กระทืบธรณี เหยียบนรก พลิกสวรรค์
7.7
เขียนโดย ใต้แผ่นฟ้า
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.18 น.
16 ตอน
0 วิจารณ์
19.04K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) วัดหลันยั่วซือ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่1วัดหลันยั่วซื่อ
ณ.ภูเขาเหลาซาน เด็กชายร่างเล็กผอมโซ ในชุดเสื้อผ้าเก่ามอซอกำลังเดินทางเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง หลังจากทราบเส้นทางจากผู้คนในหมู่บ้านที่อยู่ตีนเขา สาเหตุที่เดินทางเข้าสู่หมู่บ้านเพื่อขออาหารประทังชีวิต หลังจากทราบว่าด้านบนเป็นวัด จึงคิดไปขออาศัยพักพิงคุ้มกะลาหัว
!!!... เสียงท้องลั่นโครกครากด้วยความเหนื่อยและหิวโหย เมื่อเช้ายังดีที่หญิงชราในหมู่บ้านบริจาคทานด้วยหัวมันเล็กๆ มาหนึ่งหัว ยามนี้แสงแดดของเดือนสี่สาดส่องซึ่งเป็นช่วงที่ร้อนแรงที่สุดของปี เม็ดเหงื่อผุดผงาดขึ้นบนใบหน้าหมองหม่น และลำตัว
‘ที่แห่งนั้นคงพอให้ข้าพักอาศัยอยุ่ได้ ข้าต้องอดทน’ เด็กน้อยบอกกับตัวเอง สายตาแน่วแน่มองไปเบื้องหน้า พลันเหลือบเห็นชายฉกรรจ์กำลังก้มๆ เงยๆ ท่าทางจะเป็นคนตัดฟืน จึงรีบเดินเข้าไปหาชายที่อยู่ด้านนั้น เป็นชายอายุประมาณสามสิบปี รูปร่างกำยำแข็งแรง ดวงตาสะท้อนส่งประกายในแววตา ผมและหนวดเครายาวสีดก ผิวพรรณสีเข้มดำแดง
“ท่านอาขอรับ ข้าพเจ้ารบกวนขอถามทางซักหน่อย วัดที่อยุ่ด้านบนอีกไกลไหมครับ?” เด็กชายเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ
“เอ่อ...เจ้าเดินไปตามทางนี้ประมาณสองลี้ เจอทางแยกทางซ้ายมันจะไปเขาถ้ำทางนั้นมันอันตราย เจ้าต้องไปทางขวา พอเจ้าเดินไปซักครึ่งลี้จะเจอกับทางแยก เจ้าต้องเลี้ยวไปทางขวาอีก แล้วพอเจ้าเดินอีกครึ่งลี้ เจ้าก็จะเจอทางแยกอีกแล้วพอผ่านเนินสูงเจอลำธาร เจอกองหิน อืม.. หนทางมันไกลโขอยู่ ข้าคาดเดาว่าเจ้าต้องหลงทางเป็นแน่แท้ ข้าขอเอาหัวเป็นประกันเลย" ชายฉกรรจ์กล่าว ชี้มือไปยังทางเดินแคบ มีต้นหญ้าสูงปกคลุมอยู่ สองข้างทาง หลังจากกล่าวจบชายผู้นั้นทำท่าทางครุ่นคิดซักพัก จึงกล่าวต่อ
“ให้ข้าพาเจ้าไปดีกว่าไหม? ข้าเป็นห่วงกลัวเจ้าอาจหลงทาง หากเจ้าไปผิดทางสัตว์ร้ายแถวนั้นช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก มีทั้งเสือ ช้าง หมาป่า เก้ง กวาง จระเข้ ภูติผีปิศาจ สุดแสนจะพรรณนา”
“งั้นข้าพเจ้าขอรบกวนด้วยขอรับท่านอา” เด็กชายกล่าวพร้อมค้อมคาราวะ
“เจ้าเห็นกองฟืนตรงนั้นไหม งั้นเจ้าช่วยข้าแบกหามมันไปที ข้าตัดมาทั้งวันปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปหมด มาตามข้ามาเลย” ชายฉกรรจ์กล่าวมุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันใดก่อนเลือนหายไปโดยฉับพลัน ออกก้าวเท้าเดินนำทาง เดินมาได้เพียงมินานนักต้องเหลียวกลับไปดูเด็กชายที่ด้านหลัง เห็นมันเดินโซซัดโซเซไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
‘เฮ้อ... เจ้าเปี๊ยกนี่ สงสัยมันจะมิไหวไหว คงต้องแบกหามเองจนได้สิเรา แย่จังเลยอุตส่าห์หลอกให้มันแบกให้แล้ว’ ชายฉกรรจ์หลังจากบ่นกับตนเองจบ หันหลังแล้วเดินย้อนกลับไปหาเด็กชาย
“เจ้าวางลงก่อน มาเราไปนั่งพักใต้ต้นไม้นั่นกัน” ชายฉกรรจ์กล่าวจบพลันยื่นส่งน้ำให้
“ขอบคุณครับท่านอา ข้าพเจ้าควรจะเรียกท่านอาว่าอย่างไรดี ?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองชายฉกรรจ์ พร้อมทั้งรับกะบอกน้ำไปดื่ม เม็ดเหงื่อหลั่งไหลออกมาเป็นเป็นสายทางยาว แทบจะอาบทั่วตัว พอได้ดื่มน้ำค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้น
“ข้าแซ่หาน ชื่อหมิงลู่ แล้วเจ้าชื่อแซ่ อะไร ?”
“ออ... ข้าพเจ้าขอเรียนบอกกท่านอาตามตรง ข้าพเจ้ามิทราบชื่อแซ่ของตนเอง คือ... ข้าพเจ้าจำความอะไรมิได้เลย ก่อนหน้านั้นข้าพเจ้าพยายามครุ่นคิดแทบตายก็หาจำสิ่งใดได้” เด็กชายกล่าวสีหน้าเศร้าดูสลดใจ เมื่อต้องนึกถึงความทรงจำที่ขาดหายไป มันก้มหน้าเงียบสายตาหม่นหมอง
“ช่างเถอะจำมิได้ก็จำมิได้ เจ้าอย่าเพิ่งไปคิดให้มันมากความเลย”
พลัน!!!... เสียงร้องจากท้องของมันทำลายการสนทนาลง เด็กชายเอามือกุมท้องทำหน้าเขินอาย สายตามองไปที่หมิงลู่ ทำตาอ้อนวอนแสนเชื่อง
“เจ้ารับไป” หมิงลู่กล่าวยื่นมือออกมา ที่มือมีมันหัวเล็กๆ ติดมาด้วย เด็กน้อยรับไว้แล้วรีบกินเข้าปากไป เด็กน้อยไม่ได้กล่าวขอบคุณแต่ผงกศรีษะแทน เนื่องจากมันอัดอยู่เต็มปาก
“ฮาฮ่า ดูเจ้าซิ” หมิงลู่หัวร่อขำออกมาเมื่อเห็นอากัปกิริยาของมัน
เด็กชายตัวเล็กผมแห้ง อายุมันน่าจะอายุแปดถึงเก้าปีหน้าตามันก็น่ารักดีทั้งกริยามารยาทก็ถือว่าใช้ได้ อีกทั้งยังน่าสงสารความจำเสื่อมจึงคล้ายพอใจให้ความเมตตาสงสารเด็กน้อยตรงหน้าอยุ่บ้าง
“ข้าเรียกเจ้าว่า เสี่ยวเสี่ยวเอ๋อ (เจ้าหนูน้อย) แล้วกัน ไปเราเดินทางกันต่อเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน” หมิงลู่กล่าวจบลุกขึ้นเดินไปหยิบกองฟืนหามขึ้นหลังเอง
เสี่ยวเอ๋อเดินตามมาประกบข้าง เดินร่วมทางไปพร้อมกัน ข้างทางมีต้นไม้เล็กใหญ่สลับกัน หญ้าคาขึ้นสูง ทางคล้ายจะมิค่อยมีคนสัญจรผ่านซักเท่าไร ผ่านไปซักพักใหญ่แว่วเสียงน้ำไหลลดหลั่นจากที่สูง
‘น่าจะมีลำธารน้ำตกคงจะเป็นทางไปเขาถ้ำ ยามนี้อาการยังร้อนอบอ้าวหากว่าได้ลงเล่นน้ำคงจะดีมิใช่น้อย ถ้ามีโอกาศคงต้องหาทางไปให้ได้ แต่ท่านอาหมิงลู่บอกว่าอันตรายคงไม่พ้นต้องให้ท่านอาพามาซักครั้ง’ เสี่ยวเอ๋อนึกคิดภายในใจ พอพ้นแนวป่ารกครึ้มเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้ใหญ่เริ่มบางตา เบื้องหน้าเป็นซุ้มประตูเปิดโล่ง
‘เอะ!.. ไหนตอนข้าถามทาง ท่านอาบอกเล่าซะยาวเชียว แต่นี่เราเดินกันมาแค่สี่ลี้เอง’
“ท่านอาขอรับ ตอนข้าถามทางท่าน กับเดินทางมามิเห็นเหมือนที่ท่านอาบอกเลย?” เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัย
“ฮา ฮ่า ข้างหน้านั่นถึงแล้ว” หมิงลู่หัวร่อพอกล่าวจบก็เงียบไป ไม่อธิบายอะไรทำเหมือนที่ผ่านมาไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ซักพักพอมองเห็นป้ายวัด มีอักษรสลักอยู่กลางแผ่นไม้ขนาดใหญ่เหนือหัวเสาทั้งสองต้น จึงหันไปหาหมิงลู่
“ท่านอาหมิงลู่ วัดนี้มีชื่อเรียกว่าอย่างไร ข้าอ่านมิออก?”
“นี่!.. เจ้ายังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้อยู่หรือมันอ่านว่า หลันยั่วซื่อ จำไว้” หมิงลู่ทำหน้ากลุ้มใจ
“หลันยั่วซื่อ” เสี่ยวเอ๋อท่องตาม
ฉับพลัน!!!... สายลมกระโชกพัดแฝงความเย็น ลมเริ่มพัดแรงขึ้นทีละนิด หอบเอาใบไม้แห้งลอยขึ้นสูง ใบไม้พลิ้วไหวเคลื่อนกระทบใบหน้าและลำตัว ร่างกายเขม็งเกร็งแผ่ขยายลุกลามถึงบนศรีษะ ตื่นตระหนกหวาดกลัว ความตึงเครียดเข้าเกาะกุม
“ท่านอา!..ท่านอา...มันมีผีไหม” เสี่ยวเอ๋อกล่าวลนลาน
“เจ้า... เหลวไหล ผีมีที่ไหน ข้าอยู่มายังมิเคยเห็น แต่ถ้าเป็นวิญญาณคงจะพอมีแต่ที่นี่ข้าเคยได้ยินเสียงแปลกๆ บางทีดังมากจนหูข้าแทบจะแตก บางทีเบา ยิ่งยามค่ำคืนที่ข้าหลับสนิท เสียงมันทำให้ข้าต้องสะดุ้งตื่น ข้าว่ามันน่าจะเป็นวิญญาณซะมากกว่า หรือว่าเจ้าจะกลัว เจ้าก็อย่าไปเดินเล่นในยามค่ำล่ะ” หมิงลู่กล่าวต่อ
“ข้าสอนคาถาเจ้าไว้ซักบทดีกว่าเวลาเจ้าเจอภูติผีวิญญาณ เจ้าก็ท่องตามนี้ โปเยโปโลเย ไหนเจ้าลองท่องให้ข้าฟังดู”
“โปเลโปโลเน” เสี่ยวเอ๋อท่องออกมา
“ไม่ใช่แล้ว โปกับเย ถึงจะถูก เจ้าฟังใหม่ โป..เย..โป..โล..เย..ง่ายๆ แค่นี้ ทำไมถึงจำไม่ได้”
“ขอโทษครับท่านอา โป เย โป โล เย ถูกไหมครับ”
“อ้า... นั่นละถูกแล้ว ทีนี้พอเจ้าเจอภูติผีวิญญาณเจ้าใช้คาถานี้ป้องกันตัวเอา รับรองภูติผีกระจายหนีหาย”
“ขอบคุณท่านอาหมิงลู่ โปเยโปโลเย” เสี่ยวเอ๋อมันท่องในใจอยู่อีกหลายเที่ยว
ตอนนี้เป็นเวลาเย็น แสงของดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า ทั้งสองจึงรีบเร่งเดินทางขึ้นเขา ข้างหน้าเป็นบันไดหิน แต่ละขั้นกว้างยาวไม่เท่ากัน ดูแล้วบางอันยาวเพียงหนึ่งหลา บางอันยาวสองถึงสามหลา ตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะอยุ่ที่ขอบทั้งสองฝั่ง ตรงกลางน่าจะโดนผู้คนเดินเหยียบ พอมองขึ้นตามขั้นบันไดไปจนสุด มันสมควรมีอยู่ร้อยกว่าขั้น ตอนนี้ทั้งสองเริ่มเดินขึ้นมาตามขั้นบันไดแล้ว ระหว่างเดินขึ้น เสี่ยวเอ๋อนับขั้นไปด้วย แต่จนแล้วจนรอดพอหูมันได้ยินเสียงธารน้ำไหล ทางช้ายมือด้านบน มันลืมไปหมดแล้วว่านับมาถึงขั้นไหนแล้ว
พอเดินมาสุดบันได มีธารน้ำไหลมาจริงๆ ที่บริเวณนี้เป็นลานดิน มีต้นไผ่ขึ้นหลายกอ เดินขึ้นไปอีกนิดมันเห็นเป็นแอ่งน้ำมีอยู่สองแอ่ง น้ำใสจนมองเห็นก้นแอ่งได้ มีปลาแหวกว่ายอยุ่ทั้งสองแอ่ง แอ่งแรกมีน้ำผุดพุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำ คลื่นเล็กเคลื่อนพริ้วไหลกว้างขนาดสองหลา อีกแอ่งมีขนาดใหญ่ใหญ่สิยกว่าหลา น้ำไหลล้นทะลักจากแอ่งเป็นสายไหลลงสู่ด้านล่าง เสี่ยวเอ๋อห็นแล้วมันทำหน้าตาตื่นเต้นคงอยากกระโดดลงไปเล่นน้ำ
“นี่เป็นตาน้ำ แอ่งใหญ่ เจ้าสามารถลงไปเล่นได้ แอ่งเล็กห้ามมิให้ผู้ใดลงไปเล่น มันเอาไว้สำหรับตักน้ำขึ้นไปใช้ด้านบน สำหรับท่านเจ้าวาส และก็ไว้หุงหาอาหาร เจ้าอาจต้องลงมาตักด้วย ไปกันต่อ จวนถึงแล้ว ขึ้นบันไดได้ข้างหน้านั่นก็ถึงแล้ว” หมิงลู่กล่าวเร่งให้รีบเดินทางต่อ
บันไดช่วงนี้ น่าจะห้าสิบขั้น มันเริ่มเหนื่อยจวนจะหมดแรง พอมาสุดบันได ตรงนี้ยังไม่ใช่ยอดเขา ที่ตั้งของวัดอยู่บริเวณแค่ช่วงกลางของภูเขาเหลาซาน มีหินก้อนใหญ่สลักชื่อวัดไว้ บรรยากาศเงียบสงบร่มรื่น มองไปโดยรอบเห็นมีกุฎิอยู่ไม่กี่หลัง ตรงกลางเป็นโบสถ์ ถัดไปมีกุฎิใหญ่กว่าหลังอื่นๆ ตั้งอยู่ ที่เหลือก็มีอยู่อีกห้าหลัง เห็นหลวงจีนอยู่ห้าถึงหกรูปกำลังเดินทำกิจวัตรส่วนตัวกันอยู่
“เสี่ยวเอ๋อ เจ้าอย่าได้บอกใครว่าเจ้าเจอข้าที่ตีนเขา รับปากข้า เดี๋ยวเราไปหาท่านเจ้าอาวาสกัน”
“ขอรับ ท่านอาหมิงลู่” เสี่ยวเอ๋อรับคำ
หมิงลู่นำพาเสี่ยวเอ๋อไปที่กุฎิหลังหนึ่ง ไม่ไกลจากบริเวณนั้นนัก พอมาถึงหน้าประตู มีเสียงพูดคุยกันเบาๆ อยู่ ภายใน หมิงลู่เคาะประตูอยู่สองครั้ง
“เรียนท่านเจ้าอาวาส ข้าหมิงลู่ ข้าพาเด็กชายกำพร้าไร้ที่อยู่อาศัยขึ้นเขามาด้วยครับ”
“อืม เจ้าเข้ามาเถอะ” เสียงชราภาพตอบกลับมาจากด้านใน
พอเปิดประตูเข้าไป ด้านในมีพระอยู่สองรูป องค์ที่อยุ่ตรงกลางห้อง ดูมีอวุโสมากกว่าหน้าตามีริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ดวงตาใสกระจ่าง คิ้วหนวดและเคราเป็นสีขาวโพลน ดูแล้วน่าให้ความเคารพเลื่อมใส คงจะเป็นเจ้าอาวาส ส่วนอีกองค์นั่งอยู่ทางด้านขวามือของท่านเจ้าอาวาส องค์นี้ดูอายุราวสี่สิบถึงห้าสิบปี
“ข้าน้อยเสี่ยวเอ๋อ ขอคารวะท่านเจ้าอาวาส ขอคารวะท่านไต้ซือ” เสี่ยวเอ๋อกล่าวค้อมคำนับ
“เจริญพร ประสกน้อย” เจ้าอาวาสพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ “นี่จะมืดค่ำแล้วหมิงลู่เจ้าพาประสกน้อยไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยพามาหาไต้ซือ เฉิงเจี๋ย”
“ขอรับ ท่านเจ้าอาวาสงั้นข้ากับเสี่ยวเอ๋อขอตัวก่อน” หมิ่งลู่น้อมกายคำนับแล้วพาเสี่ยวเอ๋อจากมา
เรือนพักของหมิงลู่ ห่างจากตัวกุฎิหลังอื่นมาก ทำจากไม้ไผ่ และหญ้าคา มีเตียงอยู่มุมห้อง โต๊ะเก้าอี้ไม้ไผ่ อยู่อีกด้าน ด้านบนเหนือโต๊ะไม้ไผ่มีวัตถุแปลกตาวางอยู่ ลักษณะเป็นไม้สองท่อน ชิ้นหนึ่งมีปลายที่ใหญ่เหมือนเอามาประกบต่อเข้าด้วยกัน มีสายอยู่สองเส้น อีกชิ้นขนาดเล็กกว่าหน่อย ดูไปเป็นไม้ท่อนเดียวกัน ชิ้นนี้สายเหมือนขนสัตว์มาม้วนรวมกันเป็นเส้นเดียว มันมองแสดงความไคร่รู้ออกมาทางสีหน้า
“เสี่ยวเอ๋อ เจ้าอยากรู้ไหมมันคือสิ่งใด มันเรียกว่า “เอ้อหู ” (ต่อไปขอใช้คำว่าซอแทน) ไว้ข้าจะเล่นให้เจ้าฟังดู ตอนนี้สมควรไปโรงครัวหาอะไรทาน แล้วค่อยไปอาบน้ำมาพักผ่อน ตัวเจ้าเหม็นมากรู้ไหม” หมิงลู่กล่าวพร้อมทั้งคว้าไปที่ข้อมือเสี่ยวเอ๋อ หวังจะลากมันไป
“ไปกันท่านอา ข้าหิวจะแย่ละ” เสี่ยวเอ๋อรีบขานรับ มิต้องฉุดลากมันก็อยากไปกินใจจะขาดเพราะหิว
หมิงลู่จัดอาหารเจที่เหลือ มารับประทานเป็นเพื่อนมัน ก่อนพากันไปอาบน้ำมานอนที่ห้องหมิงลู่
ณ.ภูเขาเหลาซาน เด็กชายร่างเล็กผอมโซ ในชุดเสื้อผ้าเก่ามอซอกำลังเดินทางเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง หลังจากทราบเส้นทางจากผู้คนในหมู่บ้านที่อยู่ตีนเขา สาเหตุที่เดินทางเข้าสู่หมู่บ้านเพื่อขออาหารประทังชีวิต หลังจากทราบว่าด้านบนเป็นวัด จึงคิดไปขออาศัยพักพิงคุ้มกะลาหัว
!!!... เสียงท้องลั่นโครกครากด้วยความเหนื่อยและหิวโหย เมื่อเช้ายังดีที่หญิงชราในหมู่บ้านบริจาคทานด้วยหัวมันเล็กๆ มาหนึ่งหัว ยามนี้แสงแดดของเดือนสี่สาดส่องซึ่งเป็นช่วงที่ร้อนแรงที่สุดของปี เม็ดเหงื่อผุดผงาดขึ้นบนใบหน้าหมองหม่น และลำตัว
‘ที่แห่งนั้นคงพอให้ข้าพักอาศัยอยุ่ได้ ข้าต้องอดทน’ เด็กน้อยบอกกับตัวเอง สายตาแน่วแน่มองไปเบื้องหน้า พลันเหลือบเห็นชายฉกรรจ์กำลังก้มๆ เงยๆ ท่าทางจะเป็นคนตัดฟืน จึงรีบเดินเข้าไปหาชายที่อยู่ด้านนั้น เป็นชายอายุประมาณสามสิบปี รูปร่างกำยำแข็งแรง ดวงตาสะท้อนส่งประกายในแววตา ผมและหนวดเครายาวสีดก ผิวพรรณสีเข้มดำแดง
“ท่านอาขอรับ ข้าพเจ้ารบกวนขอถามทางซักหน่อย วัดที่อยุ่ด้านบนอีกไกลไหมครับ?” เด็กชายเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ
“เอ่อ...เจ้าเดินไปตามทางนี้ประมาณสองลี้ เจอทางแยกทางซ้ายมันจะไปเขาถ้ำทางนั้นมันอันตราย เจ้าต้องไปทางขวา พอเจ้าเดินไปซักครึ่งลี้จะเจอกับทางแยก เจ้าต้องเลี้ยวไปทางขวาอีก แล้วพอเจ้าเดินอีกครึ่งลี้ เจ้าก็จะเจอทางแยกอีกแล้วพอผ่านเนินสูงเจอลำธาร เจอกองหิน อืม.. หนทางมันไกลโขอยู่ ข้าคาดเดาว่าเจ้าต้องหลงทางเป็นแน่แท้ ข้าขอเอาหัวเป็นประกันเลย" ชายฉกรรจ์กล่าว ชี้มือไปยังทางเดินแคบ มีต้นหญ้าสูงปกคลุมอยู่ สองข้างทาง หลังจากกล่าวจบชายผู้นั้นทำท่าทางครุ่นคิดซักพัก จึงกล่าวต่อ
“ให้ข้าพาเจ้าไปดีกว่าไหม? ข้าเป็นห่วงกลัวเจ้าอาจหลงทาง หากเจ้าไปผิดทางสัตว์ร้ายแถวนั้นช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก มีทั้งเสือ ช้าง หมาป่า เก้ง กวาง จระเข้ ภูติผีปิศาจ สุดแสนจะพรรณนา”
“งั้นข้าพเจ้าขอรบกวนด้วยขอรับท่านอา” เด็กชายกล่าวพร้อมค้อมคาราวะ
“เจ้าเห็นกองฟืนตรงนั้นไหม งั้นเจ้าช่วยข้าแบกหามมันไปที ข้าตัดมาทั้งวันปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปหมด มาตามข้ามาเลย” ชายฉกรรจ์กล่าวมุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันใดก่อนเลือนหายไปโดยฉับพลัน ออกก้าวเท้าเดินนำทาง เดินมาได้เพียงมินานนักต้องเหลียวกลับไปดูเด็กชายที่ด้านหลัง เห็นมันเดินโซซัดโซเซไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
‘เฮ้อ... เจ้าเปี๊ยกนี่ สงสัยมันจะมิไหวไหว คงต้องแบกหามเองจนได้สิเรา แย่จังเลยอุตส่าห์หลอกให้มันแบกให้แล้ว’ ชายฉกรรจ์หลังจากบ่นกับตนเองจบ หันหลังแล้วเดินย้อนกลับไปหาเด็กชาย
“เจ้าวางลงก่อน มาเราไปนั่งพักใต้ต้นไม้นั่นกัน” ชายฉกรรจ์กล่าวจบพลันยื่นส่งน้ำให้
“ขอบคุณครับท่านอา ข้าพเจ้าควรจะเรียกท่านอาว่าอย่างไรดี ?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองชายฉกรรจ์ พร้อมทั้งรับกะบอกน้ำไปดื่ม เม็ดเหงื่อหลั่งไหลออกมาเป็นเป็นสายทางยาว แทบจะอาบทั่วตัว พอได้ดื่มน้ำค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้น
“ข้าแซ่หาน ชื่อหมิงลู่ แล้วเจ้าชื่อแซ่ อะไร ?”
“ออ... ข้าพเจ้าขอเรียนบอกกท่านอาตามตรง ข้าพเจ้ามิทราบชื่อแซ่ของตนเอง คือ... ข้าพเจ้าจำความอะไรมิได้เลย ก่อนหน้านั้นข้าพเจ้าพยายามครุ่นคิดแทบตายก็หาจำสิ่งใดได้” เด็กชายกล่าวสีหน้าเศร้าดูสลดใจ เมื่อต้องนึกถึงความทรงจำที่ขาดหายไป มันก้มหน้าเงียบสายตาหม่นหมอง
“ช่างเถอะจำมิได้ก็จำมิได้ เจ้าอย่าเพิ่งไปคิดให้มันมากความเลย”
พลัน!!!... เสียงร้องจากท้องของมันทำลายการสนทนาลง เด็กชายเอามือกุมท้องทำหน้าเขินอาย สายตามองไปที่หมิงลู่ ทำตาอ้อนวอนแสนเชื่อง
“เจ้ารับไป” หมิงลู่กล่าวยื่นมือออกมา ที่มือมีมันหัวเล็กๆ ติดมาด้วย เด็กน้อยรับไว้แล้วรีบกินเข้าปากไป เด็กน้อยไม่ได้กล่าวขอบคุณแต่ผงกศรีษะแทน เนื่องจากมันอัดอยู่เต็มปาก
“ฮาฮ่า ดูเจ้าซิ” หมิงลู่หัวร่อขำออกมาเมื่อเห็นอากัปกิริยาของมัน
เด็กชายตัวเล็กผมแห้ง อายุมันน่าจะอายุแปดถึงเก้าปีหน้าตามันก็น่ารักดีทั้งกริยามารยาทก็ถือว่าใช้ได้ อีกทั้งยังน่าสงสารความจำเสื่อมจึงคล้ายพอใจให้ความเมตตาสงสารเด็กน้อยตรงหน้าอยุ่บ้าง
“ข้าเรียกเจ้าว่า เสี่ยวเสี่ยวเอ๋อ (เจ้าหนูน้อย) แล้วกัน ไปเราเดินทางกันต่อเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน” หมิงลู่กล่าวจบลุกขึ้นเดินไปหยิบกองฟืนหามขึ้นหลังเอง
เสี่ยวเอ๋อเดินตามมาประกบข้าง เดินร่วมทางไปพร้อมกัน ข้างทางมีต้นไม้เล็กใหญ่สลับกัน หญ้าคาขึ้นสูง ทางคล้ายจะมิค่อยมีคนสัญจรผ่านซักเท่าไร ผ่านไปซักพักใหญ่แว่วเสียงน้ำไหลลดหลั่นจากที่สูง
‘น่าจะมีลำธารน้ำตกคงจะเป็นทางไปเขาถ้ำ ยามนี้อาการยังร้อนอบอ้าวหากว่าได้ลงเล่นน้ำคงจะดีมิใช่น้อย ถ้ามีโอกาศคงต้องหาทางไปให้ได้ แต่ท่านอาหมิงลู่บอกว่าอันตรายคงไม่พ้นต้องให้ท่านอาพามาซักครั้ง’ เสี่ยวเอ๋อนึกคิดภายในใจ พอพ้นแนวป่ารกครึ้มเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้ใหญ่เริ่มบางตา เบื้องหน้าเป็นซุ้มประตูเปิดโล่ง
‘เอะ!.. ไหนตอนข้าถามทาง ท่านอาบอกเล่าซะยาวเชียว แต่นี่เราเดินกันมาแค่สี่ลี้เอง’
“ท่านอาขอรับ ตอนข้าถามทางท่าน กับเดินทางมามิเห็นเหมือนที่ท่านอาบอกเลย?” เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัย
“ฮา ฮ่า ข้างหน้านั่นถึงแล้ว” หมิงลู่หัวร่อพอกล่าวจบก็เงียบไป ไม่อธิบายอะไรทำเหมือนที่ผ่านมาไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ซักพักพอมองเห็นป้ายวัด มีอักษรสลักอยู่กลางแผ่นไม้ขนาดใหญ่เหนือหัวเสาทั้งสองต้น จึงหันไปหาหมิงลู่
“ท่านอาหมิงลู่ วัดนี้มีชื่อเรียกว่าอย่างไร ข้าอ่านมิออก?”
“นี่!.. เจ้ายังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้อยู่หรือมันอ่านว่า หลันยั่วซื่อ จำไว้” หมิงลู่ทำหน้ากลุ้มใจ
“หลันยั่วซื่อ” เสี่ยวเอ๋อท่องตาม
ฉับพลัน!!!... สายลมกระโชกพัดแฝงความเย็น ลมเริ่มพัดแรงขึ้นทีละนิด หอบเอาใบไม้แห้งลอยขึ้นสูง ใบไม้พลิ้วไหวเคลื่อนกระทบใบหน้าและลำตัว ร่างกายเขม็งเกร็งแผ่ขยายลุกลามถึงบนศรีษะ ตื่นตระหนกหวาดกลัว ความตึงเครียดเข้าเกาะกุม
“ท่านอา!..ท่านอา...มันมีผีไหม” เสี่ยวเอ๋อกล่าวลนลาน
“เจ้า... เหลวไหล ผีมีที่ไหน ข้าอยู่มายังมิเคยเห็น แต่ถ้าเป็นวิญญาณคงจะพอมีแต่ที่นี่ข้าเคยได้ยินเสียงแปลกๆ บางทีดังมากจนหูข้าแทบจะแตก บางทีเบา ยิ่งยามค่ำคืนที่ข้าหลับสนิท เสียงมันทำให้ข้าต้องสะดุ้งตื่น ข้าว่ามันน่าจะเป็นวิญญาณซะมากกว่า หรือว่าเจ้าจะกลัว เจ้าก็อย่าไปเดินเล่นในยามค่ำล่ะ” หมิงลู่กล่าวต่อ
“ข้าสอนคาถาเจ้าไว้ซักบทดีกว่าเวลาเจ้าเจอภูติผีวิญญาณ เจ้าก็ท่องตามนี้ โปเยโปโลเย ไหนเจ้าลองท่องให้ข้าฟังดู”
“โปเลโปโลเน” เสี่ยวเอ๋อท่องออกมา
“ไม่ใช่แล้ว โปกับเย ถึงจะถูก เจ้าฟังใหม่ โป..เย..โป..โล..เย..ง่ายๆ แค่นี้ ทำไมถึงจำไม่ได้”
“ขอโทษครับท่านอา โป เย โป โล เย ถูกไหมครับ”
“อ้า... นั่นละถูกแล้ว ทีนี้พอเจ้าเจอภูติผีวิญญาณเจ้าใช้คาถานี้ป้องกันตัวเอา รับรองภูติผีกระจายหนีหาย”
“ขอบคุณท่านอาหมิงลู่ โปเยโปโลเย” เสี่ยวเอ๋อมันท่องในใจอยู่อีกหลายเที่ยว
ตอนนี้เป็นเวลาเย็น แสงของดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า ทั้งสองจึงรีบเร่งเดินทางขึ้นเขา ข้างหน้าเป็นบันไดหิน แต่ละขั้นกว้างยาวไม่เท่ากัน ดูแล้วบางอันยาวเพียงหนึ่งหลา บางอันยาวสองถึงสามหลา ตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะอยุ่ที่ขอบทั้งสองฝั่ง ตรงกลางน่าจะโดนผู้คนเดินเหยียบ พอมองขึ้นตามขั้นบันไดไปจนสุด มันสมควรมีอยู่ร้อยกว่าขั้น ตอนนี้ทั้งสองเริ่มเดินขึ้นมาตามขั้นบันไดแล้ว ระหว่างเดินขึ้น เสี่ยวเอ๋อนับขั้นไปด้วย แต่จนแล้วจนรอดพอหูมันได้ยินเสียงธารน้ำไหล ทางช้ายมือด้านบน มันลืมไปหมดแล้วว่านับมาถึงขั้นไหนแล้ว
พอเดินมาสุดบันได มีธารน้ำไหลมาจริงๆ ที่บริเวณนี้เป็นลานดิน มีต้นไผ่ขึ้นหลายกอ เดินขึ้นไปอีกนิดมันเห็นเป็นแอ่งน้ำมีอยู่สองแอ่ง น้ำใสจนมองเห็นก้นแอ่งได้ มีปลาแหวกว่ายอยุ่ทั้งสองแอ่ง แอ่งแรกมีน้ำผุดพุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำ คลื่นเล็กเคลื่อนพริ้วไหลกว้างขนาดสองหลา อีกแอ่งมีขนาดใหญ่ใหญ่สิยกว่าหลา น้ำไหลล้นทะลักจากแอ่งเป็นสายไหลลงสู่ด้านล่าง เสี่ยวเอ๋อห็นแล้วมันทำหน้าตาตื่นเต้นคงอยากกระโดดลงไปเล่นน้ำ
“นี่เป็นตาน้ำ แอ่งใหญ่ เจ้าสามารถลงไปเล่นได้ แอ่งเล็กห้ามมิให้ผู้ใดลงไปเล่น มันเอาไว้สำหรับตักน้ำขึ้นไปใช้ด้านบน สำหรับท่านเจ้าวาส และก็ไว้หุงหาอาหาร เจ้าอาจต้องลงมาตักด้วย ไปกันต่อ จวนถึงแล้ว ขึ้นบันไดได้ข้างหน้านั่นก็ถึงแล้ว” หมิงลู่กล่าวเร่งให้รีบเดินทางต่อ
บันไดช่วงนี้ น่าจะห้าสิบขั้น มันเริ่มเหนื่อยจวนจะหมดแรง พอมาสุดบันได ตรงนี้ยังไม่ใช่ยอดเขา ที่ตั้งของวัดอยู่บริเวณแค่ช่วงกลางของภูเขาเหลาซาน มีหินก้อนใหญ่สลักชื่อวัดไว้ บรรยากาศเงียบสงบร่มรื่น มองไปโดยรอบเห็นมีกุฎิอยู่ไม่กี่หลัง ตรงกลางเป็นโบสถ์ ถัดไปมีกุฎิใหญ่กว่าหลังอื่นๆ ตั้งอยู่ ที่เหลือก็มีอยู่อีกห้าหลัง เห็นหลวงจีนอยู่ห้าถึงหกรูปกำลังเดินทำกิจวัตรส่วนตัวกันอยู่
“เสี่ยวเอ๋อ เจ้าอย่าได้บอกใครว่าเจ้าเจอข้าที่ตีนเขา รับปากข้า เดี๋ยวเราไปหาท่านเจ้าอาวาสกัน”
“ขอรับ ท่านอาหมิงลู่” เสี่ยวเอ๋อรับคำ
หมิงลู่นำพาเสี่ยวเอ๋อไปที่กุฎิหลังหนึ่ง ไม่ไกลจากบริเวณนั้นนัก พอมาถึงหน้าประตู มีเสียงพูดคุยกันเบาๆ อยู่ ภายใน หมิงลู่เคาะประตูอยู่สองครั้ง
“เรียนท่านเจ้าอาวาส ข้าหมิงลู่ ข้าพาเด็กชายกำพร้าไร้ที่อยู่อาศัยขึ้นเขามาด้วยครับ”
“อืม เจ้าเข้ามาเถอะ” เสียงชราภาพตอบกลับมาจากด้านใน
พอเปิดประตูเข้าไป ด้านในมีพระอยู่สองรูป องค์ที่อยุ่ตรงกลางห้อง ดูมีอวุโสมากกว่าหน้าตามีริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ดวงตาใสกระจ่าง คิ้วหนวดและเคราเป็นสีขาวโพลน ดูแล้วน่าให้ความเคารพเลื่อมใส คงจะเป็นเจ้าอาวาส ส่วนอีกองค์นั่งอยู่ทางด้านขวามือของท่านเจ้าอาวาส องค์นี้ดูอายุราวสี่สิบถึงห้าสิบปี
“ข้าน้อยเสี่ยวเอ๋อ ขอคารวะท่านเจ้าอาวาส ขอคารวะท่านไต้ซือ” เสี่ยวเอ๋อกล่าวค้อมคำนับ
“เจริญพร ประสกน้อย” เจ้าอาวาสพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ “นี่จะมืดค่ำแล้วหมิงลู่เจ้าพาประสกน้อยไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยพามาหาไต้ซือ เฉิงเจี๋ย”
“ขอรับ ท่านเจ้าอาวาสงั้นข้ากับเสี่ยวเอ๋อขอตัวก่อน” หมิ่งลู่น้อมกายคำนับแล้วพาเสี่ยวเอ๋อจากมา
เรือนพักของหมิงลู่ ห่างจากตัวกุฎิหลังอื่นมาก ทำจากไม้ไผ่ และหญ้าคา มีเตียงอยู่มุมห้อง โต๊ะเก้าอี้ไม้ไผ่ อยู่อีกด้าน ด้านบนเหนือโต๊ะไม้ไผ่มีวัตถุแปลกตาวางอยู่ ลักษณะเป็นไม้สองท่อน ชิ้นหนึ่งมีปลายที่ใหญ่เหมือนเอามาประกบต่อเข้าด้วยกัน มีสายอยู่สองเส้น อีกชิ้นขนาดเล็กกว่าหน่อย ดูไปเป็นไม้ท่อนเดียวกัน ชิ้นนี้สายเหมือนขนสัตว์มาม้วนรวมกันเป็นเส้นเดียว มันมองแสดงความไคร่รู้ออกมาทางสีหน้า
“เสี่ยวเอ๋อ เจ้าอยากรู้ไหมมันคือสิ่งใด มันเรียกว่า “เอ้อหู ” (ต่อไปขอใช้คำว่าซอแทน) ไว้ข้าจะเล่นให้เจ้าฟังดู ตอนนี้สมควรไปโรงครัวหาอะไรทาน แล้วค่อยไปอาบน้ำมาพักผ่อน ตัวเจ้าเหม็นมากรู้ไหม” หมิงลู่กล่าวพร้อมทั้งคว้าไปที่ข้อมือเสี่ยวเอ๋อ หวังจะลากมันไป
“ไปกันท่านอา ข้าหิวจะแย่ละ” เสี่ยวเอ๋อรีบขานรับ มิต้องฉุดลากมันก็อยากไปกินใจจะขาดเพราะหิว
หมิงลู่จัดอาหารเจที่เหลือ มารับประทานเป็นเพื่อนมัน ก่อนพากันไปอาบน้ำมานอนที่ห้องหมิงลู่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ