กระทืบธรณี เหยียบนรก พลิกสวรรค์

7.7

เขียนโดย ใต้แผ่นฟ้า

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.18 น.

  16 ตอน
  0 วิจารณ์
  19.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) หมูในป่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 8 หมูในป่า

“อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ รายงายท่านเจ้าลัทธิ” ชายฉกรรจ์ดูอาวุโสหน้าตาเหี้ยมโหดที่อยุ่แถวหน้าหนึ่งในสามคนนั้นกล่าวออกมา

“ข้าได้สั่งคนของเราไปสร้างตำหนักสาขาเพิ่มที่เขาเหลาซาน เนื่องจากบนนั้นเป็นที่สถิตธาตุดินหนึ่งในเบญจธาตุ” มันก้มหน้ากล่าวรายงาน

“เจ้าทำแล้ว...ถึงค่อยมารายงาน” นางกล่าวแสดงความไม่พอใจ

“ข้าต้องขออภัยต่อท่านเจ้าลัทธิ” มันลอบแสยะยิ้มยังคงก้มหน้านิ่ง ผ่านไปสามสี่อึดใจ

“อีกหกเดือนสำนักศักสิทธิ์จะเปิดรับศิษย์เพิ่ม ข้าจะส่งลู่ชิงไป เจ้าจัดการให้นางด้วย”

“ข้าน้อยรับบัญชา” มันกล่าวรับคำ

“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว” นางกล่าวน้ำเสียงเย็นชาใบหน้ายังคงสงบนิ่ง

“อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ ข้าขอสักการะภาวนา ดาวเทพ มิมอดดับส่องสว่างทั่วหล้าเป็นนิรันดร์” เหล่าสาวกต่างกล่าวออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นทั้งทุกคนต่างถอยออกไปด้านนอก

เจ้าลัทธิยังคงนั่งทอดตาเหม่อลอย สองดวงตานางเออล้นด้วยของเหลวใส นางคือ หยวน ซูหนี่ เป็นธิดาของหัวหน้าเผ่าหยวนตี้ นางยังเป็นคนรักเก่าของจักพรรดิ์หวงตี้ เมื่อครั้งก่อนเผ่าหวงตี้กับเผ่าหยวนตี้ได้ร่วมมือกัน ปราบบรรดาเผ่าน้อยใหญ่เพื่อขยายอาณาเขต ต่อมาปะทะกับเผ่าเหมียวหมานซึ่งมีทรัพย์ยากรพอพอกัน ทำให้การศึกต้องยืดเยื้อ หัวหน้าเผ่าเหมียวหนานส่งบุตรสาวมาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ ร่วมกันสถาปณาราชวงศ์เซี่ยขึ้น ด้วยความคับแค้นใจมิอาจทำใจเป็นพระสนมได้ ทั้งยังแผ่นดินที่เริ่มรวบรวมมาก่อนด้วยกัน นางพบเจอที่แห่งนี้โดยบังเอิญ วิหารแห่งความตาย นางจึงชักชวนคนในเผ่าที่ยังภักดีต่อนางย้ายมาอยู่ที่นี่ เพื่อรอวันทวงแผ่นดินคืน

 

 

กลับมาที่จิ้นเหอ มันค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ยามนี้ความมืดยังคงปกคลุม มันลองขยับตัวให้รู้สึกเจ็บปวด ทั้งร่างกาย ก่อนที่สติจะพลันหายไปมันรู้สึกตื่นตะหนก เงาร่างเลือนลางลอยในอากาศหมอกควันนั้นคืออะไร??? จิตวิตกหวาดกลัวตัวมันเริ่มเกร็งขนลุกตั้งชูชัน เมื่อคิดทบทวนถึงเหตุการณ์

“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” น้ำเสียงปริศนากล่าวล่องลอยเวิ้งว้าง

“โปเยโปโลเย โปเยโปโลเย” เสียงบทสวดมหาคาถาปกป้องคุ้มภัยภูติผี ทำงานขึ้นมาทันที เมื่อหูได้ยิน
เสียงที่ยังมิพรึงปรารถนา ใบหน้ามันซีดเผือดตื่นตะหนกตกใจ

“ข้ากลัวแล้ว อย่ามาหลอกมาหลอนข้าเลย โปเยโปโลเย....” มันขดตัวกลมหลับหูหลับตาท่องบ่นมนต์

“เจ้ากลัวข้าหรือ.....?” เสียงถามกลับมาช่างแผ่วหวิวเย็นเยือก

“ใช่ๆ ข้ากลัวท่านแล้ว” จิ้นเหอกล่าวสองตาปิดสนิทปากยังท่องมนต์ ตัวสั่นงันงก

“กลัวข้ามากเช่นนั้นหรือ...?” เสียงแผ่วเบากล่าวพร้อมกับเอื้อมมือมาแตะสัมผัสมัน

“จ๊าก!!! ผีหลอกช่วยด้วย” จิ้นเหอไม่รู้ถึงความเจ็บปวดจากบาดแผล ลุกขึ้นได้มันโกยแนบ

“คิคิเจ้าทึ่มนี่ตลกดีจัง” เสียงหัวร่ออย่างเบิกบานใจ พลันผุดลุกขึ้นเหินกายตามติดจิ้นเหอไป

จิ้นเหอวิ่งมาได้พักใหญ่ลมหายใจเริ่มติดขัดหายใจมิสัดวก จึงหยุดพักผ่อนผลัดพ่นลม พิงพักริมไม้ใหญ่ เหลี่ยวหันกลับดูเส้นทางที่ผ่านมา กลอกตาเหลือบซ้ายแลขวาหามีผู้ใดติดตามมา ค่อยหายใจสะดวกทั่วท้อง

“เจ้าหาข้าอยู่งั้นหรือ?” เสียงดังผ่านความมืดมิดมาจากด้านบนต้นไม้ที่อยู่ถัดไป

“ว๊ากกกก... อย่ามาหลอกข้าเลยข้าขอร้อง โปเยโปโลเย” เสียงตะโกนขวัญหนีดีฝ่อดังลั่นก่อนขยับวิ่งเตริด
เปิดเปิงออกไปอีกรอบ

“คิคิ แบบนี้สนุกจัง” เสียงลึกลับกล่าวออกมายังคงตามจิ้นเหอไป

“เจ้า!!! หยุดก่อน ข้าไม่หลอกเจ้าแล้ว” เจ้าของเสียงลึกลับกล่าว คงเริ่มรู้สึกเหนื่อยหลังจากตามติดมา
เกือบชั่วยาม

“แฮก..แฮก ท่านไม่หลอกข้าแล้วจริงนะ” จิ้นเหอเหนื่อยล้าทรุดนั่งลงก้นกระแทก พื้นสูบพ่นลมหายใจยาว
ออกมา

“แฮก แฮก” เงาร่างปริศนาเธอเป่านพ่นลมหายใจออกมาไม่แตกต่างกัน ก้าวเดินเข้าหาจิ้นเหอ

จิ้นเหอเงยหน้าขึ้นจ้องมอง เธอมิใช่ภูติผีเป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อย น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันหรืออาจอ่อนกว่า เรือนผมดำสยายดวงตากลมโตใสแจ๋วปากนิดจมูกหน่อย ปากอ้าเผยรอยยิ้ม ยังคงหน้าทะเล้นแฝงความเหนื่อยอ่อนซุกซน เดินมาทิ้งกายลงนั่งเคียงข้างกัน

“เจ้าทึ่ม เจ้าหนีข้าทำไม ข้าเป็นคนช่วยเจ้าไว้นะ?” เธอกล่าวถามท่าทางหงุดหงิดที่เป็นต้นเหตุให้เธอ
เหนื่อยวิ่งไล่ตาม

“ก็เจ้า ทำให้ข้าหลงนึกว่าเป็นภูตผี” จิ้นเหอกล่าวเสียงอ่อย

“ภูติผีบ้านของเจ้า หน้าตาแบบนี้หรือ?” สาวน้อยทำท่าถลึงตาใส่แล้วกล่าวต่อ “เจ้ามิรู้จักดูให้ดีก่อนเอง
ปุบปับก็กลัวลนลานขึ้นสมอง วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือเอง สาวน้อยกล่าวจาจาคมคายกระแทกเข้าให้

“แล้วเจ้าไล่กวดตามข้าทำไมล่ะ?” มันกล่าวเสียงแข็งขึ้นอยากจะบอกว่าไม่ใช่ความผิดมัน

“หรือ...เจ้าทึ่ม” เด็กสาวยักคิ้วทำตาโตใส่มัน

“ข้าไม่ได้ชื่อเจ้าทึ่ม” จิ้นเหอเริ่มอารมณ์เสีย

“หรือ แล้วเจ้าชื่ออะไรล่ะ?”

“ข้าจิ้นเหอ แล้วเจ้าล่ะ?”

“ข้า หรือ ชื่อ...ผีหลอกไง คิคิ” เด็กสาวแกล้งแลบลิ้นยาวขู่มัน

จิ้นเหอหันจ้องหน้าเด็กสาวเขม็งกระฟัดกระเฟียดลุกขึ้นก้าวเท้าหนักๆ หมายจากไป

“เจ้าจะไปไหนหรือ?” ครั้งนี้เด็กสาวไม่เรียกมันเจ้าทึ่มแล้วเพราะรู้ว่ามันโกรธอยู่เธอลุกตามมันไป

“นี่!!. ข้าพูดด้วยอยู่นะ” เด็กสาวเอามือไขว่หลังก้าวกระโดดตามมัน

“เจ้าโกรธข้า...ฮึ ฮึ ฮือฮือ” เด็กสาวอยู่ดีๆ ก็สะอึกสะอื้น ร่ำไห้ออกมาซะงั้น

“เจ้าอย่าร้องเลยนะ อืม... ข้าผิดเอง” จิ้นเหอกล่าวงอนง้อคิดหมายให้นางหยุดร้องครวญคราง

“ฮือฮือ... เจ้าใจร้าย ข้าจะฟ้องท่านแม่” เด็กสาวปล่อยโฮออกมาเต็มเสียงสองมือขยี้ตาบีบน้ำตา

“ข้า... ??? จิ้นเหอตะลึงยืนค้างทำเยี่ยงไรไม่ถูก มือรูปคลำศรีษะมันไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

“ฮือฮื่อ... ข้าปวดขาเดินมิไหวแล้ว เพราะตามเจ้า ฮือฮื่อ” เด็กสาวทรุดนั่งลงมือหนึ่งกุมจับขาอีกมือปาดขยี้ตาปากยังคงร่ำร้องไห้ออกมา

“ถ้างั้น เจ้าขึ้นมาบนหลังข้า เดียวข้าแบกเจ้าเอง” จิ้นเหอย่อตัวลงหวังให้เด็กสาวไต่ขึ้นมาบนหลัง

“ตุ๊บ!!!..” ฉับไวและรวดเร็วยิ่ง หลังจบคำจิ้นเหอเด็กสาวกระโดดขึ้นทันทีทันใด จิ้นเหอแทบเสียหลักหน้าคะมำ

“.................” จิ้นเหอหลังจากทรงตัวได้ครุ่นคิดใคร่จะต่อว่าแต่ก็เงียบไว้

“เจ้ายังมิได้บอกข้าเลยจะให้ข้าเรียกเจ้าเยี่ยงไรดี?” จิ้นเหอกล่าวระหว่างแบกเด็กสาวอยู่บนหลังก้าวเดิน

“อี้เฟย ชื่อข้า” เสียงร่ำไห้หายไปแล้วน้ำตาก็ไม่มี มีแต่รอยยิ้มมุมปาก

“อืม...อี้เฟย แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

“บ้านข้าอยู่แถวนี้ ข้าได้ยินเสียงต่อสู้เลยตามมาดู เจ้าเก่งนะล้มมันได้ตั้งหลายตัว แต่ว่าข้าเก่งกว่า” อี้เฟย กล่าวยั่วยวนกวนประสาทมัน

“เจ้าเห็นข้าสู้อยู่นานแล้ว ทำไมมิรีบออกมาช่วยเหลือ ข้าเกือบตาย?”

“ข้าไม่รู้จักเจ้าทำไมต้องช่วย” อี้เฟยตอบตรง

“...???” จิ้นเหอถึงกับอึ้งในคำตอบ

“ข้าย่างหมูไว้เจ้ารีบเดินหน่อย ป่านนี้ไหม้หมดแล้ว” อี้เฟ่ยกล่าวเร่งให้มันรีบเดิน

เมื่อมาถึงจุดที่จิ้นเหอสลบไป มันเพิ่งสังเกตุเห็นกองไฟ มีสัตว์อสูรที่สู้กับมันเสียบไม้อยู่บนกองไฟ ก่อนหน้านี้มัวแต่ลนลานหวาดกลัวไม่ทันมองรอบกาย ให้รู้สึกอึดอัดอับอาย กลิ่นโชยฟุ้งขนของสัตว์อสูรไหม้ไฟแทบสำลัก มันปล่อยอี้เฟยลงจากหลัง

“เจ้าจะกินสัตว์อสูรเนี่ยนะ?” จิ้นเหอถามขณะเดินเข้าไปดูอสูรบนกองไฟ

“ถูกแล้ว ข้าจะกินมัน ตัวนั้นข้าล่าได้เอง มิใช่ฝีมือเจ้า บ้านข้าเรียกหมูในป่า ข้ากินออกบ่อย” อี้เฟยกล่าว
ตาใสซื่อ

“แล้วที่บ้านเจ้า ย่างกันทั้งแบบนี้เลยหรือ?” จิ้นเหอกล่าวเหลือบมองหมูในป่าอีกที หัวไม่ตัด ขนไม่โกน หนังไม่ถลก เนื้อไม่ล้าง เครื่องในไม่มีเอาออก เสียบไม้ย่างทื่อๆ เลย

“ก็ข้ากินเป็นอย่างเดียว นี่ข้าหิวนานแล้วนะ” อี้เฟ้ยเริ่มกล่าวเริ่มอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมา เดินก้าวกระแทก
เท้าเสียงดัง

“งั้นเจ้ารอซักครู่ ว่าแต่ว่าเจ้ามีมีดมาไหม?” จิ้นเหอจำต้องตามใจมิอยากทะเราะด้วย มันกล่าวพร้อมแบ
มือขอมีด

เมื่อได้มีดมามันแล่ตัดส่วนที่พอกินได้ออกมา ถลกหนังทิ้งเอาไปล้างน้ำลำธารใกล้ๆ แล้วนำมาย่างใหม่ ตอนอยู่บนวัดจิ้นเหอมันทำครัวกับเจิ้งป๋อ อยู่กับหมิงลู่มันก็ย่างของกินกันบ่อย มันจึงทำออกมาสีสันน่ากินเลยทีเดียว เคยกินแต่หมูป่าวันนี้ได้ลองหมูในป่าเดี๋ยวคงได้รู้รสชาติ

ทั้งคู่นั่งกินหมูในป่ากันรสชาติพอใช้ได้ เสียดายขาดเครื่องปรุง มันคิดว่าคงต้องหามาพกติดตัวไว้บ้างแล้ว หลังจากกินเสร็จมันก็ไปล้างเนื้อล้างตัว ทั้งสองคนย้ายไปหาที่พักผ่อนนอนหลับบนต้นไม้

เช้าวันรุ่งขึ้นจิ้นเหอตื่นมา เห็นอี้เฟยกำลังคุยกับหญิงสาวอยู่สองคน อี้เฟ้ยไม่ได้กลับบ้านพวกนางจึงออกมาตามหา เห็นพวกนางเรียกอี้เฟ้ยว่าคุณหนู พวกนางมือกุมบังเหียนม้าอยู่คนละตัว แต่งตัวคล้ายชาวเขาหมวกกับเสื้อผ้าหลากหลายสี ยามพวกนางเคลื่อนไหวเครื่องประดับทำจากเงินส่งเสียงดังกุ๊งกิ๊ง อี้เฟยแนะนำให้มันรูจักคนตัวสูงชื่อยีนา ส่วนคนเตี้ยกว่าชื่อมีนา อี้เฟ้ยเดินไปลูบไล้หัวม้าตัวสีน้ำตาลแดง เห็นนางเรียกมันว่าเจ้าตาล ทว่านางตัวเล็กสูงเพียงแค่ท้องม้าแค่นั้นเองกับกระโดดทีเดียวไปอยู่บนหลังเจ้าตาลแล้ว อี้เฟยอายุเพียงเท่านี้ทว่าฝีมือกับร้ายกาจไม่เบา

“จิ้นเหอเจ้าส่งมือมา” อี้เฟ้ยกล่าวเรียกพร้อมทั้งส่งมือยื่นมา

จิ้นเหอเดินไปคว้ามืออีเฟ่ย มันโดนกระชากตัวลอยข้ามขึ้นไปบนหลังม้า มันรู้สึกมึนงงอี้เฟยทำได้อย่างไร?? ซักพักอี้เฟยเอามือตบคอเจ้าตาลเบาๆ มันขยับขาฮ้อตะบึงวิ่งออกไป จิ้นเหอต้องรีบเกาะเอวอี้เฟยเอาไว้แน่นกลัวตกม้า

“โอ้ว!!!... มันวิ่งเร็วจังเลย ข้าเพิ่งเคยนั่งครั้งแรกช่างยอดเยี่ยมยิ่ง” จิ้นเหอมันอ้าปากลมเลยตีเข้าหน้าเข้าปากมันเสียงที่เปล่งออกมาจึงมิค่อยชัดเจน

“เจ้าทึ่ม!!! อยากลิ้นขาดหรือหุบปากซะ” อี้เฟยตลาดเสียงกร้าวทำหน้าเบื่อหน่ายกับมัน

ภาพเด็กหญิง และเด็กชายควบอาชาอ้วนพีสีน้ำตาลวิ่งตัดผ่านทุ่งกว้างเขียวขจี เรือนผมดำเงายาวปลิวสยาย ดุจภาพวาดอันวิจิตรงดงาม พอเข้ามาในหุบเขาอี้เฟยปล่อยม้าก้าวเดินเชื่องช้า ต้นไม้เขียวชอุ่มดอกไม้นานาพันธุ์ผลิดอก ถัดมาเป็นทุ่งหญ้ากว้างลายลมพัดโชยเอื่ยย เบื้องหน้าเป็นป่าโปร่งมีรั้วไม้กั้นขวางทำห่างกัน ที่ด้านในมีม้าอยู่อีกสองตัวในคอก เห็นตัวเรือนใหญ่ทำจากไม้ไผ่มุงด้วยหญ้าเป็นทรงกลม คล้ายกระโจมตัวเรือนยกสูงตั้งอยู่ตรงกลางของอาณาบริเวณ มีทางเดินเชื่อมไปอีกแปดสายสู่เรือนหลังเล็กทางเดินปูด้วยก้อนหินห่างๆ กัน

ที่ดึงดูดสายตาคือเรือนใหญ่ปลูกค่อมอยู่บนลำธาร ต้นไม้คลุมดินกับดอกไม้ที่ด้านนอกว่างดงาม ด้านในกับตบแต่งได้สวยงามยิ่งกว่า ส่งกลิ่นหอมสดชื่นผีเสื้อต่างโฉบผลัดกันเชยชม แว่วเสียงนกร้องขับขานผสมผสานกับเสียงธารน้ำรินไหล ให้รู้สึกเบิกบานผ่อนคลายกายและใจ

“ไต้ซือน้อยเชิญค่ะ” เสียงมีนาปลุกจิ้นเหอตื่นจากภวังค์ เมื่อคนอื่นเดินขึ้นเรือนใหญ่กันไปหมดแล้ว

จิ้นเหอเพียงพยักหน้าเดินตามขึ้นไป บนตัวเรือนตัดแบ่งเป็นสองส่วน ด้านหนึ่งเป็นโถงกว้างมีระเบียงล้อมรอบมีโต๊ะเตี้ยตั้งอยู่หกตัวกับเบาะรองนั่ง ประดับด้วยของป่าหลากหลายแปลกตา ด้านในน่าจะเป็นที่พักเห็นอี้เฟยเดินลับหายไปด้านใน

“ไต้ซือน้อยเชิญนั่งก่อนค่ะ” เป็นมีนากล่าวชวนมันนั่ง ซักพักยีนายกน้ำชามาให้มัน แล้วพามันไปห้องพักเพื่อให้มันอาบน้ำอาบท่า

“ไต้ซือน้อยคุณหนูให้ข้าเอาเสื้อผ้า กับยาสมานแผลมาให้ ข้าวางไว้ด้านนี้นะ เสร็จแล้วเชิญไต้ซือที่เรือนใหญ่นะค่ะ” เสียงพี่สาวมีนาตะโกนมาจากด้านหน้าเรือน นางกล่าวจบเดินจากไป

จิ้นเหอหลังจากอาบน้ำ ทายาใส่ปากแผลจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ ในชุดชาวเขาดุจเดียวกับยีนา และมีนา เตรียมตัวไปเรือนใหญ่เพราะมันเองคาดว่าคงจะกินข้าวกัน เพราะมันเองก็หิวไส้จะขาดแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา