กระทืบธรณี เหยียบนรก พลิกสวรรค์
7.7
เขียนโดย ใต้แผ่นฟ้า
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.18 น.
16 ตอน
0 วิจารณ์
19.03K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) ทฤษฎีโลกกลม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 16 ทฤษฎีโลกกลม
เช้าวันต่อมา ก่อนออกเดินทาง จิ้นเหอกับท่านผู้เฒ่ายังคงคงอุดหนุนอาหารเช้าที่โรงเตี้ยม เนื่องจากอาหารหูหนานรสชาติเป็นที่ถูกอกถูกใจของทั้งคู่
“ท่านใส่ปู่ชุดนี้หล่อเลย เมื่อคืนกลับตอนกี่ยามครับ?” จิ้นเหอเอ่ยถามในขณะเดินทาง
“ช่างเถอะๆ ข้าจำไม่ได้ ปวดหัวอยู่เลย” ผู้เฒ่ากล่าวเอามือกุมขมับ
“ข้าว่าเราแวะพักกันก่อนดีกว่า ข้าหน้าจะมืด” ผู้เฒ่ากล่าวก้นกะแทกนั่งลง
“เมื่อคืนข้ามิน่าเลย ดื่มลืมดูอายุเช้านี้เลยเป็นแบบนี้ ข้าขอพักซักครู่ก่อน” ท่านผู้เฒ่ากล่าวจบเหินขึ้นกิ่งไม้นอนเฉย
“เจ้าหนู มนุษย์เราปกติจะชอบหายใจสั้นๆ ไม่ค่อยใช้ความสามารถของปอด ที่สามารถขยายและหดอย่างเต็มที่ จึงทำให้ปอดไม่ได้หายใจเอาอากาศดีเข้า และขับอากาศเสียออกจากร่างกายอย่างเต็มที่ ปอดจึงไม่สามารถฟอกโลหิตให้สดใสสมบูรณ์ได้ดีเท่าที่ควร เป็นผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย เวลาเจ้าเดินหรือนอน เจ้าค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ จนสุดแรงดูดลม ค่อยๆ ปล่อยออกจนหมดลม แล้วเริ่มหายใจเข้าลึกๆ ทำสลับไปให้เป็นจังหวะเสมอต้นเสมอปลาย แค่วันละช่วงธูปไหม้ก็ดี (12นาที)
ถ้าหากมีเวลามากนั่งขัดสมาธิ หลังจากที่กำหนดลมหายใจเหมือนที่ข้ากล่าวตะกี้ เจ้าลองเพ่งสมาธิกำหนดให้เป็นกลุ่มแสงสีฟ้า ถ้าเจ้าสร้างเป็นรูปได้แล้วลองทำให้มันหมุนเริ่มจากขวาก่อนก็ได้ ถ้าทำได้แล้วก็ลองให้หมุนไปทางซ้าย กำหนดจิตให้เป็นรูปร่างไว้ มันเป็นการเตรียมความพร้อมให้กายและจิตสำหรับฝึกลมปราณ ในระหว่างเดินทางเจ้าค่อยๆทำไป” ผู้เฒ่ากล่าวเสียงเนิบๆ
จิ้นเหอนั่งขัดสมาธิหลับตา ทดลองทำตามคำผู้เฒ่ากล่าว
“แล้วนี่เป็นตัวอย่างชื่อพลังลมปราณต่างๆ แต่ละสำนักจะไม่เหมือนกันเจ้าควรรับทราบไว้
ลมปราณอิม – เอี๊ยง ลมปราณฟ้าดิน ลมปราณหยินหยางลมปราณจักรวาลลมปราณสุริยัน – จันทราลมปราณจากเบญจาธาตุ ดิน ไม้ น้ำ ไฟ ทอง
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ล้วนมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน คืออิมกับเอี๊ยง แค่ต่างกันที่วิธีการดูดซับพลังมาใช้
“และนี่คือของที่ข้าจะให้เจ้า เทียนเหรินเหออี (คนกับฟ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน) เจ้าลองไปศึกษาเผื่อจะเจอหนทางสำหรับตัวเจ้าเอง ข้าได้มานานแล้วแต่ข้าก็ไม่เคยฝึกคัมภีร์นี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเหนือกว่าข้า หนทางเจ้าเป็นผู้เลือกเองทุก สรรพสิ่งในโลกหล้า ล้วนแปรปรวนสุดหยั่ง แต่ละคนต่างมีชะตาชีวิตของตนเอง” ผู้เฒ่ากล่าวจบมือกุมซอขึ้นมาถือไว้
“จิ้นเหอซออันนี้ข้าขอมอบให้เจ้าด้วย ข้าคงต้องไปแล้ว ไว้ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่สำนักศักสิทธ์”
“??? ไปไหนท่านปู่?” จิ้นเหอเปิดตาขึ้นจ้องมองท่านผู้เฒ่าครุ่นคิดสงสัยในคำกล่าว
“ข้าจะตามไปดูไอ้แคระ อาจต้องไปอาณาจักรทางตะวันตก” ผู้เฒ่ากล่าวหยิบยื่นซอกับคัมภีร์เทียนเหรินเหออีสู่มือจิ้นเหอ
“ในนามแห่งข้า ผู้เฒ่าดำ ขออัญเชิญผู้พิทักษ์แห่งข้าจงปรากฎ” ผู้เฒ่าท่องมนต์ออกมากลายร่างเป็นผู้เฒ่ากระเรียน
“ท่านปู่! ข้าไปด้วย” จิ้นเหอกล่าวเมื่อเห็นผู้เฒ่าพุ่งเหินจากไป
ไร้เสียงตอบรับกลับมา ผู้เฒ่าทะยานไปทางมวลกระแสลมที่กำลังรวมตัวกันในที่ห่างไกล จวบจนเจ้ากระเรียนขาวพาผู้เฒ่าทะยานขึ้นฟ้าหายลับไปจากคลองจักษุ
“อะไรของท่านปู่เนี่ย คิดจากไปก็ไปทันที” จิ้นเหอกล่าวน้ำเสียงตัดพ้อ
ภาพหมาหงอยปรากฎขึ้นบนใบหน้าจิ้นนเหอ สองมือกอดเข่านั่งนิ่งจมอยู่ในภวังค์ความคิดปล่อยเวลาผ่านเนิ่นนาน ตลอดเวลาร่วมเดือนมีท่านผู้เฒ่าเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ยามนี้ท่านได้จากไปแล้ว เหลือตนเองเพียงผู้เดียว ให้รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว” แต่ละคนต่างมีชะตาชีวิตของตนเอง” พอนึกถึงคำที่ท่านผู้เฒ่ากล่าวไว้ ปลุกปลอบจิตใจลุกยืนสองเท้าก้าวไปข้างหน้า
เมืองอันหยาง ที่ตั้งของสำนักศักสิทธ์ มีอาณาเขตติดกับเมืองเซี่ยซึ่งเป็นราชธานีหลัก เมืองจึงมีความเจริญก้าวหน้ามากกว่าเมืองอื่นๆ ธงประจำองค์จักรพรรดิมังกรสีเหลือง โบกสะบัดอยู่เหนือกำแพงเมือง เคียงคู่กับธงรูปเต่า ของสำนักศักสิทธ์ ด้านในเมืองรูปหล่อโลหะมังกร สิงโต เต่า และกระถางธูปสามขา มีให้เห็นอยู่หลายจุด สะพานข้ามคลองมีรถม้าเทียมเกวียนวิ่งผ่านสวนกัน ผู้คนแต่งกายหลากสีสัน บ้านเรือนร้านค้า จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งสองฝั่งทาง ส่วนใหญ่ทำจากดินเหนียวเผาเป็นก้อน ตบแต่งทาทับด้วยสีสัน เป็นที่ให้แปลกใจมีสีเพิ่มขึ้นมา สีม่วงจีน( เชื่อว่าสีม่วงจีนเกิดจากการเล่นแร่แปลธาตุในสมัยนั้น สีส่วนใหญ่จะมาจากเบญจาธาตุ จวบจนสมัยจิ๋นซีที่มีการค้นพบในสุสาน) นับว่าแตกต่างจากที่เคยเห็นมา
จิ้นเหอมองจนละลานตา ผู้คนพลุกพล่าน ชาวยุทธหลายคนต่างพกอาวุธเดินทาง อาจเป็นเพราะสำนักศักสิทธ์จะเปิดรับศิษย์รุ่นใหม่ในเดือนหน้านี้ สำนักศักสิทธ์เป็นสำนักอันดับหนึ่งคู่กับราชวงศ์เซี่ย เน้นสอนการปลุกพลังแผงในร่างกาย ลมปราณศักสิทธ์ ดัดแปลงมาจากตำราแพทย์หวงตี้เน่งจึง จินกุ้ยเย่าเลี่ย เซียนจินเย่าฟางมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของเส้นลมปราณตั้งแต่ทฤษฎีเส้นลมปราณ ทฤษฎีหยินหยาง ทฤษฎีปัญจธาตุ(อู่สิง) และจุดฝังเข็มในร่างกาย
ในทุกสองปีสำนักศักสิทธ์จะเปิดรับศิษย์ ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนจะเป็นนักสู้ให้อาณาจักร ผู้ที่มีความสำเร็จสูงล้ำจะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการ ทำให้ผู้คนทั่วทั้งอาณาจักร ต่างแห่เหินเดินทางมาเข้ารับการฝึกสอนจากสถานที่แห่งนี้
เหตุการณ์ตามทฤษฎีโลกมันกลมเกิดขึ้น
“เจ้าลูกหมา จำข้าได้ไหม” ชายหนุ่มในชุดขาวกับลูกน้องที่ซื่อสัตย์เอ่ยขึ้น
“ท่านคือ?” จิ้นเหอมันจำได้คุณชายเปียวกับเหม็งฉุ่ยนั่นเอง ทั้งหมดต่างยืนล้อมมันไว้ด้วยบริวารอีกสี่คน
“ข้าเจ้าของกระบี่ที่เจ้ายืมไปใช้อย่างไร เจ้ารีบก้มลงโคกศรีษะเรียกข้าท่านปู่ซะ แล้วข้าจะทำเป็นลืม” คุณชายเปียวกล่าว มือยังคงโบกสะบัดพัดไปมา
“เฮ้อ...ข้าไม่อยากมีเรื่อง ท่านเอากระบี่ท่านคืนไปเถอะ” จิ้นเหอเก็บรวบกระบี่ยื่นส่งคืน
“กระบี่เจ้าต้องคืนอยู่ แต่ข้าจะให้เจ้าโคกศรีษะด้วย” คุณชายเปี่ยวกล่าวตาจ้องเขม็ง
“ท่านช่างบีบคั้นคนยิ่งนัก งั้นพวกท่านเข้ามาเอาเองเถอะ” จิ้นเหอกล่าวจบเริ่มควงกระบี่
“ตืบมัน!..” สิ้นเสียงคุณชายเปียว
เหม็งฉุ่ยกับลูกน้องอีกสี่คนต่างชักกระบี่บีบวงล้อมเข้ามา ชาวบ้านแตกตื่นขยับตัวถอยห่าง ส่งเสียงเอะอะโวยวายกลางเมืองเช่นนี้ ใครมันช่างกล้ามาชักกระบี่มีเรื่องกัน
“ปรี๊ด!!...หยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าจงรีบเก็บอาวุธ” เสียงเป่านกหวีดดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนจากแหล่าทหารรักษาการณ์
“พวกเจ้าช่างบังอาจนัก กล้ามีเรื่องกันในเขตการรับผิดชอบของสำนักศักสิทธ์แห่งนี้ ข้าเตือนพวกเจ้าในสถานะผู้เยาว์ เกรงว่าพวกเจ้ายังไม่รู้กฎเกณฑ์” ทหารกล่าว หลังจากมองการแต่งกายของคุณชายเปียว
“ข้าเปียว อย่าอี้ พวกข้าต้องขออภัย พวกข้ามาจากเมืองจาวทงเพื่อมาขอรับการทดสอบเข้าสำนักศักสิทธ์ จึงหาได้ทราบกฎของที่แห่งนี้ ให้ข้าได้มีโอกาศเลี้ยงน้ำชาพวกท่านพี่ซักมื้อ” คุณชายเปียวกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ
“หามิได้คุณชายเปียว ผู้ไม่รู้ถือว่าไม่ผิด ในเขตแดนปรปักษ์ ทางด้านนั้นพวกคุณชายสามารถสะสางเรื่องราวในแบบของชาวยุทธได้ แต่จะไม่มีการฆ่ากันตาย การฆ่าคนตายในเขตสำนักศักสิทธ์ถือเป็นความผิด” ผู้นำกลุ่มทหารกล่าว หลังจากมองสำรวจคู่กรณีทั้งสองฝ่ายดีแล้ว
“ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านพี่ทั้งหลาย เยี่ยงนั้นข้าขอไปตัวทำธุระก่อน แล้วจะรีบกลับมาเลี้ยงน้ำชาท่านพี่ทั้งหลาย” อย่าอี้กล่าวมือกุมประสานอก
“เชิญคุณชายเปียวตามสะดวก” หัวหน้าทหารกล่าว
“งั้นข้าก็คงต้องขอตัวก่อน” จิ้นเหอกล่าว พยายามแทรกตัวออกจากวงล้อมของทหาร
“เจ้าจะไปไหน ธุระเรายังไม่เสร็จเลย” เป็นเหม็งฉุ่ย คว้าดึงเสื้อจิ้นเหอไว้
“เราไปคุยเรื่องของเรากัน พวกเจ้านำตัวมันตามมา” อย่าอี้สั่งลูกน้องเดินคุมจิ้นเหอตามมา
จิ้นเหอมันเริ่มขุ่นเคือง ความจริงมันกระชิ่งหนีตั้งแต่กลุ่มทหารมา แต่จนใจพวกอย่าอี้คลายวงล้อม แต่พวกทหารกับมาล้อมแทน ซ้ำยังบอกพื้นที่ปรปักษ์ให้อีก เลือกข้างได้ชัดเจน ทำให้มันยิ่งเดือดดาล
ด้านหน้าอักษรสลักไว้ว่าเขตแดนปรปักษ์ อยู่บนก้อนหินใหญ่ตัดแต่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร เทคโนโลยีและการเคลื่อนย้ายหินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ด้านในเป็นลานกว้างเปิดโล่ง มีเวทียกพื้นสูงเป็นรูปวงกลม ขนาดสิบหลา อยู่สี่สนาม มีเหล่าทหารรักษาการณ์ยืนประจำการอยู่ตามแต่ละสนาม สนามทางด้านซ้ายมีผู้คนยืนดูการต่อสู้อยู่ห้าหกคน ทุกคนยืนชมด้วยความสงบนิ่ง
“เหม็งฉุ่ย เจ้าไปจัดการมัน”
“ครับคุณชาย” เหม็งฉุ่ยกล่าว พร้อมก้าวออกมา
จิ้นเหอควงดาบ ทีแรกมันคิดว่าจะกลุ้มรุมเข้ามาพร้อมกัน ช่างน่าแปลกใจ เหม็งฉุ่ยเปิดฉากโจมตีกระบี่ในมือขวาฟันลงมา จิ้นเหอใช้มือซ้ายปัดออกไปด้านซ้าย ขยับตัวโยกไปข้างหน้าใช้สันกระบี่มือขวา เสียงดัง เปี๊ยะ!!. หน้าเหม็งฉุ่ยสะบัดไปตามแรงดีดของกระบี่ เท้าก้าวถอยหลังออกไป จิ้นเหอขยับเท้าก้าวตามเท้าซ้ายเตะไปที่ข้อต่อหัวเข่า เหม็งฉุ่ยถึงกับสะดุดหยุดความเคลื่อนไหว จิ้นเหอดีดกระบี่ไปที่ใบหน้าอีก เปรีย๊ะ!!. เหม็งฉุ่ยวาดกระบี่เร็วขึ้นหวดขวาปาดซ้าย จิ้นเหอเพียงสะบัดข้อมือเป็นวงกลมปัดออก โดยไม่เหนือบ่ากว่าแรงสบโอกาสสันกระบี่เป็นต้องดีดใส่ ยามนี้บนใบหน้าเหม็งฉุ่ยปรากฎริ้วรอยแดงหลายแห่ง บางแห่งโดนขอบคมกระบี่มีเลือดซึมออกมา
“พวกเจ้าเข้าไปช่วยมัน” อย่าอี้สั่งลูกน้องน้องที่เหลืออีกสี่คน เมื่อเห็นว่าเหม็งฉุ่ยท่าจะแย่แล้ว
ที่ข้างสนามเริ่มมีผู้คนเพิ่มขึ้น เมื่อเห็นมีเด็กชายอายุเพียงสิบกว่าปี ใช้กระบี่สองมือในลักษณะที่ไม่เคบพบเห็น กำลังโดนรุมล้อมโดยชายห้าคน ในนั้นยังมีเด็กโตแต่งกายภูมิฐานคอยควบคุม ยิ่งเพิ่มความสนใจขยับใกล้หมายชมดู เขตแดนปรปักษ์จริงแล้วมีไว้เพื่อการเปรียบเทียบวิชา ของคนในสำนักศักสิทธ์กับยอดฝีมือต่างถิ่น ซ้ำยังใช้เป็นที่สะสางเรื่องราวของชาวยุทธอีกด้วย กฎคือห้ามลงมือถึงชีวิตเพียงอย่างเดียว ผู้คนทั่วไปต่างสามารถเข้ามาชมดูได้
จิ้นเหอคาดเดาไว้อยู่แล้ว มีหรือพวกมันจะไม่กลุ้มรุม สองมือกวัดแกว่งไปมาในท่าย้อมฟองสมุทร เพ่งสมาธิจดจ่อความเคลื่อนไหวของคนทั้งห้า ชายคนแรกเริ่มลงมือกระบี่ถูกเงื้อมฟันลงตรงหัวไหล่ขวา จิ้นเหอเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้าย กระบี่ในมือซ้ายยกขึ้นหมุนวนปัดกระบี่ชายอีกคนที่อยู่ทางด้านขวาของชายคนแรก กระบี่ถูกปัดพ้นตัว จิ้นเหอขยับตัวเข้าประชิด มือขวากุมกระบี่แน่นปล่อยหมัดชกออกไป ก้านกระบี่พุ่งเข้ากระแทกหน้าเป้าหมายเต็มแรง ใช้เท้าขวาเป็นฐานพลิกหมุนตัวพุ่งไปจู่โจมชายคนที่สาม ที่กำลังพุ่งเข้ามา กระบี่ทั้งสองเล่มโหมกระหน่ำฟัน ตวัดปาดทิ่มแทง จนชายคนที่สามต้องก้าวถอยหลัง
จิ้นเหอไม่ยอมอยู่เป็นเป้านิ่ง ท่าเท้าถูกใช้ต่อเนื่อง อาศัยช่องว่างหลบซ้ายแทงขวา ก้าวถอยหลังพุ่งเข้าปะทะ สบโอกาสใช้กระบี่ปาดเฉือน ขาเตะไปที่ข้อต่อ ข้อเท้า ห้าคนรุมก็ยังไม่ใช่ปัญหาถ้าจิ้นเหอกล้าลงมือเด็ดขาดแต่มันไม่กล้า กระบี่ถูกใช้เพียงสร้างบาดแผลเล็กน้อย มุ่งเพียงให้หมดสภาพการต่อสู้ ชายทั้งห้าก็เช่นกันต่างก็ไม่กล้าลงมือเต็มที่ ถ้ากระบี่พลาดโดนจิ้นเหอแล้วมันเกิดเสียชีวิต คุณชายเปียวลูกพี่มันอาจมีปัญหาในการสมัครเข้าเรียน
ยามนี้ชายทั้งห้าต่างมีบาดแผลรอยเลือดให้เห็น คุณชายเปียวหน้าแดงมือกำออกแรงพัดสั่นไหว ให้รู้สึกอับอายเดือดดาลห้าคนรุมแล้วยังไม่ได้เรื่อง พัดในมือถูกพับเก็บ กระบี่ถูกชักออกมาก้าวเท้าทะยานเข้าร่วมวง
จิ้นเหอปัดกระบี่ที่พุ่งเข้ามา มือขวาปาดฟันสวนกลับ คุณชายเปียวพลิกหลบไปด้านขวา กระบี่ถูกชักกลับมาตวัดฟันแขนซ้าย จิ้นเหอพลิกแขนซ้ายหลบ คุณชายเปียวตวัดข้อมือกลายเป็นท่าแทงกระบี่ จิ้นเหอต้องดีดกายถอยหลัง คุณชายเปียวนับว่ามีฝีมืออยู่บ้างหาใช่ชนชั้นอันต่ำทราม จิ้นเหอถอยหลังออกมาสามก้าว ถีบขาขวากับพื้นส่งแรงพุ่งไปข้างหน้า สองมือฟาดฟันกระบี่ไม่ยั้งคล้ายเลขแปดอารบิค หัวโยกส่ายสะบัด (เด็มพ์ซี่ย์โรล)
จิ้นเหอมันเก็บกดกับชายเปียวเยอะ ทุกกระบี่ฟาดเปี่ยมด้วยพลังเสริมจากแรงบิดเอว และช่วงขา ฟันกระหน่ำลงไม่ยั้ง ชายเปียวถอยร่นท่าทางจะหงายหลังล้มลง สมุนต่างเห็นเช่นนั้นรีบเร่งโหมจู่โจมกันเข้ามาคิดหมายช่วยเหลือชายเปียว
จิ้นเหอต้องพลิกตัวกลับมาต้านรับกระบี่ ยอมสูญเสียโอกาสเล่นงานชายเปียว กระบี่ทั้งห้าเล่มต่างเร่งเร้าเข้าโจมตี จิ้นเหอต้านรับเต็มแรงยังหาได้เป็นลอง ชายเปียวกลับมาอีกครั้งแล้ว ใบหน้าเหยเก ควันออกหู เล็งเห็นช่องว่างทางด้านหลัง กระบี่ในมือฟันปาดเข้ากลางหลัง เลือดไหลออกมาตามคมกระบี่ จิ้นเหอชะงักการเคลื่อนไหว ลำตัวงอเมื่อโดนแข้งกระแทกใส่ตามมา ฝืนฟาดฟันกระบี่ออกรอบทิศ มือไม้เริ่มติดขัดเจ็บปวดจากบาดแผลทางด้านหลัง หมัดกระแทกเข้าใบ้หน้าอีกสามสี่หมัด ศรีษะโอนเอนไปมาตามแรงหมัดที่โดนต่อยเข้ามา จนขาโดนเตะรวบล้มลง ฝ่าเท้าหลายเท้าตามกระทืบซ้ำลงมาบนทรวงอก
“เจ้าพวกหน้าไม่มียางอาย!!...โตก็โตกว่ายังทำหมาหมู่ เยี่ยงนี้ข้าขอเล่นด้วยคน” เด็กหนุ่มแปลกหน้ากล่าวขึ้นก้าวเท้าช้าๆ ขึ้นมาบนเวที
เป็นหนุ่มน้อยในชุดแดงยาวขลิบเหลือง ผมยาวสีน้ำตาลเข้ม มัดรวบเกล้าบนศรีษะมีเครื่องประดับทรงสูงสีแดงครอบทับไว้อีกที ท่าทางจะเป็นคุณชายสูงศักดิ์
“น้องชายท่านนี้ ท่านเข้าใจผิดแล้ว พวกเราเพียงต้องการทวงกระบี่คืน แต่เจ้าบัดซบนี่ไม่ยอมคืนโดยดี ตอนนี้พวกเราเมื่อได้ของคืนแล้ว จำต้องขอตัวก่อน” ชายเปียวกล่าวให้ลูกน้องเก็บกระบี่คืน ค่อยล่าถอยจากไป
“ข้าขอบใจเจ้ามาก ที่ช่วยข้าไว้” จิ้นเหอโค้งคำนับก่อนเดินโซซัดโซเซจากไป ไม่สนใจสายตาผู้คนที่เอาแต่จ้องมองมัน
-----------------
มีคนอ่านอยู่ไหมครับ หากมีขอเสียงด้วยเม้นหน่อย หากเงียบเลิกเอามาลงดีกว่า อิอิ
เช้าวันต่อมา ก่อนออกเดินทาง จิ้นเหอกับท่านผู้เฒ่ายังคงคงอุดหนุนอาหารเช้าที่โรงเตี้ยม เนื่องจากอาหารหูหนานรสชาติเป็นที่ถูกอกถูกใจของทั้งคู่
“ท่านใส่ปู่ชุดนี้หล่อเลย เมื่อคืนกลับตอนกี่ยามครับ?” จิ้นเหอเอ่ยถามในขณะเดินทาง
“ช่างเถอะๆ ข้าจำไม่ได้ ปวดหัวอยู่เลย” ผู้เฒ่ากล่าวเอามือกุมขมับ
“ข้าว่าเราแวะพักกันก่อนดีกว่า ข้าหน้าจะมืด” ผู้เฒ่ากล่าวก้นกะแทกนั่งลง
“เมื่อคืนข้ามิน่าเลย ดื่มลืมดูอายุเช้านี้เลยเป็นแบบนี้ ข้าขอพักซักครู่ก่อน” ท่านผู้เฒ่ากล่าวจบเหินขึ้นกิ่งไม้นอนเฉย
“เจ้าหนู มนุษย์เราปกติจะชอบหายใจสั้นๆ ไม่ค่อยใช้ความสามารถของปอด ที่สามารถขยายและหดอย่างเต็มที่ จึงทำให้ปอดไม่ได้หายใจเอาอากาศดีเข้า และขับอากาศเสียออกจากร่างกายอย่างเต็มที่ ปอดจึงไม่สามารถฟอกโลหิตให้สดใสสมบูรณ์ได้ดีเท่าที่ควร เป็นผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย เวลาเจ้าเดินหรือนอน เจ้าค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ จนสุดแรงดูดลม ค่อยๆ ปล่อยออกจนหมดลม แล้วเริ่มหายใจเข้าลึกๆ ทำสลับไปให้เป็นจังหวะเสมอต้นเสมอปลาย แค่วันละช่วงธูปไหม้ก็ดี (12นาที)
ถ้าหากมีเวลามากนั่งขัดสมาธิ หลังจากที่กำหนดลมหายใจเหมือนที่ข้ากล่าวตะกี้ เจ้าลองเพ่งสมาธิกำหนดให้เป็นกลุ่มแสงสีฟ้า ถ้าเจ้าสร้างเป็นรูปได้แล้วลองทำให้มันหมุนเริ่มจากขวาก่อนก็ได้ ถ้าทำได้แล้วก็ลองให้หมุนไปทางซ้าย กำหนดจิตให้เป็นรูปร่างไว้ มันเป็นการเตรียมความพร้อมให้กายและจิตสำหรับฝึกลมปราณ ในระหว่างเดินทางเจ้าค่อยๆทำไป” ผู้เฒ่ากล่าวเสียงเนิบๆ
จิ้นเหอนั่งขัดสมาธิหลับตา ทดลองทำตามคำผู้เฒ่ากล่าว
“แล้วนี่เป็นตัวอย่างชื่อพลังลมปราณต่างๆ แต่ละสำนักจะไม่เหมือนกันเจ้าควรรับทราบไว้
ลมปราณอิม – เอี๊ยง ลมปราณฟ้าดิน ลมปราณหยินหยางลมปราณจักรวาลลมปราณสุริยัน – จันทราลมปราณจากเบญจาธาตุ ดิน ไม้ น้ำ ไฟ ทอง
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ล้วนมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน คืออิมกับเอี๊ยง แค่ต่างกันที่วิธีการดูดซับพลังมาใช้
“และนี่คือของที่ข้าจะให้เจ้า เทียนเหรินเหออี (คนกับฟ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน) เจ้าลองไปศึกษาเผื่อจะเจอหนทางสำหรับตัวเจ้าเอง ข้าได้มานานแล้วแต่ข้าก็ไม่เคยฝึกคัมภีร์นี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเหนือกว่าข้า หนทางเจ้าเป็นผู้เลือกเองทุก สรรพสิ่งในโลกหล้า ล้วนแปรปรวนสุดหยั่ง แต่ละคนต่างมีชะตาชีวิตของตนเอง” ผู้เฒ่ากล่าวจบมือกุมซอขึ้นมาถือไว้
“จิ้นเหอซออันนี้ข้าขอมอบให้เจ้าด้วย ข้าคงต้องไปแล้ว ไว้ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่สำนักศักสิทธ์”
“??? ไปไหนท่านปู่?” จิ้นเหอเปิดตาขึ้นจ้องมองท่านผู้เฒ่าครุ่นคิดสงสัยในคำกล่าว
“ข้าจะตามไปดูไอ้แคระ อาจต้องไปอาณาจักรทางตะวันตก” ผู้เฒ่ากล่าวหยิบยื่นซอกับคัมภีร์เทียนเหรินเหออีสู่มือจิ้นเหอ
“ในนามแห่งข้า ผู้เฒ่าดำ ขออัญเชิญผู้พิทักษ์แห่งข้าจงปรากฎ” ผู้เฒ่าท่องมนต์ออกมากลายร่างเป็นผู้เฒ่ากระเรียน
“ท่านปู่! ข้าไปด้วย” จิ้นเหอกล่าวเมื่อเห็นผู้เฒ่าพุ่งเหินจากไป
ไร้เสียงตอบรับกลับมา ผู้เฒ่าทะยานไปทางมวลกระแสลมที่กำลังรวมตัวกันในที่ห่างไกล จวบจนเจ้ากระเรียนขาวพาผู้เฒ่าทะยานขึ้นฟ้าหายลับไปจากคลองจักษุ
“อะไรของท่านปู่เนี่ย คิดจากไปก็ไปทันที” จิ้นเหอกล่าวน้ำเสียงตัดพ้อ
ภาพหมาหงอยปรากฎขึ้นบนใบหน้าจิ้นนเหอ สองมือกอดเข่านั่งนิ่งจมอยู่ในภวังค์ความคิดปล่อยเวลาผ่านเนิ่นนาน ตลอดเวลาร่วมเดือนมีท่านผู้เฒ่าเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ยามนี้ท่านได้จากไปแล้ว เหลือตนเองเพียงผู้เดียว ให้รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว” แต่ละคนต่างมีชะตาชีวิตของตนเอง” พอนึกถึงคำที่ท่านผู้เฒ่ากล่าวไว้ ปลุกปลอบจิตใจลุกยืนสองเท้าก้าวไปข้างหน้า
เมืองอันหยาง ที่ตั้งของสำนักศักสิทธ์ มีอาณาเขตติดกับเมืองเซี่ยซึ่งเป็นราชธานีหลัก เมืองจึงมีความเจริญก้าวหน้ามากกว่าเมืองอื่นๆ ธงประจำองค์จักรพรรดิมังกรสีเหลือง โบกสะบัดอยู่เหนือกำแพงเมือง เคียงคู่กับธงรูปเต่า ของสำนักศักสิทธ์ ด้านในเมืองรูปหล่อโลหะมังกร สิงโต เต่า และกระถางธูปสามขา มีให้เห็นอยู่หลายจุด สะพานข้ามคลองมีรถม้าเทียมเกวียนวิ่งผ่านสวนกัน ผู้คนแต่งกายหลากสีสัน บ้านเรือนร้านค้า จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งสองฝั่งทาง ส่วนใหญ่ทำจากดินเหนียวเผาเป็นก้อน ตบแต่งทาทับด้วยสีสัน เป็นที่ให้แปลกใจมีสีเพิ่มขึ้นมา สีม่วงจีน( เชื่อว่าสีม่วงจีนเกิดจากการเล่นแร่แปลธาตุในสมัยนั้น สีส่วนใหญ่จะมาจากเบญจาธาตุ จวบจนสมัยจิ๋นซีที่มีการค้นพบในสุสาน) นับว่าแตกต่างจากที่เคยเห็นมา
จิ้นเหอมองจนละลานตา ผู้คนพลุกพล่าน ชาวยุทธหลายคนต่างพกอาวุธเดินทาง อาจเป็นเพราะสำนักศักสิทธ์จะเปิดรับศิษย์รุ่นใหม่ในเดือนหน้านี้ สำนักศักสิทธ์เป็นสำนักอันดับหนึ่งคู่กับราชวงศ์เซี่ย เน้นสอนการปลุกพลังแผงในร่างกาย ลมปราณศักสิทธ์ ดัดแปลงมาจากตำราแพทย์หวงตี้เน่งจึง จินกุ้ยเย่าเลี่ย เซียนจินเย่าฟางมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของเส้นลมปราณตั้งแต่ทฤษฎีเส้นลมปราณ ทฤษฎีหยินหยาง ทฤษฎีปัญจธาตุ(อู่สิง) และจุดฝังเข็มในร่างกาย
ในทุกสองปีสำนักศักสิทธ์จะเปิดรับศิษย์ ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนจะเป็นนักสู้ให้อาณาจักร ผู้ที่มีความสำเร็จสูงล้ำจะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการ ทำให้ผู้คนทั่วทั้งอาณาจักร ต่างแห่เหินเดินทางมาเข้ารับการฝึกสอนจากสถานที่แห่งนี้
เหตุการณ์ตามทฤษฎีโลกมันกลมเกิดขึ้น
“เจ้าลูกหมา จำข้าได้ไหม” ชายหนุ่มในชุดขาวกับลูกน้องที่ซื่อสัตย์เอ่ยขึ้น
“ท่านคือ?” จิ้นเหอมันจำได้คุณชายเปียวกับเหม็งฉุ่ยนั่นเอง ทั้งหมดต่างยืนล้อมมันไว้ด้วยบริวารอีกสี่คน
“ข้าเจ้าของกระบี่ที่เจ้ายืมไปใช้อย่างไร เจ้ารีบก้มลงโคกศรีษะเรียกข้าท่านปู่ซะ แล้วข้าจะทำเป็นลืม” คุณชายเปียวกล่าว มือยังคงโบกสะบัดพัดไปมา
“เฮ้อ...ข้าไม่อยากมีเรื่อง ท่านเอากระบี่ท่านคืนไปเถอะ” จิ้นเหอเก็บรวบกระบี่ยื่นส่งคืน
“กระบี่เจ้าต้องคืนอยู่ แต่ข้าจะให้เจ้าโคกศรีษะด้วย” คุณชายเปี่ยวกล่าวตาจ้องเขม็ง
“ท่านช่างบีบคั้นคนยิ่งนัก งั้นพวกท่านเข้ามาเอาเองเถอะ” จิ้นเหอกล่าวจบเริ่มควงกระบี่
“ตืบมัน!..” สิ้นเสียงคุณชายเปียว
เหม็งฉุ่ยกับลูกน้องอีกสี่คนต่างชักกระบี่บีบวงล้อมเข้ามา ชาวบ้านแตกตื่นขยับตัวถอยห่าง ส่งเสียงเอะอะโวยวายกลางเมืองเช่นนี้ ใครมันช่างกล้ามาชักกระบี่มีเรื่องกัน
“ปรี๊ด!!...หยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าจงรีบเก็บอาวุธ” เสียงเป่านกหวีดดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนจากแหล่าทหารรักษาการณ์
“พวกเจ้าช่างบังอาจนัก กล้ามีเรื่องกันในเขตการรับผิดชอบของสำนักศักสิทธ์แห่งนี้ ข้าเตือนพวกเจ้าในสถานะผู้เยาว์ เกรงว่าพวกเจ้ายังไม่รู้กฎเกณฑ์” ทหารกล่าว หลังจากมองการแต่งกายของคุณชายเปียว
“ข้าเปียว อย่าอี้ พวกข้าต้องขออภัย พวกข้ามาจากเมืองจาวทงเพื่อมาขอรับการทดสอบเข้าสำนักศักสิทธ์ จึงหาได้ทราบกฎของที่แห่งนี้ ให้ข้าได้มีโอกาศเลี้ยงน้ำชาพวกท่านพี่ซักมื้อ” คุณชายเปียวกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ
“หามิได้คุณชายเปียว ผู้ไม่รู้ถือว่าไม่ผิด ในเขตแดนปรปักษ์ ทางด้านนั้นพวกคุณชายสามารถสะสางเรื่องราวในแบบของชาวยุทธได้ แต่จะไม่มีการฆ่ากันตาย การฆ่าคนตายในเขตสำนักศักสิทธ์ถือเป็นความผิด” ผู้นำกลุ่มทหารกล่าว หลังจากมองสำรวจคู่กรณีทั้งสองฝ่ายดีแล้ว
“ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านพี่ทั้งหลาย เยี่ยงนั้นข้าขอไปตัวทำธุระก่อน แล้วจะรีบกลับมาเลี้ยงน้ำชาท่านพี่ทั้งหลาย” อย่าอี้กล่าวมือกุมประสานอก
“เชิญคุณชายเปียวตามสะดวก” หัวหน้าทหารกล่าว
“งั้นข้าก็คงต้องขอตัวก่อน” จิ้นเหอกล่าว พยายามแทรกตัวออกจากวงล้อมของทหาร
“เจ้าจะไปไหน ธุระเรายังไม่เสร็จเลย” เป็นเหม็งฉุ่ย คว้าดึงเสื้อจิ้นเหอไว้
“เราไปคุยเรื่องของเรากัน พวกเจ้านำตัวมันตามมา” อย่าอี้สั่งลูกน้องเดินคุมจิ้นเหอตามมา
จิ้นเหอมันเริ่มขุ่นเคือง ความจริงมันกระชิ่งหนีตั้งแต่กลุ่มทหารมา แต่จนใจพวกอย่าอี้คลายวงล้อม แต่พวกทหารกับมาล้อมแทน ซ้ำยังบอกพื้นที่ปรปักษ์ให้อีก เลือกข้างได้ชัดเจน ทำให้มันยิ่งเดือดดาล
ด้านหน้าอักษรสลักไว้ว่าเขตแดนปรปักษ์ อยู่บนก้อนหินใหญ่ตัดแต่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร เทคโนโลยีและการเคลื่อนย้ายหินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ด้านในเป็นลานกว้างเปิดโล่ง มีเวทียกพื้นสูงเป็นรูปวงกลม ขนาดสิบหลา อยู่สี่สนาม มีเหล่าทหารรักษาการณ์ยืนประจำการอยู่ตามแต่ละสนาม สนามทางด้านซ้ายมีผู้คนยืนดูการต่อสู้อยู่ห้าหกคน ทุกคนยืนชมด้วยความสงบนิ่ง
“เหม็งฉุ่ย เจ้าไปจัดการมัน”
“ครับคุณชาย” เหม็งฉุ่ยกล่าว พร้อมก้าวออกมา
จิ้นเหอควงดาบ ทีแรกมันคิดว่าจะกลุ้มรุมเข้ามาพร้อมกัน ช่างน่าแปลกใจ เหม็งฉุ่ยเปิดฉากโจมตีกระบี่ในมือขวาฟันลงมา จิ้นเหอใช้มือซ้ายปัดออกไปด้านซ้าย ขยับตัวโยกไปข้างหน้าใช้สันกระบี่มือขวา เสียงดัง เปี๊ยะ!!. หน้าเหม็งฉุ่ยสะบัดไปตามแรงดีดของกระบี่ เท้าก้าวถอยหลังออกไป จิ้นเหอขยับเท้าก้าวตามเท้าซ้ายเตะไปที่ข้อต่อหัวเข่า เหม็งฉุ่ยถึงกับสะดุดหยุดความเคลื่อนไหว จิ้นเหอดีดกระบี่ไปที่ใบหน้าอีก เปรีย๊ะ!!. เหม็งฉุ่ยวาดกระบี่เร็วขึ้นหวดขวาปาดซ้าย จิ้นเหอเพียงสะบัดข้อมือเป็นวงกลมปัดออก โดยไม่เหนือบ่ากว่าแรงสบโอกาสสันกระบี่เป็นต้องดีดใส่ ยามนี้บนใบหน้าเหม็งฉุ่ยปรากฎริ้วรอยแดงหลายแห่ง บางแห่งโดนขอบคมกระบี่มีเลือดซึมออกมา
“พวกเจ้าเข้าไปช่วยมัน” อย่าอี้สั่งลูกน้องน้องที่เหลืออีกสี่คน เมื่อเห็นว่าเหม็งฉุ่ยท่าจะแย่แล้ว
ที่ข้างสนามเริ่มมีผู้คนเพิ่มขึ้น เมื่อเห็นมีเด็กชายอายุเพียงสิบกว่าปี ใช้กระบี่สองมือในลักษณะที่ไม่เคบพบเห็น กำลังโดนรุมล้อมโดยชายห้าคน ในนั้นยังมีเด็กโตแต่งกายภูมิฐานคอยควบคุม ยิ่งเพิ่มความสนใจขยับใกล้หมายชมดู เขตแดนปรปักษ์จริงแล้วมีไว้เพื่อการเปรียบเทียบวิชา ของคนในสำนักศักสิทธ์กับยอดฝีมือต่างถิ่น ซ้ำยังใช้เป็นที่สะสางเรื่องราวของชาวยุทธอีกด้วย กฎคือห้ามลงมือถึงชีวิตเพียงอย่างเดียว ผู้คนทั่วไปต่างสามารถเข้ามาชมดูได้
จิ้นเหอคาดเดาไว้อยู่แล้ว มีหรือพวกมันจะไม่กลุ้มรุม สองมือกวัดแกว่งไปมาในท่าย้อมฟองสมุทร เพ่งสมาธิจดจ่อความเคลื่อนไหวของคนทั้งห้า ชายคนแรกเริ่มลงมือกระบี่ถูกเงื้อมฟันลงตรงหัวไหล่ขวา จิ้นเหอเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้าย กระบี่ในมือซ้ายยกขึ้นหมุนวนปัดกระบี่ชายอีกคนที่อยู่ทางด้านขวาของชายคนแรก กระบี่ถูกปัดพ้นตัว จิ้นเหอขยับตัวเข้าประชิด มือขวากุมกระบี่แน่นปล่อยหมัดชกออกไป ก้านกระบี่พุ่งเข้ากระแทกหน้าเป้าหมายเต็มแรง ใช้เท้าขวาเป็นฐานพลิกหมุนตัวพุ่งไปจู่โจมชายคนที่สาม ที่กำลังพุ่งเข้ามา กระบี่ทั้งสองเล่มโหมกระหน่ำฟัน ตวัดปาดทิ่มแทง จนชายคนที่สามต้องก้าวถอยหลัง
จิ้นเหอไม่ยอมอยู่เป็นเป้านิ่ง ท่าเท้าถูกใช้ต่อเนื่อง อาศัยช่องว่างหลบซ้ายแทงขวา ก้าวถอยหลังพุ่งเข้าปะทะ สบโอกาสใช้กระบี่ปาดเฉือน ขาเตะไปที่ข้อต่อ ข้อเท้า ห้าคนรุมก็ยังไม่ใช่ปัญหาถ้าจิ้นเหอกล้าลงมือเด็ดขาดแต่มันไม่กล้า กระบี่ถูกใช้เพียงสร้างบาดแผลเล็กน้อย มุ่งเพียงให้หมดสภาพการต่อสู้ ชายทั้งห้าก็เช่นกันต่างก็ไม่กล้าลงมือเต็มที่ ถ้ากระบี่พลาดโดนจิ้นเหอแล้วมันเกิดเสียชีวิต คุณชายเปียวลูกพี่มันอาจมีปัญหาในการสมัครเข้าเรียน
ยามนี้ชายทั้งห้าต่างมีบาดแผลรอยเลือดให้เห็น คุณชายเปียวหน้าแดงมือกำออกแรงพัดสั่นไหว ให้รู้สึกอับอายเดือดดาลห้าคนรุมแล้วยังไม่ได้เรื่อง พัดในมือถูกพับเก็บ กระบี่ถูกชักออกมาก้าวเท้าทะยานเข้าร่วมวง
จิ้นเหอปัดกระบี่ที่พุ่งเข้ามา มือขวาปาดฟันสวนกลับ คุณชายเปียวพลิกหลบไปด้านขวา กระบี่ถูกชักกลับมาตวัดฟันแขนซ้าย จิ้นเหอพลิกแขนซ้ายหลบ คุณชายเปียวตวัดข้อมือกลายเป็นท่าแทงกระบี่ จิ้นเหอต้องดีดกายถอยหลัง คุณชายเปียวนับว่ามีฝีมืออยู่บ้างหาใช่ชนชั้นอันต่ำทราม จิ้นเหอถอยหลังออกมาสามก้าว ถีบขาขวากับพื้นส่งแรงพุ่งไปข้างหน้า สองมือฟาดฟันกระบี่ไม่ยั้งคล้ายเลขแปดอารบิค หัวโยกส่ายสะบัด (เด็มพ์ซี่ย์โรล)
จิ้นเหอมันเก็บกดกับชายเปียวเยอะ ทุกกระบี่ฟาดเปี่ยมด้วยพลังเสริมจากแรงบิดเอว และช่วงขา ฟันกระหน่ำลงไม่ยั้ง ชายเปียวถอยร่นท่าทางจะหงายหลังล้มลง สมุนต่างเห็นเช่นนั้นรีบเร่งโหมจู่โจมกันเข้ามาคิดหมายช่วยเหลือชายเปียว
จิ้นเหอต้องพลิกตัวกลับมาต้านรับกระบี่ ยอมสูญเสียโอกาสเล่นงานชายเปียว กระบี่ทั้งห้าเล่มต่างเร่งเร้าเข้าโจมตี จิ้นเหอต้านรับเต็มแรงยังหาได้เป็นลอง ชายเปียวกลับมาอีกครั้งแล้ว ใบหน้าเหยเก ควันออกหู เล็งเห็นช่องว่างทางด้านหลัง กระบี่ในมือฟันปาดเข้ากลางหลัง เลือดไหลออกมาตามคมกระบี่ จิ้นเหอชะงักการเคลื่อนไหว ลำตัวงอเมื่อโดนแข้งกระแทกใส่ตามมา ฝืนฟาดฟันกระบี่ออกรอบทิศ มือไม้เริ่มติดขัดเจ็บปวดจากบาดแผลทางด้านหลัง หมัดกระแทกเข้าใบ้หน้าอีกสามสี่หมัด ศรีษะโอนเอนไปมาตามแรงหมัดที่โดนต่อยเข้ามา จนขาโดนเตะรวบล้มลง ฝ่าเท้าหลายเท้าตามกระทืบซ้ำลงมาบนทรวงอก
“เจ้าพวกหน้าไม่มียางอาย!!...โตก็โตกว่ายังทำหมาหมู่ เยี่ยงนี้ข้าขอเล่นด้วยคน” เด็กหนุ่มแปลกหน้ากล่าวขึ้นก้าวเท้าช้าๆ ขึ้นมาบนเวที
เป็นหนุ่มน้อยในชุดแดงยาวขลิบเหลือง ผมยาวสีน้ำตาลเข้ม มัดรวบเกล้าบนศรีษะมีเครื่องประดับทรงสูงสีแดงครอบทับไว้อีกที ท่าทางจะเป็นคุณชายสูงศักดิ์
“น้องชายท่านนี้ ท่านเข้าใจผิดแล้ว พวกเราเพียงต้องการทวงกระบี่คืน แต่เจ้าบัดซบนี่ไม่ยอมคืนโดยดี ตอนนี้พวกเราเมื่อได้ของคืนแล้ว จำต้องขอตัวก่อน” ชายเปียวกล่าวให้ลูกน้องเก็บกระบี่คืน ค่อยล่าถอยจากไป
“ข้าขอบใจเจ้ามาก ที่ช่วยข้าไว้” จิ้นเหอโค้งคำนับก่อนเดินโซซัดโซเซจากไป ไม่สนใจสายตาผู้คนที่เอาแต่จ้องมองมัน
-----------------
มีคนอ่านอยู่ไหมครับ หากมีขอเสียงด้วยเม้นหน่อย หากเงียบเลิกเอามาลงดีกว่า อิอิ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ