บันทึกปริศนา เรื่องลี้ลับของลิซ่า
เขียนโดย Jabberwocky
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.29 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2559 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) เจ้านายและคนรับใช้ (บทกล่องของขวัญสีเลือด)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“นักเรียนทุกคนทำความรู้จักกันเอาไว้นะคะ นี่คือเพื่อนใหม่ของพวกเธอ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจ่ะ”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อลิซ่า เด แสตรนฟอร์เดีย ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
เด็กทุกคนในห้องป.4/5ต่างก็มองฉันเป็นตาเดียวกัน และทำหน้างุนงงกับชื่ออันแสนยาวเหยียดของฉัน และฉันก็ยังคงยิ้มต่อไปไม่ว่าพวกเขาจะทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดแค่ไหนก็ตาม ทั้งเด็กทั้งอาจารย์เลย
“หนูพูดภาษาไทยเก่งจังเลยนะจ๊ะ ตัวแค่นี้เอง”
“แม่ของหนูเป็นคนไทยค่ะก็เลยพูดภาษาไทยได้ ภาษาอังกฤษหนูก็พูดได้นะคะ นอกจากนี้แล้วหนูยังพูด ภาษาอิตาเลียน ฝรั่งเศส จีน แล้วก็ญี่ปุ่น ได้อีกนะคะ”
ทั้งห้องอึ้งตาค้างกันเป็นแถว ก็รู้สึกดีอยู่หรอกนะที่ได้เป็นอัจฉริยะในหมู่เด็กๆน่ะ แต่อย่างน้อยก็ต้องนึกไว้เสมอว่าฉันอายุ400กว่าปีแล้ว
“หนูจะนั่งที่ตรงไหนได้บ้างคะ”
“เอาเป็นเอ่อ...ที่ตรงนั้นละกันจ๊ะ”
เธอชี้ไปยังที่นั่งที่อยู่แถวที่สามซึ่งอยู่กลางแถว แล้วฉันก็เดินแบกเป้ไปนั่งที่ ข้างๆฉันมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอาแต่จ้องมองมาที่ฉัน เธอใส่แว่นแล้วก็ดูเอ๋อเอามากๆ น่าจะไม่มีพิษมีภัยอะไร
“เอ้า..งั้นก็เลิกคาบโฮมรูมได้นะจ๊ะ ต่อไปเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เอาหนังสือเลขขึ้นมารอเลยนะจ๊ะ”
ฉันนั่งมองเด็กที่เริ่มตะโกนเล่น ลุกไปมาอย่างกับพวกไฮเปอร์ และบางคนก็เริ่มแสดงอำนาจใส่ฉันซึ่งเป็นผู้มาใหม่
“เฮ้! อีหัวเหม่ง”หล่อนทุบโต๊ะเรียนของฉัน ฉันเงยหน้ามองนังเด็กกระเเดะคนนี้
“What’s your problem?”
“ไม่ต้องมาสะเอาะพูดภาษาอังกฤษแถวนี้เลยนะยะ ฉันไม่ฟังภาษาอังกฤษ”
“เป็นภาษาอังกฤษเหมือนกลางของโลกที่สื่อสารง่ายที่สุด ยังไม่ยอมยัดใส่สมองเลย คิดหรอว่าจะอยู่รอดในโลกภายนอกได้ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงโง่น่ะอยู่ลำบากนะ”
ฉันไม่ได้คิดจะมาผูกมิตรกับเด็กอยู่แล้ว ฉันมาเพื่อหานังคนที่ฆ่าเด็กน่ารักๆแบบหนูบันนี่ ถ้าเธอถูกฆ่าฉันก็คงไม่ช่วยหรอก..ไม่ได้สิ จะคิดแบบนั้นไม่ได้...
“ละลิซ่า ขอโทษเขาเถอะ”เด็กที่อยู่ข้างๆฉันกระตุกแขนเสื้อของฉันเบาๆ
“ทำไมล่ะ”
“ก็..ก็เธอไม่รู้อะไรน่ะสิ เขาเป็นเจ้าหญิง...”
“เจ้าหญิง?”อ๋อ เข้าใจล่ะ ตำแหน่งเจ้าหญิงที่บันนี่เคยเล่าให้ฟังสินะ ตอนนี้ตกมาอยู่ในมือของมารร้ายซะแล้วสิ
“เอ้าๆๆ นักเรียน นั่งที่ได้แล้ว เปิดไปที่หน้า94 เราจะขึ้นเรื่องเศษส่วนกัน”
แล้วหล่อนก็กลับไปนั่งที่ สงสัยเพราะอาจารย์เลขส่วนใหญ่มักจะดุเป็นธรรมดา ตามที่สีครามเคยบอกไว้
“Hey you”รู้สึกเหมือนอาจารย์จะเรียกฉันนะ
“Yes, teacher?”
“Do you know what the fraction is?”
“หนูว่าอธิบายเป็นภาษอังกฤษน่าจะยากไปสำหรับคนที่ไม่ยอมรับภาษาอังกฤษอย่างคนนั้นนะคะคุณครู”
“ หา?”คุณครูแก่ๆที่อยู่หน้าห้องถึงกับถอดแว่นและมองฉัน ส่วนฉันก็มองเธอตาแป๋วเหมือนอย่างที่บันนี้เคยส่งสายตาให้ฉัน มันค่อนข้างจะน่าประหลาดใจมากเลยสินะ แล้วจากนั้นเธอก็กระแฮ่มหนึ่งที
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็รู้ใช่มั้ยว่ามันคืออะไร”
“ค่ะคุณครู เศษส่วนคือ คือความสัมพันธ์ตามสัดส่วนระหว่างชิ้นส่วนของวัตถุหนึ่งเมื่อเทียบกับวัตถุทั้งหมด เศษส่วนได้ถูกค้นพบมาตั้งแต่เมื่อประมาณห้าพันปีก่อนในช่วงของชาวบาบิโลนและชาวอียิปต์ พวกเขารู้จักเขียนสัญลักษณ์แทนจำนวน รู้จัก เลข เศษส่วน รู้จักใช้ลูกคิด บวก ลบ คูณ และหารตัวเลข เพื่อใช้ในการติดต่อค้าขาย การเก็บภาษี การรู้จักทำปฏิทิน และยังรู้จักใช้มาตรฐานเกี่ยวกับเวลาอีกด้วย”
และในขณะที่ฉันกำลังจะพูดต่อ คุณครูก็หยุดการทำงานของสมองฉันซึ่งมันเป็นเรื่องที่อันตรายมากทีเดียว เพราะมันจะทำให้ความรู้ของฉันกระเจิงได้
“ธะ...เธอไปรู้มาจากไหนน่ะ”
“หนูชอบอ่านหนังสือค่ะ”ฉันส่งคำตอบสุดเบสิคให้กับคุณครู
“ออ...อื้ม ดีมากทุกคนควรเอาเป็นตัวอย่างนะเข้าใจมั้ย ปรบมือให้เอ่อ...”
“ลิซ่า เด แสตรนฟอร์เดียค่ะ”
“อืม...จ่ะ ปรบมือให้เธอ”
แล้วนักเรียนทุกคนก็ปรบมือให้ฉันอย่างเต็มใจบ้างไม่เต็มใจบ้าง ฉันก้มตัวลงแสดงการขอบคุณและนั่งลงกับที่
“ละ...ลิซ่า เธอสุดยอดเลยนะ”เด็กหญิงที่นั่งข้างฉันพูดด้วยเสียงเบา
“แน่นอนสิ คนที่รักการศึกษาก็ต้องฉลาดอยู่แล้วล่ะ”ฉันตอบด้วยคำง่ายๆเธอจะได้เข้าใจ
“ฉันชื่อพิมพานะ ว่าแต่ชื่อของเธอเป็นชื่อจริงๆเลยหรอ”
“ชื่อจริงสิ”ถามอะไรโง่ๆเนี้ย
“ยาวดีเนอะ ฮะๆๆๆ แบบนี้ต้องได้เป็นท่านอาจารย์แน่เลยล่ะ”
“ท่านอาจารย์หรอ”
“ในห้องของเราจะมีตำแหน่งเป็นของตัวเอง ฉันเป็นแม่ค้า คนที่ใหญ่ที่สุดในห้องก็คือเจ้าหญิง เราต้องฟังคำสั่งเธอไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษ”
“ลงโทษ?”
“ลงโทษให้กลายเป็นคนรับใช้ นั้นไง”
ฉันมองผ่านสายตาของพิมพาไปยังเด็กคนนึงที่ท่าทางเงียบๆและมีออร่าเศร้าเปล่งออกมา ฉันไม่ค่อยอยากจะอ่านความคิดของเธอเท่าไรแต่ว่าฉันก็ควรจะลองทำดู
...มันก็แค่อีกวันนึง มันก็แค่อีกวันนึง มันก็แค่อีกวันนึง มันก็แค่อีกวันนึง มันก็แค่อีกวันนึง มันก็แค่อีกวันนึง มันก็แค่อีกวันนึง มันก็แค่อีกวันนึง มันก็แค่อีกวันนึง มันก็แค่อีกวันนึง มันก็แค่อีกวันนึง...
คำพูดซำ้ไปซำ้มาวนเวียนอยู่ในหัวเธอ ท่าทางว่ายัยทาสคนนี้จะเป็นเหยื่อไม่น่าจะใช่คนที่จะฆ่าใครได้ด้วย แค่เอาตัวเธอรอดก็กล่ำกลืนฝืนทนแล้ว
หลังจากที่ผ่านการเรียนที่แสนน่าเบื่อไปสองชั่วโมงด้วยกัน ก็ถึงเวลาพักช่วงสาย ฉันก็เลยคิดว่าจะไปหาอักษรที่น่าจะอยู่ที่ห้องพักครูศิลปะ แต่ว่า..
“เดี๋ยว...จะไปไหนจ๊ะ”ยัยเจ้าหญิงดันมาขวางทางฉันพร้อมกับสมุนน้อยๆของเธออีกสามคน
“ก็ไปพักสิคะ”
“ฉันไม่ให้เธอไป”
“…”ฉันไม่อยากทำร้ายเด็กที่ไม่รู้เรื่อง ฉันก็เลยถอยไปออกอีกฝั่งของประตูแต่ก็ถูกกันทางเอาไว้อีก มันทำให้ฉันชักจะหมดความอดทน
“เธอคงไม่รู้อำนาจของเจ้าหญิงสินะ”เด็กที่เป็นสมุนพูดกับฉันด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“เจ้าหญิงจะให้เธอเป็นหมู เป็นไก่หรือเป็นอะไรก็ได้ที่อยากให้เป็น”
“ฉันไม่เล่นเกมโง่ๆนี่หรอก แล้วก็ไม่มีใครที่บังคับให้ฉันเล่นได้ด้วย”ฉันเขม็งไปยังใบหน้าอันแสนจะทุเรศของยัยพวกนี้ พวกนั้นหัวเราะชอบใจอย่างสนุกสนาน
“เกมโง่ๆหรอ นี้ไม่ใช่เกมหรอก แต่เป็นชีวิตของเธอต่างหาก ทหาร!!!”
โครมมมม!!
พวกเด็กที่เรียกตัวเองว่าทหารกระโดดทับตัวฉันเอาไว้ ทำให้ฉันขยับไปไหนไม่ได้
“พะ...พวกแกจะทำอะไร...” สติของฉันกระเจิดกระเจิงไปหมด
“ฉันจะให้เธอเป็นคนรับใช้เหมือนกับอีขี้แพ้นั้น”
หล่อนชี้ไปยังเด็กเงียบๆคนนั้น ที่ตอนนี้กำลังนั่งกับพื้นและตัดเล็บเท้าให้กับเด็กที่นั่งแหวกขาอย่างไร้มารยาทอยู่บนเก้าอี้ของเธอ มันเป็นภาพที่น่าเวทนามากจริงๆ
“แล้วเธอก็ต้องทำตามที่ทุกคนในห้องสั่ง เริ่มจากเธอเลย”
“เอ๋?”หล่อนชี้นิ้วไปที่พิมพาที่ยืนมองฉันอยู่ไม่ไกล
“สั่งยัยนี้สิ เธออยากให้ยัยนี้ทำอะไรก็เชิญได้เลย”
“ตะ... แต่ว่า...”เธอมองมาที่ฉันอย่างกล้าๆกลัวๆ “มะไม่มีอะไรที่ฉันอยากให้เธอทำหรอก!”
ยัยเด็กนี้กำลังช่วยฉันอยู่หรอ..แล้วหล่อนก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะหยิบแก้วนำ้หวานของใครก็ไม่รู้มา
“ได้! ฉันจะหาเรื่องให้เธอเอง”
ซ่าาาา!!เสียงสาดนำ้ดังสนั่น นำ้หวานสีแดงเลอะเต็มหน้าของพิมพาและตามเนื้อตัวของเธอ
“เอาล่ะค่ะคุณแม่ค้าพิมพา เนื้อตัวของเธอสกปรกไปหมด จะให้คุณลิซ่าอาบนำ้ให้หรือว่าจะให้ฉันสั่งให้คนโยนเธอโยนลงเล้าหมูกันล่ะ ฮะ!!!”
“อึ...ฮึก ฮือ...”พิมพาเริ่มสะอื้นและฉันก็เริ่มจะพยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่ไหว ฉันเริ่มท่องบทพระคำภีร์เพื่อให้ใจของฉันเย็นลง
“อวยพรผู้ที่เบียดเบียนท่าน จงอวยพรเขา อย่าสาปแช่ง จงร่วมยินดีกับผู้ที่ยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่ามักใหญ่ใฝ่สูง แต่จงยอมทำสิ่งต่ำต้อยเถิด”
“อะ...อะไรของยัยนี้น่ะ”
“อย่าทะนงว่าตนฉลาด อย่าตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว จงพยายามทำดีต่อมนุษย์ทุกคน ในส่วนของท่าน จงอยู่อย่างสันติกับทุกคนถ้าเป็นไปได้ พี่น้องที่รักยิ่ง อย่าแก้แค้นเลย แต่จงให้พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษเถิด”
“เหวออออ ยัยนี้มันบ้า!!”
“ตรงกันข้าม ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารกับเขา ถ้าเขากระหาย จงให้เขาดื่ม เพราะเมื่อทำเช่นนี้ ท่านจะทำให้เขาสำนึกและละอายใจ อย่าให้ความชั่วเอาชนะท่าน แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี”
และแล้วเหงื่อที่ไหลตกเต็มใบหน้าของฉันกับฟันที่ขบกันด้วยความโกรธก็ทุเลาลงและหายไป ปรากฎแต่รอยยิ้มเปรมปรีขึ้นมาบนหน้า
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะอาบนำ้ให้กับคุณพิมพาเองค่ะ”
“ฮืม?”หล่อนเดินกลับมาหาฉัน ด้วยสีหน้างงๆ
“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็ช่วยลุกออกจากตัวฉันนะคะ”ฉันบอกกับเด็กๆที่นอนทับตัวฉันและพวกเขาก็ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ฉันลุกขึ้นและปัดกระโปรง “ฉันกลายเป็นคนรับใช้แล้วสินะคะ ฉันก็จะทำโดยที่ไม่ขัดอะไร”
ฉันเดินไปหาพิมพาแล้วก้มหัวให้อย่างสุภาพ
“คุณพิมพาเนื้อตัวเปรอะเปื้อนแบบนี้ ปล่อยเอาไว้จะแย่เอานะคะ เดี๋ยวฉันจะพาไปอาบนำ้แต่งตัวนะคะ”
“ตะแต่ว่า...ฮึกๆ”
“ตามฉันมาเถอะค่ะ”แล้วฉันก็เดินนำทางพิมพาไปข้างนอก ฉันก็แค่ต้องเล่นตามบทที่ถูกยกให้และสนิทกับเด็กให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้...
“ขอโทษนะลิซ่า เป็นเพราะฉันแท้ๆเลย”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก”
ฉันรอพิมพาอาบนำ้ในที่อาบนำ้ข้างสระว่ายนำ้ และฉันก็ใช้เวทย์มนต์ของฉันซักเสื้อผ้าของเธอและตากมันเอาไว้เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตมากจนเกินไป แน่นอน...ฉันไม่มีทางซักผ้าให้ใครหรอก
“นี้พวกเธอเล่นอะไรแบบนี้อยู่ตลอดเลยหรอ”
“อืม...มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไร ฉันก็จำไม่ได้เหมือนกัน”
“มันบ้ามากเลยนะ เธอยอมทำตามพวกนั้นอยู่ได้ยังไงน่ะ”
เสียงตอบของเธอหายไปพร้อมๆกับเสียงนำ้ที่กระทบพื้น เมื่อรู้ว่าเธอเสร็จแล้วฉันยื่นผ้าขนหนูที่ไปหยิบมาจากแถวๆนั้นส่งให้เธอ และเธอก็อยู่ในสภาพที่ไปไหนไม่ได้เพราะเสื้อที่ไม่แห้งและไม่มีชุดสำรอง
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันมีหลายอย่างที่อธิบายไม่ได้น่ะ”
“เธอ...รู้ตัวหรอว่ามีอะไรแปลกไป”ฉันมองหน้าเธอที่ผมเปียกปอน
“ฉันรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่าง...หายไป”
“เธอคิดว่าเป็นจำนวนคนในห้องใช่มั้ยล่ะ”
“เอ๋?” นี่เป็นสัญญาณที่ดี ฉันคิดว่าเธอน่าจะช่วยฉันได้
แล้วฉันก็ลุกขึ้นยืนมองซ้ายขวาว่ามีใครแอบฟังอยู่รึเปล่า ไม่ว่าคน วิญญาณร้ายก็ตาม เมื่อแน่ใจแล้วฉันก็จ้องหน้าเธอที่นั่งกอดเข่าอยู่และเริ่มเข้าประเด็น
“ฉันจะถามเธอก่อนว่า เธอเชื่อในเรื่องลี้ลับมั้ย”
“เรื่องลี้ลับงั้นเหรอ”เธอกลืนนำ้ลาย “ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวและเป็นสิ่งที่ห่างไกล”
“แล้วความรู้สึกที่เธอมีล่ะ เธอไม่คิดว่ามันจริงเหรอ ที่มีคนหายไป...”
“หายไป?”ใบหน้าที่เหวอของเธอเป็นอะไรที่หน้าขำ แต่ก็ไม่ตลกพอที่จะทำให้ฉันหัวเราะได้
“ฉันรู้จักบันนี่...ศศิธร มีชัย อดีตเจ้าหญิงของห้องเธอน่ะ”
“อะ...อดีตเจ้าหญิง...งั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว แล้วเธอก็ถูกฆ่าตายอย่างเป็นปริศนา ฉันจึงมาที่นี่ก็เพื่อที่จะช่วยพวกเธอ”
“ธะ...เธอไม่ใช่เด็กแลกเปลี่ยนหรอ?”
“อย่างที่เธอสงสัยนั่นแหละ ฉันคือผู้ที่พัวพันกับสิ่งลี้ลับทุกอย่าง ผู้ถูกจ้างวานและถูกร้องขอ ฉันหวังว่าเธอจะรู้จักฉายานี้นะ โมนาลิซ่าแห่งซอกซอยที่23”
“โมนา...ลิซ่า...”แล้วตาของเธอก็เบิกขึ้น “ขะ...ข่าวลือนั่นเป็นจริงอย่างนั้นหรอ เธอคือ...”
หลายคนก็เรียกฉันต่างกันออกไป หมอผี คนทรง ผู้รอบรู้หรือแม้แต่...แม่มด”
หน้าของเธอซีดเผือก ฉันรู้ว่าเด็กแบบเธอที่ขี้ขลาดตาขาว ย่อมเป็นคนที่เชื่อคนง่ายอยู่แล้ว แต่ทุกอย่างที่ฉันบอกไป มันก็แค่เป็นเรื่องจริงเท่านั้น
“ฉันอยากหลุดพ้นจากอะไรบ้าๆนี่...เธอจะช่วยปล่อยฉันให้เป็นอิสระใช่มั้ย”
“ใช่ แต่ว่าเธอก็ต้องช่วยฉันด้วยรู้รึเปล่า ตอนนี้น่ะปริศนาของเรื่องนี้เต็มไปหมด แต่ว่าฉันจะไม่เอาเธอไปยุ่งกับเรื่องที่ต้องเสี่ยงอันตรายแน่นอน”
“ขะ...เข้าใจแล้ว แล้ว...ฉันต้องทำยังไงล่ะ”
“หญิงที่เป็นโจรสลัด โมโม่ที่เป็นนักดาบ อิ่มที่เป็นพยาบาล และหมูที่เป็นคนเลี้ยงหมู เธอรู้จักสี่คนนี้ใช่มั้ย”
“ฉะ...ฉันรู้จัก คุณรู้จักพวกเขาได้ยังไง”
“พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทของบันนี่ก่อนที่เธอจะตาย และยังมีเพื่อนอีกคนนึงที่หายสาบสูญไป”
“มะ...หมายความว่ายังไง”
“ฉันอยากคุยกับพวกเธอนะ แต่ถ้าฉันเข้าไปคุยเลยพวกเขาคงไม่ยอมปริปากพูดอะไรแน่ เพราะฉะนั้นเธอต้องช่วยพูดกับพวกเขาด้วย”
“แต่ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกับเอแคลนะ”
“ฮืม? เอแคล?”
“เจ้าหญิง...เอแคลเป็นเจ้าหญิง พวกนั้นต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกเอแคลแน่”
เหมือนฉันจะเริ่มเข้าใจบางอย่างแล้วนะ เจ้าหญิง โจรสลัด นักดาบ นางพยาบาล คนเลี้ยงหมู และอาชีพอีกหนึ่ง พวกนี้น่าจะเป็นกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าคนในตำแหน่งไหนจะหายไป ก็จะมีคนแทนที่ในความทรงจำของห้อง ซึ่งเด็กที่หายตัวไปก็เช่นกัน
“แล้วอีกคนนึงล่ะ เพื่อนในกลุ่มนั้นอีกคนนึง”
“เพื่อนอีกคนนึง...”พิมพาครุ่นคิดมองหาคนในชั้นเรียนของเธอ “อิง...ที่เป็นคนรับใช้น่ะ”
“ว่าไงนะ คนที่กำลังตัดเล็บเท้าให้คนอื่นน่ะนะ!?”
เธอพยักหน้า และเริ่มอธิบายบางอย่างออกมาแต่ว่า...
“นี้พวกเธอมาทำอะไรกันตรงนี้น่ะ นี้มันคาบเรียนแล้วไม่ใช่หรอ”
“คะ..คุณครู!!”ให้ตายสิ กำลังจะได้เรื่องแล้วเชียว ดันมาขวางซะได้นังครูบ้านี่
“เพื่อนเขาถูกเพื่อนคนนึงสาดนำ้หวานใส่น่ะค่ะ หนูก็เลยพาเพื่อนมาอาบนำ้”แต่ยังไงตอนนี้ฉันก็เป็นแค่เด็กป.4ใ นตอนนี้ฉันจึงทำได้แค่ยิ้มหวานบอกความจริงไป
“ว่าไงนะ สาดนำ้หวานหรอ”
“มะ...ไม่ใช่นะคะครู!!”
“อะไรกันพิมพา จะมัวปกป้องคนไม่ดีของห้องไม่ได้นะ” ฉันหันกลับไปหาคุณครูจอมจุ้น
“ที่หนูพูดเป็นเรื่องจริงค่ะ เธอกลัวเอแคลจะแกล้งเธออีก ก็เลยไม่กล้าฟ้องครู แต่หนูไม่กลัวหนูเลยบอกครูได้!”
“แย่จริงๆเลย เดี๋ยวครูไปเอาชุดนักเรียนจากห้องปกครองมาให้นะจ๊ะ พวกหนูรอตรงนี้แหละเดี๋ยวครูมา”
แล้วหล่อนก็วิ่งหายรับไป พิมพาดึงชายกระโปรงของฉันอย่างแรงหลายครั้ง
“เธอทำอะไรของเธอน่ะ ทำอะไรของเธอ!!”เธอกรีดร้องเสียงแหลม และฉันก็มองตาขวางใส่เธอ
“ฉันทำอะไรล่ะ ก็บอกความจริงไงล่ะ คิดว่าฉันทำแบบนั้นแล้วเธอจะถูกลดตำแหน่งเป็นคนรับใช้ไปด้วยรึยังไง”
“อึก....”ปากของเธอหุบและจ้องหน้าฉันด้วยดวงตาที่ปวดร้าวและหวาดกลัว
“เธอเคยได้ยินเรื่องของพระเจ้าบ้างรึเปล่า”
“เรื่อง...ของพระเจ้า?”เธอส่ายหัว “พวกเรื่องลี้ลับอีกแล้วหรอ”
“สมกับเป็นเด็กครอบครัวพุทธ ในโรงเรียนพุทธ ไม่มีทางได้รู้จักกับพระเจ้าได้”ฉันเอามือของฉันกอดอกไว้แล้วเริ่มเล่าเรื่องที่อยู่ในพระคำภีร์
“สาวกทั้งสิบสองได้ล่องเรืออยู่กลางทะเลสาบกาลิลีพร้อมกับพระเยซูผู้มีฤทธิ์เดชชนะทุกสิ่ง พวกเขาเผชิญกับพายุรุนแรงโหมกระหน่ำ เหล่าสาวกกลัวมาก จึงรีบปลุกพระเยซูจากนิทรา แล้วพระองค์ได้ห้ามพายุ ทำให้ทุกอย่างสงบลง เธอเห็นอะไรในเรื่องนี้”
“หะเห็นอะไร...คนที่ชื่อพระเยซูมีพลังพิเศษหยุดพายุได้...ล่ะมั้ง”
“ความกลัวต่างหากล่ะ สาวกของพระเยซูซึ่งกิน นอนกับพระองค์มาตลอด เคยเห็นการอัศจรรย์ของพระองค์มาหลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยังกลัว แล้วนับประสาอะไรกับเธอที่พึ่งมาเจอฉัน ถึงจะได้รู้หลายๆอย่างว่าฉันทำอะไรได้บ้าง แต่เธอก็กลัวไปหมด ทั้งที่ฉันบอกว่าฉันช่วยเธอได้”
“…..”เธอเงียบไป
“เพราะฉะนั้นฉันก็จะขอใช้พระคำของพระองค์ที่ว่า อย่ากลัวเลย เพราะเราจะอยู่กับเจ้า อย่าขยาดเพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า ถึงฉันจะไม่ใช่พระเจ้าของเธอ...แต่ว่า ฉันก็จะปกป้องเธอแน่นอน ที่เหลือก็แล้วแต่เธอ ว่าจะหนีหรือยืนหยัดต่อสู้กับความกลัวของเธอ”
พิมพานิ่งเงียบไปนานทีเดียว เหมือนเธอกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างเพื่อเลือกเส้นทาง และฉันก็จะไม่อ่านความคิดของเธอด้วย ฉันรอให้เธอพูดคำตอบออกมาจากปากของเธอ
แต่ดูเหมือนจะนานเกินไป จนคุณครูคนนั้นกลับมากับเสื้อนักเรียนตัวใหม่ในมือ เธอเดินตรงมาหาพวกเราและยื่นมันให้กับพิมพา
“เปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้ว ครูจะพาเธอไปห้องฝ่ายปกครองนะ”
“อี๋!!”เธอสะดุ้งโย๋งกับคำๆนี้ ห้องฝ่ายปกครอง ไม่ว่าเด็กคนไหนก็กลัวห้องนี้กันทั้งนั้นสินะ
“หนูขอไปด้วยนะคะ หนูเป็นพยานและแทบทุกคนในห้องก็เห็นค่ะ ยกเว้นว่าพวกเขาจะกลัวจนเข้าข้างคนผิด”
“ไม่ต้องห่วงนะ ครูจะนำความยุติธรรมมาสู่พวกเธอ คำตัดสินของผู้ใหญ่จะช่วยเธอได้แน่จ่ะ”
หลายๆครั้งที่ฉันได้มีโอกาสปลอมตัวในหมู่เด็ก ก็มักจะมีปัญหาประมาณนี้เกิดขึ้นบ่อยเหมือนกันแต่ว่าคราวนี้ไม่เหมือนทุกที ตรงที่เหมือนว่าเบื่องหลังทุกอย่างจะเป็นสิ่งลี้ลับ หรือจุดประสงค์ของเรื่องทั้งหมดนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลย
ไม่นานนักพิมพาก็สวมเสื้อผ้าเสร็จ เธอยังคงยืนก้มหน้าต่อหน้าครูที่ยืนกอดอกอยู่
“ครูเขม...อย่าพาหนู..ไปห้องฝ่ายปกครองเลยค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะจ๊ะลูก”
“คุณครูช่วยอะไรหนูไม่ได้หรอกค่ะ เธอจะลงโทษหนู...ทุกคนในห้องจะไม่มีใครรับหนูเป็นเพื่อนอีก...หนูจะไม่มีกลุ่มเพื่อนหรืองานอีกต่อไป”
“ไม่จ๊ะ มันแก้ไขได้ ครูเคยเรียนป.4มาก่อนหนู เคยถูกแกล้ง เคยถูกเกลียดเหมือนกัน ถ้าครูช่วยหนูไม่ได้แล้วครูจะมาเป็นครูทำไมล่ะจ๊ะ”
“ครู...ครูไม่เข้าใจหนูหรอกค่ะ!!”
แล้วเธอก็เลือกที่จะหนี หนีจากการเผชิญหน้าในทุกๆอย่างเหมือนที่ทุกๆคนถูกหลอกกันหมด ถ้าเธอไม่รับความช่วยเหลือจากใคร ก็จะไม่มีใครช่วยเธอได้เช่นกัน
“ดะ...เดี๋ยว...”
“ปล่อยเขาไว้เถอะค่ะ ถ้าเขาไม่คิดจะสู้เราก็ทำอะไรไม่ได้”
ฉันมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บใจของอาจารย์ที่ดูจะไฟแรงคนนี้ เธอมองต่ำลงและมาสบตากับฉัน
“หนูเป็นเพื่อนของเด็กคนนั้นใช่มั้ย”
“หนูเป็นเด็กแลกเปลี่ยนจากอิตาลีค่ะ ลิซ่าค่ะ”
“งั้นเหรอ...แสดงว่าพึ่งมาวันนี้วันแรกเลยสินะ ปกติที่นี่ไม่ค่อยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเท่าไรหรอก ก็ถือว่าหนูโชคไม่ดีก็แล้วกันนะ”
“คุณครูรู้ได้ไงคะ ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นปกติ อาจารย์น่ะไม่สังเกตอะไรเลยด้วยซำ้นะคะ”
ฉันเดินจากไปและทิ้งเธอให้จมกับคำพูดของฉัน เผื่อว่าหล่อนจะทำอะไรซักอย่างที่สถานะของผู้ใหญ่จะทำได้แต่ก็ไม่อยากให้การกระทำของหล่อนกลายเป็นการก่อเรื่องแทน
ฉันเปิดประตูเข้ามาในห้องเรียนที่ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบพร้อมๆกับหน้าตาดุดันของอาจารย์ท่านหนึ่งที่กำลังถือไม้เรียวสอนอยู่หน้าห้อง
“เธอเป็นเด็กห้องนี้ใช่มั้ย”
“ค่ะ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่พึ่งมาวันนี้ค่ะ”
“ประเทศอะไร”
“อิตาลีค่ะ”
“ที่นั่นเข้าห้องเรียนกันกี่โมง ฮืม?” ใบหน้าของหล่อนดูแดกดันและดูอยากจะมีเรื่องกับเด็กมาก เพราะแบบนี้ล่ะมั้งห้องเรียนถึงได้เงียบนัก
“ที่อิตาลีไม่มีพักช่วงสายค่ะ หนูก็เลยไม่รู้เวลาเข้าเรียนคาบที่สามนี้”
“เธอบอกว่าเธอไม่รู้เหรอ”
“หนูไม่รู้เรื่องที่เวลาเข้าเรียนคือเท่าไร แต่หนูรู้ค่ะว่าอาจารย์กำลังสอนเรื่องอะไร”
“นี้เธอกำลังเล่นลิ้นอะไรกับฉัน เธออ่านบนกระดานก็รู้อยู่แล้วว่าฉันจะสอนเรื่องดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอยู่น่ะ!! เธอจะบอกว่าเธอมีหูทิพย์รู้ว่าฉันสอนอะไรบ้างงั้นเหรอ!!”
หล่อนตะคอกเสียงดังเหมือนกับเกลียดเด็กเกเรทุกชนิด
“หนูไม่มีหูทิพย์หรอกค่ะ หนูก็แค่รู้เกี่ยวกับมันเท่านั้นเอง” ฉันถอนลมหายใจก่อนจะระบายเรื่องที่ฉันรู้เกียวกับมันให้หล่อนฟัง
“เดิมมนุษย์เชื่อว่า โลกเป็นเหมือนจานข้าวที่อยู่ศูนย์กลางจักรวาลและหยุดนิ่ง มีดวงดาวต่าง ๆ โคจรไปรอบ ๆ ผ่านไปบนท้องฟ้า นักดาราศาสตร์คณิตศาสตร์ชาวอินเดียชื่อ เอยับฮาตะ และนักปรัชญาชาวกรีก อาริตาครัส เป็นสองคนแรกที่มีแนวคิดว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล และจัดลำดับจักรวาลเสียใหม่ แต่ผู้ที่สามารถคิดค้นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้ได้สำเร็จเป็นคนแรกคือ นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส“
ดวงตาของหล่อนเบิกโตราวกับเห็นผี หล่อนเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อเถียงฉันแน่ฉันจึงพูดต่อ
”ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีผู้สืบทอดแนวทางการศึกษาของเขาต่อมา คือกาลิเลโอ กาลิเลอี, โยฮันเนส เคปเลอร์ และ ไอแซค นิวตัน พวกเขาพยายามทำความเข้าใจระบบทางฟิสิกส์และเสาะหาหลักฐานการพิสูจน์มายืนยันว่า โลกและดาวเคราะห์ทั้งหลายเคลื่อนไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ ภายใต้กฎทางฟิสิกส์ ก็คือกฎสามข้อของเคปเลอร์โดยรวมกับกฎการเคลื่อนที่และกฎความโน้มถ่วงสากลของนิวตัน ซึ่งใช้วิชาแคลคูลัสเป็นศูนย์กลางในการสรุปในเวลาต่อมา”
ความเงียบปกคลุมอีกครั้งดวงตาที่ดูรังเกียจของเด็กๆส่งมาที่ฉันและดวงตาอันสบสนไม่แน่ใจของอาจารย์วิทยาศาสตร์คนนี้ก็จับจ้องมาที่ฉันเหมือนกัน
“จะให้หนูอธิบายเรื่องนี้ต่อมั้ยคะ”
“มะ...ไม่...ฉันไปเอง”
แล้วหล่อนก็เดินหนีออกจากห้องเรียนไปโดยไม่แม้แต่จะสบตาฉัน ฉันคิดว่านี้เป็นเรื่องที่เบสิกมากสำหรับนักศึกษาและอาจารย์ภาควิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์นะ
แล้วไม่นานนักเหล่าเด็กๆก็มายืนออกันต่อหน้าฉัน
“ลิซ่า ธะ...เธอสุดยอดมากจริงๆ เธอทำให้ยัยแก่ปากจัดคนนั้นยอมแพ้ได้!”
“ขอโทษที่ฉันดูถูกเธอนะลิซ่า เธอฉลาดมากและมีความรู้มากจริงๆ ฉันยอมรับแล้ว”
แล้วจากนั้นทุกคนที่ยืนอยู่ข้างฉันก็กลับหันไปมองที่เอแคล เจ้าหญิงของห้อง
“เอแคล ลิซ่าไม่ควรเป็นคนรับใช้ เธอควรเป็นอย่างอื่นที่ควรค่าต่อสิ่งที่เธอเป็น”
“ใช่แล้วเอแคล เธอเป็นเจ้าหญิงนี่ เธออย่าถือสาลิซ่าเลยนะ”
“เจ้าหญิงน่ะต้องใจกว้างและทำตัวน่ารักใช่มั้ยล่ะ”
เสียงออดอ้อนของเด็กๆมากมายมันเริ่มทำให้ฉันเริ่มสติแตกพอๆกับนังเอแคลที่ต้องทนฟัง และเธอก็กรีดร้องออกมาทำให้ทุกคนเงียบ
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!! ฉันเป็นเจ้าหญิงนะ ฉัน...ฉัน...ฉันใหญ่ที่สุดในนี้ ฉันจะบอกให้ใครเป็นอะไรก็ได้!!!!!”
“…”ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบราวกับจะได้ยินเสีบงหยดนำ้ที่ไหลอาบแก้มของเธอ
“โอ๋ๆๆเอแคล ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
“พวกเธอจะเลือกใครระหว่างนังคนรับใช้กับเจ้าหญิง”เด็กที่ยืนอยู่ข้างๆเธอตะโกนเสียงดังลั่น”ในฐานะนักดาบองครักษ์ ถ้าเธอเลือกอยู่ข้างคนรับใช้ พวกแกก็จะโดนลดระดับลงไปเหมือนกัน!!และก็กลายเป็นคนรับใช้ซะ!!”
นักดาบหรอ...แสดงว่าเธอก็คือโมโม่ หรือไม่ก็อาจจะไม่ใช่แล้ว ถ้าฉันเดาถูกว่าทุกๆสองสัปดาห์ที่มีคาบเกี่ยวในแต่ละเดือนจะมีคนตายเป็นหนึ่งในอาชีพที่เกี่ยวข้องโดยความเป็นเพื่อนในกลุ่มของเจ้าหญิง เธอก็อาจเป็นเป้าหมายของวันพุธ วันนี้ ไม่ก็วันพรุ่งนี้แน่
แล้วฉันก็ใช้ช่วงเวลาที่ถูกแบ่งกลุ่มชัดเจนนี้ให้เป็นประโยชน์ ก่อนที่เด็กที่ไม่เกี่ยวของจะเข้าไปรวมกลุ่มกันอีกครั้ง หนึ่งคือนังเอแคลที่เป็นเจ้าหญิง สองคือนักดาบที่คาดว่าจะเป็นโมโม่ สามและสี่คนที่นั่งขนาบข้างปลอบเจ้าหญิงอยู่ ห้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ หก อิงคนรับใช้ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ไปไหน และเจ็ด..
พิมพา...
เธอนั่งที่ตรงนั้นไม่ไปไหนเหมือนกัน ฉันขอเดาเลยว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มของนังนั่น ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ ถึงสิ่งที่ขาดหายไป เพื่อนที่แท้จริงของเธอ...มันหายไปทีละคนๆ
“นี้..ฉันมีเรื่องจะถามหน่อยนะ”ฉันเริ่มเปิดปากหลังจากที่ไม่ได้พูดมานาน “มีใครในกลุ่มพวกเธอเกิดวันนี้มั้ย”
“ว่าไงนะ?”แต่ละคนต่างมองหน้ากัน พร้อมๆกับขยะแขยงในตัวฉัน
“ไม่ใช่เธอ...ไม่ใช่เธอด้วย”ฉันชี้ไปทางเอแคลกับอิง เพราะพวกเขามาแทนบันนี่ที่ได้กล่องสีชมพู คนที่หายไปโดยได้กล่องสีปริศนา และต้องมีอีกคนนึงที่ประสบอุบัติเหตุและได้กล่องสีเหลือง
สี่คนที่ยังเหลือรอดอยู่ คือพิมพาที่เป็นแม่ค้า และอีกสามคนในนี้
แต่แล้วเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นที่ประตูหน้า ทำให้ทุกคนหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน
“นักเรียนมีเรียนดนตรีต่อนะครับ ไปได้แล้วครับ”
นั่นคืออักษรที่แฝงตัวเข้ามาเป็นอาจารย์พิเศษ เป็นอะไรที่เหมาะเจาะมากจริงๆเลยให้ตายสิ ฉันต้องคุยกับเขาเดี๋ยวนี้เลย ฉันจ้องตาเขาเพื่อบอกเป็นนัยว่าอยากคุยด้วยและท่าทางว่าเขาจะเข้าใจด้วย
ฉันทำเป็นรื้อข้าวของที่ไม่มีอะไรเลยในกระเป๋าของฉัน และไม่สนใจแม้กระทั่งพิมพาด้วย จนกระทั้งนักเรียนออกไปหมดแล้ว อักษรจึงเดินเข้ามาหาฉัน
“เป็นยังไงบ้างครับคุณลิซ่า”
“เหนื่อยน่ะสิถามได้ เป็นการไขปริศนาที่เหนื่อยที่สุดเลย”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอครับ”คำถามของเขาทำให้ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พวกนี้เห็นเจ้าหญิงใหญ่ที่สุด แต่แย่ที่เจ้าหญิงที่มาแทนบันนี่นิสัยเสียมาก ตอนพักช่วงสายฉันถูกสั่งให้กลายเป็นคนรับใช้แล้วต้องพายัยแม่ค้าพิมพาไปอาบนำ้”
“หืม? อาบนำ้?”
“ยัยเจ้าหญิงนั่นสาดนำ้หวานใส่หน้าเธอน่ะสิ”
“อะไรกัน ไม่อยากเชื่อเลยนะครับ ว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
“ฉันเองก็ไม่อยากเชื่อหรอกว่าจะมีเด็กที่ทำให้ฉันประสาทเสียได้ขนาดนี้ แต่ว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้”
“ไม่ชอบมาพากลหรือครับ”
“ใช่...เด็กทุกคนไม่มีใครคัดค้านคำสั่งของเจ้าหญิงเลย ถ้าขัดแล้วจะโดนลงโทษให้เป็นคนรับใช้ และคนที่โดนลงโทษก็ยอมรับง่ายๆอย่างนั้นเลย”
“คนรับใช้มีกี่คนหรือครับ”
“ตอนนี้เป็นฉันและเด็กอีกคนนึง”
“แต่ว่าคนที่เป็นเหยื่อก็คือบันนี้ที่เป็นเจ้าหญิงใช่มั้ยล่ะครับ แล้วก็อีกคนนึงที่เกิดรถชน อ๊ะ! จริงสิครับ ผมได้ภาพถ่ายรวมห้องจากคุณผึ้ง ที่เป็นตำรวจสอดแนม เป็นภาพที่ถ่ายไว้ทุกเดือนตั้งแต่ปีที่แล้วจนมาเดือนที่ผ่านมาครับ”
“ดีเลยงั้นเธอเก็บไว้ให้ดี ห้ามหายเด็ดขาด เราจะเอามาดูกันคืนนี้”
แล้วเราก็เดินตรงไปยังห้องดนตรีพร้อมๆกับแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไปด้วย
“นายบอกว่าข่าวลือที่สีครามได้ก็คือ นักเรียนในระดับชั้นป.4หายไปทีละคนใช่มั้ย”
“ครับใช่ครับ”
“ฉันคิดว่าจริงๆแล้ว คนที่หายไปมีแต่คนในกลุ่มของเจ้าหญิงเท่านั้น”
“คนในกลุ่มงั้นเหรอครับ”
“เจ้าหญิง นางพยาบาล โจรสลัด พ่อค้าแม่ค้า นักดาบองค์รักษ์ คนเลี้ยงหมู และคนรับใช้”
“เอ๋? ทั้งหมดเจ็ดคน”
“เจ้าหญิงกับคนรับใช้ตายไปแล้วแน่นอน ก็จะเหลือคนที่เกิดอุบัติเหตุรถชนซึ่งเป็นหนึ่งในอีกห้าคนนี้ เมื่อวานเราก็ยังไม่เจอกล่องของขวัญสีเขียวเลยและไม่รู้ว่าเธอหายสาบสูญไปรึยัง เพราะฉะนั้นเราต้องหาว่าใครจะได้กล่องของขวัญสีส้ม หรือก็คือใครในกลุ่มที่เกิดวันนี้”
“แต่ว่าถ้ามีแต่คนในกลุ่มนั้นที่คนหายไปแล้วใครที่มาแทนที่ล่ะครับ”
นั่นสินะ...เด็กที่มาแทนที่มาจากไหน ห้องอื่นหรอ...หรือว่าเป็นคนในห้องเองกันแน่ ถ้ามาจาก
ห้องอื่นๆแสดงว่าตอนแรกก็ต้องมีความแตกต่างทางจำนวนมากเหมือนกัน ถ้าเช็คดูจำนวนเด็กแต่ละห้องน่าจะทำให้รู้ได้ รู้สึกว่าสารวัตรจะส่งคนมาดูที่นี่แล้วรึเปล่านะ...
“คุณลิซ่าครับ”
“ว้าย!!!”ฉันตกใจอย่างไม่คิดไม่ฝันว่าฉันจะร้องออกมา ฉันหันไปหาอักษรที่ทำหน้าเอ๋อด้วยความหงุดหงิด “อะ..อะไรอีกเล่าตกใจหมดเลย”
“คือว่าห้องดนตรีมันต้องไปทางนี้น่ะครับ”
พวกเรามาหยุดยืนหน้าห้องดนตรีและเขาก็เปิดประตูเข้าไป
“เอ้า...เข้าไปแล้วคราวหน้าอย่าเข้าห้องสายอีกล่ะ”
“ค่ะ ขอโทษนะคะ”
การเรียนการสอนถูกหยุดชะงักลงหลังจากที่พวกเราเข้ามา พวกเด็กๆมองฉันเป็นสายตาเดียวกัน และอาจารย์ผู้ชายแก่ๆก็ลุกขึ้นจากเปียโน
“พอดีเลยๆ เธอไปนั่งที่ไป”เขาพูดเสร็จ ฉันก็ไหว้เขาและไปนั่งบนที่นั่งที่เป็นสเตจสี่ขั้นที่ปกติจะใช้สำหรับให้นักร้องประสานเสียงยืนร้องเพลงกัน และอักษรก็มายืนตรงหน้าพวกเรา
“ครูชื่ออักษรนะ ครูเป็นครูพิเศษประจำชมรมออร์เคสตร้าครับ มีใครเล่นดนตรีอะไรเป็นมั้ยครับ”
“หนูค่ะ หนู”พวกเด็กๆยกมือเสนอตัวกันพรึบ คุณครูอักษรก็ชี้ให้คนแรกพูด เด็กคนนั้นยืนขึ้นอย่างกระดี๊กระด๊า
“หนูเล่นฟรุตเป็นค่ะ”
“งั้นหรอครับ”
“หนูเล่นไวโอลินค่ะครู”
“เดี๋ยวสิฉันก็เล่นไวโอลินอะ”
“ครูต้องเลือกหนูนะ หนูเล่นเก่งกว่าเยอะเลย”
“ไม่จริงค่ะ หนูเล่นเก่งกว่า”
แล้วเด็กไวโอลินสองคนก็เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จนแทบจะจิกหัวตบกันละ และอาจารย์ก็ปรบมือเรียกสตินักเรียน
“เอ้าๆๆ กลับเข้าเรื่องได้แล้ว คนที่พึ่งเข้ามาใหม่เราพึ่งวอร์มเสียงกันไป เธอต้องวอมเสียงคนเดียวนะ”
“ค่ะ...”
“ยืนขึ้นสิ เอ้าทุกคนเงียบๆอย่าหัวเราะเพื่อน”
ยิ่งเงียบ เสียงที่เหมือนกระซิบก็จะดังขึ้นความรู้สึกที่เหมือนกดดันก็แทรกซึมเข้าไปร่างกาย แต่สำหรับฉันแล้ว มันก็ไม่สะทบสะท้านอะไรหรอก
“วอร์มเสียงตามโน๊ตเปียโนนะ ฮ่า ฮา ฮ้า ฮา ฮ่า.. ”
“ฮ่า ฮา ฮ้า ฮา ฮ่า..” วิชาขับร้องประสานเสียง ถึงจะน่าสนุกแต่ก็น่าอาย ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงของฉันเรียบและน่าเบื่อมากขนาดไหน
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นอย่างกับกำลังดูโชว์ตลกนั้นทำให้สมาธิของฉันค่อยๆแตกกระเจิง ใครก็ได้หยุดไอ้เด็กนรกพวกนี้ทีเถอะ
“นี้ๆๆลิซ่า ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ”ยัยเจ้าหญิงจอมปลอมเริ่มวางท่าเป็นเจ้านาย
“ใช่ๆ พวกเรารู้ว่าเธอเสียงเพราะมากๆเลย”
“อะ...เอ๋? เดี๋ยวก่อนนะครับนักเรียน”
“คุณครูอักษรก็อยากฟังเพลงของเธอใช่มั้ยล่ะคะ ใช่มั้ยล่ะคะ”
“ดะเดี๋ยวสิ...”
“งั้นเหรอ ครูก็คิดว่าเสียงของเธอน่าจะน่ารักนะ เพียงแค่เธอไม่พยายามให้เต็มที่เท่านั้นเอง”
“ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย...”
อะไรกันความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกเสียวสันหลังและน่าขยะแขยงนี่ เหมือนกับ..ฉันกำลังยืนอยู่บนแท่นประหารท่ามกลางฝูงชนที่ขว้างปาก้อนหินกรวดใส่ เหมือนกับว่าฉันเป็นนักโทษที่ทั้งชาวบ้านรังเกียจเป็นแม่มดที่ทำลายพืชพันธ์ุอาหารของหมู่บ้าน มะไม่นะ...ฉะ..ฉันไม่ได้ทำ
“ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย ร้องเลย...เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน...”
หัวของฉันเหมือนถูกบีบด้วยเครื่องคั้นกระโหลก ขากรรไกรของฉันกำลังจะปลิ้นออกมา ลูกตาของฉันจะแหลกออกจากเบ้าตา และท้ายที่สุดสมองของฉันก็จะไหลออกมาจากหูทั้งสองข้าง นี้คือการทรมานที่เพื่อนพ้องของฉันเคยผ่านพ้นและตายจากไป
ถึงเมื่อก่อนฉันจะคิดถึงการทรมานรูปแบบต่างกับตัวเองเพื่อไถ่โทษกับการตายของพวกเขาแต่ว่า...ฉันเลิกทำไปแล้ว เลิกทำไปแล้วแต่มันก็กลับมาหลอกหลอนอีกทุกครั้งที่รู้สึกถึงเหตุการณ์
“Double, double, toil and trouble
Fire burn and cauldron bubble”
(มากขึ้นอีก, มากขึ้นอีก, ความทุกข์ทรมานและปัญหาหนัก
ไฟที่แผดเผาและหม้อไฟที่ร้อนเป็นฟอง)
อย่างไม่รู้ตัวฉันก็เพลอร้องเพลงประพันธ์ของ William Shakespeare ออกมา เพลงที่พูดถึงตัวตนของแม่มดในละครต้องสาป Macbeth
“Fillet of a fenny snake,
In the caldron boil and bake;
Eye of newt and toe of frog,
Wool of bat and tongue of dog,
Adder's fork and blind-worm's sting,
Lizard's leg and howlet's wing,
For a charm of powerful trouble,
Like a hell-broth boil and bubble.”
(เนื้อของงูทะเลสาบ, ในหม้อขนาดใหญ่ เดือดพล่านและสุกงอม
ตาของนิวต์และนิ้วเท้าของกบ,ขนของค้างคาวและลิ้นของสุนัข
เขี้ยวของงูแอดเดอร์และเหล็กในของหนอนตาบอด
ขาของจิ้งจกและปีกของนกฮอว์เล็ต
เพื่อการทำเสน่ห์ที่ทรงพลังเกินคาด,เหมือนกับนำ้เดือดนรกและฟองอากาศ)
“ยะ...ยัยนี้ต้องบ้าแน่ๆเลย ดูท่าทางของยัยนั้นสิ!”
“อุ๊บ! ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะของอาจารย์แก่ทำลายความเงียบสงัดและทำให้สติของฉันกลับมาอีกครั้ง ฉันตื่นขึ้นเหมือนจะเป็นจากการสะกดจิตหรือไม่ก็...เป็นเพราะตัวฉันเองที่ผิดปกติ
“ไม่คิดเลยว่าจะร้องเพลงนี้ได้ เป็นเด็กที่ไม่ธรรมดาจริงๆ”เขายิ้มและเดินมาตรงหน้าฉัน”หนูชื่ออะไรหรอ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยนะ”
“ละ...ลิซ่า...”ไอหมอนี้ มีบางอย่างที่ผิดแปลกไป บางอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย
“ยังไหวรึเปล่า ถ้าไม่ไหวก็ขอครูไปห้องพยาบาลก็ได้นะ ถ้าต้องการ”
“มะไม่เป็นไรค่ะ หนูไหวอยู่”
“งั้นเหรอ งั้นก็ดี...ขอให้สนุกกับโรงเรียนใหม่นะ”
แล้วเขาก็เดินจากไปนั่งที่เปียโนอีกครั้งและฉันก็ทิ้งตัวที่เหน็ดเหนื่อยลงบนสเตจ
“ลิซ่า เธอไม่เป็นอะไรนะ”ถึงแม้จะไม่ได้สบตากัน พิมพาก็เอ่ยถามฉันอย่างเป็นห่วง
“เธอ...เพื่อนกับพวกนั้นทำไมไม่บอกล่ะ”ฉันพูดพร้อมกุมขมับด้วยความปวดหัว
“ขอโทษนะ...”เธอก้มหน้าลงทำหน้าเศร้า ฉันเลยเปลี่ยนคำถาม
“งั้นเจ้าลุงนั่น...เป็นใคร”
“อาจารย์สังคมเป็นครูประจำผู้ชายคนเดียวในโรงเรียนนี้ ไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่งกับเขาเท่าไรเพราะเขาเคยมีข่าวลือน่ากลัวๆอยู่”
“ข่าวลืออะไร..”
“เขาชอบหมายหัวเด็กที่สวยที่สุดในระดับ แล้วฆ่าเพื่อดูเป็นของสะสมน่ะ”
“งานอดิเรกวิปริต”
“อย่าลืมนะว่านี้เป็นแค่ข่าวลือ ถ้าเป็นจริงเขาก็คงไม่มาอยู่ตรงนี่แน่”
“เธอคงคิดว่าคนเลวๆจะเข้าคุกหมดล่ะสิ แต่ขอโทษทีนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นโลกคงอยู่ง่ายขึ้นเยอะเลย”
แล้วไอ้แก่นั่นก็ปรบมือให้ทุกคนมาสนใจเขาและเด็กทุกคนก็ยืนขึ้นเพื่อเตรียมตัวร้องเพลง
“ลิซ่า ถ้าร้องไม่ได้ก็ตามเพื่อนไปก่อนนะ”เขาพูดเสร็จแล้วก็หันไปที่อักษร “เธอเล่นเปียโนเป็นใช่มั้ย”
“ครับ ได้ครับ”
“ช่วยมาเล่นแทนฉันหน่อยสิ ฉันต้องช่วยนับจังหวะน่ะ”
“ไม่มีปัญหาครับ”
แล้วอักษรกับครูสังคมก็สลับที่กัน เขาส่งสายตากวาดจากซ้ายไปขวาเพื่อดูว่าเด็กๆมีสมาธิดีแล้ว เขาก็ให้สัญญาณให้อักษรเริ่มเล่นตามโน๊ตที่ถูกวางไว้บนเปียโน เพียงแค่ท่อนแรกที่ถูกเล่นออกมาฉันไม่เคยได้ยินมันมาก่อนแต่ว่า มันทำให้ฉันรู้สึกปวดหัวอีกครั้งนึง
“Ohh my ,the gloomy bird fly upon the sky, why she say, why she says and falls down to the hill of unready world… “
(โอ้...เจ้านกน้อยแสนน่าโศกเศร้าบินขึ้นไปยังท้องนภา ทำไมกันเธอพร่ำร้อง ทำไมกันเธอพร่ำร้องและตกลงมายังหุบเหวแห่งโลกที่ไม่สมบูรณ์...)
หัวของฉันกำลังจะระเบิดในขณะที่พวกเด็กๆร้องเพลงนี้อย่างสนุกสนาน พวกเธอไม่รู้..ไม่รู้อะไรเลยซักอย่างแม้แต่ความหมายของมัน
“ยะหยุด...”
“Falling down, falling down the gloomy bird, you’re so poor. Without lover, without who see. She can just falling down to hill of unready world… “
(ล่วงหล่นลง ล่วงหล่นลง เจ้านกน้อยแสนน่าโศกเศร้า เธอนั้นช่างน่าสงสาร ไม่มีทั้งคนรัก ไม่มีใครที่เห็นเธอ เธอทำได้แค่ตกลงสู่หุบเหวแห่งโลกที่ไม่สมบูรณ์...)
“หยุด!!!”ฉันใช้เสียงทั้งหมดที่มีตะโกนให้ทุกอย่างหยุดลง และฉันก็ตกลงสู่ห่วงแห่งความมืด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ