กระทืบธรณี เหยียบนรก พลิกสวรรค์
เขียนโดย ใต้แผ่นฟ้า
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.18 น.
แก้ไขเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) ผู้พิทักษ์กระเรียนขาว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 15 ผู้พิทักษ์กระเรียนขาว
แล้วสิ่งที่ผู้เฒ่ากังวลก็เกิดขึ้น เคลวินฝีมือต้องเหนือล้ำกว่าสองสาวแน่นอน แต่จะขั้นไหน ตัวผู้เฒ่าเองอยู่ขั้นลมปราณจอมปราชญ์ ในอาณาจักนี้ถือว่าเป็นรององค์จักพรรดิ์หวงตี้เพียงคนเดียว นอกจากเคลวินแล้ว ยังมีอาราเบลล่า จาซินดา และพวกลูกสมุ่นสิบกว่าคนอีก หากทั้งหมดกลุ้มรุมเข้ามาท่าทางจะลำบาก
“หุหุ พ่อหนุ่มเราผู้ชราให้รู้สึกกระหายน้ำ จึงขอรบกวนท่านเจ้าของสถานที่” ผู้เฒ่ากล่าวถ่วงเวลา
“หวังเฉา เจ้าไปเอาน้ำมารับรองท่านผู้เฒ่า” เคลวินกล่าวจำต้องนั่งลงอีกหน
ผู้เฒ่าเดินไปกระซิปกับจิ้นเหอชวนกันมานั่งรอดื่มน้ำ หลังจากดื่มน้ำผ่านไปได้ไม่กี่อึดใจ
“ผู้เฒ่าเชิญ” เคลวินกล่าวพร้อมผายมือลุกจากเก้าอี้ เดินนำออกมาด้านนอกเทวสถาน
“รัศมีอันรุ่งโรจน์ แสงสว่างอันสูงสุด เหนือความมืดมิดทั้งมวล จงมาสถิตย์ในกายข้า” เคลวินกล่าวโองการออกมาแบบเดียวกับอาราเบลล่า
แผ่นยันต์อัญเชิญถูกหยิบออกมา วาดนิ้วเป็นรูปกากบาท มวลอากาศโดยรอบเริ่มถูกดูดเข้าไปในแผ่นยันต์ แปลสภาพเป็นหมอกควันสีขาว เมื่อยันต์สลายหายกลางอากาศ มวลอากาศที่ถูกดูดมารวม ก่อเกิดประจุพลังงานสั่นสะเทือนสีทอง เกิดระเบิดเสียงดังสนั่นเมื่อประจุพลังงานแตกกระจายออก สว่างจ้าดุจดวงอาทิตย์สีทอง เคลวิน มีออร่าเป็นสีทองสว่างไสวรัศมีแห่งแสงแผ่ขยายออกเห็นชัดเจน หลังจากเรียกใช้ยันต์อัญเชิญเสร็จพลังลมปราณของเคลวินขยับขึ้นมาขั้นจอมปราชญ์เท่ากับผู้เฒ่า เท่านั้นยังไม่พอ
“ข้าในนามของสายเลือดของ ฮีเฟสตุส (Hephaestus) เทพแห่งไฟ และการช่าง บุตรของซุสกับเฮร่า ข้าเรียกเจ้า สะเทือนฟ้า” เคลวินกล่าวโองการที่สองออกมา
ฉับพลันพอจบคำกล่าว ท้องฟ้าหมุนวนเกาะกลุ่มเป็นวงเมฆขึ้นสู่ท้องฟ้า สูงสุดสายตาลำแสงสีทองพุ่งสวนย้อนออกมาในแนวดิ่ง ประจุคลื่นไฟฟ้าแผ่แตกแยกเป็นสาย ส่งเสียงสะท้านดังเลื่อนลั่น ผืนแผ่นเมฆถูกซัดกระจัดกระจายเผยเป็นช่องโหว่ปรากฎเป็นรูปฆ้อนห่อหุ้มด้วยประกายสายฟ้า เมื่อตกถึงมือเคลวินคลื่นพลังถูกซัดออกอัดกระแทกใส่ผู้คนโดยรอบ จนต้องถอยห่างกันไปหลายสิบก้าว มีเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงยืนนิ่งมั่นคง ท่านผู้เฒ่านั่นเอง
‘ชิหายแย้ว! มันเล่นอาวุธเทพสวรรค์เลย แค่ยันต์อัญเชิญระดับลมปราณมันก็จอมปราชญ์แล้ว แบบนี้ซี้แหงแก๋’ ผู้เฒ่ากล่าวในใจ ท่านผู้เฒ่าท่านไม่มีอาวุธศักสิทธ์ เมื่อคิดได้ดังนั้นไม่มีการออมมือกันแล้ว ผู้เฒ่าท่านทำลัญจกร ฝ่ามือทั้งสองประกบนิ้วไขว้ประสานเหลือเพียงนิ้วชี้สองข้างที่ยกขึ้นมาประกบกัน
“ในนามแห่งข้า ผู้เฒ่าดำ ขออัญเชิญ กระเรียนขาว ผู้พิทักษ์แห่งข้าจงปรากฎ” เมื่อผู้เฒ่ากล่าวมนต์จบ
มวลอากาศเริ่มเคลื่อนตัวจากจุดเล็กๆ บนพื้นดิน เริ่มหมุนวนเร็วขึ้น ขยายตัวกว้างขึ้น สูงขึ้น เร็วขึ้นอีก จนเป็นพายุขนาดเล็กปกคลุมท้องฟ้า ปรากฎนกกระเรียนขนสีขาวแทรกสีแดงบนศรีษะ ใหญ่ขนาดรถสิบล้อ โผบินฝ่ากระแสลมแรง กางสยายปีกพัดคลื่นลมออกมา ผู้คนโดยรอบต่างเสียการทรงตัว จิ้นเหอปลิวไปร่วมยี่สิบก้าว กระเรียนขาวกู่คอแผดเสียงแหลมเสียดหู ก่อนร่อนลงพื้น หันกลับมาดูท่านผู้เฒ่า ปรากฎแก่ชราขึ้นอีกมากโข ผมเผ้าหนวดเครา คิ้วและนัยน์ตาล้วนขาวไปหมด
ถึงแม้ว่าเคลวินจะใช้ยันต์อัญเชิญเพิ่มพลังลมปราณขึ้นมาได้ แต่พลังนี้จะไม่เสถียรซึ่งหมายความว่าถ้าระยะเวลานานพลังจะสลายหายไป ที่น่าเป็นห่วงคืออาวุธเทพศักสิทธ์ น้อยคนนักที่จะมีไว้ในครอบครอง แต่ท่านผู้เฒ่าท่านทำพันธะสัญญากับกระเรียนขาวผู้พิทักษ์ธาตุลม เพียงแค่กล่าวอัญเชิญออกมา ความจริงคนที่จะทำพันธะสัญญาได้ต้องมีพลังลมปรานระดับจอมปราชญ์ขึ้นไป ผู้อัญเชิญกับผู้พิทักษ์จะใช้พลังของกันละกันได้ สื่อสารกันด้วยจิตวิญญาณ ผู้อัญเชิญเกิดตายผู้พิทักษ์จะย่อยสลายไป แต่จิตวิญญาณผู้พิทักษ์จะคงอยู่ เก็บสะสมพลังจิตวิญญาณเพื่อสร้างกายเนื้อขึ้นมาใหม่
ผู้เฒ่ากระโดดขึ้นหลังเจ้ากระเรียนขาว มันกางปีกรับผู้เฒ่าโดยไม่ต้องสั่ง ผู้เฒ่าท่านหมายหลบหนีแล้ว
กระเรียนขาวสยายปีกบินต่ำไปหาจิ้นเหอ
เคลวินเห็นเช่นนั้น มือกำฆ้อนแน่นหมุนควงอยู่ทางด้านหลัง เมื่อบรรจุพลังจนพอแล้วจึงออกแรงเหวี่ยงจากหัวไหล่ ฆ้อนที่บรรจุพลังสายฟ้าแหวกฝ่าอากาศพุ่งตรงดิ่งเข้าหากระเรียนขาว เสียงแหวกอากาศดังวีดหวิว คลื่นพลังทำลายล้างแผ่ขยายออกมา เจ้ากระเรียนขาวอ้าปากดูดอากาศเข้าสู่ปอดจนเต็มปอด ปล่อยคลืนกระแสลมหมุนซ้อนๆกันออกต้านทาน เมื่อพลังทั้งสองปะทะชนกันแทบไร้เสียง คลื่นพลังทั้งสองหักล้างกันพลังแผ่กระจายออกไปที่ด้านข้างอย่างสม่ำเสมอ ฆ้อนยังคงพุ่งตรงดิ่ง ทว่าเมื่อต้องเจอกับกระแสลมที่ซ้อนกันอยู่หลายชั้น ความเร็วก็เริ่มลดลง
เคลวินเมื่อเห็นดังนั้นจึงดูดรั้งฆ้อนกลับมาไว้อยู่ในมือ สีหน้าเคร่งเครียด สองตากล้าแกร่ง สูบลมหายใจเข้าปอด สองมือยกอาวุธเทพขึ้นชูเหนือศรีษะ กลุ่มเมฆด้านบนสีเทาคลึ้มลอยมารวมตัวกัน มวลอิเล็กตรอนเคลื่อนที่ส่องประกายเหลืองส้ม ประจุไฟฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงเลื่อนดังลั่นสั่นสะเทือน กระแสสายฟ้าแตกแยกหลายสายพุ่งลงมาหาฆ้อนเหนือศรีษะ มวลไฟฟ้าเคลื่อนที่ครอบคลุมร่างเอลวินส่งเสียง เปรี๊ยะๆ อากาศโดยรอบปกคลุมไปด้วยสายฟ้า ฉับพลัน!!! เอลวินขยับแขนทั้งสองข้างฟาดฆ้อนไปทางท่านผู้เฒ่า กระแสไฟฟ้าทั้งหมดที่รอบตัวไหลมารวมกันที่สะเทือนฟ้า ก่อนขยายเป็นสายฟ้าฟาดขนาดใหญ่ พุ่งเข้าหาท่านผู้เฒ่า
ผู้เฒ่ารับรู้ถึงกระแสการทำลายล้างที่กำลังจะรวมตัวกันอยู่ที่ด้านหลัง หลังจากรับจิ้นเหอหมายบินจากไป กระเรียนขาวพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับสายฟ้าที่กำลังหลั่งไหลลงสู่ฆ้อนในมือของเคลวินที่ด้านหน้า มันโก่งคอส่ายหัวพ่นลมออกมา หลังจากสูบลมเข้าไปก่อนหน้า กระแสลมเริ่มรวมตัวกันอีกครั้งแต่เป็นในแนวนอน หนึ่งวง สองวง สามวง กระแสลมถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมดสามวง กระแสลมกระโชกแรงขึ้นดูดทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างเข้ามายังจุดศูนย์กลางทั้งสามวง ดินทราย ก้อนหินใบไม้ ต้นไม้ถูกถอนรากถอนโคน ซากเทวสถานที่เป็นหินก้อนใหญ่ ทั้งหมดต่างถูกดูดเข้ามา กระแสพายุหมุนดีเปรสชั่นความรุนแรงระดับสูง เกิดขึ้นพร้อมกันสามลูกกระแสลมดุจคมมีดกรีดกรายรวดเร็วคมกริบตัดต้นไม้ก้อนหินที่ดูดเข้ามาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผู้คนด้านล่างล้วนวิ่งหลบอยู่หลังเคลวิน เพื่อความปลอดภัยจากมหาวาตภัย ผู้เฒ่าต้องส่งพลังลมปราณคุ้มครองจิ้นเหอพลังโจมตีระดับนี้มันอาจขาดใจตายทุกเมื่อ
จิ้นเหอหลั่งเหงื่อโซมกายกายพลังระดับนี้มันเกิดมาเพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก กระแสพลังกดดันมันจนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้องตั้งแต่เคลวินรวบรวมสายฟ้า ยิ่งยามนี้มาอยู่ตรงจุดก่อเกิดกระแสลมระยะประชิด หากท่านผู้เฒ่าไม่ถ่ายพลังลมปราณให้ อาจสิ้นใจตายไปแล้ว มันเบิ่งตากว้างจ้องดูสายฟ้าฟาดที่กำลังเข้าปะทะกับพายุดีเปรสชั่น
สายฟ้าแหวกตัวเข้าสู่วงพายุหมุน มวลอิเล็กตรอนของสายฟ้าแผ่ซ่านเข้าชอนไชคดเคี้ยวแทรกแซงเจาะทำลายพลังพายุหมุน ส่องแสงสีเสียงแปลบปลาบพายุลูกแรกกำลังสลายตัวลง กระเรียนขาวกางปีกกว้างมีความยาวขนาดรถบัสสี่คันนำมาต่อกัน ก่อนสร้างคลื่นพลังขึ้นมาอีกสายมันสยายปีกปล่อยคลื่นโอบพายุทั้งสองลูกที่เหลือ พายุทั้งสองลูกเริ่มขยับมาตั้งแถว แล้วสะบัดปีกผลักดันพายุลูกที่สองเข้าปะทะ ก่อนปล่อยลูกที่สามไปตามติดก่อนหันหัวโผบินจากไป
“เฮ้อ....ช่างสิ้นเปลืองพลังยิ่ง” ท่านผู้เฒ่ากล่าวปล่อยลมหายใจออกมา
“ไอ้แคระเตี้ย เล่นของหนักเชียว เผ่าพันธุ์อุบาทว์เสพสังวาสกันเองในหมู่พี่น้องถึงเกิดมาแคระเตี้ยแบบนั้น” ผู้เฒ่าท่านสบถออกมาเพื่อระบายอารมณ์
ทั้งสองกำลังอยู่บนหลังนกกระเรียนสีขาว กางปีกโผบินทะยานอยู่บนท้องฟ้า จิ้นเหอมันอยากบินได้ แต่ยามนี้มันกลับไม่สนใจหมู่มวลทิวเมฆสีขาวอิสระพลิ้วไหวล่องลอย มันเงียบนิ่งมิกล่าววาจา ตื่นตระหนกกับสิ่งที่ผ่านมา อาวุธเทพศักสิทธ์ที่มีแรงโจมตีมหาศาล กระเรียนขาวที่มีทั้งเวทโจมตีและป้องกันระดับสุดยอด สมมุติว่าถ้าตัวมันมีลมปราณเยี่ยงท่านผู้เฒ่า มีสัตว์ผู้พิทักษ์ อาวุธที่ทรงฤทธาณุภาพ มันต้องแก้แค้นให้คนที่วัดหลันยั่วซื่อได้แน่ ข้าจะต้องเก่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้น เมื่อคิดถึงทุกคนที่จากไป นั่นคือความทรงจำแรกเปรียบดั่งคนในครอบครัว ท่านอาหมิงลู่ ท่านเจ้าอาวาส ท่านอาจารย์เฉิงเจี๋ย ศิษย์พี่ทุกคน ศิษย์พี่เจิ้งป๋อคนสุดท้ายที่ได้เห็นหน้า และยังมีเหล่าชาวบ้าน ข้าจิ้นเหอจะต้องล้างแค้นให้กับพวกท่านข้าสัญญา มือสองข้างกำแนบสนิท
“เราผ่านพ้นเขตจางเจียเจี้ยมาแล้ว เราแวะเมืองฉางเต๋อแล้วกัน” ผู้เฒ่ากล่าวขึ้นมาหลังจากเจ้ากระเรียนพาบินมาได้เกือบหนึ่งชั่วยาม
“ครับท่านปู่” จิ้นเหอตอบเสียงนิ่ง ใบหน้าคล้ายมีสิ่งใดในใจ
กระเรียนขาวร่อนลงบนพื้นห่างจากตัวเมืองไม่มากนัก กระเรียนขาวได้สลายหายไปแล้ว ตอนนี้ท่านผู้เฒ่าจึงคืนกลับร่างเดิม จิ้นเหอกับผู้เฒ่าต้องเดินเท้าสืบต่อ ผ่านเมืองนี้ก็จะถึงเมืองอันหยางที่ตั้งของสำนักศักสิทธ์ จิ้นเหอยังคงไม่พูดไม่จา
“เจ้าเป็นอะไรหน้าหมาหงอยอีกแล้ว” ผู้เฒ่ากล่าวถาม หลังจากสังเกตุเห็นมานานละ
“ท่านปู่ข้าขอถามท่านหน่อย ท่านอยู่ระดับขั้นลมปราณไหนครับ?” จิ้นเหอกล่าวระหว่างเดิน
“หุหุ ข้าขั้นจอมปราชญ์ เจ้าถามทำไม?”
“เห้อ....” จิ้นเหอทอดถอนใจออกมา
“เจ้าถอนใจทำไม บอกข้าเดี๋ยวเลย” ผู้เฒ่าท่านกล่าวข่มขู่
“คือ...ข้ากำลังคิดท่านปู่ปราณจอมปราชญ์ ยังอายุขนาดนี้ แล้วอย่างข้ากว่าจะถึงระดับลมปราณเท่าท่าน คงมิต้องแก่ชราถึงได้แก้แค้น จะไม่ให้ข้าถอนใจได้อย่างไร” จิ้นเหอกล่าว
“ฮ่าฮ่า ข้าน่ะสำเร็จปราณจอมปราชญ์ตั้งแต่อายุสามสิบนู่น แต่ข้าไม่อาจข้ามขั้นไปจักรพรรดิตะหากละ”
“จริงหรือท่านปู่ แบบนี้ค่อยมีหวังหน่อย” จิ้นเหอเริ่มมีรอยยิ้ม
“ท่านปู่ไปได้กระเรียนขาวมาจากไหนหรือครับ ข้าอยากได้บ้าง”
“ข้าได้มันมาจากเขาหัวซาน ตอนนั้นลมปราณข้าอยู่ขั้นปฐพี ท่องเที่ยวไปทั่วเห็นภูเขาสูงดี เลยคิดอยากไปยืนบนยอดเขาดู พอเริ่มขึ้นไปรู้สึกถึงคลื่นพลังธาตุ ด้านบนสุดข้าเจอต้นไม้ที่กลายเป็นหิน ด้านบนพบรังนกมันมีหินที่กลมคล้ายไข่ ก้อนเท่ากำปั้นมือธาตุพลังอ่อนๆ ถูกปล่อยออกมา เห็นมันแปลกดีจึงนำมันมาด้วย ข้าเก็บมันไว้หลายสิบปี เหมือนมันฝึกพลังไปพร้อมกับข้า จนข้าถึงระดับจอมปราชญ์ มันจึงแตกออกมาจากไข่เป็นตัว จนมันโตขึ้นอย่างที่เจ้าเห็น” ผู้เฒ่ากล่าวเล่าออกมา
“ท่านปู่จิ้นเหออยากเรียนพลังลมปราณ กับวิชาตัวเบา ท่านปู่สอนข้าหน่อยนะ” จิ้นเหอกล่าวอ้อนวอน
“ฮ่าฮ่า พูดกับข้าซะไพเราะเสนาะหูเชียวฮ่าฮ่า” ผู้เฒ่าหัวเราะขำ
“ ก็ท่านปู่ออกจะเก่งอิทธิฤทธิ์ก็มากเหลือคณานับ ช่วยสอนจิ้นเหอหน่อยนะครับ”
“ฮ่าฮ่า ข้าบอกเจ้าตามตรงนะจิ้นเหอ วิชาตัวเบามันก็แค่เจ้าควบคุมลมปราณได้ ท่าเท้าวิชาตัวเบาอะไรนั่นมันไร้สาระ เท้าขยับสี่ทิศแปดทางเจ้าก็พอแล้ว แค่เปลี่ยนการเคลื่อนไหวให้น้อยลง ไว้เจ้ามีลมปราณเจ้าค่อยคิดท่าที่เท่ จะเหาะจะเหิน จะยืนลอยตัวท่าไหนดี แต่ข้ามีเคล็ดลับส่วนตัวอยู่” ผู้เฒ่ากล่าวจบเงียบไปยาว
“ท่านปู่! ทำไมท่านไม่กล่าวต่อข้ารอฟังอยู่?” จิ้นเหอกล่าวหลังจากรอนานแล้ว
“หึหึ ข้านึกว่าเจ้ายังไม่พร้อมรับฟัง คืออย่างงงี้ ปล่อยออกเหนี่ยวรั้ง ถอนกลับปล่อยวาง ปลุกเร้าผลักดัน ฮ่าฮ่า” ผู้เฒ่ากล่าวหัวร่อ
“ท่านปู่ บอกแบบนั้นข้าไม่เข้าใจหรอกครับ”
“อืม ปล่อยออกเหนี่ยวรั้ง คือเจ้าปล่อยพลังลมปราณออกมาแล้วผนึกไว้ที่เท้า ใช้เท้าเป็นตัวค่อยผลักดันออกมาค่อยเหินฟ้า ถ้าเจ้าเปิดจุดลมปราณทุกจุดแล้วเจ้าจะส่ามารถควบคุมทุกส่วนของร่างกาย ถ้ามาที่มือผนึกรั้งไว้รับการโจมตีก็ได้ แบบฮาคิเกราะไง”
“ถอนกลับปล่อยว่าง คือแบบที่ข้าทำอยู่ ไม่ให้ใครรับรู้ถึงกระแสลมปราณปล่อยวางว่างเปล่า”
“ปลุกเร้าผลักดัน คือเร่งรวบรวมพลังลมปราณทั่วร่างสมมุติส่งพลังมาที่ฝ่ามือแบบนี้ผลักดันออกไป ตู้ม!!!” ผู้เฒ่าท่านซัดพลังฝ่ามือใส่ต้นไม้จนโค่นหักไป
“แล้วนี่อีกวิธี เร่งพลังทั่วร่างมาที่จักระที่หก ตาที่สามตรงหน้าผาก แล้วปล่อยกดดันใส่เป้าหมายแบบนี้” ผู้เฒ่าท่านกำลังปล่อยจิตสังหารใส่จิ้นเหอ
“ข้าพอเข้าใจแล้วท่านปู่ ขอบคุณท่านมาก” จินเหอตอบหลังจากท่านผู้เฒ่าถอนจิตสังหารออกไป
“ส่วนวิชาลมปราณข้าคงสอนให้เจ้าไม่ได้ ข้าดูโครงสร้างเจ้าไม่ออก ในตัวเจ้ามีอะไรที่ข้าไม่สามารถรับรู้ได้” ท่านผู้กล่าวพลางใช้สมองครุ่นคิด
“เราไปใช้เงินกันดีกว่า” ผู้เฒ่ากล่าวเมื่อทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตูเมือง
ในเมืองย่านการค้า ภายในโรงเตี๊ยมขนาดกลาง
“เจ้าอยากกินอะไร?” ผู้เฒ่าถามขึ้น
“ข้าคิดไม่ออกตามใจท่านปู่ดีกว่า”
“เจ้าทั้งสองเข้ามาทำไม ที่นี่ไม่รับขอทาน” เสี่ยวเอ้อกล่าวหลังจากมองสำรวจส่วนบนยันส่วนล่างแล้ว
“หน่อย! หลีกไป เดี๋ยวตบปากแตกเลย” ผู้เฒ่าท่านกล่าวหลังจากสะบัดมือไล่เสี้ยวเอ้อออกพ้นทาง
“ฮ่าฮ่า โดนดูถูกอีกแล้วท่านปู่” เป็นจิ้นเหอหัวเราะออกมา
“ชิ! ช่างน่าโมโห เจ้ามานี่ข้าจะสั่งอาหาร แล้วหาห้องพักให้ข้าสองห้องด้วย” ผู้เฒ่ากล่าวพร้อมทั้งเอาถุงเงินตบลงบนโต๊ะ
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ผู้เฒ่าท่านโปรดให้อภัยข้าด้วย ทานอะไรดีคับนายท่านกับคุณชาย ที่นี่เมืองฉางเต๋อในมณฑลหูหนาน ขึ้นชื่อเรื่องอาหารรสจัด เผ็ดร้อน ใครผ่านมาต้องแวะทาน โดยเฉพาะร้านเราเปิดดำเนินการมาห้าสิบปี ห้าสิบเชียวนะนายท่าน พ่อครัวเราล้วนแล้วแต่คัดสรรมาจากทั่วประเทศ รับล...”
“ปั้ง!!! เจ้ารีบไปจัด ไก่ผัดตงอัน เต้าหู้เหม็นฉางชา เนื้อส้ม เป็ดกรอบ และก็สุราที่ดีที่สุดในร้านเจ้า” ผู้เฒ่ากล่าวหลังจากตบโต๊ะเสียงดัง เพราะรำคาญเสี่ยวเอ้อพูดไม่จบ
“ขอรับนายท่าน ข้าน้อยจะรีบนำมาส่ง” เสี่ยวเอ้อกล่าวคำนับก่อนรีบจากไป
“จิ้นเหอเดี๋ยวกินเสร็จเราไปหาดูชุดใหม่กัน”
“ท่านปู่ ข้าคิดว่าถึงเมืองหน้าค่อยเปลี่ยนดีกว่า ข้ากลัวมันจะเปื้อนอีก”
“ได้ตามใจเจ้า หลังกินเสร็จเจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ เดินทางมานานเจ้าคงเหนื่อยล้า ข้าว่าจะไปหาชุดใหม่เปลี่ยนซักหน่อย หุหุ เจ้าไม่เป็นห่วง ข้าไปคนเดียวได้ เดียวข้ากลับมาเองฮ่าฮ่า” ท่านผู้เฒ่ากล่าวตาเป็นประกาย ครุ่นคิดจะไปหาความสำราญที่ไหนดี
“ครับท่านปู่ ถนอมสุขภาพด้วยนะครับ ข้าไม่เป็นห่วงท่านหรอก”
“ฮ่าฮ่า” ท่านผู้เฒ่าหัวร่ออารมณ์ดี
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ