บันทึกปริศนา เรื่องลี้ลับของลิซ่า
เขียนโดย Jabberwocky
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.29 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2559 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) เสียงเพลง (บทกล่องของขวัญสีเลือด)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ บลัดดี้แมรี่ ฉันลิซ่า เด สแตรนโฟเดีย อยากจะคุยกับเธอ”
แล้วไม่นานนักตรงหน้าของผมที่มีแต่สีดำอันมืดมิดโดยมีแต่ไฟจากเทียนของคุณลิซ่าเท่านั้นก็เริ่มเปลี่ยนไป กระจกที่ดูเป็นสีดำเริ่มมีบางอย่างปรากฎขึ้นมาเธอเป็นหญิงสาวใส่ชุดเดรสสีแดงเลือดหมูและผิวที่ขาวซีดจนหน้าขนลุก
“ลิซ่าหรอ...ใช่ลิซ่าที่ฉันรู้จักรึเปล่า”ผีที่อยู่ในกระจกพูดขึ้นมาด้วยนำ้เสียงน่ากลัว
“ก็ได้ยินชื่อแล้วนี่ ฉันอยากถามอะไรเธอหน่อย”
“เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“เมื่อวันอังคารที่26 มิถุนาที่ผ่านมาตอนเที่ยง เธอตามเด็กกลุ่มนึงไปงานปาร์ตี้วันเกิดด้วยรึเปล่า” พวกเธอดูพูดคุยกันสนิทสนมเหมือนเพื่อนเก่ากัน แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นตำนานบลัดดี้แมรี่คนนี้
“ฉันไม่ได้ไปไหน ก็เห็นอยู่ว่าฉันต้องสิงอยู่ในกระจกไม่ได้มีร่างเนื้อแบบเธอ!!”
“ฉันไม่ได้มาเพื่อทำให้เธอโกรธนะแมรี่ งั้นเอางี้ ที่บ้าน97/100 หมู่บ้านลีลาวดี บ้านของนายภักดิเรก”
“จะถามว่าใครเป็นคนฆ่าเด็กที่นอนตามอยู่ในห้องงั้นหรอ”
“อีกศพนึงอยู่ในตู้เก็บอุปกรณ์ทำสวนหลังบ้านด้วย”
“ถ้าเป็นที่ๆไม่มีกระจกเงาฉันก็มองไม่เห็นหรอกน่า!”
ทุกครั้งที่หล่อนขึ้นเสียงอารมณ์เสีย ผมรู้สึกว่าหัวของคุณลิซ่าจะหลุดออกจากบ่าอีกรอบทุกครั้งเลย
“ใช่ๆฉันรู้ๆนั่นแหละ”
“พ่อของเธอเอง...กับ..ผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่แม่ของเธอ”
“เป็นแม่มดใช่มั้ย”
“ใช่..แม่มดของพวกซาตาน..”
“เข้าใจล่ะ ก็ไม่แปลกที่ทั้งบ้านนั้นจะถูกลงภาพมายาเอาไว้ โชคดีแค่ไหนกันเชียวที่หมูไม่เป็นอะไร”คุณลิซ่าพูดด้วยนำ้เสียงระรื่นเพราะเธอเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นทุกที ผิดกับคนอื่นๆรวมทั้งผมด้วย
“ที่เหลือก็ให้ตำรวจจัดการไป เอาล่ะคำถามต่อไป”แล้วคุณลิซ่าก็ลากสังคมที่นั่งสั่นเป็นจ้าวเข้ามาอยู่หน้ากระจก
“เธอจำผู้ชายคนนี้ได้มั้ย”
“ฮืม...”เธอยื่นหน้าที่ซีดเซียวจ้องมองใบหน้าของสังคม “ใช่..จำได้สิ หมอนี้มันเป็นพวกถ้ำมอง เด็กผู้หญิงเข้าห้องนำ้ หิๆๆๆๆๆๆๆ”
“เหวอออ!!!”
“อะไรเนี้ย ฉันลืมถามแกไปได้ยังไงล่ะเนี้ย”คุณลิซ่าเอามือทาบแก้วทำหน้าเล่นสนุกก่อนจะกลับมาหน้าตาเคร่งเครียดอีกครั้ง
“แกได้ริบบิ้นพวกนี้มาจากใคร” คุณลิซ่าดึงริบบิ้นจากกล่องของขวัญสีฟ้าออกมาโชว์ให้สังคมดู
“ชะ..ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้”
“อย่ามาตอบว่าไม่รู้!!”
“ฉัน..ฉันไม่รู้จริงๆ....”เขาเริ่มร้องไห้เหมือนเด็กๆ เขาเป็นคนที่อยู่เบื่องหลังทุกอย่างแน่หรอ หรื่อแค่เป็นหมากตัวนึงของผู้ที่อยู่เบื่องหลังตัวจริง
“แม่รี่ เธอว่าไง”
“ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันจะรู้ล่ะฮะ”
“ก็โลกของเธอเชื่อมต่อไปทั่วทุกที่ที่มีกระจกอยู่นิ อย่างน้อยก็ต้องเห็นว่าใครเป็นคนเขียนมันขึ้นมา ขอเถอะแมรี่”ท่าทางของคุณลิซ่ายังกับเด็กที่ไม่ได้ของเล่น เธอมักทำให้ผมทึ้งกับท่าทางอันหลากหลายของเธอตลอดเลย
“ถึงเราจะเป็นแม่มดขาวเหมือนๆกัน แต่ว่าฉันก็ไม่ได้มีความจำที่ดีขนาดเธอนะ แล้วยัยพวกแม่มดดำพวกนั้นฉันก็ไม่อยากจะยุ่งด้วยซักนิด”
“ถือว่าหนูขอร้องล่ะค่ะ...”เสียงเล็กจากหมูเดินมาหน้ากระจกด้วยความกลัว ”หนูจะช่วยแก้ข่าวน่ากลัวๆของคุณให้ ฮึก... ขอร้องล่ะค่ะ ช่วยพวกเราด้วยเถอะ”
เธอคุกเข่าอ่อนวอนบลัดดี้แมรี่ที่เป็นตำนานสยองขวัญคนนั้น ถึงแม้หล่อนจะมีหน้าตาหน้ากลัว
แต่ว่า...
“ขอโทษจริงๆนะหนูน้อย ฉันไม่รู้จริงๆ มีแต่พวกเธอเท่านั้นที่จะหาความจริงนี้ได้ ฉันก็ช่วยได้เท่านี้แหละ ฉันไปก่อนล่ะ”
“ไม่เอาน่าแม่รี่ อีกนิดเดียว..อีกนิดเดียวเท่านั้น...”
แล้วเปลวเทียนก็ดับลง ไฟห้องนำ้ที่ดับก็กลับมาสว่างอีกครั้ง ทุกอย่างก็จบลงด้วยความเงียบงัน คุณลิซ่าถอนหายใจก่อนจะเริ่มยีหัวของเธออีกครั้งด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่สิ่งที่ทำลายความเงียบกลับเป็นเสียงหัวเราะของฆาตกรเลือดเย็นที่นั่งเก้าอี้อยู่ตรงนั้น
“ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ขำอะไรของแกอีก”สารวัตรมองเขาด้วยหางตา
“ตอนนี้เวลาอะไรแล้วรู้มั้ย...”
คำพูดของเขาทำให้ผมมองนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้ประมาณสี่ทุ่มกำลังจะห้าทุ่ม เขาวางแผนอะไรไว้อีกกันแน่ แล้วจากนั้นก็มีเสียงเพลงบรรเลงเปียโนออกมาจากลำโพงของโรงเรียนเหมือนเป็นเสียงเล่นจากห้องโสต
“โทษทีนะพวกนายทุกคน”จู่ๆคุณลิซ่าก็พูดแบบนั้น
แป๊ะ!!
คุณลิซ่าดีดนิ้วของเธอและเสียงเพลงที่ผมได้ยินก็หายไป ตอนแรกผมคิดว่าเธอทำให้เพลงหายไป แต่ไม่ใช่เลยมันยังเล่นอยู่แต่ผมเองต่างหากที่ไม่ได้ยิน
“คะ..คุณลิซ่า ทำอะไรน่ะครับ”แม้แต่เสียงของผมเอง ผมก็ไม่ได้ยิน
“………………..”เธอพูดอะไรบางอย่างแต่ผมไม่ได้ยินเลย และดูเหมือนว่าคนอื่นๆจะเป็นเหมือนผม จากนั้นเธอก็อุ้มหมูขึ้นมาและโยนให้ผม เธอกวักมือเป็นสัญลักษณ์ให้เราตามเธอไป ผมเลยอุ้มหมูตามเธอไปโดยมีสารวัตรที่ลากสังคมมาด้วย
บรรยากาศรอบตัวผมมันดูหนาวและวังเวงไปหมดและเหมือนกับว่าผมจะเห็นเงาสีขาวมากมายเดินผ่านเราไปมา
“อะไรกัน นี้มัน..วิญญาณงั้นหรอ”ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาของผมเอง พร้อมๆกับหมูที่หลับตาปี๋ด้วยความกลัว พวกเราตรงไปที่ห้องดนตรี ผมจำได้ว่าห้องนี้กันเสียงจากภายนอกได้ด้วย เธอเองก็คงสังเกตไว้อยู่แล้วเลยนำพวกเรามาที่นี่
“…………..”เธอพูดบางอย่างและดีดนิ้วของเธออีกครั้ง “เป็นไงบ้างได้ยินแล้วใช่มั้ย”
“คะ..ครับได้ยินแล้ว แต่ว่าเมื่อกี้นี้..”
“ดนตรีพวกนั้นกระตุ้นการทำงานของประสาท โดยใช้คลื่นเสียงสูงจูนเข้ากับระบบประสาท ถ้าใช้อย่างถูกวิธีก็เป็นดนตรีบำบัดโรค แต่ว่าถ้าใช้ในวัตถุประสงค์กลับกันก็คือให้ความถี่ที่สูงกว่าปกติก็จะทำลายระบบประสาท”
“งั้นไอพวกที่เหมือนเงาขาวๆนั่นเป็นเพราะเสียงงั้นเหรอ”
“ก็มีแต่ต้องถามเจ้าตัวเท่านั้นแหละ” เธอชายตามองไปที่สังคม เขานั่งเงียบอยู่นานทีเดียวเหมือนกับถูกสะกดจิต
“คุณลิซ่าครับ คุณไม่ได้ทำให้เขาไม่ได้ยินหรือครับ”
“ไม่ ฉันคิดว่าเขาเป็นคนคิดเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อตลบหลังพวกเรา แต่ดูเหมือนฉันจะคิดผิด เขาไม่ได้เตรียมแผนอะไรไว้เลย เขาก็แค่เบี้ยตัวนึงไม่ต่างอะไรกับภักดิเรก”
“เราจะทำยังไงต่อดีล่ะครับ เขาแน่นิ่งไปแล้ว”
“งั้นก็ต้องทำให้มันตื่นขึ้นมา”
“สารวัตรครับ!!”ผมรีบห้ามสารวัตรก่อนที่เขาจะทำให้สังคมตายก่อน
แล้วคุณลิซ่าก็เดินวนไปวนมาในห้องสี่เหลื่ยมอันนี้ โดยทิ้งให้ผม สารวัตรและหมูยืนรอคำตอบอย่างมีความหวังเล็กๆน้อยๆผมมองไปยังสังคมที่ยังไม่ขยับแม้แต่นิ้ว ผมไม่รู้เลยว่าถ้าคุณลิซ่าไม่ช่วยพวกเราเอาไว้ พวกเราอาจจะไม่ได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกเลยก็ได้
แต่ในที่สุดเธอก็หยุดและเดินมาที่เปียโน เธอกดตัวโน๊ตหลายๆตัวเพื่อดูว่าอาการของสังคม จนมาหยุดที่ตัวซอลสูงดูเหมือนว่าเขามีปฏิกริยาตอบกลับ
“สังคม...”
ตึ้งงงงงงง....
เธอกดโน๊ตซอลค้างไว้แป๊ปนึงก็จะเริ่มพูด
“นายได้ยินเสียงของฉัน..”
ตึ่งงงงงงง...
“นายจะรู้สึกเบาสบาย ร่างกายจากเท้าขึ้นมาที่ขา หัวเข่า หน้าท้อง มือทั้งสองข้าง ไหล่ และหัวของนายจะเบาลงๆตัวของนายกำลังลอยอยู่ในความทรงจำของนาย”
ตึ่งงงงงง...
“บอกฉันสิว่านายเห็นอะไร”
“ความมืด...ข้างในมันมืดไปหมด..ฉัน...ไปที่ไหนไม่ได้เลย”
ในที่สุดผมก็เข้าใจจนได้ว่าคุณลิซ่ากำลังพยายามสะกดจิตสังคม ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย และดูเหมือนว่านี้เป็นครั้งแรกของคุณลิซ่าเหมือนกันที่ต้องสะกดจิตคน ไม่ใช่เข้าไปในจิตใต้สำนึกคนอื่น
ตึ่งงงงงง...
“ฉันอยากให้นายไปยังแสงสว่างที่อยู่ด้านหลัง นายจะเห็นคนๆนึงที่นายรักมากๆ”
“เห็นแล้ว ฉัน..ฉันเห็นเธอแล้วว ฮะๆๆๆๆ”
“บอกได้มั้ยว่าเธอเป็นใคร”
“วิว...เธอเป็นเด็กดีมาก ฉันรักเธอ....ชุดนักเรียนนั่นเหมาะกับเธอมาก...”
ตึ้งงงงงง....
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
“เธอ...เธอตาย...โอ้ไม่..เลือดของเธอไม่หยุดไหลเลย นังเด็กนั่นต้องชดใช้นังแก๊งเด็กนั่นนนนน!!ย้ากกกกกก!!”ร่างกายของสังคมสั่นไหวเหมือนอยู่ในฝันร้าย เขาเหมือนจะรับไม่ไหวแล้ว
“ตายได้ยังไง”
“เธอ..ฆ่าตัวตาย ทั้งหมดเพราะไอการเล่นบ้าๆนี้ เพียงเพราะเธอจับฉลากแล้วต้องเป็นคนใช้ในห้อง ฉันจะแก้แค้น ไอแก๊งเจ้าหญิงนั่น ฉันจะแก้แค้นนนนนนน!!!”
“คุณลิซ่าครับ!! พอเถอะครับ”
“ใครที่ช่วยนายแก้แค้น ใครที่ให้พลังกับนาย บอกมา!!!”
“อ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!”
ทันใดนั้นสังคมก็คอตกอีกครั้ง ร่างกายที่เคยสั่นเหมือนจ้าวเข้าก็หายไป สารวัตรรีบเข้าไปเช็คอาการและดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามที่ผมคาดเอาไว้
“เขาตายแล้ว...”
“อึก...”ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าสมควรแล้วหรือไม่สมควรดี
“ไม่เอาแล้วว หนูอยากกลับบ้านแล้วววว”
หมูเริ่มทนไม่ไหวกับวันที่แย่ที่สุดของเธอ เธอคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับไปอีกหลายวัน ผมเองก็คงไม่ต่างกันเท่าไรนักถึงแม้เขาจะเลวทรามขนาดไหนก็ตายเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรัก ความโกรธ ความโลภ และหลง
ผิดกับคุณลิซ่าและสารวัตรเมธีที่มองเป็นแค่งานไม่ใส่ความรู้สึกส่วนตัวลงไป หรืออาจจะเรียกว่าเอือมละอาก็ว่าได้ บางทีในคดีนี้ผมเองก็เห็นอะไรมามากจนเกิดความรู้สึกแบบนั้นก่อนที่จะถูกลบความทรงจำไปก็ได้ แต่ว่าความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้ มันคือความว่างเปล่า...
“คนที่เปิดเสียงโสตนั่น ต้องเป็นคนร้ายตัวจริงแน่ๆ แต่ว่าขืนออกไปตอนนี้แม้แต่ฉันเองก็คงกลายเป็นบ้าไปแน่ๆ”คุณลิซ่าพูดบ่นทำลายความเงียบ
“เราจะอยู่ที่นี่จนเช้าเลยเหรอคะ หนูไม่เอาด้วยนะ หนูจะกลับบ้านนน!”
“อือออออออออออออออ!!!เงียบเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
คุณลิซ่าเริ่มเดินวนคิดหาทางออกไปรอบๆอีกแล้ว บางทีการทำแบบนี้ของเธอก็ทำให้ผมเวียนหัวเหมือนกัน
ในขณะที่ยังไม่รู้ทางออกของเรื่องนี้ ผมก็หันไปถามหมู
“อยากโทรหาพ่อกับแม่มั้ย หมู”
“พวกเขาไม่รับหรอกค่ะ ป่านนี้แล้ว”
“ต้องรับสิ ถ้าเป็นลูกของพวกเขาล่ะก็ ต้องรับแน่เลย”
“จริงหรอคะ”เธอสูดนำ้มูกและจะรับโทรศัพท์จากผม แต่ว่า...
เปรี้ยงงงง!!
เสียงฟ้าผ่าดังไปทั่วเกิดเป็นแสงแปล็บๆเข้ามาทางหน้าต่างห้อง ไม่รู้ทำไมแต่ว่าผมมองเห็นเงาสีขาวนั้นชัดเจนขึ้นเป็นเด็กผู้หญิง เสียงร้องเพลงแปลกๆดังขึ้นๆและดังขึ้นจนเหมือนว่าห้องเก็บเสียงอย่างห้องดนตรีนี้จะไม่ช่วยอะไรพวกเราอีกต่อไปแล้ว
“คุณลิซ่าครับ!!!”
“ไอเงาขาวๆพวกนั้นใช่ภาพหลอนงั้นหรอ หรือว่าไม่ใช่ เวลาใกล้เทียงคืนหรือวันใหม่ของวันเสาร์”
“คุณลิซ่าครับ ไม่มีเวลาแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างล่ะก็...”
“การปรากฎตัวของวิญญาณ แก้แค้น คำสาปแช่ง ริบบิ้น เด็ก ผ่าท้อง เสียบแทง การหั่นเป็นสองท่อน วันทั้งเจ็ด สีของกล่อง ดาวเจ็ดแฉก...”เธอบ่นพึมพำไปมาๆและเธอก็หยุดลง
“สังเวยเพื่อบูชายัญ...”ดวงตาของเธอเบิกโต เธอดูแตกตื่นอย่างที่เคยเป็นมาก่อน
“บูชายัญงั้นเหรอครับ”
“เพราะว่าที่แล้วๆมา ไม่เคยทำสำเร็จ ถึงได้ทำใหม่อีกครั้งอีกครั้งอีกครั้งและอีกครั้ง”เธอเริ่มกัดเล็บของเธออีกครั้งและมองมายังหมูที่นั่งกอดเขาอยู่บนสเตรจ
“เธอไม่ได้ไม่ถูกหมายหัว แต่เป็นเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อประดับดาวให้เต็ม เพื่อนคนที่เจ็ดที่แก๊งเจ้าหญิงเป็นคนฆ่า”
“หมายความว่ายังไงครับ”
เธอมองไปยังเหล่าเงาเด็กหญิงสีขาวที่เดินไปมาระหว่างทางเดินโดยไม่ได้เข้าในห้องแต่อย่างใด
“พวกเขากำลังขอเธออยู่ รอให้เธอไปอยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อชุบชีวิตของเด็กคนนั้นที่ไอแก่นี่พูดถึงวิว...”
“ชุบชีวิตเนี้ยนะครับ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
“ The Raising of Lazarus.…”
“ภาพสีนำ้มันใช่มั้ยครับ”
“ใช่แล้ว..ได้มีการกล่าวในพระวรสารนักบุญจอห์นว่านักบุญลาซารัสพี่ของมาร์ธาและนักบุญแมรี แม็กดาเลนที่ล้มป่วยและเสียชีวิตนั้นถูกชุบชีวิตโดยพระเยซู”
“แต่ว่านั้นมันเป็น...พระเยซู พระองค์มีฤทธิ์อำนาจมากมาย ย่อมทำได้แต่ว่า...”
“เพราะไม่มีเท่าพระองค์ถึงได้ต้องหวังพึ่งพลังจากมารซาตานไงล่ะ มารยังสามารถล่อลวงมนุษย์ให้ออกจากสวนเอเด็นได้ แล้วกับอีแค่ชุบชีวิตด้วยความชั่วร้ายจะทำไม่ได้งั้นเหรอ”
“นี้ก็เลย..กลายเป็นการบูชายัญอย่างนั้นเหรอครับ”
“งานนี้มนุษย์ธรรมดาทำอะไรไม่ได้แน่...”
“แล้วคุณลิซ่าจะทำยังไงครับ บอกผมมาได้เลย ผมพร้อมช่วยคุณนะครับ”
“อักษร...”ดวงตาของเธอเศร้าสร้อย เธอมองผมและยิ้ม
“ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย”
“งันก็เชื่อและศรัทธาในตัวเอง ในพระเจ้า แล้วก็คนรอบๆตัวคุณสิครับ!”
ถึงแม้ว่าผมจะอ่อนแอเป็นแค่มนุษย์ที่ผ่ายแพ้ให้กับทุกอย่างบนโลกใบนี้แต่ว่า..ผมก็อยากจะทำให้เต็มที่อย่างน้อยก็เพื่อตัวผมเอง ที่จะไม่กลัว ไม่ทิ้งความเชื่อมั่นที่มีไป
“อืม! งั้นมาเริ่มกันเลยเถอะ ขอพระเจ้าอวยพระพร”
“ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ คุณลิซ่า”
“หมู..”คุณลิซ่านั่งยองและจับมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น “เธอ..เชื่อในพระเจ้ามั้ย”
“เอ๊ะ..หนู...”
“ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยเชื่อในตัวฉันนะ เชื่อในตัวทุกๆคนที่จะช่วยเหลือเธอ และที่สำคัญที่สุดเชื่อในตัวของเธอเอง เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ...หนู..หนูจะพยายาม..”
คุณลิซ่าผ่อนลมหายใจในเธอใจเย็นลงและเริ่มบอกสิ่งที่เธอคิด
“ปัญหาแรกเลยที่ก็คือเสียงเพลงที่ออกจากลำโพง เราจะต้องปิด..ไม่สิพังมันให้ได้ มีใครพอจะรู้บ้างว่ามันอยู่ที่ไหน”
“อยู่ข้างห้องประชุมค่ะ”หมูพูดขึ้นในขณะที่พยายามลุกขึ้นยืน “มันอยู่อีกตึกถัดไปค่ะ เป็นตึกมัธยม อยู่ชั้นสอง”
“งั้นฉันจะไปปิดให้เอง”สารวัตรพูดพรางค้นหาอะไรบางอย่างในตู้เก็บของ และเขาก็เจอกับหูฟัง มันน่าจะช่วยกันเสียงข้างนอกได้ไม่มากก็น้อย
“นายแน่ใจนะว่าจะไปคนเดียวน่ะ”
“เธอน่ะรับมือกับเรื่องใหญ่ๆไปเถอะ เรื่องเล็กๆน่ะ ฉันจัดการเอง”
แล้วสารวัตรก็ใส่หูฟังอันใหญ่ที่ใช้สำหรับอัดเสียงนั้นออกไปและปิดประตูให้อย่างรวดเร็ว เราไม่รู้เลยว่าเขาจะกลับมาหรือไม่แต่ สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็คงเป็นการทำความเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้น
“แล้วไอเงาสีขาวพวกนั้นจะไม่ทำร้ายเราหรือครับ”
“เงาสีขาวพวกนั้นน่าจะเป็นวิญญาณของเด็กๆที่ตายไปแล้วนะ”
“เอ๋?รู้ได้ยังไงกันครับ”
“ดูให้ชัดๆสิ เด็กพวกนั้นใส่เสื้อผ้ายังไง”
ผมมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง เพ่งมองไปที่เงาสีขาวที่คล้ายกับเด็กผู้หญิงพวกนั้น ที่สุดแล้วผมก็เห็นหน้าตาของเด็กแต่ละคนในชุดที่แตกต่างกันออกไป เหมือนแม่บ้าน อัศวิน พ่อค้าแม่ค้า บางคนก็เหมือนขอทาน นอกจากเป็นเด็กผู้หญิงแล้วบางคนยังมีหัวเป็นสัตว์อีกด้วย
“แสดงว่านั่นก็คือ...วิญญาณของตัวแทนแก๊งเจ้าหญิงในแต่ละคาบเกี่ยวของเดือนงั้นหรอ”
“เดือนนึงมีสองสัปดาห์ที่เกิดคาบเกี่ยวคราวที่แล้วๆมาเหมือนว่าจะมีเด็กตายไปได้ประมาณ12คน หรือก็คือวันละคนนั่นแหละ”
“ยะ..เยอะขนาดนั้นเลย”
“งั้นเรามาดูกันชัดๆเลยดีกว่า”
คุณลิซ่าหยิบหนังสือรุ่นและรายชื่อเด็กประจำชั้นที่มีเป็นปึกออกมาจากกระเป๋าที่หมูสะพายมาด้วย เธอหยิบปากกาเเดงขึ้นมา
“โมโม่ชื่อจริงชื่ออะไร”
“นภัษสร พึงมีรักษา...”เธอพูดด้วยเสียงเศร้า และคุณลิซ่าก็ใช้ปากกาแดงอันนั้นขีดฆ่าชื่อของเธอในใบรายชื่อทุกแผนและในกาใบหน้าของเธอในรูปถ่ายหนังสือรุ่นด้วย
“นี้คือการเปรียบเทียบนักเรียนที่ตายแล้วหรือครับ”
“หัวไวเหมือนกันนี่เราน่ะ”
“นี้มันใช่เวลามั้ยครับ...” ผมเหนื่อยใจกับนิสัยชอบแซวของเธอ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“รายชื่อเด็กประจำชั้นพวกนี้เยอะมากเลยนะครับเนี้ย มียี่สิบกว่าแผ่นแน่ะ”
“หนูก็สังเกตเห็นเหมือนกันค่ะ เพราะทุกวันจะมีการเช็คชื่อมาโรงเรียนแต่ว่าทุกเดือนที่มีการผิดพลาดขึ้นเช่นชื่อคนนั้นหายคนนี้หาย แล้วก็ชื่อเกินไม่รู้ของใครอะไรแบบบนี่น่ะค่ะ”
“เสร็จแล้วคนเป็นครูก็จะเอาเรื่องไปให้ห้องทะเบียบพิมพ์ชื่อใหม่ เป็นแบบนี้ทุกเดือน ฉันก็เลยขโมยรายชื่อพวกนี้มาจากโต๊ะของอาจารย์ประจำชั้นนั่นแหละ”
แล้วเธอก็เอากระดาษทั้งหมดมาเขียนสรุปจำนวนคนตายในแต่ละเดือน ซึ่งเมือดูริมขวาล่างก็จะเห็นวัน เดือน ปีที่พิมพ์ เธอเอาใบรายชื่อของสองปีที่แล้วมารวมกับปีนี้ด้วย ดูเป็นงานหนักเอาการ
“นี้ไงล่ะ หายไปทีละ 12 คนจริงๆด้วย หรือก็คือ สัปดาห์แรก 6 คนสัปดาห็ที่สองอีก 6 คน วันที่เกิดการใช้ของขวัญนั่นน่าจะเป็นวันอาทิตย์แล้วก็ไล่ไปจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ ซึ่งหากพิธีชุบชีวิตสำเร็จ สมาชิกคนที่เจ็ดคนนั้นก็จะตื่นขึ้นมาในวันเสาร์ วันแห่งสิ่งชั่วร้าย”
“ถ้าอย่างนั้นเด็กคนแรกที่ตายก็ต้อง...”
“ก่อนเกิดวงจรวิบัตินี้ หรือก็คือ...เด็กคนนี้ไงล่ะ”
เธอวงไปที่ชื่อเดียวในใบรายชื่อเมื่อสองปีก่อน ชื่อของเธออยู่ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมในปีนั้นคือพฤษภาคมจนถึงตุลาคม แล้วจู่ๆชื่อของเธอก็หายไปในรายชื่ออันใหม่ที่ถูกพิมพ์ในการเปิดเรียนที่สอง หรือปลายเดือนตุลาคม
แล้วจากนั้นใบรายชื่อในปีนั้นหลังจากที่เธอตายก็ถูกตีพิมพ์ใหม่ซำ้แล้วซำ้อีกจนมีมากถึงขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นฝีมือของ...สังคมงั้นเหรอ
“เด็กต้องมาตายถึง 251 คน โดยนักวางแผนจอมวายร้ายร่วมมือกับผู้รับใช้ซาตาน..ทั้งหมดเกิดจากการฆ่าเพื่อนกันเองของเด็กกลุ่มนึง...”
“นั้นคือที่มาของตำแหน่งในห้องงั้นเหรอ..โหดร้าย..โหดร้ายจริงๆเลย..”
วิทิตา สุวรรณรักษ์...ผมเปิดดูหนังสือรุ่นเผื่อจะเจอเธอแต่ไม่มีชื่อเธออยู่เลย ถึงจะหาเท่าไรก็หาไม่เจอ กับใบหน้ายิ้มสดใสของเด็กๆที่ไม่รู้สึกตัวกับรอยขีดฆ่าใบหน้าของเด็กมากมาย
ถึงผมจะเป็นแค่คนนอกแต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ หรือบางทีก็เศร้าเกินไปเก็กทังหมดที่ถูกขีดฆ่ากลับกลายเป็นเหยื่อสังเวย มันไม่ยุติธรรมเลยซักนิด
“คุณลิซ่าครับ...ผม..อยากช่วยให้เด็กพวกนั้นหลุดพ้น ผมจะต้องทำยังไง..”
คุณลิซ่าเงยหน้ามองผม เธอยิ้มและลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจของเธอ
“ถ้าบทเพลงที่ลำโพงเปิดอยู่นั้นเป็นเพลงแห่งความตายแล้วล่ะก็ นายก็ต้องเล่นเพลงแห่งชีวิตให้พวกเธอ..”
“เพลงแห่งชีวิต..งั้นหรอครับ”
“ไม่ลองไม่รู้หรอก อักษร หมู มาช่วยกันเข็นเปียโนออกไปกันเถอะ”
“เอ๋? เปียโนอันนี้น่ะหรอคะ”
“พื้นเป็นรอยก็ช่างมัน เอาให้ออกไปข้างนอกได้ก็พอ”
ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะเปียโนในห้องนี้มันคือเปียโนแกรนด์ประมาณ 3-4ฟุตได้ ก็มีแต่ต้องทำตามที่คุณลิซ่าบอก พวกเราดันเปียโนแกรนด์หลังนี้ออกไปทางหน้าประตู
“หนักจังเล้ยยย!” เธอสั่งเองและบ่นเองตามฉบับ
“หมู ไปเปิดประตูเร็ว”
“ค่ะ!”หมูตอบรับแล้วรีบวิ่งไปเลื่อนประตูให้กว้างที่สุด ผมกับลิซ่าดันมันออกมาได้สำเร็จ แต่ก็รู้สึกได้เลยว่าแขนและไหล่ของผมมันปวดไปหมด
เพลงที่ออกจากลำโพงก็ยังไม่ถูกปิด เสียงของเงาเด็กสีขาวร้องเพลงบางอย่างที่หน้าขนลุก ถ้าผมทนฟังมันต่อไป ผมคงกลายเป็นบ้าไม่ต่างกับสังคมแน่ ผมรีบเอามือปิดหูให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อักษร เล่นเลย!!”คุณลิซ่าดึงมือที่ปิดหูและตะโกนเตือนผม ผมนั่งลงกับเก้าอี้ และเริ่มคิดถึงเพลงอะไรก็ได้ที่ผมเล่นได้โดยไม่ดูโน๊ต ผมลนลานไปหมดรอบข้างพวกเราเองเงาสีขาวก็ล้อมรอบพวกเรา
“คุณอักษรคะ เร็วเข้า!!!”
“เล่นเพลงที่พ่อนายสอนสิ เพลงที่ทำให้นายนึกถึงพ่อนายน่ะ!!!”
เพลงที่ทำให้นึกถึงพ่อของผม... ผมทำใจให้สบาย ขจัดเสียงรอบข้างที่ดังสนั่นก่องหูของผม ผมนึกถึงเพลงMoonlight Sonata ของ Beethoven มันเป็นเพลงแรกที่พ่อสอนผมเล่น และเป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดเหมือนกัน
เสียงเปียโนทำให้ผมนึกย้อนไปวันเก่าๆที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นผมอายุแค่ 8 ขวบ พวกเราห้าคน พ่อแม่ สีคราม สีฟ้า และตัวผม ร้องเพลงมีความสุขกันมากเลย ทุกคนชอบเสียงดนตรีที่ผมเล่นมาก
เพลงMoonlight Sonata เป็นเพลงที่ตอนแรกมีเรื่องเศร้าแต่แล้วเราก็จะกลับมามีความสุขได้ในตอนจบ เหมือนกับชีวิตของเราที่เมื่อเจอเรื่องลำบากยากเข็นขนาดไหน เราก็จะผ่ามันไปหาความสุขได้
คำพูดของพ่อผมและเสียงดนตรีเป็นเหมือนเครื่องดำเนินชีวิตของผม ผมเล่นมันเหมือนที่เคยเล่น ไม่ใช่เพราะต้องทำ แต่เป็นความต้องการของผม ผมสัมผัสได้ถึงเหงื่อที่ไหลรินออกจามขมับของผม จมูก ซอกคอ นิ้วมือ ไปจนถึงเท้า ผมไม่รู้ว่ามันยาวนานเท่าไรแล้วแต่ว่ามือของผมก็ยังคงดีดคีย์บนเปียโนตัวนี้ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ
จนกระทั้งตัวโน๊ตตัวสุดท้ายดังขึ้น ผมก็ตื่นจากผวัง ผมมองไม่รอบๆไม่มีเงาสีขาวไม่ได้ยินเสียงเพลงจากลำโพง หรือแม้แต่เสียงของฟ้าที่ผ่า ทุกอย่างดูกลับสู่สภาวะปกติ
“สำเร็จ สำเร็จแล้วใช่มั้ยคะ!!”หมูตะโกนด้วยความดีใจ แล้วไม่นานนักสารวัตรก็วิ่งมาหาพวกเราทันเวลาพอดี
“เสียงดนตรีเมื่อกี้เป็นของนายสินะ”
“เอ๊ะ ครับ..”
“เสียงดนตรีเมื่อกี้ช่วยฉันจากพวกเด็กเงานั่น ถ้าไม่ได้เพลงของนายช่วยล่อไปฉันคงได้โดนเอาวิญญาณไปด้วยแน่”
“ใช่ ขณะที่นายมัวหลับตาเล่นเปียโน พวกเด็กๆก็ดูสงบลงมาก ความรู้สึกที่นายมีให้ส่งไปถึงพวกเขาแล้ว ทำให้พวกเขากลับมารู้สึกถึงความเป็นมนุษย์อีกครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้น..พวกเขาก็..”
“ข้ามภพไปแล้วล่ะ ประจวบเหมาะที่สารวัตรปิดเพลงนั้นได้เลย”
“ทำสำเร็จแล้ววววว” หมูร้องดีใจสุดๆแล้วกระโดดกอดคอผม ผมไม่คิดเลยว่าผมเองก็สามารถทำสิ่งที่คุณลิซ่าทำได้เหมือนกัน
“ยังหรอก...พวกมันพยายามมาถึงขนาดนี้ ถึงจะพวกมันจะทำไม่สำเร็จ แต่พวกมันคงไม่เลิกลาแน่”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้อง...”
“ตัดไฟแต่ต้นลงไงล่ะ ถึงผู้ว่าจ้างจะตายแล้ว ก็ไม่ใช่ว่างานจะหยุดได้”
“เราต้องหาคนๆนั้นให้เจอ...คนอีกที่รู้เกียวกับเรื่องนี้..”แล้วใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฎขึ้นมาในหัวของผม ถึงผมไม่อยากจะเชื่อความคิดของตัวเองก็เถอะ
“คุณสุพรรณวดี...สารวัตรรู้จักมั้ยครับ”
“ใครนะ”
“เธอบอกว่าเธอเป็นตำรวจครับ แต่ปลอมตัวมาเป็นอาจารย์ภาษาไทยแล้วสืบเรื่องนี้เมื่อปีที่แล้วครับ สารวัตรรู้จักมั้ยครับ”
สารวัตรเมธีและคุณลิซ่ามองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะบอกสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่ออกมา
“ตำรวจหญิงสุพรรณวดี สรรประเสริฐ เธอเสียชีวิตไปแล้วนะ”
“เอ๋?”
“โถ่เอ้ยยยย!!ฉันก็นึกว่าผึ้งอื่น ทำไมฉันถึงไม่ใช่คนที่เจอนังนั่นนะ ให้ตายสิ”คุณลิซ่าทำท่าทางเสียดายแทนผมที่ดันปล่อยปลาตัวใหญ่ไปแบบนั้น
“งั้น..งั้นเราจะทำยังไงกันดีครับ”
“ถ้าเป็นไปได้นังนั้นต้องยังอยู่ที่นี่แน่ งั้นเราก็แยกกันหาดีกว่านะ สารวัตรกับหมู พวกเธอไปดักที่หน้าทางออก ไม่ก็เค้นจากยามไปเลยนะ ส่วนฉันกับอักษรจะหาที่นี่ให้เอง
“งั้นผมลองโทรดูนะครับ บางทีเธออาจไม่รู้ว่าผมรู้เรื่องแล้วก็ได้”
“ถ้าคิดว่ายัยนั้นจะรับก็โทรเลย”
แล้วผมก็กดโทรหาคุณผึ้งที่ได้แลกเบอร์กันเอาไว้ตอนแรกที่เจอกัน ผมภาวนาให้เธอรับสายผม
“สวัสดีค่ะ อักษร”
“สวัสดีครับ คุณผึ้ง..” ผมกำมือไว้ตรงอกแน่น เพื่อคุมสมาธิของตัวเอง
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนหรือครับ”
“มองขึ้นมาข้างบนสิคะ”
แล้วผมก็มองขึ้นไปข้างบนที่มืดมิดมีแค่แสงสลัวจากป้ายทางหนีไฟ ผมเพ่งสมาธิมองหาเธอ
“ซ้ายอีกค่ะ คุณอักษร”แล้วในที่สุดผมก็เจอเธอ เธอยื่นตัวออกมาจากกระจกห้องพักครูภาษาไทยที่อยู่ชั้นห้า
“คุณ...เห็นทุกอย่างแล้วสินะครับ”
“ค่ะ เสียงเพลงของคุณไพเราะมากเลยนะคะ”
“ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือคุณงั้นหรอครับ คุณผึ้ง ร่วมมือกับสังคมแล้วก็คุณภักดิเรก”
“ไม่ใช่การร่วมมือค่ะ คือการจ้างวานต่างหาก...เหมือนกับคุณลิซ่าไงคะ”
“ไม่ครับ!คุณลิซ่าไม่ทำเรื่องโหดร้าย ไม่ทำงานให้คนใจคอโหดเหี่ยมหรอกครับ”
“โหดเหี่ยม? หิๆๆๆๆๆ ไม่เลยค่ะคุณอักษร คุณไม่เข้าใจอะไรเลย”
“ผม..ไม่เข้าใจอะไรครับ”
“มนุษย์อ่อนแอและอ่อนไหวเกินกว่าที่จะโหดเหี่ยมได้ พวกเขามีอารยธรรมมีความรู้สึกมีความคิด ความโหดเหี่ยมที่แท้จริงน่ะคือการไร้สามัญสำนึกทำทุกอย่างไปตามสัญชาติญาณสัตว์ป่า เหมือนกับเดรัจฉาน เพราะงั้นก็ไม่ควรเรียกพวกเดียวกันแบบนั้นนะคะ”
“พะ..พวกเดียวกันงั้นหรอ...”
มีของผมสั่นไม่รู้ว่าด้วยความโกรธหรือความสับสนแต่ว่า การที่รวมผมไว้กับคนพวกนั้น..ผมรับมันไม่ไหวจริงๆ แล้วจู่ๆคุณลิซ่าก็แย่งมือถือของผมไป
“ลงมาด้านล่างเองหรือว่าจะให้ฉันขึ้นไป บอกมา”
แล้วเหมือนเธอจะพูดตอบอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้ยินแล้วคุณลิซ่าก็กดวางสายและโยนมือถือกลับมาให้ผม ผมมองเธอด้วยความงงงวย
“คุณลิซ่าครับ...”
“หล่อนบอกว่าหล่อนจะไม่ลงไป จนกว่าพวกเราจะจัดการภักดิเรกให้ยัยนั่น”
“มะ..หมายความว่ายังไงกันครับ”
“เขามาที่นี่เพื่อฆ่าหล่อน ถ้าไม่จับตัวเขาเอาไว้ก่อนตีหนึ่ง ยัยนั่นก็จะหนีไป”
“ระ..เราเชื่อเธอได้เหรอครับ”
“อักษร นายนี่อยู่กับฉันมาตั้งสองเดือนยังไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆนะ”
“เอ๊ะ?”
“พวกเราน่ะ..ไม่โกหกหรอก เพราะการโกหกน่ะเป็นการลดตัวเองให้ตำ่ลง”
จริงด้วยสิครับ พวกแม่มดด้วยกันย่อมเกลียดการโกหกอยู่แล้ว เพราะการถูกใส่ร้ายป่ายสีไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตามตั้งแต่สมัยยุคมืด การโกหกเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและไร้สาระที่สุดไม่ว่าจะกับปีศาจ แม่มด หรือพระเจ้าก็ตาม มีแต่มนุษย์เท่านั้นแหละที่พึ่งการโกหกในการดำรงชีวิต เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง
“เราจะรู้ได้ยังไงว่าภักดิเรกอยู่ที่ไหน”
“สารวัตร โทรหาเลย”
“ว่าไงนะ”
“ขนาดอักษรยังโทรหาแม่มดได้ แล้วนายจะโทรหาโรคจิตไม่ติดบ้างหรอ”
“ฮะๆๆๆ ขำตายล่ะยัยบ้า” ถึงจะประชดแบบนั้นสารวัตรเมธีก็โทรหภักดิเรกตามที่คุณลิซ่าบอก ถ้าเขารับสายมันคงจะแปลกน่าดูเลย
“ไม่รับ พอใจรึยัง”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องหาเขาให้เจอ ในเวลาหนึ่งชั่วโมงนี้แหละ”
“เอ๋? แค่หนึ่งชั่วโมง?”ผมรีบดูนาฬิกามือถือที่บอกเวลาเที่ยงคืนพอดี เรามีเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนที่คุณผึ้งจะหนีไปตามที่เธอบอก แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ
“ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังออกมาจากลำโพงจนเกิดเป็นเสียงหวีดร้องดังลั่น พวกเราเอามีปิดหูกันด้วยความตกใจ
“นังแม่มด แกต้องชดใช้ฉันไม่ให้แกหนีไปไหนรอดแน่ แกต้องลงนรกไปกับฉันด้วย!!!”
“น่ะนั่นคือคุณภักดิเรกหรอ”
“ทุกคนดูตรงนั้นสิคะ!!”
พวกเรามองตามนิ้วของหมูที่ชี้ไปยังอาคารที่อยู่ตรงข้ามตึกเรียน มันคือห้องอาหารรวม มีบางคนยืนอยู่บนหลังคาท่ามกลางแสงจันทร์
“ฉันฆ่าลูกของฉัน เพื่อนของลูก ฆ่าแม้แต่เมียของตัวเอง แต่เธอคิดจะกำจัดฉันซะเองงั้นหรอ ฮะๆๆๆๆๆๆ เธอจะอยู่ด้วยกัน เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปอย่างที่เธอสัญญากับฉัน!”
“อะไรเนี้ย...ผัวชู้ทะเลาะกันหรอ หิๆๆๆ”คุณลิซ่าเอามือป้องปากขำคิกๆเหมือนเป็นเรื่องตลก
“เราก็ต้องลากเจ้านั้นลงมาสินะ”
“ดะเดี๋ยวสิครับ สารวัตร”
สารวัตรเดินเข้าไปหาคุณภักดิเรกที่กลายเป็นบ้าแล้วตะโกนพูด
“คุณภักดิเรกลงมาเถอะครับ ก่อนที่ผมจะขึ้นไปลากคุณลงมาซะเอง”
“แกเป็นใครวะ ยุ่งอะไรเรื่องของชาวบ้าน”
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสามนะ”สารวัตรเริ่มควักปืนออกมาเตรียมยิง ผมเองก็ไม่รู้จะห้ามยังไงในสถานการณ์แบบนี้เหมือนกัน ตอนนี้ผมเหมือนกับกำลังดูละครตลกร้ายในรายการทีวีที่กำลังดัง สารวัตรรับบทเป็นตำรวจพระเอกหนุ่มไวไฟและคุณภักดิเรกเป็นจอมโจรโรคจิตJack The Ripper
“หนึ่ง!!”
“ฮะๆๆๆๆๆๆ แน่จริงก็ยิงเลยเเเเด้ แล้วฉันจะยัดแกขอหาทำร้ายประชาชน!!”
“สอง...สาม!!”
ปังงงง!!!
โดยทันทีกระสุนปืนเจาะเข้าที่ขาของเขา เขาล้มกลิ้งลงมาจากหลังคาแล้วนอนกองกับพื้น สารวัตรเมธีไม่ควรอะไรเลยจริงๆและผมคงไม่กล้าไปมีเรื่องกับเขาอย่างแน่นอน
สารวัตรลากตัวภักดิเรกที่นอนแน่นิ่งมาหน้าตึดเรียนและใส่กุญแจมือให้เขาเสร็จสรรพ
“ขะ..เขาตายรึยัง..”หมูชะเง้อมองดูระหว่างที่หลบอยู่หลังผม
“ยังไม่ตายหรอก แค่หัวกระแทกกับพื้นตอนตกลงมาไม่น่าจะฝื้นไปอีกนาน”
เสร็จแล้วก็มีข้อความส่งเข้ามาในมือถือผม ผมเปิดและอ่านมัน
“ฉันอยู่ที่ห้องป4/5 ขอเชิญทุกๆคนเข้ามากันได้ แล้วพยายามหยุดฉันนะคะ ผึ้ง..”
“ทำอย่างกับว่าเรื่องทั้งหมดเธอไม่อยากทำอย่างงั้นแหละ”คุณลิซ่าดูไม่ชอบใจข้อความของเธอซะเท่าไร
ผมมองมันและบอกกับตัวเองว่าถ้าเราหยุดเธอได้ทุกอย่างก็จะจบ งั้นผมก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้มันจบให้ได้...
“ไปกันเลยเถอะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ