กระทืบธรณี เหยียบนรก พลิกสวรรค์

7.7

เขียนโดย ใต้แผ่นฟ้า

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.18 น.

  16 ตอน
  0 วิจารณ์
  19.29K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) คัมภีร์อักษร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่2 คัมภีร์อักษร

แกร๊งงงงงง แกร๊ง...!!! เสียงระฆังดังก้องกังวาน สรรพสัตว์น้อยใหญ่ ต่างส่งเสียงขับร้องประสานเสียงตาม เสี่ยวเอ๋อสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมา เห็นพระหลายรูปตรงไปที่โบสถ์ ซักพักมีเสียงสวดมนตร์เสียงเคาะไม้ มู่อวี๋ ดังขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน เหลียวมองหมิงลู่ยังคงนอนอยู่บนเตียงแต่ลืมตาขึ้นมาแล้ว

“เสี่ยวเอ๋อ เจ้าพักผ่อนต่อเถอะ เดี๋ยวพอสายหน่อยข้าค่อยพาเจ้าไปหาไต้ซือเฉิงเจี๋ย” หมิงลู่กล่าวจบทำท่าจะหลับต่อ

เสี่ยวเอ๋อไม่รุ้จะต้องทำตัวอย่างไรดี จะออกไปเดินเล่นก็ยังมิกล้า ชำเลืองมองไปบนโตะไม้ไผ่ ยังคงเห็นซอวางอยู่ที่เดิม ด้วยความแคลบแคลงสงสัย จับพินิจพิจารณาลองกวัดแกว่ง หรือมันจะเป็นอาวุธ ดาบคู่สยบภูติผี??? ลองเอามาสีกัน เอะ!.. เกิดเป็นเสียงกรีดแผ่วหวิว หลากหลายเสียงดังออกมา เข้าสู่สภาวะลืมตน เลยบรรเลงบทเพลงแห่งนรกอย่างเมามัน ฉับพลัน!!. หมอนใบโตปลิวละลิ่วลอยมา มันไม่ทันหลบจึงโดนเข้าที่หัว ถึงกับสะบัดไปตามแรง

“เจ้าเด็กบ้า!!!...หยุดเลย ข้าจะหลับจะนอน เสียงทำวัตรว่าแย่แล้ว แต่เสียงของเจ้าดั่งนรกเชียว เก็บเลยเจ้าทำข้าตื่น” หมิงลู่กล่าวท่าทางฉุนเฉียว ที่โดนปลุกก่อนเวลาอันควร มันไม่ต้องทำวัตร เพราะมันไม่ใช่พระ มันแค่ช่วยดูแลหาฟืน อาจต้องลงเขาบ้างเพื่อชื้อหาของใช้ให้กับวัด

“ข้าขอโทษ ต่อไปข้ามิกล้าแล้ว” เสี่ยวเอ๋อกล่าวพร้อมกับทำหน้าสลด แต่ที่มุมปากมีรอยยิ้มขบขัน

“ดี ที่เจ้ายัง รู้จักสำนึกผิด ไปล้างหน้าล้างตากัน” ทั้งสองพลันเดินออกจากห้องไป หมิงลู่พามันไปอาบน้ำ ทานข้าวที่โรงครัว เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พากันตรงไปกุฏิของไต้ซื้อเฉิงเจี๋ย

ยามนั้นรองเจ้าอาวาส ไต้ซื้อเฉิงเจี๋ยกำลังนั่งนับลูกประคำพอได้ยินเสียงหมิงลู่ กับเสี่ยวเอ๋อก็ลืมตาขึ้นมา มองไปที่มันทั้งสอง หมิงลู่ ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ไต้ซือฟังเฉิงเจี๋ยฟัง ไต้ซือเลยไปปรึกษากับท่านเจ้าอาวาสในการที่จะมาอาศัยอยู่ จำเป็นต้องให้มันปลงผมออกบวชเสียก่อน มันจะได้ศึกษาเล่าเรียนได้ หลังจากพิธีการต่างๆ จบสิ้น ภายในพระอุโบสถ

“เสี่ยวเอ๋อ อาตมาจะขนานนามเจ้าใหม่ ต่อไปเจ้าชื่อ จิ้นเหอ (แก่นแท้ของความซื่อสัตย์) เจ้าจงมั่นคงต่อวิถีแห่งความซื่อสัตย์ของเจ้า อมิตาพุทธ” เจ้าอาวาสหลังจากตั้งชื่อให้เสร็จพลันจากไป

ภายในพระอุโบสถ มีหลวงจีนคงเหลืออยู่ทั้งหมดหกรูป นอกจากไต้ซื้อ เฉิงเจี๋ย ที่เหลือทั้งหมดอายุสิบห้าถึงยี่สิบปี คนที่มีอายุมากสุดคือศิษย์พี่ เจิ้งหลี รองมา เจิ้งไฉ เจิ้งจู เจิ้งสี่ และ เจิ้งป๋อ หลังจากทักทายทำความรู้จักศิษย์พี่ศิษย์น้องกันหมดทุกคนแล้ว

“เจิ้งหลี่ กุฏิเจ้าพักอยู่ผู้เดียวให้จิ้นเหอไปพักอยู่กับเจ้าด้วย เจ้าคอยดูแลมัน” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยกล่าวกับศิษย์พี่เจิ้งหลี่

“ครับท่านอาจารย์ ข้าจะดูแลศิษย์น้องอย่างดี งั้นพวกศิษย์ต้องขอตัวก่อนท่านอาจารย์” เจิ้งหลี่กล่าวพร้อมน้อมคำนับ

ไต้ซือเฉิงเจี๋ยพยักหน้ารับ พลันทั้งหมดออกมาจากพระอุโบสถ เจิ้งหลี่ บอกกล่าวแก่มัน ระหว่างพาชมพื้นที่ในวัด

“ศิษย์น้องเช้าตื่นตีสามทำอาหาร หน้าที่พ่อครัวเป็นของเจิ้งป๋อ เจ้าไปช่วยทำ หลังจากนั้นทำวัตรเช้าจบ ฉันเพลมื้อแรกต่อจากนั้น กวาดลานวัด ฝึกวิทยายุทธ และหาบน้ำที่ด้านล่าง ต่อด้วยฉันเพล ต่อเรียนพระคัมภีร์ (พระไตรปิฏก)” และอีกหลายอย่างอย่างที่มันควรจะรู้ และหลังจากนั้นจะเป็นเวลาว่าง เจิ้งหลี่พามันไปดูห้องที่มันต้องอาศัยร่วมกัน ภายในห้องมีแค่เตียงสองชุดอยู่คนละมุมห้อง กับโต๊ะเก้าอี้ที่กลางห้อง

จากนั้นจิ้นเหอจึงไปพบกับหมิงลู่ ดูมันจะสนิทกับหมิงลู่มาก พลันหลวงจีนเจิ้งหลี่มาบอกว่าไต้ซือเฉิงเจี๋ยให้ตามมันไปพบ ไต้ซือเฉิงเจี๋ยได้สอบถามเรื่องการอ่านเขียนของมัน เมื่อทราบความจึงลงมือสอนมันด้วยตัวเอง

“จิ้นเหอ เจ้าเห็นตำราตรงหน้าเจ้าไหม หน้าแรกมีทั้งหมดทั้งสิ้น สีสิบสี่ ตัวอักษร เรามาเริ่มที่ตัวอักษรแรก มันเขียนแบบนี้” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยเอื้อมมือหยิบพู่กัน แล้วจุ่มหมึกที่อยู่ด้านข้าง บรรจงตวัดปลายพู่กันลงบนกระดาษหมี่จือ เป็นแบบอย่าง แล้วบอกให้มันทำตาม มันทำตามอยู่หลายรอบ เมื่อเห็นมันมีทักษะการตวัดปลายพู่กันเริ่มชำนาญขึ้น รู้สึกพอใจมันอยู่บ้าง คิดจะสอนบทเรียนต่อไป

“อืม...เจ้าตวัดวาดได้ไม่เลวเลย ทีนี้ท่องตามข้า ตัวนี้เรียกว่า ก.เอ๋ย.ก..ไก่”

"ก.เอ๋ย ก.ไก่”

ตกดึกคืนนั้นจิ้นเหอ นอนไม่หลับกระสับกระส่ายหิวโหยสาหัส จึงคิดไปโรงครัวหาหมั่นโถวมาใส่ท้องเสียหน่อย จึงแอบย่องออกมาภายนอกเงียบวังเวง ไม่เห็นมีแสงเทียน แสงตะเกียงสาดส่อง แว่วเสียงหวีดหวิว..กรีดเสียงสูง ไล่สดับแผ่วทุ้ม เมฆดำพลิ้วมาบดบังดวงจันทร์ ทั่วอาณาบริเวณล้วนมืดดำไปทั่ว สายลมยามรัตติการพัดผ่านชวนขนลุกโชน เหลียวซ้ายขวามองเห็นประกายไฟสีส้มแดง สว่างพลิ้วไหว แล้วหยุดหาย มีเสียงใบไม้ดังกรอบแกรบ เสียงย่ำเดินผสมปนเปมา มันแตกตื่นจนขวัญกะเจิง ปาดเหงื่อที่เริ่มไหลรินบนหน้าผาก

“โปเยโปโลเย. โปเยโปโลเย” เสี่ยวเอ๋อพร่ำท่องมนตร์ออกมาไม่ต้องนับว่าผ่านไปกี่รอบ สายลมยังคงแรงขึ้นยิ่งมายิ่งกระโชกแรง แสงไฟได้หายเลือนหายจากตาไปแล้ว ต้นไม้พลิ้วไหวโอนเอนใบไม้ก่อตัวปลิวว่อน

ตัดใจไม่ไปโรงครัววิ่งกลับห้องยอมทนหิว คว้าผ้าห่มคลุมโปง เสียงหวีดหวิวยังตามมาหลอกหลอน มันท่องมนต์ต่อ

 

“โปเยโปโลเย...โปเยโปโลเย...โปเยโปโลเย...” เสี่ยวเอ๋อปากท่องมนต์ออกมา ทันใดนั้นเอง!!!... มันรู้สึกเสมือนมีมือมากระชากขา มันตกใจมันสะบัดตวัดขาหนีนอนขดตัวตัวสั่นสะท้านมันพร่ำบอกว่า เแย่แล้ว!.. มันท่องมนต์เสียงดังขึ้นอีก “โปเยโปโลเย... โปเล... โอ๊ะ!!!...” ข้าแย่แล้ว!..ความรู้สึกเจ็บปวดที่กลางหลังพลันแล่นขึ้นมา แตกตื่นตะลึงลาน ตามมาด้วยเสียงอันเกี้ยวกราด

“เจ้า!!! เจ้า..บัดซบ เจ้ามาท่องบ่นเสียงดังอะไรในยามนี้ เจ้าเป็นแบบนี้จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร” เป็นเจิ้งหลี่ กระแทกไปอีกเป็นหนที่สอง กำลังหวดตามไปอีกครั้งในหนที่สาม พอเห็นมันเงียบไปแล้ว จึงชะงักเท้าไว้ แล้วทุกอย่างจึงสงบลง

“จิ้นเหอ!!! เจ้าตื่นได้แล้ว”เจิ้งป๋อตะโกนเข้ามาจากภายนอก

หลวงจีนน้อยขยี้ตาตื่นขึ้นมางัวเงีย ชะโงกศรีษะออกไปดู เห็นเป็นศิษย์พี่เจิ้งป๋อ มาตามมันไปทำครัว ภายในห้องครัวเจิ้งป๋อสอนมันหั่นผัก หุงข้าว ตั้งใจอธิบายทุกวิธีการทำโดยหวังว่ามันจะเป็นลูกมือที่ดี จิ้นเหออดนึกถึงเรื่องเมื่อคืนมิได้ จึงเอ่ยถามขึ้นมา

“ศิษย์พี่ ยามมืดค่ำท่านเคยได้ยินเสียงเหมือนคนกรีดร้องไหม แถมยังมีลูกสีสว่าง สลับส้มแดง?” มันพยายามอธิบายถึงสิ่งที่มันเห็นมา แต่ไม่กล้ากล่าวว่าจะแอบมากินอาหาร

“ออ..เสียงนั้น ข้าได้ยินอยู่ บางคืนไพเราะจับใจทำข้าหลับสบายยิ่งนัก” เจิ้งป๋อกล่าวเหมือนไม่สนใจที่จะรับรู้ มือยังบรรจงทำอาหารต่อไป มันเห็นในความตั้งอกตั้งใจสอนของเจิ้งป๋อ ทำให้มันไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรต่อให้มากความ

ยามบ่ายที่ว่าฝึกวิทยายุทธ มันเหมือนการออกกำลังกาย ตั้งท่าพื้นฐานกางขาออกย่อเข่า ต่อยหมัดสลับซ้าย ขวา เป็นแค่การฝึกพลังกายภายนอก เมื่อมีเวลาว่างจิ้นเหอ ยังคงไปหาหมิงลู่ พอเข้าไปในห้องเห็นป้านสุราวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนหมิงลู่กำลังเอาข้าวสารใส่ไห ท่าทางขะมักเขม้น หมิงลู่ เงยหน้าเห็นจิ้นเหอ

“เจ้ามาพอดีเลย ตักน้ำมาให้ข้าหน่อย พอเสร็จแล้วข้าจะแบ่งให้เจ้ากินด้วย” กล่าวจบยื่นไหอีกใบส่งให้จิ้นเหอ

“ข้าแวะมาเยี่ยมท่านอา” จิ้นเหอรับไหไป หลังจากตักน้ำกลับมา

“ท่านอากำลังทำสิ่งใดอยู่ เอาข้าวใส่ลงไปทำไม” กล่าวจบเดินไปหยิบซอมาคลำเล่นอยู่บนเก้าอี้ แต่ไม่กล้าลองสีคงกลัวไหจะปลิวมา


“ข้ากำลังทำข้าวแช่ ไหนี้เพิ่งทำมันจึงยังกินไม่ได้ ไว้ถึงเวลาเจ้ามาชิมดู รสชติมันช่างวิเศษนัก” หมิงลู่กล่าวสีหน้าสุขสำราญใจ


“แล้วป้านสุราบนโต๊ะท่านอา เอาจากไหน อ้อ..ข้ารู้แล้ว คงเป็นวันที่ท่านอาลงเขาไปเจอข้าถึงไม่ให้ข้าบอกท่านเจ้าอาวาสข้าคงเดาถูกใช่ไหม” จิ้นเหอกล่าวนึกสนุกที่เดาทางของหมิงลู่ถูก


“เจ้ากล่าวถูกแล้ว ฟืนแถวนี้มีเยอะนัก ที่ข้าลงไปก็เพราะเจ้าสิ่งนี้ การเรียนของเจ้าคืบหน้าถึงไหนแล้ว เจ้าเป็นหลวงจีนแล้วยามค่ำคืนเจ้าคงจะหิว ที่นี่มีแต่หมั่นโถ ข้าวต้ม กับผัดผักแค่นั้น หากเจ้าหิวจนทนไม่ไหวมาหาข้าได้ ท่านอาคนนี้จะหาของอร่อยให้เจ้าทาน” กล่าวจบเผยรอยยิ้มซ่อนเล้น ยกป้านสุราขึ้นดื่ม ชำเลืองมองไปที่จิ้นเหอคงรู้สึกเป็นห่วงมันอยู่บ้าง


“อาตมาทราบซึ้งยิ่งนักที่ประสกกับพระอาจารย์ท่านเอ็นดูอาตมา ตอนนี้อาตมาอ่านเขียนได้หลายคำอยู่ กฎของวัดไม่ให้ฉันอาหารหลังบ่ายอาตมามิกล้าไม่ปฎิบัติตาม” จิ้นเหอกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในสถานะภาพหลวงจีนผู้ทรงศิล

“ข้ากล่าวเหมือนไต้ซือหรือไม่ท่านอา?” จิ้นเหอกล่าวหัวร่อออกมาหยอกล้อเล่นกับหมิงลู่

“เจ้ากล่าวได้ไม่เลวนัก แต่เจ้ายังขาดความสำรวมคงเพราะเจ้าอายุน้อย” หมิงลู่กล่าวออกมา

ทั้งสองคุยเล่นกันอยู่พักใหญ่ จวบจนถึงเวลาที่จิ้นเหอต้องไปร่ำเรียนพระไตรปิฏกในช่วยบ่าย จึงต้องขอตัวแยกจากไป

ราตรีแห่งรัติกาลมาเยือนอีกครั้ง ความมืดเข้าปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ ต้นไม้สั่นไหวโอนเองเสียดสีจนเกิดเสียง ลมพัดกระโชกแรงใบไม้เคลื่อนคล้อย หยดน้ำพรมพรั่งโชยพัด หยาดฝนโปรยปราย ประกายแสงสีสว่างวูบวาบเหนือฟ้าในคืนราตรี เมฆหมอกบดบังไร้แสงดารา เสียงสั่นสะเทือนดังเลื่อนลั่น เสียงฟ้าพรั่นพรึงร้องคำราม หน้าต่างห้องสั่นไหวโบกโยกสะบัดเข้าออก เปลวเทียนส่ายสะบัดพลิ้วไหวตามกระแสลม แสงเทียนริบหรี่เงาดำพลิ้วไหว แสงฟ้าสาดประกายแลบแปลบแปลบ พลัน!!!เสียงดังลั่นสั่นสะท้านทรวง

“โปเยโปโลเย..โปเยโปโลเย...โปเยโปโลเย...” จิ้นเหอตื่นตะหนกขวัญผวากู่ตะโกนร้องท่องมนตร์ออกมา ตัวสั่นงันงกขดกำผ้าห่มแน่นคลุมโปง

“เจ้า!!! เจ้า อีกแล้ว...บัดซบจริงๆ พรุ่งนี้เจ้าไปนอนที่อื่นไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า” เจิ้งหลี่ตวาดเสียงอันเกรี้ยวกราดกระชากผ้าห่มคลุมหัวจิ้นเหอออก เงื้อมือหมายตบให้หายโมโห

“ผี!!!.. มันหลอกข้า..ศิษย์พี่ท่านช่วยข้าด้วย ท่านโปรดอย่า...ทุบตีข้าเลย ข้ากลัวแล้วศิษย์พี่เมื่อคืนมันก็มาหลอกข้า” จิ้นเหอกล่าววาจาลนลานสายตาเบิกโพงหวาดระแวง

“แล้วเจ้าท่องอะไรข้าได้ยินมิถนัด แต่ข้าคุ้นๆ อยู่?” เจิ้งหลี่เห็นมันกลัวมากขนาดนี้ จึงสงบใจลงเอ่ยถามถึงคาถาที่มันท่องออกมา

“คาถาป้องกันผี ท่านอาหมิงลู่บอกข้ามา” จิ้นเหอกล่าวตามความจริง

“เจ้าจะบ้าหรือ ไปเชื่อประสกหานเจ้าอย่าได้ท่องให้ข้าได้ยินอีก” เจิ้งหลีกล่าวเย้ยหยันก่อนเดินกลับไปที่เตียง

ฝนยังคงตกโปรยปรายต่อไป...

วันรุ่งขึ้นหลังจากทำภาระหน้าที่ยามเช้าเสร็จ จิ้นเหอได้มาหาหมิงลู่มันนัดแนะตอนไปหาบน้ำจะลงไปแช่น้ำในแอ่ง พอถึงเวลาศิษพี่ทั้งห้าคนแบกไม้คานขึ้นบ่า มีถังห้อยอยู่ที่ปลายทั้งสองข้างอยู่ข้างละหนึ่งใบ จิ้นเหอไม่ต้องช่วยแบก ไต้ซือเฉิงเจี๋ยอยากให้มันอ่านหนังสือออกก่อน ช่วงที่ศิษย์พี่กำลังแบกน้ำขึ้นเขาอยู่ หมิงลู่ ได้ลอบแอบเอาไม้แทงปลา

"บาปกรรม...บาปกรรม ในวัดเป็นเขตอภัยทาน ประสกลู่ท่านทำไม่ถูก อามิตรตาพุทธ” มันเหลียวดูหมิงลู่พลางส่ายหน้า คิดกล่าวอะไรต่อ มันนึกทบทวนข้อห้ามของพระ แต่มันยังคงนึกไม่ออกเลยต้องเงียบไป

“ข้าไม่ไหวหรอกท่านไต้ซือให้กินแต่ผักกับหญ้า มันต้องมีโปรตีน...หากเจ้าไม่บอกก็จักไม่มีใครรู้ ฮา ฮ่า” หมิวลู่ตอบกลับไปพร้อมเสียงหัวเราะ ยังคงมองหาปลาในแอ่งน้ำต่อ มันได้ตัวที่ต้องการแล้วจึงเอาไปแอบซุ่มไว้รอเวลากลับ แล้วกระโดดลงในน้ำแอ่งใหญ่ เสียงน้ำแตกกระจาย...

“เจ้าไม่ได้มาเล่นน้ำหรือไร ท่านไต้ซือใหญ่ อย่าทำเป็นคิดเทศนาข้าเลย ลงมาๆ” หมิงลู่กล่าวพลันกวัดแกว่งตวัดน้ำสาดไปที่ไต้ซือใหญ่ตรงหน้า จิ้นเหอรีบถอดจีวรออกเดินลงมาเล่นน้ำ หมิงลู่จ้องมองไปที่เจิ้นเหอ เห็นตามตัวมันปรากฎบาดแผลเป็นอยู่หลายแห่ง ที่คอมีวัตถุห้อยอยู่ จึงเกิดความสงสัยเอ่ยกล่าวถามขึ้นมา

“แผลเป็นพวกนี้มาจากไหน ขอข้าดูหน่อย?” หมิงลู่กล่าวจบจับตัวจิ้นเหอ หมุนดูด้านหน้า ด้านหลังอีกทั้งแขนขา ภายในใจครุ่นคิดมันไปโดนไฟคลอกมาหรือไง ถึงได้มีบาดแผลมากมาขนาดนี้ ตรงหัวไหล่ด้านซ้ายมีรอยสักสีดำ มีลูกนัยน์ตาอยู่ในรูปทรงสามเหลี่ยม มีอักขระหุ้มล้อมรูปสามเหลี่ยมเอาไว้ วัตถุประหลาดตรงคอมันเป็นคริสตันสีดำ มองเห็นผลึกหลายชั้น เจียรไนหลายเหลี่ยมมุม ตัวสร้อยสีเงินดำ ดูไปเป็นเส้นเดียวอ่อนนุ่มหยุ่นตัว โค้งงอไปตามธรรมชาติมีลวดลายสลักวิจิตรลี้ลับตระกาลตา คงไว้ซึ่งความน่าฉงนใจ

“บาดแผลกับสร้อยนี่มีความเป็นมายังไง?” หมิงลู่ถามใคร่รู้

“ข้าไม่ทราบ อย่างที่ข้าเคยบอกท่านข้าจำความไม่ได้เลย มันติดตัวข้ามาแบบนี้ เฮ้อ...” จิ้นเหอตอบพร้อมทำท่าขบคิดพลางถอนใจออกมา ที่ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

“อ่า...ช่างเถอะ “ พลันได้ยินเสียงพวกไต้ซือเดินลงเขามากันแล้ว

“รับ!!!... ฝ่ามือยูไลพิฆาตเณร” หมิงลู่ตะโกนออกมา พลันพุ่งฝ่ามือเหนือผิวน้ำซัดใส่ใบหน้า เจิ้นเหอมันอ้าปากค้างน้ำเข้าเต็มปาก เลยตอบโต้คืนโดยโกยน้ำด้วยสองมือ ซัดกันหนักหน่วงหลายกระบวนท่า ระหว่างนั้นศิษพี่ทั้งหลายลงมาจากเขาแล้ว ทั้งหมดลงไปเล่นน้ำกัน แผ่นน้ำแตกกระจายสาดกระเซ็น เสียงอึกทึกด้วยความครื้นเครงฝ่ามือน้ำปรากฎขึ้นมาอีกหลายสิบท่วงท่า หยอกล้อควักน้ำสาดใส่กันเป็นที่สนุกสนาน

---------------------------

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา