารเป็นเรื่องปกติธรรมดา
หมิงลู่ถือดาบในมือเข้าต้านทาน ศิษย์พี่เจิ้งหลี่ เจิ้งไฉ เจิ้งจู เจิ้งสี่ เจิ้งป๋อ จิ้นเหอ รวมทั้งกองพิทักษ์หมู่บ้านต่างหยิบฉวยอาวุธที่ตนเองถนัดวิ่งเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน เกิดการปะทะโลมรันพันตูกันอยู่หลายจุด
“จิ้นเหอเจ้าไปตามท่านเจ้าอาวาสกับท่านอาจารย์เฉิงเจี๋ย” หมิงลู่กล่าวด้วยความก้าวร้าวกับสิ่งที่เห็นมิอาจข่มใจใช้น้ำเสียงปกติได้
จิ้นเหอมิได้ขานรับแต่กำดาบหวายในมือรีบวิ่งไปหาท่านเจ้าอาวาสโดยมีเจิ้งป๋อตามไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นจิ้นเหอ?” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยเอ่ยถามเมื่อเห็นจิ้นเหอกับเจิ้งป๋อลนลานพุ่งเข้ามา
“มีพวกชุดดำ บุกมาสังหารผู้คนครับ อาหมิงลู่ใช้ให้พวกข้ามาตามท่านเจ้าอาวาสกับท่านอาจารย์ เรารีบไปกันครับ” เมื่อได้ฟังที่จิ้นเหอบอกให้รู้สึกตื่นตระหนกตกใจท่านทั้งสองรีบรุดติดตามจิ้นเหอออกมา
เมื่อออกมาด้านนอก ผู้คนล้วนบางตาก่อนหน้านี้ยังครึกครื้นรื่นเริง ยามนี้ส่วนใหญ่นอนแน่นิ่งเฉยอยู่บนพื้น พวกชุดดำล้มลงไม่กี่คน เป็นเจิ้งหลี่กางดาบไม้ขึ้นรับดาบที่ฟันลงมา ดาบเหล็กตัดผ่านดาบไม้ตกลงตรงกลางอก โลหิตแดงพรั่งพรูตามคมดาบ ร่างเกลือกกลิ้งล้มลงบนพื้นดิน ตอนนี้เห็นเพียงเจิ้งไฉกับเจิ้งสี่ ชาวบ้านอีกสี่ห้าคนต่างถอยมารวมกันตรงหมิงลู่
“อามิตตาพุทธ” ท่านเจ้าอาวาสท่านเปล่งพุทธคุณออกมา น้ำคลอในตาเมื่อเห็นภาพอันสยดสยอง ผู้คนนอนตายกันเกลื่อนกลาด ทั้งศิษย์เจิ้งหลี่ที่เพิ่งจะล้มลงนองชุ่มไปด้วยกองเลือด สายธารสีแดงย้อมสีเหลืองของธรรรมะ
“พวกท่านคุ้มกันท่านเจ้าอาวาส เราจะฝ่าออกไปกัน” หมิงลู่กล่าวเหลียวดูคนที่เหลืออยู่ แล้วกระโจนออกนำทางหมายหนีลงจากเขา ทุกคนต่างย่างเท้าก้าวตามหมิงลู่
“เจิ้งป๋อ จิ้นเหอ พวกเจ้าไปก่อน ไม่ต้องห่วงพวกข้าหมิงลู่เจ้าช่วยพาพวกมันไปที” ท่านเจ้าอาวาสท่านกล่าวเสียงเศร้าสลดปนหดหู่ หนีด้วยกันคงมิแคล้วตกตายกันสิ้น เจตนาของท่านมั่นคงเพียงนั่งลงหลับตาสวดมนตร์
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านอาจารย์ จิ้นเหอไม่ไป” มันเกาะกุมมือท่านเจ้าอาวาสกับท่านอาจารย์เฉิงเจี๋ยแน่น
“จิ้นเหอ คนเราเกิดมาล้วนต้องตาย อนิจจังวัฏสังขารา หมิงลู่เจ้านำพวกมันไป” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยท่านแกะมือจิ้นเหอพร้อมทั้งพลักดันมันกับเจิ้งป๋อไปทางหมิงลู่
ตัวหมิงลู่เริ่มปรากฎรอยบาดแผลเลือดเริ่มไหลออกมา จิ้นเหอครุ่นคิดในใจถ้าไม่หนีต้องตายหมดเป็นแน่แท้ ลำพังถ้าแค่ไม่กี่คนหมิงลู่ยังคงรับมือได้ แล้วยิ่งไม่ต้องคอยดูแลใครคงเอาตัวรอดได้ ตัดสินใจได้ดังนั้นจึงคว้าดาบหวายตามหมิงลู่ ฝ่าแหวกออกมาได้แค่เพียงสามคน พอมาถึงหน้าวัดทางจะลงเขาเป็นทางแคบ
“สกัดมันไว้อย่าให้ใครรอดไปได้” เสียงไล่ล่าของชายชุดดำยังตามมา
“เจิ้งป๋อ เจ้าพาจิ้นเหอไป ข้าจะสกัดไว้ก่อนเดี๋ยวข้าตามไป” หมิงลู่กล่าวจบควงดาบรอบตัวในท่าย้อมฟองสมุทรหมายไม่ให้ใครติดตามทั้งสองไปได้
“ประสกหาน ถนอมตัวด้วย” เจิ้งป๋อกล่าวรวบแขนจิ้นเหอกระชากมันลงเขา
“ท่านอา อย่าตายนะ” จิ้นเหอตะโกนออกมาเหลียวหันหน้ามองหมิงลู่
หมิงลู่ระสายตาหันจ้องจิ้นเหอเพียงแวบใจมันรู้สึกปวดร้าวไม่รู้ว่าจะได้เจอกับจิ้นเหออีกหรือไม่ มันได้แต่กัดฟันต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อให้จิ้นเหอปลอดภัย
ทั้งสองลงมาตีนเขาเกือบถึงทางแยกเข้าหมู่บ้านพลันต้องหยุดชะงักเท้าเบื้องหน้าปรากฎชายชุดดำอยู่สี่คน ยืนเฝ้าปากทางขึ้นเขากับหมู่บ้าน คาดเดาว่าคนในหมู่บ้านที่มิได้อยู่บนวัดคงมิแคล้วมีชีวิตรอด
“ข้าจะฆ่ามัน” เป็นจิ้นเหอกล่าวออกมาด้วยความเดือดดาลสุดระงับ สองเบ้าตาคลอไปด้วยน้ำใส
“อย่า..จิ้นเหอ” เจิ้งป๋อกดไหล่มัน “เจ้าจะทำให้ชีวิตทุกคนสูญเปล่าหรือไง” ทั้งสองหมอบซุ่มอยู่ข้างทางที่มีต้นหญ้าสูงเพียงท่วมเอว
“เราจะคลานหนีเข้าไปในพงหญ้ากันเจ้าไปทางซ้าย ข้าจะไปทางขวา” เจิ้งป๋อกล่าว
“ได้ศิษย์พี่” จิ้นเหอพยักหน้าหลังสงบสติได้แล้ว
“ถ้าข้าพลาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามถอยหลังกลับ สัญญากับข้า” มันจ้องมองไปในดวงตาอันแดงกล่ำของจิ้นเหอ มันเองก็เริ่มมีน้ำซึมออกมาบ้าง
“ได้ข้าสัญญา ศิษพี่ท่านก็ห้ามตาย” สายตาจ้องประสานกัน มีเรื่องราวอีกหลายอย่างที่มันอยากจะกล่าว แต่โอกาศคงไม่เอื้ออำนวยพวกมัน
“ไป...พวกเราแยกกัน” เจิ้งป๋อกล่าวจบการสนทนาคลานหมอบเข้าไปพงหญ้าด้านขวา
จิ้นเหอเมื่อเห็นเจิ้งป๋อออกคลานแล้วตัวเองเลยคลานไปอีกด้านหนึ่งคลานมาได้แค่ไม่กี่อึดใจ
“ด้านนั้นมีคน ตามมาเร็ว” พวกชายชุดดำตะโกนขึ้นมา ตรงไปทางเจิ้งป๋อ
กลุ่มชายชุดดำเมื่อมองเห็นมีคนหนีลงมา ก็ตรงเข้าหาหมายสกัดฆ่าทิ้ง เพราะมีคำสั่งไม่อาจปล่อยให้ใครรอดไปได้แม้ซักคนเดียว
จิ้นเหอกวาดตามองหาเจิ้งป๋อ เห็นมันก้มหน้าก้มตาวิ่งหนีไปทางตรงข้าม บังเกิดความสงสัยทำไมศิษย์พี่ต้องลุกขึ้นวิ่งด้วทำไม??? มันหมอบหลบอยู่จนพวกนั้นจากไปไกล จึงเริ่มคืบคลานอีกหน หรือเป็นเพราะศิษย์พี่ไม่แน่ใจว่ามันจะหนีรอด??? จึงต้องทำแบบนี้??? ยิ่งคิดน้ำตามันก็ยิ่งไหลอาบสองแก้ม มันก็อยากจะวิ่งล่อให้เจิ้งป๋อเหมือนกัน แต่มันสัญญาไว้ว่าจะไม่หันกลับ มันสะอื้นร่ำไห้ มันบอกกับตัวเอง ข้าต้องไปข้างหน้าอย่างเดียว
กลับมาด้านบนวัด... บุรุษผู้ซึ่งเป็นคนสั่งการยืนมอง ชายชุดดำนั่งลงคุกเข่า อีกเข่าตั้งฉากกับพื้นประสานนิ้วมือไขว้กันทำลัญจกรณ์ เป็นรูปดอกบัวกลางหน้าอก
“อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ เรียนท่าหัวหน้าสาขา ด้านบนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว” มันก้มหน้ารายงาน
“อืม...หลวงจีนที่หนีรอดส่งคนตามไป อย่าให้เหลือรอด” มันทำท่าครุ่นคิดแล้วกล่าวต่อ
“เผาทำลายที่นี่ให้สิ้น! แล้วลงมือสร้างสาขาเพิ่มได้”มันกล่าวด้วยความเย็นชา
“ครับ ท่านหัวหน้าสาขา” เหล่าสาวกกล่าวจบลุกไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
จิ้นเหอตื่นลืมตาขึ้นมา พบว่าตัวเองอยู่เพียงผู้เดียว รอบกายมีเพียงหมู่ไม้น้อยใหญ่ อากาศเย็นไร้ฟืนไฟสุมก่อ แต่ภายในกับเจ็บเย็นยิ่งกว่าเมื่อหวนละลึกถึงทุกคน ท่านอาหมิงลู่จะเป็นยังไงบ้าง ศิษย์พี่เจิ้งป๋ออีก คนอื่นๆ จะยังอยู่กันไหม หรือข้าแค่ฝันไป ตื่นๆ ตื่นเถอะ ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าทนรับไม่ได้ หนาวเหลือเกินข้าหนาว
เช้าวันถัดมา กลางป่าเขาจะไปทางไหนดี ร่างกายปวดรวดร้าว ร้องร่ำปั่นป่วนน้ำตาไม่หยุดไหล ก้าวเท้าเหม่อลอย ไร้จุดหมายนำพา ยกดาบหวายแนบอกกอดกระชับก้มหน้า ชุกตัวเบียดใจท้อแท้สินหวังอาภัพอัพจนไร้จุดหมายปลายทาง โหยหาแสงไฟช่วยปลอบโยนความหนาว ร่างสั่นสะท้านดิ้นลนล้มลงสิ้นสติสมฤดีไปอีกรอบ
ผ่านไปอีกวันหลังจากกินผลไม้ป่า ประทังหิวหลังจากไม่ได้กินมาสองวัน ตอนกลางคืนมันเห็นแสงดาวสุกสกาวระยิบระยับจากที่มันเหม่อลอยไร้จุดหมายมันก้าวเท้าเดินตามดาวดวงนั้น ตัวมันเองก็หาทราบทิศทางไม่ พบเจอสัตว์อสูรหยวนโหม่วบ้าง มันก็สามรถจัดการผ่านมาได้ ร่อนเร่พเนจร
มันอยู่ในป่าหลายอาทิตย์แล้ว ยังคงมุ่งหน้าขึ้นเหนือตลอดทางมันไม่พบผู้คน อาหารผลไม้ป่าน้ำในลำธาร หลับนอนบนต้นไม้ สัตว์อสูรเป็นเพื่อนฝึกวิชา เหนื่อยก็พักหิวก็หากิน
ยามดึกคืนนั้นเอง
“เจ้าอยากกินข้านักใช่ไหม มาเข้ามา ข้าจักมิยอมตาย” จิ้นเหอประกาศก้อง สองมือกำดาบไม้แน่น
รอบกายมันมีสัตว์อสูรล้อมอยู่ประมาณสามสิบตัว สูงแค่หน้าขา หน้าคล้ายหมูป่ามีเขายาวงอกจากศรีษะยื่นไปทางด้านหลังคล้ายเขาควาย ดวงตาโตแดงฉาน ที่บนปากมีเขี้ยวสองอันยื่นขึ้นบนสองเขี้ยวใหญ่งองุ้มลงล่างมีฟันแหลมเล็กๆ อีกหลายอัน มีของเหลวดูข้นเหนียวอยู่รอบปากล่างยืดหดหยดลงมา ที่น่ากลัวที่สุดเป็นคมเขี้ยวงอกจากแก้มทั้งสองข้างคล้ายงาช้างยื่นมาด้านหน้า กรงเล็บกางพร้อมที่จะกระโจนเข้าขย่ำแบบหมาป่า และวิ่งชนดั่งหมู ส่งเสียงคำรามขู่ขวัญ ท่าทีดุร้าย
จิ้นเหอรู้ถึงภัยคุกคาม มันควงดาบรอบตัวโยกย้ายขึ้นลง สลับเคลื่อนที่สี่ทิศแปดทางไม่ยอมเป็นเป้านิ่ง ในท่าย้อมฟองสมุทร เปิดการรับรู้ปลุกเร้าจิตวิญญาณถึงขีดสุด เมื่อตัวแรกพุ่งกระโจนเข้ามามันหลบ เบี่ยงตัวออกข้างดาบทั้งสองเล่มฟันพร้อมกันไปที่กระโหลกศรีษะท่าเสือทลายห้าง แล้ววิ่งสามก้าวกระโดดไปไกลห้าเมตร ข้ามตัวที่อยู่ใกล้มัน มือขวาเงื้อดาบฟันลงไปเต็มแรงในท่าหนุมานเหินหาวใส่อสูรตัวที่อยู่ด้านหลังสุด อสูรที่อยู่ใกล้มันพุ่งเข้ามาอีกสองตัว มันกำดาบในมือแน่นย่อตัว ออกแรงถีบพื้นดาบขวาในมือแทงเข้าเบ้าตาอสูรตัวแรกท่ามอญส่องกล้อง ดาบในมือซ้ายเหวี่ยงฟันในแนวนอนในท่าฟันเรียงหมอน ใส่อสูรอีกตัวที่พุ่งเข้ามา จากนั้นมันตีลังกาไปที่โล่ง ยกดาบขึ้นควงต่อ
อสูรตัวหนึ่งกระโจนกางกรงเล็บอ้าปากเขี้ยวยาวพุ่งเข้ามา จิ้นเหอเบี่ยงตัวหลบดาบในมือฟันสวนไปที่ปากที่กำลังอ้า แล้วพลิกหมุนตัวย่อต่ำเหวี่ยงดาบฟันปาดไปที่ข้อเท้าตัวที่ยืนอยู่บริเวณนั้น อีกดาบเน้นฟาดไปที่ตากับปากของตัวที่จะกระโจนเข้ามา จังหวะคับขันโดนล้อมรุมเข้ามา จิ้นเหอจะเปลี่ยนเป็นจับดาบลงล่างกำดาบขนานกับแขน ยกศอกสองข้างก้มหน้าเก็บศรีษะ ตัวดาบจะมาบังศอกอีกทีแล้วพรุ่งหมุนตัวฟันรอบทิศในท่าพญาครุฑหยุดนาคเพื่อพุ่งไปหาที่ว่าง
อสูรพวกนี้ค่อนข้างเตี้ย การโจมตีจากด้านบนจึงได้ผลมากกว่า ลำตัวมันแข็งแรง จิ้นเหอต้องเน้นจอมตีจุดตาย ศรีษะ ดวงตา ปาก ข้อเท้า มันไม่มีเวลาเหลียวดูผลงาน ทำได้เพียง ล่อ หลอก หลบ หลีก ไม่มีการปะทะตรงๆ อสูรหลายตัวได้แต่ล้มลงร้องครวญคราง แต่มีอีกหลายตัวจ้องเขม็งมองมัน ขู่คำรามเสียงเกรี้ยวกราดท่าทีดุร้ายมากขึ้น บนตัวจิ้นเหอเสื้อผ้าเริ่มขาดปรากฎรอยแผล จากกรงเล็บเลือดไหลซึมออกมา มันสู้มาได้พักใหญ่แล้วแขนขาเริ่มอ่อนล้า
“ข้าไม่ยอมตายคนเดียวหรอก ข้าจะไม่หนีอีกแล้ว” เสียงช่างแผ่วเบาเหมือนมันพูดในใจ
เสียงต่อสู้ของจิ้นเหอกับสัตว์อสูรที่กระโจนเข้าหายังมีอยู่ต่อเนื่อง ตัวไหนลุกขึ้นไหวมันก็เข้ามาร่วมวง จิ้นเหอกัดฟันแน่น ดาบสองมือยังคงฟาดเฉียนสลับหลบหลีก หลังจากหลบเลี่ยงมาจุดใหม่หลังพิงพักต้นไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มเหงื่อเย็นเยียบใหลซึมออกมา ตาเริ่มพล่ามัว สติพลันจะสิ้นลง สัตว์อสูรแยกเขี้ยวคำรามย่างเท้าเชื่องช้าเดินเข้ามา เหยื่อของมันหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว
พลันสัตว์อสูรย์หยุดโจมตี พวกมันเหลียวหน้ากลับหลังส่งเสียงร้องหอนโหย ฉับพลัน!!!... เงาร่างเล็กปรากฎขึ้นลอยล่องดุจหมอกควันอันลี้ลับ เงาแสงกระจัดกระจายครอบคลุมรอบบริเวณ จิ้นเหอสติลดต่ำถึงขีดสุดหมดสิ้นสติไป
ณ.แนวเทือกเขาฉางไป่ซาน เกือบจรดพรมแดนอาณาจักรโซซอน ลึกเข้าไปในหุบเขาลงไปใต้ผาสูง ที่ซึ่งทิวาสว่างไสวจากดวงอาทิตย์ ราตรีต้องแสงแห่งจันทรา ณ. วิหารแห่งความตาย
ลัทธิบัวขาว... ชั้นสูงสุดของวิหารห้องพิธีกรรม ด้านในเป็นสิ่งก่อสร้างสีดำ ลานกว้างตรงกลางห้องเป็นหลุมกว้างขนาดยี่สิบหลา ลึกลงไปถึงชั้นลาวา มีเปลวไฟลุกพลุ่งพล่าน กลางหลุมมีเสาขนาดกว้างห้าหลาโผล่ขึ้นมา บนหัวเสาเป็นฐานตั้งไว้ด้วยเทวรูปชายคล้ายหยกสีขาวแกะสลักครึ่งท่อน ช่วงบนเปลือยกายสะท้อนแสงเรืองรอง ในท่ายืนกอดอกที่ด้านหลังมีปีกหกปีก ผมหยักศกยาวปลกไหล่องคาพยัพหมดจดงดงาม ที่ดวงตาประดับพลอยสีแดงใสสะท้อนเปลวเพลิงแดงฉาน
เบื้องบนบัลลังก์สูงนั่งไว้ด้วยหญิงสาวผู้ทรงอำนาจฉายรัศมีแห่งความน่าเกรงขาม นางมีที่ครอบผมสีแดงปักลายเปลวเพลิงสีทอง ผมยาวดำครอบปลอกที่ข้างหูทั้งสองข้าง กลางหน้าผากมีอักขระรูปดวงตาสีแดง คิ้วเข้มตรงตวัดปลายเบ้าตาลึกหล่อหลอมเข้ากับนัยน์ตาดำสงบนิ่งสะท้อนชาดแสงรอบกาย ปากอวบอิ่มแดงเข้ม ใบหน้าประทินโฉมอันงดงาม ช่วงคองามระหง เผยเห็นเนินอกใหญ่ขาวเนียนปิดทับไม่มิดด้วยชุดคลุมสีเดียวกับหมวกพร้อมเครื่องประดับ
เบื้องมีหน้าเหล่าสาวกชุดดำ บุรุษฉกรรจ์สามคนทั้งหมดต่างนั่งคุกเข่าทำลัญจกร ทั้งหมดกำลังสวดภาวนาเสียงดังกึกก้อง
“อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ ข้าขอสักการะภาวนา เทพมารฟ้า มิมอดดับส่องสว่างทั่วหล้าเป็นนิรันดร์”
“อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ ข้าขอสักการะภาวนา ดาวเทพ มิมอดดับส่องสว่างทั่วหล้าเป็นนิรันดร์”
“อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ ข้าขอสักการะภาวนา ธิดาเทพ มิมอดดับส่องสว่างทั่วหล้าเป็นนิรันดร์”
กาลเวลาหมุนวนผลัดเปลี่ยน จากใบไม้ผลิสู่ใบไม้ล่วง จากร้อนผ่านฝนจนถึงหนาว จากสุขไปเป็นทุกข์ จิ้นเหออายุได้สิบปี มันแลดูสูงขึ้น แววตาคมข้มปราศจากริ้วรอยไร้เดียงสา กองกำลังพิทักษ์หมู่บ้านทำหน้าที่ได้ดี หมู่บ้านปกป้องตัวเองจากอสูรหยวนโหม่วได้แล้ว ลูกเด็กเล็กแดงถือกำเหนิดเกิดขึ้นมาใหม่ นำมาซึ่งความเบิกบานให้แก่ทุกผู้ทุกคน ผลผลิตก็ดีขึ้นในปีที่ผ่านมา รอยยิ้มสุขสำราญปลาบปลื้มท่วมท้น มีการเฉลิมฉลองกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนบานศาลกล่าวขอให้เป็นแบบนี้ทุกปี ช่างเป็นบรรยากาศอันรื่นเริง ผู้คนเนืองแน่นในบริเวณแคบๆ ของวัด
“ฆ่าให้หมดอย่าให้หนีรอดไปได้” สินเสียงคำสั่งที่ดังกึกก้องกลุ่มคนแปลกหน้าต่างชักอาวุธพุ่งเข้าหากลุ่มชาวบ้าน
เสียงผู้คนวิ่งแตกตื่นวิ่งอลหม่านเสียงกรีดร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ชายชุดดำถือดาบในมือเมื่ออยู่ใกล้ใครคนผู้นั้นเป็นต้องโดนดาบในมือมันสัมผัสร่าง ท่อนแขนล่วงลงมาหลังจากยกแขนรับดาบ โลหิตแดงโพยพุ่ง หญิงแก่ล้มลงคมดาบตามปักที่กลางหลัง หลายร่างล้วนสิ้นใจหยุดความเคลื่อนไหว หลายคนล้วนดิ้นล้นกระเสือกกะสน บ้างคืบคลานหมายมุ่งมีชีวิตรอด การไล่สังหารยังดำเนินต่อไป
“ช่วยด้วยๆ ไต้ซือช่วยพวกข้าด้วย” เสียงร้องตะโกนอวดครวญครางต่างระงมเปล่งออกมา
เหล่าชายฉกรรจ์ในชุดดำที่กลางอกด้านซ้ายต่างมีสัญลักษณ์เปลวเพลิงสีแดงเป็นรูปดอกบัว ตรงกลางกลุ่มยืนไว้ด้วยบุรุษหน้ายาว รวบผมมัดไว้บนกระหม่อมปล่อยจอนยาวพลิ้วไหวไปตามสายลม ที่หน้าคาดไว้ด้วยผ้าปิดตารูปร่างผอมสูงเปลือยท่อนบน ลายสักตั้งแต่หน้าอกด้านซ้ายยาวไปจนถึงสุดแขนซ้ายเป็นลายอักขระเปลวไฟในมือถือไว้ด้วยดาบยาววาววับ ท่าทางยโสโอหัง ยืนแสยะยิ้มดูการสังหารเป็นเรื่องปกติธรรมดา
หมิงลู่ถือดาบในมือเข้าต้านทาน ศิษย์พี่เจิ้งหลี่ เจิ้งไฉ เจิ้งจู เจิ้งสี่ เจิ้งป๋อ จิ้นเหอ รวมทั้งกองพิทักษ์หมู่บ้านต่างหยิบฉวยอาวุธที่ตนเองถนัดวิ่งเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน เกิดการปะทะโลมรันพันตูกันอยู่หลายจุด
“จิ้นเหอเจ้าไปตามท่านเจ้าอาวาสกับท่านอาจารย์เฉิงเจี๋ย” หมิงลู่กล่าวด้วยความก้าวร้าวกับสิ่งที่เห็นมิอาจข่มใจใช้น้ำเสียงปกติได้
จิ้นเหอมิได้ขานรับแต่กำดาบหวายในมือรีบวิ่งไปหาท่านเจ้าอาวาสโดยมีเจิ้งป๋อตามไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นจิ้นเหอ?” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยเอ่ยถามเมื่อเห็นจิ้นเหอกับเจิ้งป๋อลนลานพุ่งเข้ามา
“มีพวกชุดดำ บุกมาสังหารผู้คนครับ อาหมิงลู่ใช้ให้พวกข้ามาตามท่านเจ้าอาวาสกับท่านอาจารย์ เรารีบไปกันครับ” เมื่อได้ฟังที่จิ้นเหอบอกให้รู้สึกตื่นตระหนกตกใจท่านทั้งสองรีบรุดติดตามจิ้นเหอออกมา
เมื่อออกมาด้านนอก ผู้คนล้วนบางตาก่อนหน้านี้ยังครึกครื้นรื่นเริง ยามนี้ส่วนใหญ่นอนแน่นิ่งเฉยอยู่บนพื้น พวกชุดดำล้มลงไม่กี่คน เป็นเจิ้งหลี่กางดาบไม้ขึ้นรับดาบที่ฟันลงมา ดาบเหล็กตัดผ่านดาบไม้ตกลงตรงกลางอก โลหิตแดงพรั่งพรูตามคมดาบ ร่างเกลือกกลิ้งล้มลงบนพื้นดิน ตอนนี้เห็นเพียงเจิ้งไฉกับเจิ้งสี่ ชาวบ้านอีกสี่ห้าคนต่างถอยมารวมกันตรงหมิงลู่
“อามิตตาพุทธ” ท่านเจ้าอาวาสท่านเปล่งพุทธคุณออกมา น้ำคลอในตาเมื่อเห็นภาพอันสยดสยอง ผู้คนนอนตายกันเกลื่อนกลาด ทั้งศิษย์เจิ้งหลี่ที่เพิ่งจะล้มลงนองชุ่มไปด้วยกองเลือด สายธารสีแดงย้อมสีเหลืองของธรรรมะ
“พวกท่านคุ้มกันท่านเจ้าอาวาส เราจะฝ่าออกไปกัน” หมิงลู่กล่าวเหลียวดูคนที่เหลืออยู่ แล้วกระโจนออกนำทางหมายหนีลงจากเขา ทุกคนต่างย่างเท้าก้าวตามหมิงลู่
“เจิ้งป๋อ จิ้นเหอ พวกเจ้าไปก่อน ไม่ต้องห่วงพวกข้าหมิงลู่เจ้าช่วยพาพวกมันไปที” ท่านเจ้าอาวาสท่านกล่าวเสียงเศร้าสลดปนหดหู่ หนีด้วยกันคงมิแคล้วตกตายกันสิ้น เจตนาของท่านมั่นคงเพียงนั่งลงหลับตาสวดมนตร์
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านอาจารย์ จิ้นเหอไม่ไป” มันเกาะกุมมือท่านเจ้าอาวาสกับท่านอาจารย์เฉิงเจี๋ยแน่น
“จิ้นเหอ คนเราเกิดมาล้วนต้องตาย อนิจจังวัฏสังขารา หมิงลู่เจ้านำพวกมันไป” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยท่านแกะมือจิ้นเหอพร้อมทั้งพลักดันมันกับเจิ้งป๋อไปทางหมิงลู่
ตัวหมิงลู่เริ่มปรากฎรอยบาดแผลเลือดเริ่มไหลออกมา จิ้นเหอครุ่นคิดในใจถ้าไม่หนีต้องตายหมดเป็นแน่แท้ ลำพังถ้าแค่ไม่กี่คนหมิงลู่ยังคงรับมือได้ แล้วยิ่งไม่ต้องคอยดูแลใครคงเอาตัวรอดได้ ตัดสินใจได้ดังนั้นจึงคว้าดาบหวายตามหมิงลู่ ฝ่าแหวกออกมาได้แค่เพียงสามคน พอมาถึงหน้าวัดทางจะลงเขาเป็นทางแคบ
“สกัดมันไว้อย่าให้ใครรอดไปได้” เสียงไล่ล่าของชายชุดดำยังตามมา
“เจิ้งป๋อ เจ้าพาจิ้นเหอไป ข้าจะสกัดไว้ก่อนเดี๋ยวข้าตามไป” หมิงลู่กล่าวจบควงดาบรอบตัวในท่าย้อมฟองสมุทรหมายไม่ให้ใครติดตามทั้งสองไปได้
“ประสกหาน ถนอมตัวด้วย” เจิ้งป๋อกล่าวรวบแขนจิ้นเหอกระชากมันลงเขา
“ท่านอา อย่าตายนะ” จิ้นเหอตะโกนออกมาเหลียวหันหน้ามองหมิงลู่
หมิงลู่ระสายตาหันจ้องจิ้นเหอเพียงแวบใจมันรู้สึกปวดร้าวไม่รู้ว่าจะได้เจอกับจิ้นเหออีกหรือไม่ มันได้แต่กัดฟันต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อให้จิ้นเหอปลอดภัย
ทั้งสองลงมาตีนเขาเกือบถึงทางแยกเข้าหมู่บ้านพลันต้องหยุดชะงักเท้าเบื้องหน้าปรากฎชายชุดดำอยู่สี่คน ยืนเฝ้าปากทางขึ้นเขากับหมู่บ้าน คาดเดาว่าคนในหมู่บ้านที่มิได้อยู่บนวัดคงมิแคล้วมีชีวิตรอด
“ข้าจะฆ่ามัน” เป็นจิ้นเหอกล่าวออกมาด้วยความเดือดดาลสุดระงับ สองเบ้าตาคลอไปด้วยน้ำใส
“อย่า..จิ้นเหอ” เจิ้งป๋อกดไหล่มัน “เจ้าจะทำให้ชีวิตทุกคนสูญเปล่าหรือไง” ทั้งสองหมอบซุ่มอยู่ข้างทางที่มีต้นหญ้าสูงเพียงท่วมเอว
“เราจะคลานหนีเข้าไปในพงหญ้ากันเจ้าไปทางซ้าย ข้าจะไปทางขวา” เจิ้งป๋อกล่าว
“ได้ศิษย์พี่” จิ้นเหอพยักหน้าหลังสงบสติได้แล้ว
“ถ้าข้าพลาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามถอยหลังกลับ สัญญากับข้า” มันจ้องมองไปในดวงตาอันแดงกล่ำของจิ้นเหอ มันเองก็เริ่มมีน้ำซึมออกมาบ้าง
“ได้ข้าสัญญา ศิษพี่ท่านก็ห้ามตาย” สายตาจ้องประสานกัน มีเรื่องราวอีกหลายอย่างที่มันอยากจะกล่าว แต่โอกาศคงไม่เอื้ออำนวยพวกมัน
“ไป...พวกเราแยกกัน” เจิ้งป๋อกล่าวจบการสนทนาคลานหมอบเข้าไปพงหญ้าด้านขวา
จิ้นเหอเมื่อเห็นเจิ้งป๋อออกคลานแล้วตัวเองเลยคลานไปอีกด้านหนึ่งคลานมาได้แค่ไม่กี่อึดใจ
“ด้านนั้นมีคน ตามมาเร็ว” พวกชายชุดดำตะโกนขึ้นมา ตรงไปทางเจิ้งป๋อ
กลุ่มชายชุดดำเมื่อมองเห็นมีคนหนีลงมา ก็ตรงเข้าหาหมายสกัดฆ่าทิ้ง เพราะมีคำสั่งไม่อาจปล่อยให้ใครรอดไปได้แม้ซักคนเดียว
จิ้นเหอกวาดตามองหาเจิ้งป๋อ เห็นมันก้มหน้าก้มตาวิ่งหนีไปทางตรงข้าม บังเกิดความสงสัยทำไมศิษย์พี่ต้องลุกขึ้นวิ่งด้วทำไม??? มันหมอบหลบอยู่จนพวกนั้นจากไปไกล จึงเริ่มคืบคลานอีกหน หรือเป็นเพราะศิษย์พี่ไม่แน่ใจว่ามันจะหนีรอด??? จึงต้องทำแบบนี้??? ยิ่งคิดน้ำตามันก็ยิ่งไหลอาบสองแก้ม มันก็อยากจะวิ่งล่อให้เจิ้งป๋อเหมือนกัน แต่มันสัญญาไว้ว่าจะไม่หันกลับ มันสะอื้นร่ำไห้ มันบอกกับตัวเอง ข้าต้องไปข้างหน้าอย่างเดียว
กลับมาด้านบนวัด... บุรุษผู้ซึ่งเป็นคนสั่งการยืนมอง ชายชุดดำนั่งลงคุกเข่า อีกเข่าตั้งฉากกับพื้นประสานนิ้วมือไขว้กันทำลัญจกรณ์ เป็นรูปดอกบัวกลางหน้าอก
“อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ เรียนท่าหัวหน้าสาขา ด้านบนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว” มันก้มหน้ารายงาน
“อืม...หลวงจีนที่หนีรอดส่งคนตามไป อย่าให้เหลือรอด” มันทำท่าครุ่นคิดแล้วกล่าวต่อ
“เผาทำลายที่นี่ให้สิ้น! แล้วลงมือสร้างสาขาเพิ่มได้”มันกล่าวด้วยความเย็นชา
“ครับ ท่านหัวหน้าสาขา” เหล่าสาวกกล่าวจบลุกไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
จิ้นเหอตื่นลืมตาขึ้นมา พบว่าตัวเองอยู่เพียงผู้เดียว รอบกายมีเพียงหมู่ไม้น้อยใหญ่ อากาศเย็นไร้ฟืนไฟสุมก่อ แต่ภายในกับเจ็บเย็นยิ่งกว่าเมื่อหวนละลึกถึงทุกคน ท่านอาหมิงลู่จะเป็นยังไงบ้าง ศิษย์พี่เจิ้งป๋ออีก คนอื่นๆ จะยังอยู่กันไหม หรือข้าแค่ฝันไป ตื่นๆ ตื่นเถอะ ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าทนรับไม่ได้ หนาวเหลือเกินข้าหนาว
เช้าวันถัดมา กลางป่าเขาจะไปทางไหนดี ร่างกายปวดรวดร้าว ร้องร่ำปั่นป่วนน้ำตาไม่หยุดไหล ก้าวเท้าเหม่อลอย ไร้จุดหมายนำพา ยกดาบหวายแนบอกกอดกระชับก้มหน้า ชุกตัวเบียดใจท้อแท้สินหวังอาภัพอัพจนไร้จุดหมายปลายทาง โหยหาแสงไฟช่วยปลอบโยนความหนาว ร่างสั่นสะท้านดิ้นลนล้มลงสิ้นสติสมฤดีไปอีกรอบ
ผ่านไปอีกวันหลังจากกินผลไม้ป่า ประทังหิวหลังจากไม่ได้กินมาสองวัน ตอนกลางคืนมันเห็นแสงดาวสุกสกาวระยิบระยับจากที่มันเหม่อลอยไร้จุดหมายมันก้าวเท้าเดินตามดาวดวงนั้น ตัวมันเองก็หาทราบทิศทางไม่ พบเจอสัตว์อสูรหยวนโหม่วบ้าง มันก็สามรถจัดการผ่านมาได้ ร่อนเร่พเนจร
มันอยู่ในป่าหลายอาทิตย์แล้ว ยังคงมุ่งหน้าขึ้นเหนือตลอดทางมันไม่พบผู้คน อาหารผลไม้ป่าน้ำในลำธาร หลับนอนบนต้นไม้ สัตว์อสูรเป็นเพื่อนฝึกวิชา เหนื่อยก็พักหิวก็หากิน
ยามดึกคืนนั้นเอง
“เจ้าอยากกินข้านักใช่ไหม มาเข้ามา ข้าจักมิยอมตาย” จิ้นเหอประกาศก้อง สองมือกำดาบไม้แน่น
รอบกายมันมีสัตว์อสูรล้อมอยู่ประมาณสามสิบตัว สูงแค่หน้าขา หน้าคล้ายหมูป่ามีเขายาวงอกจากศรีษะยื่นไปทางด้านหลังคล้ายเขาควาย ดวงตาโตแดงฉาน ที่บนปากมีเขี้ยวสองอันยื่นขึ้นบนสองเขี้ยวใหญ่งองุ้มลงล่างมีฟันแหลมเล็กๆ อีกหลายอัน มีของเหลวดูข้นเหนียวอยู่รอบปากล่างยืดหดหยดลงมา ที่น่ากลัวที่สุดเป็นคมเขี้ยวงอกจากแก้มทั้งสองข้างคล้ายงาช้างยื่นมาด้านหน้า กรงเล็บกางพร้อมที่จะกระโจนเข้าขย่ำแบบหมาป่า และวิ่งชนดั่งหมู ส่งเสียงคำรามขู่ขวัญ ท่าทีดุร้าย
จิ้นเหอรู้ถึงภัยคุกคาม มันควงดาบรอบตัวโยกย้ายขึ้นลง สลับเคลื่อนที่สี่ทิศแปดทางไม่ยอมเป็นเป้านิ่ง ในท่าย้อมฟองสมุทร เปิดการรับรู้ปลุกเร้าจิตวิญญาณถึงขีดสุด เมื่อตัวแรกพุ่งกระโจนเข้ามามันหลบ เบี่ยงตัวออกข้างดาบทั้งสองเล่มฟันพร้อมกันไปที่กระโหลกศรีษะท่าเสือทลายห้าง แล้ววิ่งสามก้าวกระโดดไปไกลห้าเมตร ข้ามตัวที่อยู่ใกล้มัน มือขวาเงื้อดาบฟันลงไปเต็มแรงในท่าหนุมานเหินหาวใส่อสูรตัวที่อยู่ด้านหลังสุด อสูรที่อยู่ใกล้มันพุ่งเข้ามาอีกสองตัว มันกำดาบในมือแน่นย่อตัว ออกแรงถีบพื้นดาบขวาในมือแทงเข้าเบ้าตาอสูรตัวแรกท่ามอญส่องกล้อง ดาบในมือซ้ายเหวี่ยงฟันในแนวนอนในท่าฟันเรียงหมอน ใส่อสูรอีกตัวที่พุ่งเข้ามา จากนั้นมันตีลังกาไปที่โล่ง ยกดาบขึ้นควงต่อ
อสูรตัวหนึ่งกระโจนกางกรงเล็บอ้าปากเขี้ยวยาวพุ่งเข้ามา จิ้นเหอเบี่ยงตัวหลบดาบในมือฟันสวนไปที่ปากที่กำลังอ้า แล้วพลิกหมุนตัวย่อต่ำเหวี่ยงดาบฟันปาดไปที่ข้อเท้าตัวที่ยืนอยู่บริเวณนั้น อีกดาบเน้นฟาดไปที่ตากับปากของตัวที่จะกระโจนเข้ามา จังหวะคับขันโดนล้อมรุมเข้ามา จิ้นเหอจะเปลี่ยนเป็นจับดาบลงล่างกำดาบขนานกับแขน ยกศอกสองข้างก้มหน้าเก็บศรีษะ ตัวดาบจะมาบังศอกอีกทีแล้วพรุ่งหมุนตัวฟันรอบทิศในท่าพญาครุฑหยุดนาคเพื่อพุ่งไปหาที่ว่าง
อสูรพวกนี้ค่อนข้างเตี้ย การโจมตีจากด้านบนจึงได้ผลมากกว่า ลำตัวมันแข็งแรง จิ้นเหอต้องเน้นจอมตีจุดตาย ศรีษะ ดวงตา ปาก ข้อเท้า มันไม่มีเวลาเหลียวดูผลงาน ทำได้เพียง ล่อ หลอก หลบ หลีก ไม่มีการปะทะตรงๆ อสูรหลายตัวได้แต่ล้มลงร้องครวญคราง แต่มีอีกหลายตัวจ้องเขม็งมองมัน ขู่คำรามเสียงเกรี้ยวกราดท่าทีดุร้ายมากขึ้น บนตัวจิ้นเหอเสื้อผ้าเริ่มขาดปรากฎรอยแผล จากกรงเล็บเลือดไหลซึมออกมา มันสู้มาได้พักใหญ่แล้วแขนขาเริ่มอ่อนล้า
“ข้าไม่ยอมตายคนเดียวหรอก ข้าจะไม่หนีอีกแล้ว” เสียงช่างแผ่วเบาเหมือนมันพูดในใจ
เสียงต่อสู้ของจิ้นเหอกับสัตว์อสูรที่กระโจนเข้าหายังมีอยู่ต่อเนื่อง ตัวไหนลุกขึ้นไหวมันก็เข้ามาร่วมวง จิ้นเหอกัดฟันแน่น ดาบสองมือยังคงฟาดเฉียนสลับหลบหลีก หลังจากหลบเลี่ยงมาจุดใหม่หลังพิงพักต้นไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มเหงื่อเย็นเยียบใหลซึมออกมา ตาเริ่มพล่ามัว สติพลันจะสิ้นลง สัตว์อสูรแยกเขี้ยวคำรามย่างเท้าเชื่องช้าเดินเข้ามา เหยื่อของมันหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว
พลันสัตว์อสูรย์หยุดโจมตี พวกมันเหลียวหน้ากลับหลังส่งเสียงร้องหอนโหย ฉับพลัน!!!... เงาร่างเล็กปรากฎขึ้นลอยล่องดุจหมอกควันอันลี้ลับ เงาแสงกระจัดกระจายครอบคลุมรอบบริเวณ จิ้นเหอสติลดต่ำถึงขีดสุดหมดสิ้นสติไป
ณ.แนวเทือกเขาฉางไป่ซาน เกือบจรดพรมแดนอาณาจักรโซซอน ลึกเข้าไปในหุบเขาลงไปใต้ผาสูง ที่ซึ่งทิวาสว่างไสวจากดวงอาทิตย์ ราตรีต้องแสงแห่งจันทรา ณ. วิหารแห่งความตาย
ลัทธิบัวขาว... ชั้นสูงสุดของวิหารห้องพิธีกรรม ด้านในเป็นสิ่งก่อสร้างสีดำ ลานกว้างตรงกลางห้องเป็นหลุมกว้างขนาดยี่สิบหลา ลึกลงไปถึงชั้นลาวา มีเปลวไฟลุกพลุ่งพล่าน กลางหลุมมีเสาขนาดกว้างห้าหลาโผล่ขึ้นมา บนหัวเสาเป็นฐานตั้งไว้ด้วยเทวรูปชายคล้ายหยกสีขาวแกะสลักครึ่งท่อน ช่วงบนเปลือยกายสะท้อนแสงเรืองรอง ในท่ายืนกอดอกที่ด้านหลังมีปีกหกปีก ผมหยักศกยาวปลกไหล่องคาพยัพหมดจดงดงาม ที่ดวงตาประดับพลอยสีแดงใสสะท้อนเปลวเพลิงแดงฉาน
เบื้องบนบัลลังก์สูงนั่งไว้ด้วยหญิงสาวผู้ทรงอำนาจฉายรัศมีแห่งความน่าเกรงขาม นางมีที่ครอบผมสีแดงปักลายเปลวเพลิงสีทอง ผมยาวดำครอบปลอกที่ข้างหูทั้งสองข้าง กลางหน้าผากมีอักขระรูปดวงตาสีแดง คิ้วเข้มตรงตวัดปลายเบ้าตาลึกหล่อหลอมเข้ากับนัยน์ตาดำสงบนิ่งสะท้อนชาดแสงรอบกาย ปากอวบอิ่มแดงเข้ม ใบหน้าประทินโฉมอันงดงาม ช่วงคองามระหง เผยเห็นเนินอกใหญ่ขาวเนียนปิดทับไม่มิดด้วยชุดคลุมสีเดียวกับหมวกพร้อมเครื่องประดับ
เบื้องมีหน้าเหล่าสาวกชุดดำ บุรุษฉกรรจ์สามคนทั้งหมดต่างนั่งคุกเข่าทำลัญจกร ทั้งหมดกำลังสวดภาวนาเสียงดังกึกก้อง
“อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ ข้าขอสักการะภาวนา เทพมารฟ้า มิมอดดับส่องสว่างทั่วหล้าเป็นนิรันดร์”
“อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ ข้าขอสักการะภาวนา ดาวเทพ มิมอดดับส่องสว่างทั่วหล้าเป็นนิรันดร์”
“อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ ข้าขอสักการะภาวนา ธิดาเทพ มิมอดดับส่องสว่างทั่วหล้าเป็นนิรันดร์”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ