บันทึกปริศนา เรื่องลี้ลับของลิซ่า
เขียนโดย Jabberwocky
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.29 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2559 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) The Green Ribbon (บทกล่องของขวัญสีเลือด)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ อักษร”
“ไม่รู้ครับ จู่ๆเธอก็ตะโกนให้หยุดแล้วก็ลงไปกองกับพื้นเลยครับ”
เสียงของอักษรและสารวัตรเมธีทำให้ฉันรู้สึกตัวอีกครั้ง ฉันกระพริบตาและมองไปรอบๆ นี้มันร้าน
แกรนด์มานี้ ฉันมาที่นี่ได้ยังไงเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“คุณลิซ่า! คุณลิซ่าตื่นแล้วล่ะครับ”ทันทีที่เขาสังเกตเห็นว่าฉันตื่นใบหน้าของอักษรเข้ามาใกล้ฉันแทบจะชน
“อะ..อะ..”ฉันพยายามจะพูดแต่ว่าไม่สามารถพูดออกมาได้
“อะไรครับ จะพูดอะไรครับ”
“อะ..อะ..อะ”ฉันเอามือป้องปากเพื่อเป็นสัญญานบอกว่าฉันพูดไม่ได้
“คะคอแห้งหรือครับ หรือว่าจะเรอ จะจามหรือครับ”
“ฮืออออออออ!!!”เจ้าบ้าเอ่ย หยุดแกล้งโง่บ้างก็ได้ย่ะ
“เธอจะบอกว่าเธอพูดไม่ได้งั้นหรอ”
“อืมๆๆๆๆ”ฉันพยักหน้าหงึกๆ
ฉันพยายามสำรวจร่างกายว่ามีอะไรผิดปกติกับฉันรึเปล่าจนกระทั้งฉันมาสังเกตที่คอของฉัน ฉันแทบจะตกใจหงายหลังไปทันที
“อ้าาาา อะๆๆๆ”ฉันชี้ไปที่ริบบิ้นสีเขียวก่ำที่ผูกที่คอของฉัน
“เอ๋?ริบบิ้นหรอครับ มันทำไมหรอครับ”
“อะไรของเธอ ปกติเธอก็ชอบผูกริบบิ้นที่คออยู่แล้วไม่ใช่หรอ”
เดี๋ยวสิ นี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี้ย พวกนายลืมไปแล้วรึไงว่าริบบิ้นน่ะเป็นคำสาป อีกอย่างฉันไม่ใช่คนชอบผูกริบบิ้นที่คอเหมือนพวกโลลิต้าหลายๆคนด้วย ฉันชอบแต่งแต่ไม่ได้ชอบผูกไว้ที่คอ!!!
ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีก็เลยวิ่งไปเอากระดาษโน๊ตแล้วเขียนสิ่งที่ฉันคิดให้พวกเขาได้รู้
-พวกนายจำไม่ได้หรอว่าฉันไม่ผูกริบบิ้นที่คอ และเมื่อเช้าฉันก็ไม่ได้ผูกด้วย!!-
“อ่าว หรอครับ แต่ว่าทำไมต้องโกรธเรื่องริบบิ้นขนาดนั้นล่ะครับ”
-ก็ริบบิ้นอาจลงคำสาปไว้เหมือนริบบิ้นที่อยู่ที่กล่องของขวัญยังไงเล่า!!-
แล้วทั้งสองคนก็มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ แล้วเริ่มพูดเรื่องบางอย่างที่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย
“ไม่เอาน่าลิซ่า อย่าบอกนะว่าเธอจะเล่าฝันแฟนตาซีนั่นให้ฟังอีกรอบน่ะ”
“นั่นสิครับ คุณลิซ่านอนเป็นตุเป็นตะ ละเมอจนไม่รู้วันรู้คืนเลยนะครับ”
“ฮืมมมมฮืมมมม!!อ้าาาาาอ้าาาาาา”ละเมออะไรกันไร้สาระสิ้นดีเลย ฉันฉีกกระดาษโน๊ตแผ่นเดิมทิ้งอย่างโมโหสุดขีดและเขียนบางอย่างลงไป
-ลืมเรื่องคดีที่กำลังทำอยู่แล้วหรือไง คดีที่เด็กป.4ต้องตายในช่วงสองอาทิตย์ที่เป็นคาบเกี่ยวของเดือนแต่ละเดือนน่ะ-
“ใช่ครับเรากำลังทำอยู่แต่ว่าเรายังไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยนะครับ”
-มีสิมีเยอะด้วย คนแรกคือเด็กหายสาบสูญแต่ต้องเกี่ยวข้องกันเป็นกลุ่มแน่ คนที่สองคือเด็กที่ได้กล่องของขวัญสีเหลืองตายเพราะรถชนกับรถพ่วง และคนที่สามคือบันนี้ที่ได้กล่องของขวัญสีชมพูแล้วตายเพราะถูกผ่าท้อง จำไม่ได้แล้วหรอ!!-
พวกเขามองฉันเหมือนเป็นเด็กที่พึ่งตื่นจากฝันร้าย ฝันร้ายที่ต้องเห็นคนตายและต้องเจอกับเด็กนรก
“ลิซ่า ฉันว่าเธอต้องพักผ่อนนะ เธอสลบไปตั้งแต่เช้าเลยนี่” ใช่...ฉันสลบไปช่วงหลังก่อนเที่ยงแล้วตอนนี่...
-วันนี้วันอะไร เวลาอะไร วันที่เท่าไร เดือนอะไร-
“วันศุกร์ที่29 มิถุนายน เอ่อ...เวลาห้าโมงเย็น”
เดี๋ยวนะ..วันศุกร์งั้นหรอ ปะเป็นไปได้ยังไง กะก็วันพฤหัสเป็นวันที่ฉันเข้าไปที่โรงเรียนนั้นวันแรกแล้วแล้วฉันก็สลบไปในวิชาขับร้องประสานเสียง นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“คุณลิซ่าเครียดมากเลยนะครับ คุณสวมบทคนรับใช้และทำทุกอย่างตามที่เด็กพวกนั้นสั่งจนล้มป่วยไป ผมบอกแล้วว่ามันไม่เวิร์คคุณก็ไม่ฟังผมเลย”
“บางทีไอ้ข่าวลือนั่นอาจเป็นแค่ข่าวลือก็ได้ เธอก็เชื่อเป็นตุเป็นตะว่ามันมีบางอย่าง ดูสิสุดท้ายเป็นยังไง ล้มป่วยซะเอง”
“อ้าาาาาอ้าาาาาาาอ้าาาาาาาา!!!”ฉันไม่ได้โง่ไปคนเดียวนะ พวกนายนั้นแหละที่โง่!! มะไม่สิหรือว่า...พวกนี้ถูกลบความทรงจำ จะกลายเป็นแบบไอ้พ่อแม่เฮงซวยนั่นที่ลืมลูกสาวตัวเองอย่างนั้นหรอ นี่มันบ้า...บ้าเกินไปแล้ว!!!
ต้องพิสูจน์ว่ามันเกิดขึ้น ต้องทำให้ทั้งสองคนจำเรื่องทั้งหมดให้ได้ เมื่อตัดสินใจแล้วฉันก็ระลึกความทรงจำที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในวันที่27 มิถุนายน ตั้งแต่ที่ฉันเริ่มอ่านข่าว...ที่มีเด็กหายสาบสูญแต่เรามาสนใจบันนี่ที่ได้รับกล่องของขวัญที่ของในเป็นเครื่องในของกระต่าย จากนั้นสารวัตรเมธีก็โทรมา อักษรเป็นคนรับสาย เขาจดโน๊ตเเละให้ฉัน จากนั้นเราก็ได้คุยกับบันนี่และเราก็ไปที่สถานีเพื่อไปดูกล่องของขวัญอันนั้น
ก่อนที่ฉันจะนึกไปต่อ ฉันต้องหาหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น โน๊ตที่เป็นลายมือของอักษรเพื่อยืนยันว่าฉันไม่ได้ฝันไป แต่พวกนั่นแหละที่ผิด
ฉันวิ่งตรงไปที่โต๊ะวางกานำ้ชาที่มีโซฟาสีแดงตัวโปรดของฉันตั้งอยู่ข้างๆ และเป็นดังหวังที่หนังสือพิมพ์นั้นยังอยู่ ฉันคว้ามันและไปที่โทรศัพท์ของร้าน ฉันต้องวางกระดาษโน๊ตอันนั้นไว้ที่ไหนซักแห่งไม่ก็ถังขยะ
“คุณลิซ่าทำอะไรน่ะครับ หยุดเถอะครับ”อักษรรีบห้ามฉันทันทีที่ฉันเริ่มเอามือล้วงขยะเหมือนกับหมาคุ้ยหาอาหาร แต่ว่าไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องหามันให้เจอ
“อ้าาาา!!”ในที่สุดฉันก็หามันเจอหลังจากที่ครี่มันออกมา ฉันยื่นโน๊ตที่เขาเขียนเองให้อักษร และยื่นหนังสือพิมพ์ให้กับสารวัตรเมธี
“เอ๋? นี้ลายมือผมนี้นา แต่ว่าผมไม่เห็นจำได้เลยว่าเขียนมัน”
“ข่าวนี่...ทำไมฉันถึงจำมันไม่ได้กัน..”
-พวกเธอถูกลบความทรงจำ ฉันจะช่วยฟื้นมันให้เอง-
“ลบความทรงจำงั้นเหรอ”
-เราต้องกลับไปที่สถานีตำรวจ-
แล้วฉันก็เดินนำออกจากร้านและพวกเราก็มุ่งตรงไปที่สถานีตำรวจเดิมที่นำเรื่องบันนี้มาทำซึ้งพวกเราถึงภายใน30นาทีเหมือนเดิม
“อะ..เดี๋ยวพวกคุณ...”โดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของพวกตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ฉันนำตรงไปในชั้นใต้ดินที่เคยจากมา เดินไปตามความทรงจำที่มีและหยิบกล่องหลักฐานของบันนี้ออกมา
“กล่อง...ของขวัญและเครื่องใน...”ทุกๆอย่างยังอยู่ที่เดิมเพราะพวกเราเป็นคนสุดท้ายที่แตะต้องมันและฉัน...เป็นต้นเหตุที่บันนี่ต้องตาย เพราะฉันดึงโบกล่องของขวัญนี้ เธอถึงได้ตาย
-นี้คือหลักฐานและศพของบันนี่ก็ยังอยู่ที่บ้าน เพราะถูกบังด้วยภาพมายา-
“แล้วเราจะเห็นมันได้ยังไง เธอแก้ไขคาถาของคนอื่นไม่ได้ไม่ใช่หรอ”
ใช่...ฉันแก้ไขคำสาปของแม่มดหรือพ่อมดหรือใครก็ตามไม่ได้ แต่ว่า...มันต้องมีทางสิ ทางที่จะเปิดโปงภาพมายาได้ คิดสิลิซ่า คิด!!!
“อือออออ!อ้าาาาาา!”โธ่เอ้ย!!!การไม่ได้พูดออกมามันทำให้ฉันจะกลายเป็นบ้า
And now you've given me, given me nothing but shattered dreams, shattered…
“เหวออออ!!”เสียงโทรศัพท์ของอักษรดังขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงรสนิยมของเขาแย่ไม่เข้ากับโทรศัพท์รุ่นใหม่ของเขาเลย
ดะ...เดี๋ยวนะโทรศัพท์รุ่นใหม่งั้นเหรอ!?
“ฮะโหล สีครามหรอ” และก่อนที่หมอนั่นจะได้พูดอะไรต่อฉันก็รีบคว้าโทรศัพท์ของเขาไปทันที
“ฮัลโหล พี่อักษร คุณลิซ่าไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ”
“อือ!”ฉันส่งเสียงให้เธอรับรู้
“อะคุณลิซ่าโล่งอกไปทีที่คุณไม่เป็นไร”
“อะอ้าาา!อะ...อะ...”
“ฮืม? คุณลิซ่า ทำไมไม่พูดอะไรเลยคะ มัวทำเสียงอื้ออึงอยู่ได้”
“อ้าาาาาา!!!อืออออออ!!!”ฉันหงุดหงิดแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้ง แต่อักษรกับสารวัตรก็ช่วยห้ามฉันเอาไว้
“เธอพูดไม่ได้น่ะ เหมือนถูกมนต์สะกดเอาไว้”อักษรแย่งมือถือกลับไปและเปิดลำโพงให้ฉันได้ยินด้วย
“เอ๋? พูดไม่ได้ ได้ยังไงคะเนี้ย ไม่สิ ไม่เป็นไรค่ะเราคุยในไลน์กันดีมั้ยคะ”
“ดีเลย งั้นพี่วางก่อนนะ”แล้วเขาก็ทำอะไรซักอย่างกับโทรศัพท์ และยื่นมันกลับมาให้ฉันพร้อมกับพูดว่า “ทีหลังจะเอาอะไร ต้องขอเจ้าของก่อนนะครับ”
ไม่ต้องมาทำตัวเป็นคุณครูแถวนี้เลยนะตาโง่ แล้วฉันก็เริ่มพิมพ์คุยกับสีครามหรือที่วัยรุ่นเขาเรียกกันว่าแชทไลน์อะไรนั่นแหละ น่าหงุดหงิดจริงๆเลย
“สีคราม เกิดเรื่องอะไรขึ้นหลังจากวันพฤหัสหลังจากที่ฉันสลบไป”
“หนูก็ไปกินข้าวที่โรงอาหารตามปกติค่ะ”
“แล้วยังไง”
“หนูเห็นครูคนนึงแบกคุณลิซ่าขึ้นรถไปค่ะ ตอนกำลังเดินไปที่ห้องอาหารและพี่อักษรก็อยู่ตรงนั้นด้วยค่ะ”
“ครู? คนไหน”
“เป็นครูแก่ๆที่เป็นผู้ชายค่ะ เหมือนจะคุ้นๆค่ะแต่หนูไม่ได้เรียนกับเขา แต่รู้ว่าเขาเข้ามาสอนที่นี่ได้...น่าจะซัก1-2ปีที่แล้วค่ะ”
“เป็นครูใหม่หรอ”
“มีข่าวลือแปลกๆเกี่ยวกับเขาเยอะไปหมดเลยด้วย”
“ที่ว่ามีอะไรกับเด็ก แล้วฆ่าใช่มั้ย”
“เป็นส่วนนึงค่ะ”
“งั้นพอเขาอุ้มฉันมาที่รถแล้วยังไงต่อ”
“แล้วหนูก็เดินชนเพื่อนค่ะทำให้มองอะไรหลังจากนั้นไม่เห็นอีกเลย”
“งั้นเหรอ ไอ้แก่นั่นไม่ได้ไปด้วยใช่มั้ย”
“หนูก็ไม่รู้ค่ะ”
โธ่เอ้ย..ทำยังไงดีเนี้ย จริงสิต้องถามเรื่องริบบิ้น
“ตอนที่ไอ้แก่นั่นอุ้มฉันไปไว้ที่รถ ฉันมีริบบิ้นอยู่ที่คอมั้ย”
“ริบบิ้นเหรอคะ”แล้วอีกแป๊ปนึงเธอก็ตอบกลับมา “มันค่อนข้างจะไกลน่ะค่ะ หนูมองไม่เห็น”
“หรอ...ขอบใจมากนะ”
“มีอะไรอยากให้หนูช่วยอีกมั้ยคะ”
“เป็นไปได้ ฉันอยากให้เธอช่วยจับตาดูเจ้านั่นหน่อย เจ้านั่นน่าสงสัยที่สุด”
“ก็จะทำเท่าที่ทำได้นะคะ สู้ๆค่ะ”
แล้วฉันก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้อักษร และเดินผ่านสารวัตรไปที่ตำรวจนายนึงที่ฉันจำหน้าได้
“อืม!!!”ฉันสะกิดเขาและเริ่มค้นตัวหาสิ่งที่ฉันพอจะเขียนบอกอะไรเขาได้
“เหวอออ!!นี่คุณคราวก่อนก็ยุ่งกับอุบัติเหตุนั่น คราวนี้อย่าสร้างเรื่องจะได้มั้ยครับ”
“อะเอ่อ ขอโทษด้วยนะครับ”แล้วอักษรก็พยายามลากฉันออกมา “คุณลิซ่าครับ อย่าดื่อสิครับ โธ่..”
“อืออออ! อืออออ!”ฉันพยายามสลัดเจ้าอักษรให้หลุด แต่เขาก็ยกตัวฉันขึ้นมาจนเท้าทั้งสองของฉันลอยขึ้นมาเลย
“คุณลิซ่าครับ ใจเย็นก่อนได้มั้ยครับ”
“เธออยากคุยกับเขาหรอ”สารวัตรเมธีเอ่ยถาม สมกับเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ฉัพยักหน้ารับแรงๆและดิ้นให้ตัวหลุดออกจากแขนของอักษร และด้วยบางอย่างมือของอักษรก็ทำให้ริบบิ้นที่ผูกคอฉันเอาไว้หลุดออก และคอของฉันก็หลุดออกจากบ่า ฉันรู้สึกได้เลยว่าแก้มของฉันมันกระทบลงกับพื้น
“วะ..ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องของอักษรและตำรวจหนุ่มประสานกันทั่วสถานีตำรวจ พวกเขาไม่รู้ว่าฉันตายไม่ได้
ใช่แล้วล่ะ ฉันตายไม่ได้ แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงบาดแผลและความเจ็บปวด เป็นคำสาปที่ฉันถูกสาปพร้อมๆกับร่างกายอายุ16นี่ ไม่ว่าฉันจะอายุเท่าไร ฉันก็ยังเป็นแบบนี้ และต้องทุกข์ทรมานกับการตายซำ้ตายซากด้วย เหตุการณ์ต่างๆ และนี้ก็เป็นอีกครั้งนึง
แต่ดีที่สารวัตรเมธีรู้เรื่องนี้ ก่อนที่พวกตำรวจจะลงมาที่นี่ เขาเก็บหัวของฉันขึ้นมาใส่กล่องของขวัญและลากร่างกายของฉันที่นอนแน่นิ่งกับพื้น ไปซ่อนในช่องทางเดินระหว่างกองหลักฐาน
“เกิดอะไรขึ้น!!”ถึงจะได้ยินแต่เสียงแต่ฉันก็รู้เลยว่ามีตำรวจจำนวนมากลงมาที่นี่
“ไม่มีอะไร เจ้าพวกนี้ก็แค่กรีดแต๋วแตกเพราะมีแมลงสาปน่ะ”
“หา?”
“ใช่ ก็แค่แมลงสาปเอง ไปทำงานต่อเถอะ”
“ละ..แล้วยัยผู้หญิงที่มากับพวกแกล่ะ”
“เธอไปเข้าห้องนำ้เมื่อกี้นี้ จะไปแอบดูเธอรึไง”
คำพูดสบายๆปนหาเรื่องทำให้พวกเขายอมถ่อยออกไปจากตรงนี้แต่โดยดีและทันใดนั้นเสียงถอนหายใจปนหอบก็ดังมาจากอักษร
“นะ..นี่ผม..ฆ่าเธองั้นหรอครับ”เขาดูช็อกมากทีเดียว
“ไม่เธอไม่มีวันตาย”สารวัตรตอบเสียงเรียบ
“วะว่าไงนะ”ทั้งเขาและตำรวจผู้โชคร้ายอีกคนประสานเสียงกัน
บางทีริบบิ้นนี้คงออกแบบมาเพื่อฆ่าฉันโดยเฉพาะ เหมือนกับเรื่อง The green ribbon ที่เป็นนิทานสั้นสำหรับเด็กในหนังสือรวมเรื่องสั้น In a Dark, Dark Room and Other Scary Stories ของ Alvin Schwartz ตั้งแต่ปี1984
ที่ใช้ริบบิ้นพวกนั้นในการทำคำสาปอาจจะเกิดแรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ด้วยสินะ ถ้างั้นมนต์สะกดที่ฉันโดนก็น่าจะสลายไปแล้วด้วย
“ก็อย่างที่สารวัตรบอกนั้นแหละ”ในที่สุดฉันก็สามารถพูดได้
“เหวอออ คุ..คุณลิซ่า”
“เสียงสั่นเชียวนะ ฉันว่าคนที่น่าจะกลัวกว่านายก็น่าจะเป็นนายตำรวจคนนั้นนะ”
“ผะ..ผี!?”หมอนั่นร้องเสียงหลง
“ไม่มีเวลามากลัวแล้วคุณตำรวจ บอกทุกอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์อุบัติเหตุรถสปอร์ตชนรถพ่วงมาให้พวกเราฟังซะ!”
“คะคร้าบบบบ”เขารีบวิ่งไปจากตรงนั้นแล้วฉันก็ถอนหายใจ
“สารวัตร ช่วยเปิดฝากล่องทีเถอะ ข้างในมันมืดตืดตือแล้วก็มีแต่ลำไส้พันยั่วเยี้ยไปหมดไปหมด”
แล้วเขาก็เปิดฝากล่องและพาฉันที่เหลือแต่หัวมาโอบเอาไว้ที่อกของเขา
“คะ..คะ...”สายตาของอักษรที่มองฉันตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับมองสัตว์ประหลาดอยู่
“ไม่เป็นไรหรอกถ้าจะรู้สึกกลัวน่ะ ฉันบอกแล้วไง...ถ้านายเข้ามาในโลกของฉันแล้วก็จะกลับไปไม่ได้อีกแล้ว”
ฉันจ้องมองอักษรที่พยายามจะรวบรวมสติของเขาเพื่อพูดบางอย่าง แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
“น่ะ...นี่หลักฐานทั้งหมดที่มีคร้าบบบ”ตำรวจคนนั้นหลับคาปี๋ พร้อมยื่นกล่องหลักฐานและรูปถ่ายเหตุการณ์มาให้พวกเรา แล้วจากนั่นเขาก็แทบจะวิ่งหนีขึ้นไปข้างบนเลยทีเดียว
“เปิดกล่องออกมาสิ”ฉันบอกอักษร เขากลืนนำ้ลายและค่อยๆเปิดกล่องหลักฐานนั้น
ข้างในมีกล่องของขวัญสีเหลือง ที่มีฝาและตัวกล่องแต่ไม่มีริบบิ้นอันใหญ่เพราะมันน่าถูกดึงและทำให้คำสาปทำงาน แล้วทุกอย่างจึงเกิดขึ้น นอกจากนั้นก็มีรถของเล่นพังๆที่อักษรเจอก่อนหน้านี้ กระเป๋าตังค์สองใบและกระเป๋าถืออีกหนึ่ง และภาพถ่ายเหตุการณ์และสภาพการตายทั้งหมดอยู่ในซองพลาสติก
“เอาทุกอย่างเก็บใส่ในกระเป๋าถือซะ”
“เอ๋? ว่าไงนะครับ”
“เร็วเถอะน่า!”แล้วอักษรก็รีบเอาหลักฐานทุกอย่างใส่ลงในกระเป๋าใบใหญ่นี้
“เอาฉันใส่ลงไปสิ เราจะต้องไปหาหมอโชกันก่อน”
ทันทีที่สารวัตรได้ยิน เขาก็ถอนหายใจและก็ค่อยๆวางฉันที่มีแต่หัวลงในกระเป๋า เขาเงยหน้าขึ้นมามองอักษร
“นายหิ้วกระเป๋านี้แหละ ส่วนฉันจะแบกร่างคุณลิซ่าให้เอง”
“หา!? แบกร่างออกไปทั้งอย่างนี้เลยเนี้ยนะครับ”
“ฉันจะไปทางอื่น เอาไดรฟ์อันนี้ไปด้วย”
“อะ...อะไรน่ะครับ”
“เอาใส่ที่คอมพิวเตอร์ห้องรปภ. ไวรัสจะช่วยลบภาพจากกล้องและคอมพิวเตอร์ทั้งหมด”
“สะ...สารวัตรครับ!!!”
“ก่อนที่พวกเราจะกลายเป็นฆาตกรซะเอง ทำเถอะ”
ฉันได้แต่มองโลกภายนอกผ่านรูเล็กๆของกระเป๋าถือที่เต็มไปด้วยหลักฐานและผมอันยาวพลุงพลังของฉัน ฉันสำผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนและความงุมง่ามจากการเดินของเขา
“ขอโทษนะครับ”จู่เขาก็พูดขอโทษฉันอย่างไม่มีสาเหตุ
“อะไรล่ะ”
“ขอโทษที่ผม...ไม่เชื่อคุณแล้วก็...ทำให้คุณอยู่ในสภาพแบบนี้”
“ฉันว่านายคงอยากจะขอโทษตัวเอง ถ้าหากนายต้องติดคุกซะเองนะ เพราะฉันก็จะกลายเป็นศพและช่วยอะไรนายไม่ได้เลย”
“…”เขาเงียบไป เหมือนอยากจะถามอะไรต่อแต่ไม่กล้าถาม
ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาถึงห้องรปภ.แล้ว มีคนงานอยู่ข้างในสองคนซึ่งพวกเขาก็เหมือนจะไม่ได้สนใจหน้าจอคอมเท่าไรนัก แต่สนใจหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง อีกคนนึงก็กำลังทางข้าวกล่องโฟมอยู่ ซึ้งมันก็ค่อนข้างจะยากทีเดียวที่จะเข้าไปเสียบไดฟ์ให้ไวรัสทำงานได้ง่ายๆ
“อักษร กดสัญญาณไฟไหม้แล้วเข้าไปหลบในห้อง”
“เอ๋!?”
“เถอะน่าเร็วๆเข้าสิ”เสร็จแล้วเขาก็ค่อยๆเอื้อมมือไปทุบสัญญาณไฟไหม้ แล้วรีบไปซ่อนตัวในห้องที่อยู่ข้างๆ
กริ๊งงงงงงงงงง!กริ๊งงงงงงงงงงงง!
“ไฟไหม้หรออ?”
“รีบไปกันเถอะ”
โดยมองผ่านกระจกประตูใสที่มีม่านปิด ก็สังเกตเห็นคนมากมายแถวนั้นวิ่งกรูกันไป เมื่อเห็นว่าคนแถวนั้นไม่อยู่กันแล้ว อักษรก็ออกมาจากห้องและตรงไปที่ห้องรปภ.ที่ถูกเปิดประตูทิ้งเอาไว้ เมื่อได้โอกาสแล้วเขาก็ค้นไดฟ์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อและเสียบมันเข้ากับคอมพิวเตอร์เพียงชั่วอึดใจเดียวภาพทั้งหมดบนหน้าจอก็ดับลง เป็นสัญญาณว่าไวรัสยังคงทำงานได้อย่างมีประสิธิภาพเหมือนเดิม
เสร็จแล้วเขาก็ถอดไตฟ์ออกจากเครื่องและรีบวิ่งไปที่ทางหนีไฟที่มีผู้คนอยู่น้อยแล้ว เขาเหมือนกับเป็นแค่คนนึงที่หนีเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ไฟไหม้ และเราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว
ปีนนนนปีนนนนนปีนนนน!!
เสียงบีบแตรของรถทำให้พวกเราหันไปมอง และทันใดนั้นอักษรก็รีบออกตัววิ่งเพื่อขึ้นรถคันนั้น
“เรียบร้อยดีใช่มั้ย”
“คะครับ”
“ดี งั้นรีบไปกันเถอะ”
ไม่รู้นานเท่าไรที่ฉันหลับไป การต้องอยู่แยกกับร่างกายของฉันมันก็ทำให้พลังงานของฉันหมดลงเร็วกว่าทุกๆครั้ง ฉันที่เหลือแต่หัวยังคงอยู่ในกระเป๋าถือใบใหญ่ที่อักษรอุ้มไว้และข้างๆก็คือสารวัตรที่แบกร่างไร้วิญญาณของฉัน ฉันรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนหลายอย่างเลยทีเดียว ท่าทางว่าเราจะมาถึงแล้ว
“นะ...นี่คือที่ไหนหรือครับ”
“ที่อยู่ของหมอเซียวซีฮอล”
“หมอจีนหรอครับ ในที่ร้างแบบนี้”
“เข้าไปก็รู้เองนั้นแหละน่า”
เราผ่านบริเวณรกร้างที่ทึบไปด้วยต้นไม้และอาคารร้างแห่งนึง แสงแดดจากดวงอาทิตย์หายวับไปเพราะเข้ามายังตัวอาคาร เราเดินตรงไปที่ทางหนีไฟที่มีทางลงไปชั้นใต้ดิน เสียงกรีดร้องของสัตว์จากการทดลองประหลาดแสนประหลาดทำให้อักษรถึงกับกรีดร้องอย่างผู้หญิง
“เหวออออออ!!นี้มันอะไรกันเนี้ย”
“ชู่...”เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นไม่ไกลจากพวกเรา “ที่มาหาผมวันนี้เนี้ย...คงมีปัญหาเกิดขึ้นอีกแล้วสินะ”
แล้วเขาก็ลุกจากโต๊ะทำงานของเขาเดินเข้ามาหาพวกเราอย่างช้าๆ
“ใช่ ช่วยต่อหัวของเธอเข้าที่เดิมที”
“ฮืม? หัวงั้นเหรอ” เขาค่อยๆแง้มดูใบหน้าของฉันที่อยู่ในกระเป๋า เขายิ้มระรื่นพรางจับฉันขึ้นมาด้วยสองมือ ตาของพวกเราประสานกันอย่างตั้งใจ
“เธอยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ ถึงแม้ว่าจะเหลือแต่หัวก็ตาม”
“ไม่ตลกเลยนะ ซีฮอล”
“หิๆๆๆๆ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทางนี้เลย”
สารวัตรอุ้มร่างของฉันและจับนั่งไว้บนเตียงโดยมีแต่กำแพงที่คอยพยุงไม่ให้ล้ม ส่วนหมอซีฮอลก็วางหัวของฉันไว้ข้างๆและเดินไปค้นอุปกรณ์แพทย์ในลิ้นชักที่ถูกจัดวางเป็นระเบียบ อักษรยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าซีดเผือก
“ไปเถอะอักษร ไปเช็คดูหลักฐานนี้ที่ห้องอื่นกัน”
“แต่ว่า..คุณลิซ่าเขา...”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอเถอะ”
“…”โดยไม่ได้พูดอะไรต่ออักษรและสารวัตรเมธีก็หายไปในแสงสลัวๆ ปล่อยให้ฉันและหมอซีฮอลอยู่กันแค่สองคน
“ไปโดนอะไรมาถึงได้อยู่ในสภาพแบบนี้ได้ล่ะ”
“กำลังทำคดีอยู่น่ะ แต่เกิดพลาดท่าเข้าก็เลยโดนเข้าเต็มๆ”
“แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตายไม่ได้อยู่ดีนี่นะ ดีใจจัง”
เขาเอาอุปกรณ์ที่ถูกจัดเป็นแผงใส่รถเข็นอันเล็กและดึงมันมาใกล้เตียงก่อนจะนั่งลงข้างๆร่างกายของฉัน
“แผลสมบูรณ์แบบมากเลย เรียบและคมกริบ ใครเป็นคนทำแบบนี้กันแน่”
“ตอนนี้ยังแน่ใจอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่ฆ่าฉันคือริบบิ้น”
“ริบบิ้นงั้นเหรอ”
“ใช่ เหมือนในเรื่อง The Green Ribbon”
“นิทานเด็กนี่ ท่าทางว่าเจ้าคนนั้นต้องมีพลังที่แก่กล้ามากแน่”
“ฉันก็ว่างั้นเเหละ” เมื่อพุดคุยกันไปซักพักเขาก็สนด้ายเข้าในรูเข็มเสร็จเรียบร้อย
“อยากได้ยาชาก่อนเย็บมั้ย”
“เอาซักหน่อยก็ดี”
หมอซีฮอลยิ้มกรุ่มกริ่ม และหยิบเข็มฉีดยาที่ถูกใช้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และแทงเข้าไปตรงบริเวณที่ต้องเย็บบนร่างกายของฉันและรอยต่อคอที่หัว
ไม่นานนักฉันก็รู้สึกชา เมื่อรอมาช่วงเวลานึงเขาก็ยกหัวของฉันต่อกับต้นคอของร่างกายและค่อยๆเย็บทีละเข็มทีละเข็มๆ
“ผมนึกว่าคุณจะไม่มาแล้วซะอีก รู้มั้ยผมคิดถึงคุณมากขนาดไหน”
“คิดถึงที่จะผ่าร่างกายของฉันน่ะสิไม่ว่า”
“ทำไงได้ล่ะก็ร่างกายของเธอมันสวยงามมากเลยนี่นา”
“โรคจิตจริงๆเลยนะ”
“คุณทำให้ผมกลายเป็นแบบนี้เองนะ”
เซียวซีฮอล ฉันเจอกับเขาครั้งแรกเมื่อเขายังเด็ก ครอบครัวของเขาเป็นหมอและพ่อของเขาก็เป็นคนรักษาฉัน เมื่อพ่อของเขาตายซีฮอลก็มารับช่วงแทนอย่างเต็มใจ พวกเขาสองคนมีนิสัยแย่ที่เหมือนกันอย่างกับสืบทอดทางพันธุกรรมนั้นก็คือ เขาชอบการผ่าสิ่งมีชีวิตทั้งเป็นและตาย
แต่สิ่งที่เขาชอบที่จะผ่าพิสูตรมากที่สุดก็คงจะเป็นเรือนร่างอ่อนแอ้นของผู้หญิง ซึ่งก็รวมฉันเข้าไปด้วย
“อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นสิ”
“ถ้าฉันไม่มองนาย นายก็จะลวนลามฉันอีกน่ะสิ”
“อย่าเอาเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว มาพูดย้ำอีกสิ”
“นายมันไม่หน้าไว้ใจ โดยเฉพาะตอนที่ต้องอยู่กับหมอนิติเวชโรคจิตแบบนายแค่สองคน”
เขาหัวเราะในลำคอพลางค่อยๆดึงด้ายให้ตึงอย่างช้าๆ และกลับเจาะเข้าไปในผิวหนังของฉันอีกรอบอย่างละเมียดละไม ซำ้แล้วซำ้เล่าซำ้แล้วซำ้เล่าจนเสร็จสมบูรณ์
“ร่างกายของคุณน่าจะขยับได้อีกครั้งในอีกประมาณชั่วโมงสองชั่วโมงนี้แหละ”
“ช่วยพาฉันไปหาสองคนนั้นทีสิ”
“ขอรับ คุณผู้หญิง”พูดเสร็จเขาก็เดินไปเอารถเข็นที่อยู่มุมของห้องมาไว้ข้างเตียงและพยุงฉันให้นั่งมัน เขาอ้อมไปด้านหลังและเริ่มเข็นฉันผ่านกำแพงและทางเดินอันสกปรกไปยังอีกห้องนึง
“คุณลิซ่า!”เมื่ออักษรสังเกตเห็นฉันก็รีบวางของในมือและวิ่งมาดูฉันทันที “ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ยครับ”
“อืม ฉันไม่เป็นไรแล้ว แล้วหลักฐานพวกนั้นล่ะ”
“เด็กที่ตายชื่อศาริสา ก้องเกียรติ อายุ10ปี เพศหญิง อยู่โรงเรียนธิดาวิทยา”สารวัตรอ่านตามข้อมูลในเอกสารและอีกมือนึงก็ถือบัตรเล็กๆที่คาดว่าจะเป็นบัตรประชาชน
“วันเกิดล่ะ”
“25 มิถุนายน หรือก็คือวันจันทร์ที่ผ่านมา”เขาหยุดซักพักและหยิบบัตรประชาชนจากกระเป๋าหนังอีกใบขึ้นมา “ส่วนคู่กรณีคือนายมั่นหมาย แซ่เตี้ยง อายุห้าสิบสามปี เพศชาย ทำงานเป็นคนขับรถส่งของของบริษัทขนส่ง”
“เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรในเรื่องนี้ก็แค่เป็นผู้เคราะห์ร้าย เพื่อให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นตามคำสาป”
“แล้ว...เด็กที่คุณลิซ่าว่าหายตัวไปล่ะครับ”
“สถานที่สุดท้ายที่มีการพบเห็นเธอคือบ้านของบันนี่ แสดงว่าเธอต้องอยู่ที่นั่นแน่แต่พวกเราหาเธอไม่เจอเอง เราจะต้องพิสูจน์ตัวจริงของฆาตกรนี่ให้ได้ ก่อนที่เหยื่อรายต่อไปจะเกิดขึ้น”
“เราจะทำยังไงต่อล่ะครับ”
“กลับไปที่บ้านของบันนี่ยังไงล่ะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ