กระทืบธรณี เหยียบนรก พลิกสวรรค์
เขียนโดย ใต้แผ่นฟ้า
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.18 น.
แก้ไขเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) สายเลือดผสมเทพสวรรค์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 14 สายเลือดผสมเทพสวรรค์
เสียงสอดแสงสีสะเทือนลั่น ...
ฟ้ามืดมนเมฆหมอกพรางตา...
ละอองน้ำฟ้าโปรยพร่ำลงมา...
น้ำตกหยดกระจายบรรจบดิน...
มวลอากาศครั่นคร้ามสั่นไหว...
ร่างสั่นกายสะท้านหนาวเหน็บ...
สุมฟืนก่อไฟเพื่อบรรเทา...
เปลวเพลิงปิ้งย่างกบอร่อยดี...
ยามนี้ฝนยังคงพรั่งพรูไม่ขาดสายหนองน้ำแฉะฉ่ำเจิ่งนอง พื้นดินเปียกชุ่มโชกกบเขียดโดดเริงร่า สัตว์มีพิษโผล่ออกมาให้เห็น ตะขามวิ่งหนีน้ำ งูใหญ่ไล่จับกบ ผ่านมาสองวันยังตกไม่สร่างซา ตอนนี้จิ้นเหอกับท่านผู้เฒ่ากำลังนั่งกินกบย่าง หลบฝนอยู่ในโพรงถ้ำขนาดเล็กมืดและอับชื้น
ก่อนหน้านี้จิ้นเหอเพิ่งได้ลองวิชาใหม่กับสัตว์อสูรหมีหมา มันมีขนสีน้ำตาลปนดำ ใบหน้าคล้ายสุนัขลำตัวอวบอ้วน กรงเล็บช่วงขาเหมือนหมี ตัวใหญ่ขนาดสุนัขธิเบต ผู้เฒ่าไม่อยากเปียกฝนคิดแย่งถิ่นที่อาศัยมัน จิ้นเหอใจจริงไม่คิดอยากฆ่ามัน หมายแค่ขับไล่มันไป
เจ้าหมีร้ายขู่คำรามเมื่อเห็นคนแปลกหน้า บุกรุกเข้ามาสู่อาณาเขตที่อยู่มัน มันวิ่งสี่เท้ากระโจนเข้าโจมตี ปากอ้ากว้างเผยคมเขี้ยวแหลมคม เท้าหน้าทั้งสองกางกรงเล็บเข้าตะปบ จิ้นเหอเสียบกระบี่ในมือซ้ายสวนออกไป เจ้าอสูรร้ายใช้เท้าหน้าขวาปัดออก เท้าซ้ายยังคงพุ่งมา จิ้นเหอเบี่ยงตัวไปด้านขวาอ้อมหลบเท้าซ้ายเจ้าอสูร ใช้มือขวาตวัดปลายกระบี่ปาดเฉือนไปที่ข้างลำตัว สร้างบาดแผลให้แก่มัน อสูรหมีหมาพุ่งถลำเลยไปอีกหลายก้าว มันพลิกกับมาจ้องมองจิ้นเหอคำรามเสียงดังสนั่น เนื่องจากมันตัวอ้วนมีขนปกคลุมไว้หนา กระบี่แรกจึงยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร
จิ้นเหอเริ่มขยับขาก้าวเท้าออกข้างไปด้านซ้าย เจ้าหมีขยับไปทางซ้ายตาม พลัน!..อสูรหมีหมาพุ่งเข้ามา มันย่อตัวเท้าทั้งสี่ถีบพื้นเพิ่มแรงส่ง เพียงอึดใจมันกระโจนถึงตรงหน้า ในช่วงฉุกละหุกจิ้นเหอหมุนกระบี่เป็นวงกลมสะบัดข้อมือไปที่ขาหน้ามันอาศัยแรงปะทะของกระบี่ดีดกายไปทางซ้าย กระบี่ในมือซ้ายแทงสวนไปที่ลำตัวหมีอสูรเลือดไหลออกมาตามกระบี่ที่ถอนกลับ ถ้าเป็นกระบี่มือเดียวมันคงโจมตีสวนกลับลำบาก ท่าวงกลมของกระบี่กับการสะบัดข้อมือ ทำให้สามารถรับและสวนกลับได้เร็วขึ้น ทั้งยังไม่เปลืองแรง
“เจ้าโจมตีมันให้ข้าดูหน่อย” เป็นผู้เฒ่านั่งสั่งการ
จิ้นเหอไม่ได้ตอบคำผู้เฒ่าจิตสมาธิมันอยู่ที่เจ้าหมีหมา ถ้าพลาดอาจถึงตายได้เหมือนกัน คมเขี้ยวกับกรงเล็บมันช่างน่าหวาดเสียวยิ่งนัก จิ้นเหอหมุนควงกระบี่ท่าคลุมไตรภพ มันคิดว่าท่านี้โจมตีได้ดีกว่า รุนแรงกว่าท่าหมุ่นวงกลมของกระบี่
จิ้นเหอเป็นฝ่ายพุ่งเข้าหาก่อนบ้าง มันวาดปาดกระบี่ขวาเฉือนเข้าใส่หน้าหมีอสูรในแนวนอน หมีอสูรยืนยกสองขาหลกระบี่แรก มือซ้ายตะปบลงที่หัวไหล่ จิ้นเหอเบี่ยงหลบไปด้านซ้าย กระบี่ในมือซ้ายฟันออกมาในแนวสี่สิบห้าองศา อสูรหมีหมายื่นขาอีกข้างหมายปัดกระบี่นี้ จิ้นเหอเห็นเช่นนั้นจึงสบัดข้อมือเพิ่มความเร็ว ฉับ! ..ปลายนิ้วอสูรหมีหมาหลุดออกมา จิ้นเหอยังคงขยับเท้าไปทางซ้าย เพื่อหลบขาข้างขวาที่ยังคงพุ่งมา กระบี่ในมือขวาถูกรั้งไปด้านหลังก่อนแทงพุ่งออกมาสุดกำลัง ไปที่เบ้าตาอสูรหมีหมา เลือดพุ่งตามออกมาเมื่อจิ้นเหอถอนกระบี่ถอยฉากออกมา ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงช่วงไม่กี่กระพริบตา
สัตว์อสูรหมีหมา มันเสียการมองเห็นมันกู่คอคำรามก้อง ตาที่เหลือเพียงข้างเดียวแดงก่ำ มันเข้าสู่โหมดบ้าคลั่ง พุ่งตะปบ ข่วน เกี่ยว กระชาก กัด ไม่สนว่าตัวเองจะได้แผลเพิ่มอีกซักแค่ไหน จิ้นเหอพลาดโดนพุ่งใส่ตรงๆ หลบปากที่อ้ากว้าง จึงโดนกรงเล็บข่วนเฉือนหน้าอกไป เลือดไหลออกมาตามแนวกรงเล็บ ทั้งสองประมือกันอยู่อีกหลายกระบวนท่า จนมาจบที่เจ้าหมีหมายืนสองขาเข้าแลกหมัด จิ้นเหอยกกระบี่ขึ้นบล็อกกากบาทด้านรับไว้ หมีอสูรเหวี่ยงหัวก้มหน้ามาหมายขย้ำหัว จิ้นเหอพลิกตัวพร้อมหัวไหล่ อาศัยช่องว่างตอนพลิกตัว มือซ้ายคล้ายคันธนู มือขวาเป็นศรลูกธนูแทงสวนสุดกำลังเข้าลำคอหมีอสูร ในท่าพระรามแผลงศร ร่างหมีอสูรสั่นกระตุกชั่วครู่ก่อนล้มลงแน่นิ่งไป
เช้าวันที่สามฝนเพิ่งหยุดตก จิ้นเหอจ้องมองท่านผู้เฒ่ากำลังนั่งจีบนิ้วนับทำท่าทางครุ่นคิดคำนวน
“หุ หุ วันนี้ท้องฟ้าสลัวมีเมฆมากบดบังดวงอาทิตย์ ละอองหมอกปกคลุมทัศนะวิสัย สายลมกระโชกแรงถึงแรงจัด อากาศเย็นถึงหนาวจัด มีน้ำค้างปกคลุมบนยอดหญ้า พื้นดินเฉอะแฉะ มีน้ำขังเจิ่งนองบางพื้นที่ คนตัวเล็กควรงดออกจากถ้ำฮ่าฮ่า เจ้าเชื่อไหมว่าข้าพยากรณ์ถูก หุหุ เจ้าลองเดินออกไปดู” ท่านผู้เฒ่ากล่าวร่ายซะยาว
“ไม่ต้องเดินออกไปหรอกท่านปู่ ยืนตรงนี้ก็เห็นแล้วเทพพยากรณ์ท่านทำนายได้อย่างกับตาเห็นยิ่งนัก ข้าน้อยนับถือๆ” จิ้นเหอกล่าวหยอกล้อท่านผู้เฒ่า
“เจ้ากล่าวเหลวไหล ข้านับนิ้วพยากรณ์คำนวนผลออกมาจริง” ผู้เฒ่ากล้าวสีหน้าจริงจัง
“ข้ามีตาแต่ไร้แวว ไม่ทราบว่าท่านปู่เป็นถึงเทพพยากรณ์ ช่างสมควรตายจริงๆ ขอท่านเทพพยากรณ์โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” จิ้นเหอกล่าวพร้อม ก้มลงคลุกเข่า
“ฮ่าฮ่าเจ้าลุกขึ้นเถอะ เราผู้เฒ่าไม่ถือสาหาความ เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างเจ้า ฮ่าฮ่า” ท่านผู้เฒ่าหัวเราะร่าเริง
“ท่านเทพพยากรณ์ เมืองหน้าเราตั้งโต๊ะเสี่ยงทำนายดูดวง หาเงินท่านว่าดีไหมท่านเทพ” จิ้นเหอยังคิดหยอกผู้เฒ่าต่อ
“ไม่ได้!.. มิติสวรรค์ห้ามเปิดเผย หุ หุ ยามเมื่อข้าใช้วิชาพยากรณ์อายุข้าจะสั้นลงปลายปี เราผู้เฒ่าจึงไม่สามารถเสี่ยงทายได้อีก ฮ่า ฮ่าเจ้าคงเข้าใจแล้วนะ ออกเดินทางกันเถอะ” กล่าวจบท่านผู้เฒ่ากางร่ม มือจับลูบเคราเดินมาดนักปราชญ์ออกไป
“ครับท่านเทพ ข้าเข้าใจท่านดีมากมากเลยครับ” จิ้นเหอกล่าวพลางก้าวเท้าเดินตาม
หลังออกจากถ้ำเดินทาง ดูผู้เฒ่าท่านไม่ค่อยพอใจนักกับสภาพดินฟ้าอากาศ เดินมาสองชั่วยามไม่มีทีท่าว่าฟ้าจะเปิดออก คล้ายอยู่ในโลกเร้นลับมีเพียงเมฆหมอกปกคลุม พื้นเจิ่งนองมีน้ำขังเฉอะแฉะ ละอองน้ำเกาะกุมจนเสื้อผ้าเปียกอับชื้น หมอกลงหนาทำให้มองเห็นเพียงระยะไม่ไกลมากนัก บริเวณนี้เป็นภูเขาหินทราย แทงยอดขึ้นฟ้ากว่าหลายพันยอด แท่งหินโผล่เหนือพื้นดิน รูปร่างประหลาดมากมาย หลุมลึกหน้าผาสูง มีแหล่งน้ำตกธรรมชาติ ถ้ำ ธารน้ำหลายสาย ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ยามฝนตกหมอกจึงปรากฎขึ้นหนาตา
ทั้งสองคิดจะหาสถานที่หลบเลี่ยงการเดินทางที่แสนจะอันตราย รอท้องฟ้าเปิดมีแสงอาทิตย์ส่องไล่ความชื้นค่อยเดินทางต่อ ยิ่งเดินสายตายิ่งเลือนลาง
“โธ่เว่ย!..เฮ้ย ข้าชักทนไม่ไหวแล้ว รู้ทั้งรู้ไม่น่ามาทางนี้เลย” ผู้เฒ่าท่านร้องโวยวายออกมา
“มีเส้นทางอื่นอีกหรือท่านปู่?” จิ้นเหอถามระหว่างก้าวเท้าเดิน
“มี หนทางสะดวกแต่มันอ้อม ทุกคราวข้าก็มาทางนี้ฝนห่าเหวตกมาได้” ผู้เฒ่ายังคงบ่นออกมา
“ออครับ เดี๋ยวฟ้าคงเปิด ท่านปู่อย่าอารมณ์เสียนักเลย”
“ไอ้หนูระวังที่ขาเจ้า” ท่านปู่ร้องเตือนจ้องไปที่พื้นตรงหน้าจิ้นเหอ
มันเป็นงูพิษร้าย นอนขดตัวอยู่มันคงออกมาหาอาหารแล้วเกิดหนาวจึงขดตัวอยู่แบบนั้น ระหว่างการเดินทางสัตว์มีพิษเผยโฉมออกมาให้เห็นตลอด เส้นทางนี้ปกติไม่มีคนใช้สัญจรผ่าน แต่ผู้เฒ่ากับพามันเดินทางเข้ามา
“ท่านปู่ข้างหน้านั่น ใช่แสงคบไฟหรือไม่?” จิ้นเหอชี้นิ้วออกไปก่อนกล่าว
“เจ้าหยุดเคลื่อนไหวก่อน” เป็นผู้เฒ่ากล่าวหลังจากจ้องมองดีแล้ว
เบื้องหน้าชายฉกรรจ์สองคนถือคบเพลิง ในชุดชาวเขาปกติธรรมดา สถานที่รกร้างไร้ผู้คนเช่นนี้ กับมีคนมายืนเฝ้าดูแลความเรียบร้อยเพื่ออะไรซักอย่าง ผู้เฒ่ากับจิ้นเหอ หลบซ่อนตัวแอบเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ หวังจะได้ยินคำสนทนา แต่ทว่าชายสองคนนั้นกับไม่พูดจากันเลย
“อา โย โหยว... ที่นี่คือที่ไหนหรือท่าน?” เป็นผู้เฒ่าท่านส่งเสียงก้าวเดินเข้าไปหาชายฉกรรจ์ทั้งสอง
“ปี๊ด!!!” เสียงเป่านกหวีดดังขึ้นมาสั้นๆแค่ครั้งเดียว หลังจากที่ชายฉกรรจ์ทั้งสองรวบรวมสติได้ อาวุธถูกยกขึ้นมายืนประกบขวางทางผู้เฒ่าไว้ เสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้งจากที่ห่างไกลคล้ายตอบรับหลังเสียงนกหวีดแรกหยุดลงแค่ไม่กี่อึดใจ มีชายฉกรรจ์ออกมาสมทบอีกนับสิบคน ชายผู้มาใหม่รูปร่างสูงใหญ่ แต่งตัวในชุดชาวเขาเสื้อตัวเล็กคับแคบ มีกล้ามเนื้อเป็นมัดดันนูนลอยเด่นออกมา ในมือกำด้ามขวานใหญ่วางอยู่บนบ่าข้างขวา ยืนจ้องสำรวจจิ้นเหอกับท่านผู้เฒ่า
“เราผู้ชรากับหลานชายเพียงหลงทางผ่านมา เห็นพวกท่านทั้งหลายจึงคิดเรียนถามเส้นทาง” ผู้เฒ่ากล่าวขณะอยู่กลางวงล้อม
“คุมตัวพวกมันไปให้คุณชาย” ชายที่ถือขวานกล่าวขึ้นกับเหล่าลูกน้อง หาได้สนใจคำของผู้เฒ่า
จิ้นเหอ กับผู้เฒ่าต่างถูกรวมข้อมือทั้งสองข้างไว้ด้วยเชือกปอ ระหว่างถูกคุมตัวมาด้านใน เบื่องหน้าเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนสี่เหลี่ยมถูกนำมาวางซ้อนกันสูงคล้ายขั้นบันได รากของต้นไม้ชอนไชเลี้ยวคดเคี้ยวเข้าไปในช่องหิน หินแต่ละก้อนเขียวคล้ำด้วยคราบตะไคร่น้ำ ชายฉกรรจ์นำทั้งสองเดินผ่านซุ้มประตูเข้ามาในห้องชั้นแรก ด้านในเป็นทางเดินแคบ ข้างกำแพงหินเจาะเป็นช่องกว้าง คล้ายหน้าต่างแต่มีขาดใหญ่กว่ากันมาก กระถางคบไฟถูกจุดขึ้นตั้งไว้ตลอดทางเดิน
แว่วเสียงบรรเลงดนตรีดังแผ่วมา ภายในห้องโถงกลางขนาดใหญ่ มีชายหนุ่มหนึ่งคนกับหญิงสาวอีกสองคน หญิงสาวผมสีทองพลิ้วไสว มีผ้าสีเหลืองสดมัดไขว้ไว้เพียงช่วงอก แผ่นหลังเปิดกว้าง สะโพกที่กลมกลึงมีผ้าผืนสั้นปิดอยู่ เผยเห็นโคนขาขาวเนียนยามหญิงสาวส่ายสะโพกร่ายรำ
หญิงสาวอีกคนเธอมีผมสีบอร์นเงินเงาวาววับ หูยาวชูขึ้นสูงแตกต่างจากคนภาคกลาง ดวงตาแฝงความเศร้าสีฟ้าใส จมูกโด่งเชิด ที่คอมีสร้อยอัญมณีสีฟ้าชิ้นโตห้อยอยู่ เธอใส่ชุดกระโปรงสั้นสีฟ้า สายสองเส้นพาดผ่านไหล่สองข้าง ผิวสีขาวออกม่วงเผือก เธอมีสัดส่วนที่สมบูรไร้ที่ติ นิ้วมือเรียวสะบัดดีดสายพิณไลร์ (lyre) หญิงสาวชุดเหลืองร่ายรำตามทำนองเพลงที่เธอบรรเลง ช่วงเอวถูกกอดรวบไว้ด้วยแขนของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเธอ
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านในสุดบนเตียงนอน มีผมสีน้ำตาลทอง มีเครื่องประดับทำจากทอง ส่องประกายเหลืองอร่ามคาดอยู่บนหน้าผาก ผิวบนใบหน้ามีรอยย่นขึ้นสิวฝ้าในรูปหน้าเหลี่ยม ลำคอสั้นช่วงไหล่ใหญ่ กล้ามเนื้อบึกบึน ช่วงบนไร้เสื้อผ้ามีสร้อยทองเส้นใหญ่พร้อมจี้อัญมณีชิ้นงามคล้องคออยู่ ช่างล่อหูล่อตายิ่งนักรูปร่างสั้นเตี้ยแบบคนแคระ กำลังคว้ามือไปรวบเอวสาวชุดเหลืองที่กำลังร่ายรำอยู่
“เรียนคุณชาย ขอโทษที่มารบกวน เราจับผู้บุกรุกได้สองคน” ชายฉกรรจ์กล่าว
“เอาพวกมันไปขังไว้ก่อน” ชายที่เป็นคุณชายกล่าวมิยอมเหลือบตามอง โบกมือไล่ให้รีบออกไป
จิ้นเหอกับผู้เฒ่าถูกพาออกมาอีกทางหนึ่ง เป็นเทวาลัยที่มีขนาดเล็กกว่าสภาพทรุดโทรมคล้ายจะมีอายุผ่านมาแล้วเป็นพันปี ในห้องศิลาเล็กๆ มีเพียงจิ้นเหอกับท่านผู้เฒ่า
“หน่อย!.. ไอ้อัปลักษณ์คิดจะกินห่านฟ้า จะกินทีเดียวตั้งสองตัวชิชะ มันน่านักจะให้ข้าอยู่ดูด้วยก่อนก็ไม่ได้ แขกอุตส่าห์มาเยี่ยมเยียน คนอะไรแล้งน้ำใจสิ้นดี ฮึ “ ผู้เฒ่าท่านพ่นลมออกจมูกชี้มือชี้ไม้บ่น
“ออ... ท่านปู่อิจฉาคุณชายคนนั้นละซิ ใช่ไหม?” จิ้นเหอแกล้งถาม
“ข้าไม่อิจฉามันหรอก ข้าหล่อกว่าตั้งเยอะ ฮ่าฮ่า ใช่ไหมจิ้นเหอ” ท่านผู้เฒ่ากล่าวหัวเราะร่วน
“พวกนั้นเป็นใครท่านปู่พอทราบไหม ลักษณะแบบนั้นข้าเพิ่งเคยเห็น?”
“ผู้ชายน่าจะเป็นแคระ หญิงสาวน่าจะเป็นพวกเอลฟ์ มาจากทางตะวันตก แต่มันเป็นคนแคระทำไมลูกน้องมันเป็นคนภาคกลาง ช่างน่าสนใจ” ผู้เฒ่าทำท่าทางครุ่นคิด
“เหมือนพวกมันเพิ่งผ่านมาเหมือนกัน ข้าไม่เห็นข้าวของเครื่องใช้เลยท่านปู่” จิ้นเหอกล่าว
“หุ หุ มันคงมาหลบฝน เหมือนเรามั้ง” ผู้เฒ่ากล่าว
“เรามาหลบฝนหรือท่านปู่ ข้านึกว่าเราโดนมันจับซะอีก”
“เหลวไหล อย่างพวกมันหรือจะจับข้าได้ ข้าเดินเข้ามาหลบฝนเองตะหาก หุหุ” ผู้เฒ่ากล่าวต่อ
“ข้าหมายจะหลบฝนน่ะใช่ อีกอย่างข้าอยากรู้ด้วยว่ามันเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ ดูแล้วมันไม่ได้จับใครมาขังไว้ มันคงแค่ผ่านมาแบบที่เจ้าว่า” ผู้เฒ่ากล่าว
วันรุ่งขึ้น ชายฉกรรจ์มานำตัวจิ้นเหอกับท่านผู้เฒ่าไปพบคุณชาย ภายในห้องโถงคุณชายนั่งอยู่บนเก้าอี้ศิลาตัวยาว สองมือโอบกอดสาวสวยทั้งซ้ายและขวา ทั้งสามต่างหันมาส่งยิ้มให้ผู้มาใหม่
“เชิญพวกท่านนั่งลงก่อน ข้าเคลวิน นี่อาราเบลล่า และนั่น จาซินดา” เคลวินกล่าวเชื้อเชิญให้นั่งลง
“เรียกข้าท่านปู่ก็ได้ หึหึ นั่นหลานชายข้ามันชื่อจิ้นเหอ” ผู้เฒ่ากล่าวยิ้มแย้มดุจญาติ หมายหลอกให้เรียกตนเองเป็นท่านปู่
“ฮ่าฮ่า ท่านผู้เฒ่าท่านช่างอารมณ์ขัน ไม่ทราบว่าพวกท่านนับถือเทพองค์ใดกัน” เคลวินและหญิงสาวทั้งสองต่างจ้องมาที่ผู้เฒ่าเขม็ง
“หุหุ ข้านับถือเทพ ทรูมันนี่ ใครนับถือเทพองค์นี้เทพสุดๆ แล้วเจ้าแหละนับถือเทพองค์ไหน?” ผู้เฒ่ายังคงกล่าวยิ้มแย้ม ตาจ้องมองสองสาว ซึ่งชมดูแล้วน่าเบิกบานใจกว่าคนแคระเตี้ย
“ข้านับถือเทพองค์เก่า มีเพียงพวกท่านที่ข้าจะนับถือ ว่าแต่เทพทรูข้าเพิ่งเคยได้ยินชื่อ ท่านผู้เฒ่าช่วยอธิบายที?” เคลวินยังกล่าวด้วยความสุภาพ
“ฮ่าฮ่า ข้าไม่บอกเจ้าหรอกเจ้ามาจากตะวันตกหรือ เจ้าอย่าอ้อมค้อมเลยเจ้ามาทำอะไรกันแน่ที่อาณาจักรนี้?” ผู้เฒ่ากล่าวยียวนกวนประสาท
“เจ้าแก่!!! มันจะมากไปแล้วนะ คุณชายข้าอุตส่าห์ให้เกียรติพวกเจ้า” เป็นลูกน้องถือขวานใหญ่ ตวาดขึ้นมา
“ถุย!!! ให้เกียรติพวกข้าหรือ จับพวกข้าไปขังนี่เรียกว่าให้เกียรติหรือ” ผู้เฒ่ากล่าวเสียงดังบ้าง
“คุณชายพวกข้าขอนะ เจ้าหนูนั่นวิญญาณน่าจะอร่อย” อาราเบลล่ากล่าวเผยยิ้มเลียนิมฝีปากจ้องมองไปที่จิ้นเหอ
อาวุธลับถูกซัดพุ่งออกมา ทั้งสองฝ่ายนั่งห่างกันเพียงไม่กี่ช่วงแขน มีโต๊ะหินขวางกันอยู่ระหว่างกลาง เป็นระยะที่ใกล้กันมาก เงาสีจางสองจุดพุ่งมาด้วยความเร็ว ผู้เฒ่าท่านดีดนิ้วใส่กลางอากาศสามนิ้ว ก่อนเหินตัวไปคว้าหลัวไม้ไผ่กับกระบี่ที่อยู่บนโต๊ะที่ตั้งติดผนังห้องอีกด้าน เกิดขุดพลังฝ่ามวลอากาศเข้าปะทะอาวุธลับทั้งสองเปลี่ยนทิศทางไป อีกหนึ่งขุมพลังตรงเข้าหาอาราเบลล่า
จาซินดาตวัดนิ้วดีดพิณไลร์เกิดคลื่นเสียงเข้าปะทะแทนอาราเบลล่า จิ้นเหอรับกระบี่จากผู้เฒ่า เบื้องหน้าจิ้นเหอชายถือขวานยืนจังก้าขวางทางอยู่ ผู้เฒ่ารับมือกับสองสาว ซักพักลูกน้องด้านนอกวิ่งเข้ามาสมทบเพิ่ม ลูกน้องทั้งหมดต่างจ้องไปที่คุณชายเคลวินเพื่อรอคำสั่ง เคลวินเพียงหันเหลียวมองเพียงแวบเดียวไม่กล่าวอะไร หันกลับไปชมดูการต่อสู้ของผู้เฒ่ากับสองสาวต่อ
อาราเบลล่า ใช้มีดสั้นเป็นอาวุธ พุ่งแทง ฟาดฟัน ท่านผู้เฒ่าล้วนปัดป้องได้ จาซินดาดีดคลื่นพลังพิณคอยหนุนเสริม ผู้เฒ่าสบจังหวะใช้พลังฝ่ามือแหวกช่องว่างสัมผัสเข้ากลางหน้าอก ท่านผู้เฒ่าพาตัวเองเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างสองสาวท่านคงรำคาญคลื่นพิณของจาซินดาที่คอยดีดส่งพลังมาจากระยะไกล
“หุหุ ระวังฝ่ามือปุยนุ่มนิ่มของท่านปู่คนนี้ให้ดี ฮาฮ่า” ท่านปู่สนุกกับการใช้ฝ่ามือล่วงเกินสองสาว สบโอกาสเป็นต้องจับลูบคลำ
“เก่งนักใช่ไหมเจ้าแก่” อาราเบลล่าเริ่มสติแตกเจอท่านผู้เฒ่าทำให้ต้องอับอาย
“รัศมีอันรุ่งโรจน์ แสงสว่างอันสูงสุด เหนือความมืดมิดทั้งมวล จงมาสถิตย์ในกายข้า” อาราเบลล่ากล่าวโองการออกมา
อาราเบลล่าควักแผ่นยันต์อัญเชิญออกมา วาดนิ้วเป็นรูปกากบาท มวลอากาศโดยรอบเริ่มถูกดูดเข้าไปในแผ่นยันต์ แปลสภาพเป็นหมอกควันสีขาว เมื่อยันต์สลายหายกลางอากาศ มวลอากาศที่ถูกดูดมารวมกัน ก่อเกิดประจุพลังงานสั่นสะเทือนสีทอง ระเบิดแตกลำแสงสว่างจ้าดุจดวงอาทิตย์ ทุกผู้ทุกคนต่างหันหน้าหลบ ไม่ก็ปิดตาลง อาราเบลล่าก้าวเท้าเข้าหาผู้เฒ่า ตามร่างกายปรากฎออร่าแห่งแสงห่อหุ้มตัวอยู่
“จะหลบจะไปไหนเจ้าเฒ่าแก่ ลองรับนี่ดู” อาราเบลล่ากล่าวด้วยความอาฆาตมาดร้าย
อาราเบลล่าทะยานเหินลอยเข้าหาผู้เฒ่ามีดสั้นในมือจ้วงฟัน แทง ปาด ทุกท่วงท่าประจุพลังเต็มเปี่ยม เสียงมีดสั้นปะทะเข้ากับลมปราณ ที่ท่านผู้เฒ่าที่ขับออกมารับคมมีด การปะทะในแต่ละครั้งเกิดคลื่นผกผัน แตกกระเซ็นแผ่ซ่านออกมา ผู้เฒ่าต้องถอยร่นไปหลายก้าว อาราเบลล่าตัวยังคงลอยอยู่ในอากาศ ผู้เฒ่าต้องออกแรงปะทะดีดตัวถอยออกไป ที่จริงก่อนหน้านี้ ผู้เฒ่าสามารถจัดการอาราเบลล่าได้อย่างง่ายแต่ท่านไม่ทำร้ายผู้หญิงท่านเพียงคิดหยอกล้อ สีหน้ามีเม็ดเหงื่อเริ่มซึมออกมา ยืนหายใจชักไม่สนุกแล้ว ระดับใช้ยันต์อัญเชิญได้ต้องมีพลังลมปราณขั้นปฐพีขึ้นไป หลังใช้พลังจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้นเป็นลมปราณฟ้า แล้วเจ้าแคระที่ยังไม่ได้ลงมือจะมีพลังลมปราณขั้นไหนช่างน่าวิตก
“หุหุ เลิกแล้วต่อกันดีกว่า ข้าน่ะแก่แล้ว ต่างคนต่างแล้วกันไปเถอะ” ผู้เฒ่ากล่าวเจรจาเพื่อจะสงบศึก
“ฮาฮ่า ท่านผู้เฒ่าอย่าถ่อมตัวนักเลย ลองรับมือนางอีกซักนิดเถอะ นางอุตส่าห์ใช้แผ่นยันต์ทั้งที” เคลวินกล่าวออกมา
“รับมือ” อาราเบลล่าเริ่มลงมืออีกครั้ง เธอหมายฆ่าผู้เฒ่าให้ได้ จึงลงมือหนักกว่าเดิม
อาราเบลล่าโหมโจมตีรุนแรงหนักหน่วงขึ้น นางขับพลังออกมาเต็มที่ จากออร่ารอบตัวที่เป็นรัศมีแสง ตอนนี้เริ่มเข้มข้นขึ้น แต่ผู้เฒ่ายังคงรับมือได้ แต่ถึงอย่างไรคนก็อายุมากแล้ว หลังจากประทะกันอีกหลายกระบวน เมื่อผละออกจากกัน
“เฮ้อ... ไม่ไหวแล้ว เลิกๆ ข้ายอมแพ้แล้ว จิ้นเหอเราไปกันเถอะ” ผู้เฒ่ากล่าวชวนกำลังจะเดินออกปากทาง
“ช้าก่อนท่านผู้เฒ่า ไหนๆ ได้สู้กันแล้ว ข้าชักคันไม้คันมือลองรับข้าซักสามกระบวนท่าเถอะ” เคลวินกล่าวขณะยืนขึ้นมา ประตาเจิดจ้าจ้องมองท่านผู้เฒ่า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ