บันทึกปริศนา เรื่องลี้ลับของลิซ่า

7.7

เขียนโดย Jabberwocky

วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.29 น.

  11 ตอน
  1 วิจารณ์
  12.87K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2559 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) น้ำตาทีไหลเพราะความสงสาร(บทกล่องของขวัญสีเลือด)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
สารวัตรปล่อยให้ตำรวจคนนั้นวิ่งต่อไปพวกเราจึงเข้าไปถามเขา
“รถคันนั้นมีอะไรหรือครับสารวัตร”
“ไม่มีอะไรไม่ใช่รถของพวกเขา”
“โล่งอกไปที”ผมถอนหายใจแต่ท่าทางของคุณลิซ่าก็ไม่ได้ผ่อนลง
“ถึงจะเป็นคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี”เธอมองมาที่ผมนั้นทำให้ผมเกร็งไปชั่วขณะและเธอก็หันไปพูดกับสารวัตร “ยังไงเราก็ต้องไปเช็คดูวางใจอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอก”
“ถูกของเธองั้นตามฉันมา”
พวกเราเข้าไปในรถและขับตามรถตำรวจอีกสองสามคันที่ไปยังที่เกิดเหตุซึ่งไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงไซเรนของรถพยาบาลมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆรู้สึกว่าจะเรื่องไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้นอีก
เมื่อมาถึงพวกเราก็ลงจากรถและทุกอย่างก็ดูช้าลงไปหมดนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเหยียบยังสถานที่ประมาณนี้เป็นครั้งแรกและเมื่อฝ่าบรรดาไทยมุงได้สำเร็จสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของผมก็คือ...
ศพ...ศพที่ร่างแหลกเหลวอยู่หน้ารถพ่วงกระจกหน้ารถถูกบดบังด้วยเศษเนื้อและเลือดเต็มไปหมดและด้านหน้าของรถสปอร์ตที่กระจกแตกและพังยับเยินและถูกย้อมด้วยสีเลือดเช่นเดียวกันผมจ้องมองร่างของเด็กที่ถูกทำให้ขาดเป็นเสี่ยงๆนั่นโดยละสายตาไม่ได้เลย
“มะ...ไม่จริง...”และโดยไม่สนใจเลยแม้แต่ตำรวจที่พยายามกันผมออกไป
“ตั้งสติเอาไว้อักษร...”เสียงของคุณลิซ่าที่อยู่ข้างๆดังก้องอยู่ในหัวของผมในขณะที่ตัวของผมแข็งทื่อคุณลิซ่าก็ก้าวแซงผมไปที่ตรงนั้น
“ไม่ได้นะครับคุณผู้หญิงเข้าไปไม่ได้นะครับ”
“พวกคุณไม่รู้หรอกว่าพวกคุณเจอกับอะไรหลีกไป!”
ตำรวจคนนั้นหลีกทางให้เธอเหมือนถูกสะกดจิตเธอตรงไปยังกระโปรงรถและตรวจสอบเธอดูเป็นมืออาชีพมากทั้งที่เธอบอกกับผมเองว่าเธอไม่ใช่นักสืบไม่รู้เรื่องตำรวจเธอก็แค่ช่วยตามที่ได้รับการจ้างวานเท่านั้น
และนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหน้าของเธอซีดเผือกเมื่อเจออะไรบางอย่างที่เบอะหลังของรถสปอร์ตที่ยับเยินผมรวบรวมความกล้าและสติเข้าไปหาคุณลิซ่าและสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม...
“กะกล่อง...ของขวัญอีกกล่องงั้นเหรอ”
“กล่องแบบเดียวกับของบันนี้แต่ว่า...เป็นสีเหลืองและกล่องเล็กกว่าด้วย”
แล้วคุณลิซ่าก็ค่อยๆหยิบกล่องของขวัญสีเหลืองที่ไม่มีฝาและของข้างในขึ้นมา
“คนที่เปิดกล่องของขวัญอันนี้คงเป็นเด็กที่นั่งตรงนี้...และพอประสบอุบัติเหตุเธอก็กระเด็นปลิวผ่านกระจกหน้าไป”
ผมมองตามสายตาของคุณลิซ่าที่มองไปยังกระจกหน้ารถที่แตกเป็นรูใหญ่และร่างของผู้ใหญ่สองคนที่นั่งจมกองเลือดโดยที่ถุงลมนิรภัยไม่ได้ช่วยอะไรไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างที่ถูกบดอยู่หน้าของรถพ่วงนั้นเป็นร่างของเด็กที่นั่งเบาะหลังนี่ของข้างในคงเกินบรรยายจนทำให้คนที่เป็นพ่อตกใจจนเสียหลักได้
“ถ้างั้นเราต้องหาสิ่งที่อยู่ในกล่องใบนี้ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม...”
“คุณลิซ่าผมว่าปล่อยให้พวกตำรวจจัดการเถอะครับพอตรงนี้เสร็จแล้วเราจะได้...มาตรวจดูอีกครั้งก็ยังไม่สายนะครับ”
“เธอ...กลัวใช่มั้ย”คุณลิซ่าถามผมด้วยเสียงเบา”เธอจะถอยตอนนี้ก็ได้นะ”
“มะหมายความว่ายังไงครับ”
คุณลิซ่ากลับออกมาจากรถสปอร์ตและเข้ามายืนตรงหน้าผมผมไม่เคยได้เห็นหน้าคุณลิซ่าชัดๆแบบนี้มาพักนึงได้แล้วและเธอก็พูดอย่างชัดเจนแต่อ่อนโยน
“เธอมาไกลมากนะบางทีตอนนี้เธออาจจะอยู่ที่สะพานที่เชื่อมระหว่างโลกที่สงบสุขของเธอและโลกที่แสนวุ่นวายของฉันถ้าเธอถอยกลับตอนนี้เธอก็ยังพอกลับไปได้กลับไปเป็นแค่ลูกจ้างที่ร้านแกรนด์มาไปขายของ และเลิกยุ่งกับสิ่งพวกนี้แต่ถ้าเธอไม่คิดจะหนีละก็...เธอก็จะไม่มีทางกลับไปได้อีกเลย”
จริงอย่างที่เธอพูดผมกลัวแค่ผมรู้ว่าคุณลิซ่าไม่ใช่คนธรรมดาการยุ่งเกี่ยวอยู่กับเธอมันทำให้ผมเจอเรื่องแปลกๆมามากเช่นกันแต่นี้เหมือนมันจะถลำลึกลงไปเรื่อยๆแต่ว่าถึงอย่างนั้น...
“ไม่ครับผมน่ะถึงจะอยู่กับคุณลิซ่าแค่ไม่ถึงสองเดือนผมก็ช่วยคุณลิซ่าทำหลายอย่างมามากแล้วจะต้องมาหนีแบบนี้น่ะ...ผมว่ามันไม่ถูกต้องครับ!!” 
รอยยิ้มของเธอฝุดขึ้นมาจากใบหน้าที่ขาวนวลของเธอและสายตาที่แน่วแน่ก็จับจ้องมาที่ผม
“งั้นหรอแน่ใจแล้วสินะ...งั้นขอพระเจ้าคุ้มครอง”
“ขอพระเจ้าคุ้มครอง..”ผมตอบกลับความห่วงใยของเธอและเราก็เริ่มทำงานกัน
สิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือหาสิ่งที่อยู่ในกล่องก็อย่างที่บอกเราไม่ใช่นักสืบไม่ใช่ตำรวจก็ย่อมไม่รู้วิธีการของพวกเขาเราก็แค่หาสิ่งที่สำคัญและใช้ความรู้ทั้งหมดที่มีในการหาต้นตอคนร้ายของพวกเราต้องไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้วเพราะถ้าตำรวจหรือนักสืบพวกนั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองก็คงไม่มาหาพวกเราที่เกี่ยวข้องกับสิ่งลี้ลับอยู่ตลอดแบบนี้จากนี้จะไม่ใช่แค่คุณลิซ่าแต่จะรวมทั้งผมด้วย
เราตรวจเช็คทั้งหน้ารถที่นั่งคนขับที่นั่งข้างๆและใต้ท้องรถแต่เราก็ไม่เจออะไรนอกจากเลือดที่นองและหยดเป็นทาง 
“ไม่เจอเลยครับคุณลิซ่าเจออะไรมั้ยครับ”
“ไม่มี...”เธอพูดหลังจากที่เธอโผล่หัวออกมาจากใต้พวงมาลัย
แต่แล้วผมก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่มือทั้งสองของศพผู้หญิงเหมือนกำลังปิดอะไรเราอยู่ผมค่อยๆหยิบมือของเธอขึ้นมาวางไว้ที่ตักของเธอทีละข้าอย่างกล้าๆกลัวๆและสิ่งที่ถูกปิดบังอยู่
“คุณลิซ่าครับ!”ผมเรียกเธอที่กำลังเช็คศพของคนขับอยู่
“ฝากล่องสีเหลืองครับแต่โบหายไปไหนก็ไม่รู้”
“ยังไม่เจอของในกล่องด้วยใช่มั้ย”
“คะ..ครับ”
แล้วคุณลิซ่าก็มองตาตกคิดถึงสิ่งที่เป็นไปได้ว่าแม่มดตนนั้นจะทำอะไรต่อไปจะเล่นสนุกอะไรต่อไปและแล้วเธอก็คิดออก
“อักษร...ไปเช็คที่รถพ่วงกันเถอะ”
“คะ...ครับ!”
พวกเรารีบวิ่งไปที่รถพ่วงโดยไม่มองหรือฟังพวกตำรวจที่เริ่มหงุดหงิดและตวาดใส่พวกเราที่เข้ามายุ่งกับหลักฐานสารวัตรเมธีเองก็ไม่ได้ทำอะไรถึงแม้จะโดนห้อมล้อมโดนตะโกนใส่มากแค่ไหนเขาก็หูทวนลมและยืนสูบบุหรี่อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นท่าทางของเขาดูไม่สนใจเลยจริงๆ
เราวิ่งมาถึงที่รถพ่วงและปีนบันไดข้างรถไปที่ที่นั่งคนขับทั้งที่เขาไม่น่าจะตายได้แต่เขาก็ตายพวกเรารีบเช็คศพและบริเวณโดยรอบ
“รอยฝกช้ำที่คองั้นเหรอ...เป็นรอยนิ้วมือ...”
“ทะ...ถูกบีบคอหรือครับ?”
“ไม่น่าจะใช่แค่บีบแต่หักเลยมากกว่าดูสิคอของเขาตั้งตรงไม่ได้”
คุณลิซ่าใช้นิ้วของเธอดันไปที่บริเวณคอหอยและรอบๆคอดูเหมือนว่ามันจะร้าวและหักจนทรงตัวไม่อยู่ผมรู้สึกว่าผมเริ่มคุ้นชินกับศพตั้งแต่ผมต้องเจอกับเรื่องพวกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
“แต่ถึงอย่างนั้น...เราก็หาของในกล่องไม่เจอและที่โบของกล่องมันก็น่าจะเขียนคำสาปแช่งเอาไว้เหมือนกัน...ดะเดี๋ยวนะ!”
“อะไรงั้นเหรอครับ”
“ถ้าหากว่าโบนั่นเป็นต้นเหตุของคำสาปแช่งล่ะก็...”
แล้วเธอก็ค้นดูในกระเป๋าเสื้อของเธอสีหน้าของเธอซีดลงทันทีทันใด
“ริบบิ้น...ริบบิ้นอันนั้นหายไปแล้ว!”
“วะ...ว่าอะไรนะครับหมายความว่ายังไง”
“ถ้าเป็นไปตามที่ฉันคิดของในกล่องก็แค่ของสิ่งสำคัญคือคาถาสาปที่ถูกเขียนตรงริบบิ้นถ้าพวกเขาถอดริบบิ้นริบบิ้นหายไป...เกิดเรื่องขึ้น...”
เสียงของเธอเริ่มแผ่วลงๆเรื่อยๆดวงตาของเธอเบิกโตขึ้นเรื่อยๆเช่นกันและจากนั้นเธอก็วิ่งผ่าพวกตำรวจไปหาสารวัตร
“สารวัตร! ริบบิ้น!ริบบิ้นนั้นคือตัวการถ้าริบบิ้นถูกถอดออกอุบัติเหตุจะเกิดขึ้น”
“จะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กงั้นเหรอ”
ในขณะนั้นเองที่ผมกำลังปีนลงจากรถเพื่อเดินไปหาพวกเขาเท้าของผมกระทบกับอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างล้อรถสิบล้อนี้มันถูกล้อทับจนแหลกไปเสี่ยวหนึ่งแต่อีกด้านยังสภาพดีอยู่ผมพยายามดึงมันออกมาและแล้วผมก็ดึงมันออกมาได้ผมมองดูมันพลิกมันและตาของผมก็เบิกโตขึ้น
“คุณลิซ่าครับ!”ผมเรียกเธอและเอาสิ่งนี้ให้เธอดู
“มันคือรถของเล่นใช่มั้ย”เธอมองและรู้ทันทีว่ามันคืออะไร
“ริบบิ้นคือคำสาปของในกล่องคือสภาพการตายแล้วสีของกล่องล่ะ”
ผมครุ่นคิดถึงความหมายของมันแต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก
“อักษรเธอบอกว่าวันนี้...วันพุธใช่มั้ย”
“คะครับ...เเต่ว่าวันนี้เป็นกล่องสีเหลืองนี่ครับคงไม่เกี่ยวกับสีวันหรอกครับ”
“อืม...แต่ว่าไม่ว่ายังไงคำสาปต้องฆ่าเธอแน่”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีครับ”
“เราต้องไปหาเธอสถานที่ที่เธอได้รับของขวัญมา”
“ที่บ้านใช่มั้ยขึ้นรถเร็วเข้า”สารวัตพูดจบพวกเราก็รีบขึ้นรถโดยที่ปล่อยให้ตำรวจกลุ่มนั้นยืนงงและจัดการส่วนที่เหลือต่อไป 
 
 
 
พวกเราตรงไปที่บ้านของบันนี่ที่นั้นยังดูเงียบสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ว่า...ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไรนักที่ต้องมาที่นี่ผมรู้สึกว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอนเลย
“คุณสกุณาคุณภักดิเรกนี่สารวัตรเมธีนะครับ”เขาตะโกนพรางเคาะประตูส่วนผมก็กดกริ่งเรียกซำ้แล้วซำ้เล่า”คุณสกุณาคุณภักดิเรกครับเปิดประตูหน่อยครับ!”
ไม่มีแม้แต่การตะโกนตอบกลับทั้งที่รถของพวกเขายังจอดอยู่ที่นี้ผมไม่รู้จริงๆว่าพวกเขาจะไปที่ไหนหรือว่าจะหนีไปไหนได้เพราะความเงียบที่ผิดปกตินี้สารวัตรเมธีเลยพังประตูเข้าไป
“ฉันจะดูชั้นล่างให้เองพวกเธอไปดูชั้นบนนะมีอะไรก็ตะโกนบอกด้วย”เสร็จแล้วผมกับคุณลิซ่าก็วิ่งขึ้นชั้นบนและผมก็แยกกันดูห้องทีละห้องไม่มีเลือดไม่มีชิ้นส่วนของศพหรือการทำร้ายร่างกายกันเลยหรือว่าพวกเขาจะไม่อยู่ที่นี่กันแน่
ผมเปิดประตูแต่ละบานมันไม่มีอะไรอยู่เลยมันปกติและดูปกติเกินไป
“กรี๊ดดดดดด!!”จู่ๆเสียงกรีดร้องของผู้หญิงก็ดังขึ้นจากด้านล่างทำให้ผมรีบไปดูที่ระเบียงชั้นสองว่าเป็นใคร
“พวกคุณเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ขโมยหรอ?!”
นั้นมันคุณสกุณากับคุณภักดิเรกพวกเขาขนของมากมายที่อยู่ในถุงพลาสติดเหมือนเขาพึ่งกลับจากการซื้อของที่ซูปเปอร์มาเก็ตผมรีบวิ่งลงบันไดไปหาพวกเขา
“น้องบันนี่ล่ะครับ?เธอปลอดภัยดีมั้ย”
“น้องบันนี่หรอ?”พวกเขาทำหน้างงกับสิ่งที่ผมพูด
“ลูกสาวของพวกคุณน้องศศิธรมีชัยจำไม่ได้หรอครับ”
“คะคุณบ้ารึเปล่าฉันยังไม่มีลูกด้วยซำ้”
“วะ...ว่ายังไงนะ..”ผมมองเธอที่มองผมด้วยสายตาสับสนปนไม่เข้าใจนี้มันเรื่องอะไรกัน
และผมก็นึกได้ถึงห้องนอนของเด็กถ้าเป็นที่นั้นพวกเขาต้องจำได้อย่างแน่นอน
“คุณมีลูกสาวผมจะแสดงให้พวกคุณดูเอง”
“นี้เธอจะทำอะไรน่ะ”คุณสกุณาตามผมมาติดๆตามด้วยสามีของเธอและสารวัตร
ทันทีที่พวกเราไปถึงห้องนอนของเธอห้องก็พลันเต็มไปด้วยสีเลือดทั้งทีก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นร่างของน้องบันนี้นอนหงายบนร่างกายของเธอมีรอยกรีดของมีดและเครื่องในที่กองอยู่เต็มพื้นห้องกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ถูกเขียนอยู่กลางเพดานห้องคุณลิซ่ายืนมองดูวงเวทย์นั้นและเหลือบมองมาที่พวกเรา
“พวกคุณคิดจะทำอะไรกันแน่ฉันจะแจ้งตำรวจแล้วนะ”
“คุณไม่เห็นหรอลูกคุณนอนอยู่ตรงนั้น!เธอถูกฆ่านะ!”
“สารวัตรคุณก็เห็นมันใช่มั้ยครับ”เขาเงียบไม่ได้ตอบอะไรแต่พยักหน้า
“คาถาลวงตาและลบความทรงจำ...”คำพูดของคุณลิซ่าทำให้ทุกคนหันไปหาเธอ
“คุณเป็นใครอีกเนี้ยแล้วที่ว่าเป็นสารวัตรน่ะหมายความว่ายังไง”
พวกเขาลืมลูกสาวของตัวเองลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นและไม่เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยซำ้คุณลิซ่าเดินมาตรงหน้าของสองสามีภรรยาและยื่นภาพที่ถูกใส่กรอบอย่างดีให้กับพวกเขามันเป็นภาพเดี่ยวของน้องบันนี่ที่ใส่ชุดเจ้าหญิงและยิ้มอย่างเปี่ยมสุข
“คุณเห็นอะไร”
“เด็ก...เด็กหญิงคนนึง”
“เธอเป็นยังไงตอบมาให้หมด”คุณลิซ่าพูดด้วยเสียงเข้มจริงจังคุณภักดิเรกมองหน้าของเธออย่างกล้าๆกลัวๆและกลับจ้องไปที่ภาพ
“เด็กผู้หญิงในชุดเจ้าหญิง...เธอดูแฮปปี้มากและน่ารัก...”
จากนั้นคุณลิซ่าก็ไปเอารูปทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้มาทั้งที่หิ้งตู้เสื้อผ้าและตู้ข้างเตียงด้วยเธอเอามาโยนลงบนพื้นห้องด้วยความโมโหสุดขีด
“รูปทั้งหมดนี่ล่ะ!ถ้าเธอไม่ใช่ลูกของคุณแล้วเธอเป็นใคร!?”
“ระรูปพวกนี้...มะมัน...”ทั้งสองคนชะงักไปและกลืนนำ้ลายพวกเขาเหงื่อแตกเต็มใบหน้าที่ตื่นกลัว
“คุณ! มันเป็นของคุณใช่มั้ยผม...ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย”
“ไม่ใช่ของฉัน! หรือว่าจะเป็นลูกของคุณกับอีหนูที่คุณซ้อนฉันไว้ใช่มั้ย”
“เดี๋ยวสิผมไม่รู้ผมไม่รู้จริงๆ”
“คุณ...คำพูดของคุณเป็นคำโกหกมาตลอดนี้มันกี่ครั้งแล้วที่คุณไปหานังเด็กนั่นน่ะ!”
“ดะ...เดี๋ยวสิครับทั้งสองคนนี้คือลูกของคุณสองคนไงครับนึกให้ออกสิครับ”
แทนที่จะทำให้สองคนนี้จำลูกของพวกเขาได้กลายเป็นว่าพวกเขากลับมาทะเลาะกันเรื่องเมียน้อยคุณสกุณาเริ่มขึ้นเสียงและทุบตีสามีของเธอระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความเหลืออดพวกเขาเริ่มพูดกันไม่รู้เรื่องเสียแล้วสารวัตรเข้าไปห้ามเธอในขณะที่คุณลิซ่าหันหลังให้พวกเราจ้องมองร่างไร้วิญญาณของเด็กหญิงที่น่าสงสารผมรู้สึกว่าเธอเองก็รู้สึกทุกข์ทรมาณกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกันผมเดินไปยืนข้างๆเธอ
“คุณลิซ่าครับ...”
“ฉันแก้คำสาปไม่ได้ทำให้พวกเขากลับมาจำบันนี้ก็ไม่ได้ใครที่สาปก็ต้องแก้ด้วยตัวเองแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคำสาปมักจะแก้ไขไม่ได้แม้จะเป็นตัวผู้สาปเองก็ตามเราต้องรู้ว่าเหยื่อคนต่อไปคือใครใครที่มีวันเกิดในวันพรุ่งนี้...”
“แล้วเรา...จะรู้ได้ยังไงล่ะครับ”
“ฉัน...ไม่อยากพูดคำว่าไม่รู้นะแต่ว่าฉันน่ะ...”
แล้วเธอก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างพรางหันมามองผม
“เราเป็นคนนอกคนนอกจะสามารถเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นแต่คนที่เกี่ยวข้องกลับจำไม่ได้
ที่เธอยังจำเด็กที่หายสาบสูญได้รางๆนั้นก็เพราะว่าเธอเป็นคนนอกแต่ก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องเช่นกัน”
“หรือก็คือเพื่อนเป็นบุคคลที่อยู่ระหว่างกลางสินะครับ”
“แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นเหยือและเป็นแค่เด็กปล่อยเอาไว้ก็ไม่ทำให้แผนแตกหรอก”
“งั้นเด็กที่หายไปคนนั้นก็คือ...”
“อาจเป็นได้ทั้งเหยื่อและเป็นแม่มดนั้นแหละ”
“แล้ววิญญาณของบันนี่ละครับคุณเห็นรึเปล่า”
“ไม่...เธอไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
“ถ้าผมสามารถมองเห็นแบบคุณบ้างก็คงจะช่วยคุณได้เยอะแท้ๆนะครับ”ผมพูดอย่างเสียดายและเธอก็ยิ้มพรางมองขึ้นไปที่ร่างไร้วิญญาณของบันนี้
“เจ้าต้องบริ‌สุทธิ์สำหรับเราเพราะเรายาห์‌เวห์เป็นผู้‍บริ‌สุทธิ์และได้แยกเจ้าออก‍จากชน‍ชาติทั้ง‍หลายเพื่อเจ้าจะเป็นของเรา”เธอพูดบทพระคำภีร์บทหนึ่งขึ้นมาก่อนจะพูดต่อ “เธอเข้าใจความหมายของมันใช่มั้ยอักษร”
“ทำตนให้บริสุทธ์จากสิ่งสกปรกทั้งหลายเพื่อที่เราจะได้อยู่กับพระเจ้าได้”
“ถูกต้องแล้วล่ะวิญญาณที่บริสุทธ์นั้นจะอยู่กับพระเจ้าแล้ววิญญาณที่วนเวียนอยู่บนโลกล่ะเธอจะแยกออกหรอว่านั้นเป็นวิญญาณที่เธอต้องช่วยหรือเป็นมารที่เราต้องเลี่ยง”
คำพูดกำกวมนี้บางทีมันก็เกินกว่าที่ผมจะทำความเข้าใจได้ทั้งหมดแต่สิ่งที่ผมเข้าใจจากความที่เธออยากสื่อก็คืออย่าเป็นเหมือนกับเธอ...
จากนั้นเราก็เริ่มค้นข้าวของที่เกี่ยวข้องกับบันนี่ทุกๆอย่างอะไรก็ได้ที่สามารถเชื่อมโยงพวกเราไปหาเพื่อนของเธอได้ในระหว่างที่เสียงทะเลาะกันของพ่อแม่ของเธอก็ยังดังไม่ขาดสายเด็กคนนี้คงจะได้แต่ขังตัวเองอยู่ในห้องและร้องไห้กับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อแม่ของเธอและสุดท้ายทั้งที่เธอต้องมาตายแบบนี้เธอก็หายไปจากความทรงจำของพวกเขาโดยสิ้นเชิง
“ภาพถ่ายของเธอเยอะมากเลยถ่ายกับคนไม่ซำ้หน้าด้วย”
“ถึงจะบุกไปถามเด็กในห้องที่โรงเรียนวันพรุ่งนี้ก็คงไม่มีใครจำเธอได้เหมือนกันสินะครับ”
“คนอื่นจำไม่ได้แต่ว่าพวกเราจำได้ก็ดีแล้วนี่”
“นั้นสินะครับ”ผมยิ้มแห้งๆและค้นข้าวของของเธอต่อไป 
 
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรเลยก็คงมีแต่ต้องทำตามแผนของคุณลิซ่าที่จะเข้าแฝงตัวอยู่กับเด็กป.4ในชั้นเรียนของบันนี่ถึงมันจะดูงี่เง่าไปมากก็เถอะแต่เราอาจจะได้รู้เรื่องบางอย่างก็เป็นได้ยังไงก็ดีกว่าปล่อยให้มีเหยื่อรายต่อไปถูกสาปแบบนี้ไปอีกเรื่อยๆแต่ว่าผมก็นึกถึงเรื่องนึงขึ้นมาได้
“คุณลิซ่าครับบางทีเด็กที่ได้กล่องสีเหลืองอาจเป็นวันจันทร์ก็ได้นะครับ”
“กล่องของขวัญวันจันทร์งั้นเหรอ”
“ครับเพราะขนาดบันนี้ที่ได้กล่องของขวัญวันอังหารยังตายวันนี้ได้บางทีสีกล่องอาจจะเรียงตามวันตามปกติก็ได้นะครับจนกว่าริบบิ้นจะถูกดึงออกเด็กก็จะไม่ตายต้องมีบางอย่างที่สามารถอธิบายด้วยความรู้ของคุณได้แน่ครับ”
“ด้วย...ความรู้ของฉันงั้นหรอ...”และเธอก็ยืนขึ้นและเริ่มกัดเล็บของเธอเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“แล้วอักษรล่ะมีพวกความเชื่อสมัยเด็กๆมั้ย”
“อืม...อ๋อ! คนเกิดวันเสาร์จะมีเซ็นต์เห็นผีครับแล้วก็..วันพุธห้ามตัดเล็บแล้วก็ผมเกิดวันอาทิตย์ปู่ก็บอกผมว่าอย่าเข้าใกล้คนท้องตอนผมไม่สบายเพราะผมจะทำให้เธอป่วยแต่ที่ผมเข้าใจก็คือปู่ไม่อยากให้แม่ติดหวัดครับ”
“พระเจ้าใช้เวลาหกวันในการสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลกมหาสมุทร และสิ่งมีชีวิตทรงพักผ่อนในวันที่เจ็ด...พักผ่อนในวันที่เจ็ด...วันอาทิตย์”
“ครับ?”ผมมองคุญลิซ่าเดินไปเดินมารวมถึงมองไปยังวงเวทย์ที่อยู่ตรงเพดานมันเป็นรูปดาวเจ็ดแฉกมีสัญลักษณ์ของดวงดาวอยู่ที่ปลายวงกลมของแต่ละแฉก
“นี้มันแฮปตาแกรมนี้ครับ”
“หืม? รู้จักด้วยหรอ”
“ครับเป็นดาวเจ็ดแฉกที่พูดถึงการเรียงลำดับของวันแบบปโตเลมีที่ยังเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะหรือเรียกว่าระบบยามแบบสากลที่เรียงตามลำดับของดวงดาวจากไกลที่สุดมายใกล้ที่สุด”
“ใช่แล้วแต่ว่าที่เธอไม่รู้ก็คือในความหมายของแม่มด”
“เอ๊ะ? เอ่อครับน่าจะอย่างนั้น”
“เธอเห็นอะไรแปลกไปรึเปล่าจากที่เธอเห็นนี่”
“แปลกหรอครับ..”ผมมองดูความผิดปกติของมันเรียงไปตามสัญลักษณ์ดาวนั้นเหมือนว่าที่ยอดของมันที่ตรงกับหัวของเตียง..
“สัญลักษณ์ของดาวเสาร์อยู่เหนือหัวเตียง”
“ถ้าเปรียบวันอาทิตย์เป็นวันของพระเจ้าวันเสาร์ก็คือสิ่งที่อยู่ตรงข้าม”
“เหมือนกับดาวห้าแฉกกลับหัวน่ะหรือครับ”
และดูเหมือนว่าคุณลิซ่าจะคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆนอกจากจะค่อยๆระบายความรู้ที่อัดแน่นออกมาเผื่อว่ามีเรื่องอะไรที่ช่วยได้บ้าง
“สำหรับแม่มดที่นับถือนางฟ้าและพลังธรรมชาติเรียกมันว่าเอเวลสตาร์เพื่อที่จะเข้าไปในดินแดนแห่งนั้นได้ต้องผ่านสัญลักษณ์เหมือนประตูทางเข้าแต่ว่า...มันก็ไม่ได้เชื่อมต่อกันเลย”
เธอเริ่มแสดงอาการหงุดหงิดและฟันของเธอเริ่มขบกันจนแทบได้ยินเสียงเสียดสีเบาๆผมเองก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากมองดูเธอเดินเวียนไปวนมาอยู่รอบร่างของบันนี้ที่สุดแล้วเธอก็ปริปากพูด
“อีกไม่ช้าพวกตำรวจจะมาเราต้องไปแล้วก่อนที่พวกนั้นจะหาว่าฉันเป็นคนทำ”
“ครับกลับเลยก็ดีครับ”
แล้วพวกเราก็ปล่อยให้สามีภรรยาที่มัวแต่ทะเลาะกันนั้น ก็ทะเลาะรอตำรวจไปส่วนผมสารวัตรและคุณลิซ่าไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรกันเลยผมต้องมาเห็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องมาตายถึงสองคนแต่ว่า...ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยทำอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง...
 
 
 
ผมกลับมาที่บ้านบ้านของผมไม่ไกลจากร้านของคุณลิซ่านักและไม่ใกล้จากมหาลัยของผมปิดเทอมสองเดือนที่ผ่านมาการฝึกงานที่หนักหน่วงที่สุดของผมน่าจะเป็นวันนี้แหละผมไม่รู้เลยว่าการเอาตัวมาพัวพันในโลกของอาชญากรรมมันจะหนักหนาขนาดนี้ไม่ใช่แค่อาชญากรรมธรรมดาเป็นอาชญากรรมลี้ลับที่ทำโดยพวกที่ไร้ตัวตนในโลกมนุษย์ธรรมดาๆที่ผมเคยอยู่
“เธอมาไกลมากนะ บางทีตอนนี้เธออาจจะอยู่ที่สะพานที่เชื่อมระหว่างโลกที่สงบสุขของเธอและโลกที่แสนวุ่นวายของฉัน ถ้าเธอถอยกลับตอนนี้เธอก็ยังพอกลับไปได้ กลับไปเป็นแค่ลูกจ้างที่ร้านแกรนด์มาไปขายของ และเลิกยุ่งกับสิ่งพวกนี้ แต่ถ้าเธอไม่คิดจะหนีละก็...เธอก็จะไม่มีทางกลับไปได้อีกเลย”
คำพูดของเธอวกไปวนมาอยู่ในหัวพอๆกับเสียงไวโอลินของเพลงAllegroassaiที่แต่งโดยGiuseppeTartiniที่เหมือนพัดพาความคิดของผมวิ่งวนเวียนไปในทุ่งหญ้าที่รอบล้อมด้วยหุบเหว
มันทำให้ผมคิดถึงพ่อที่จากไปของผมเขาเป็นวาทยากรที่มีชื่อเสียงคนนึงเลยเขาสอนผมเล่นดนตรีตั้งแต่ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่นเชลโล่ที่สุดแต่ก็ชอบเปียโนเหมือนกัน 
แต่ว่าหลังจากที่เขาถูกฆาตกรรมโดยเพื่อนของเขาเองในงานประกวดวงออร์เคสตร้า เพราะความริษยาและโทสะทำให้เพื่อนคนนั้นจึงใช้กระสุนปืนยิงเจาะกระโหลกของพ่อผม...ต่อหน้าต่อตาผมและน้องสาวของผมแล้วจากนั้นมาผมก็ไม่จับเครื่องดนตรีชิ้นไหนอีกเลย 
“อักษรกลับบ้านมาแล้วทำไมไม่บอกแม่ล่ะลูก”
เสียงของแม่ที่อยู่นอกประตูห้องเรียกผมทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ผมลุกขึ้นจากเตียงและปิดเพลงที่เปิดจากมือถือ 
“แม่ครับขอโทษที่ไม่ได้โทรบอกก่อนนะครับ”
“ไม่เป็นไรกินข้าวมารึยังเดี๋ยวแม่ไปทำกับข้าวให้กิน”
“ไม่เป็นไรครับแม่ผมไม่หิว”
“ไม่หิวหรือไม่อยากกินกันแน่ฮึ?”แม่ดูออกตลอดทุกครั้งที่ผมโกหกเธอมองผมไม่ละสายตา
“ไม่อยากกินครับ...”ผมถอดใจบอกความจริง
“งั้นเป็นข้าวต้มหมูละกันนะน้องเองก็อยากกินเหมือนกัน ไปๆ”
แม่ลากผมลงมาด้านล่างที่โต๊ะอาหารในห้องครัวมีน้องๆของผมนั่งรออยู่และเก้าอี้ที่อยู่ริมโต๊ะซึ่งถูกอยู่ที่เดิมมาตลอดคือที่...ที่พ่อนั่งเคยอยู่
“พี่ษร!”ทันทีที่น้องสาวของผมเห็นผมเธอก็กระโดดเข้ามากอดผม
“สีฟ้าคิดถึงพี่ค่ะ”
“เธอโตแล้วนะสีฟ้ามากอดพี่แบบนี้มันไม่ดีนะ”
“ทำไมล่ะพี่ษรเป็นพี่ของสีฟ้าแล้วทำไมสีฟ้าจะกอดพี่ไม่ได้ละคะ?”
“ปล่อยพี่เขาเถอะฟ้าแล้วไปนั่งหม่ำๆตรงโน้นปะ”
“อะ! หม่ำๆหรอหม่ำๆเย้ๆๆๆ!”
สีฟ้าวิ่งไปรอบโต๊ะอาหารเหมือนเด็กๆ แล้วกลับไปนั่งที่ของเธอเธอเป็นเรียนม.ปลายแล้วก็จริงแต่นิสัยเธอหยุดแค่เด็กประถมเพราะเธอช็อกในเหตุการณ์ที่พ่อเสียจนต้องเข้ารับจิตบำบัดเธอเคยมีตัวตนอยู่ในฐานะทายาทวารยากรอัจฉริยะของครอบครัวอภิรเมธีวงศ์แต่ว่าตอนนี้ถึงฝีมือการเล่นดนตรีของเธอจะยังดีอยู่มากก็ตามเราก็ไม่อาจปล่อยให้เธอเล่นพวกมันได้เพราะเธอจะเล่นและไม่มีวันหยุด
“หม่ำๆหม่ำๆหม่ำๆ”เธอตะโกนไปและใต้ช้อนทุบโต๊ะไป
“โอ๊ย! หนวกหูหยุดเคาะโต๊ะซะทีจะได้มั้ย”
“อะๆๆทำไมต้องดุด้วยอะสีฟ้าไม่ได้ทำอะไรผิดนิ”แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้
“ไม่ต้องร้องๆสีฟ้านี้ถ้าหยุดร้องนะพี่จะให้ลูกอมเอามั้ย”
“ฮึบ!!”เธอพยายามกลั่นสะอื้น”ไม่ร้องไห้สีฟ้าเป็นเด็กดีๆ”
“…”
น้องสาวคนเล็กของผมสีครามเธอเป็นน้องสาวฝาแฟดของสีฟ้าแต่กลับต่างกันคนละขั่ว
เหมือนขั่วลบกับขั่วบวกเธอไม่สนใจเรื่องดนตรีอะไรทั้งนั้นเธอสนใจวิทยาศาสตร์และพวกกฎฟิสิกต่างๆเธอไม่เคยเล่นดนตรีและเธอกับพ่อไม่ค่อยถูกกันเท่าไรผิดกับสีฟ้าที่รักพ่อมาก
“แล้วที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”ผมเปลี่ยนเรื่องไปถามสีครามหลังจากให้ลูกอมสีฟ้าแล้ว
“ก็เรื่อยๆค่ะสีฟ้าไม่ได้ก่อปัญหาและหนูก็ไม่ได้ไปมีปัญหากับใครด้วย”
“ก็ดีแล้วล่ะ”แล้วจากนั้นผมก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ว่าน้องสาวของผมอยู่โรงเรียนธิดาวิทยา“เออนี่ครามพี่มีเรื่องอยากรู้หน่อยน่ะ”
“อะไรหรือคะ”
“ที่โรงเรียนเธอน่ะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นรึเปล่า”
“เรื่องแปลกๆหรอ”
“เช่นเรื่องข่าวลือหรือพวกที่พูดๆกันอยู่น่ะ”
สีครามใช้มือจับคางและคิดถึงเรื่องที่ผมพูดซักพักจนเหมือนเธอจะคิดออก
“เหมือนจะเป็นที่แผนกประถมน่ะ”
“ประถมหรอเกิดอะไรขึ้นที่นั่นหรอ”
“ว่าแต่พี่จะอยากรู้ไปทำไมน่ะอย่าบอกนะว่า...”
“ชู่!!”ผมรีบส่งสัญญาณให้เธอหยุดทำให้เธอรีบเอามือปิดปากก่อนที่สีฟ้าจะรู้เรื่องไปอีกคนและส่งไปถึงแม่
“อะไรหรอที่ฝั่งประถมมีอะไรหรอ”สีฟ้ามองพวกเราสองคนตาแป๋วรวมถึงแม่ด้วย
“มีความลับต่อกันมันไม่ดีนะลูก”
“ปะ...เปล่าค่ะแม่ก็แค่เด็กประถมที่โรงเรียนเขาฉี่ราดเท่านั้นแหละค่ะฉี่ราดกลางห้องเรียนเลย”
“หว้าย! ฉี่ราดหรออี๋ๆๆๆๆ!”
“อย่าพูดเรื่องสกปรกบนโต๊ะอาหารสิเดี๋ยวก็กินข้าวไม่ลงหรอก”
ผมรับรู้ได้เลยว่าผมไม่ได้ทานข้าวฝีมือแม่มานานมากตั้งแต่ที่ผมเข้ามหาลัยและเริ่มนอนหอผมก็เริ่มไกลจากบ้านมากขึ้นๆเรื่อยๆบรรยากาศยังไม่เปลี่ยนไปเลยบรรยากาศของครอบครัว
 
 
 
“นี้เป็นงานของคุณลิซ่าอีกแล้วหรอ”
หลังจากที่พวกเราทานข้าวเสร็จสีครามก็มาเจอผมในห้องนอนของผมตามที่นัดกันไว้เธอเคยเจอผมโดยบังเอิญที่ร้านแกรนด์มาและรู้จักคุณลิซ่าก่อนผมเสียอีกเลยไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังเธอเลย
“เธอก็รู้ว่าคุณลิซ่ารับความช่วยเหลือจากทุกคนที่จ้างวานเธอแต่คราวนี้เป็นอาชญากรรม”
“อาชญากรรม?หมายถึงมีคนตายน่ะหรอ”
และผมก็เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับกล่องของขวัญและทุกๆอย่างที่เจอมาตั้งแต่เช้าให้เธอฟังเธออึ้งไปพักนึงเลยทีเดียวล่ะ
“พี่จะบอกว่าพี่...ต้องสู้กับ...แม่มดหรอ?”
“เป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของแม่มดพี่ถึงได้ถามอยู่นี่ไงล่ะว่ามีอะไรแปลกๆไป”
“งี้เองสินะ...”เธอหยุดซักพัก”ใช่มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นในห้องเด็กป.4น่ะ”
“ป.4งั้นเหรอ”มันทำให้ผมนึกถึงบันนี่ในทันที
“เขาลือกันมาว่าจำนวนของเด็กค่อยๆลดลงเรื่อยๆอย่างไร้สาเหตุน่ะเขาบอกว่าทุกๆช่วงคาบเกี่ยวระหว่างเดือนจะมีเด็กหายไปตลอดสองอาทิตย์โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่อาจารย์ก็ไม่สังเกตด้วยซำ้”
“ห้องเดียวหรือว่าทั้งระดับ”
“น่าจะทั้งระดับนะเขาเรียกกันว่าคำสาปเด็กป.4ใครที่รอดมาได้ก็คือคนที่ถูกไว้ชีวิต”
ทุกๆสองสัปดาห์ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างเดือนงั้นเหรอถ้างั้นตลอดมาก็มีเด็กตายไปไม่รู้กี่สิบคนแล้วน่ะสิทุกๆคนที่ได้กล่องของขวัญที่มีริบบิ้นสีสวยที่เต็มไปด้วยคำสาปแช่งกรณีของบันนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่มีการแจ้งตำรวจครั้งนี้...มันตั้งใจอย่างนั้นหรอตั้งใจทิ้งหลักฐานให้เรารู้เรื่อง...
“พี่อักษรถ้ามีอะไรให้ช่วยล่ะก็บอกได้เลยนะพี่”
“มีให้ช่วยอยู่แล้วล่ะเพราะว่าคุณลิซ่าจะไปที่โรงเรียนเธอ”
“เอ๋!!จริงหรอจะไปสืบที่โรงเรียนหรอจะมาแบบไหนล่ะแขกโรงเรียนหรือว่าอาจารย์พิเศษ”เธอชื่นชอบคุณลิซ่ามากจะตื่นเต้นก็ไม่แปลกหรอกแต่ปัญหาคือ...
“เธอจะไปเป็นเด็กป.4น่ะ”
“หาาาาาาาาา!?”เธอทำตาโตเมื่อได้ยินคำตอบของผมพร้อมกับร้องเสียงหวีดสูงที่นานๆทีจะทำ
“ได้ยินไม่ผิดหรอกพี่ว่าถ้าเป็นเธอล่ะก็ต้องช่วยคุณลิซ่าได้แน่ๆ”
“ชะช่วยยังไงอะจะให้ครามไปปลอมตัวเป็นเด็กป.4ด้วยอีกคนงั้นหรอเพื่อนเห็นนี้โดนล้อตายเลยพี่ก็ปลอมเป็นอาจารย์พิเศษไม่ใช่หรอแบบนั้นได้ผลแน่เพราะจะเข้าถึงเด็กๆได้ง่ายขึ้นพวกเด็กๆมักคิดว่าอาจารย์พิเศษส่วนใหญ่จะใจดีแล้วก็สอนเก่ง”
“ก็ใช่...แต่ว่าพี่สอนไม่เป็นนี้นา”
“ก็นี่ไงสอนดนตรีเหมือนที่สอนครามเล่นไงถึงครามจะไม่ยอมเล่นแต่พี่ก็สอนได้ดีนะ”
“แต่ว่าพี่...”
“หรือพี่จะเป็นภารโรงจะไปขัดส้วมให้เด็กๆกันล่ะคะหรือเป็นอาจารย์พิเศษศิลปะ”
ผมมองหน้าของสีครามที่เซ็งกับความไม่กล้าไปซะหมดของผมผมไม่มั่นใจในตัวเองหรอกผมรู้ดี
ผมถอนหายใจก่อนจะจำใจพยักหน้า
“ได้พี่จะกลับมาเล่นดนตรีอีกครั้งนึง”
“เยี่ยมเลยคะเท่านี้พี่ก็จะหาแฟนได้กับเขาซะที”
“อะ...อะไรนะ”
“เปล่าค่ะไม่มีอะไรเอาเป็นว่าพักผ่อนเถอะคะพี่เหนื่อยมามากแล้ว”
“อืม...เธอก็ด้วยนะ”
แล้วเธอก็ขยี้หัวของผมทั้งที่เธอเป็นน้องแท้ๆแต่ก็ทำท่าทางเป็นพี่โตแทนผมซะอย่างนั้นคงอาจเป็นเพราะเธอกล้าหาญและเป็นผู้ใหญ่แต่ก็เป็นตัวของตัวเองล่ะมั้ง
หลังจากที่เธอออกไปแล้วผมก็ทิ้งตัวลงนอนมองเพดานที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้ผมนึกถึง...การตายของบันนี่ร่างของเธอที่นอนแน่นิ่งพร้อมรอยผ่าที่น่าสยดสยองซึ่งมีความยาวตั้งแต่หน้าอกไปจนถึงท้องน้อยผมต้องทำอะไรซักอย่าง ผมจะไม่ให้การตายของเธอต้องสูญเปล่าทำให้พ่อแม่ของเธอรับรู้ถึงตัวตนของเธออีกครั้งเพื่อนๆของเธออาจจะเป็นเหยื่อรายต่อไปในวันพรุ่งนี้... 
 
 
และแล้ววันที่แสนยากลำบากของผมก็ผ่านเลยไปอีกวันนึงผมไม่รู้จริงๆว่าวันต่อมาจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมอีกก็คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้
 
“เดี๋ยววันนี้ผมไปส่งสีฟ้ากับสีครามเองนะครับแม่”
“อ้าวลูกไม่ต้องไปทำงานที่ร้านนั้นแล้วหรอ”
“เขาบอกว่าจะเปิดร้านสายหน่อยน่ะครับผมก็เลยว่างช่วงเช้าพอดี”
“อย่างนั้นหรอไปรถอักษรก็ปลอดภัยดีนั้นล่ะนะเอาละทั้งสองคนเร็วๆเข้า”
แม่ตะโกนเรียกน้องสาวทั้งสองคนของผมที่ยังอยู่ในห้องของพวกเธอสีฟ้ารีบวิ่งลงจากบันไดทั้งๆที่ยังไม่ได้ผูกโบว์สีนำ้เงินที่คอเสื้อของเธอเลยทำให้แม่ถอนหายใจและก้าวไปผูกโบว์ให้เธอส่วนสีครามก็ค่อยๆจับราวบันไดเดินลงมาอย่างไม่รีบร้อนและมายืนอยู่ข้างๆผม
“พวกพี่จะมาวันนี้ใช่มั้ย”
“ใช่ถ้ามีอะไรล่ะก็รีบบอกเลยนะ”
“อื้ม! วางใจเถอะ”แล้วเธอก็เดินนำหน้าผมออกจากบ้านไปพร้อมๆกับสีฟ้าที่วิ่งตามไปกระโดดกอดคอเธออีกทีนึงจะยังไงก็ตามผมดีใจที่น้องสาวทั้งสองของผมไม่มีทางเป็นเหยื่อในคราวนี้อย่างแน่นอนนั้นทำให้ผมวางใจได้เยอะทีเดียว
ผมขับรถตรงไปยังโรงเรียน และผมก็ต้องตกใจกับหนึ่งในเด็กที่อยู่หน้าโรงเรียนคุณลิซ่าโบกมือให้กับผมทันทีที่เห็นรถของผมผมสังเกตเห็นว่าตัวของเธอที่เตี้ยลงถึงแม้ว่าหน้าตาของเธอจะไม่ได้ดูเด็กลงแต่ว่าตอนนี้เธอกลายเป็นเด็กป.4เต็มตัวเลย!และข้างๆเธอก็คือสารวัตรเมธีที่ยืนพิงรถส่วนตัวของเขาพวกเขาเหมือนพ่อลูกกันมากเลยทีเดียว
ผมเดินไปหาพวกคุณลิซ่าก่อนจะแยกกับสีฟ้าและสีคราม
“ว้าววว!!คุณลิซ่า”สีครามจ้องมองคุณลิซ่าอย่างประหลาดใจและพูดในลำคอก่อนจะเดินผ่านพวกเราเพื่อเข้าโรงเรียนไปพร้อมกับสีฟ้าที่ไม่ได้สังเกตอะไร
“อะเอ่อคุณลิซ่าคุณดูเตี้ยลงเยอะเลยนะครับ”
“ไม่ได้เตี้ยลงหรอกเธอก็แค่ถอดส้นสูงและที่เสริมส้นของเธอเท่านั้นแหละ”
“สารวัตร!!”เธอเรียกเขาพร้อมกับทำหน้าไม่พอใจที่หลอกด่าเธอสารวัตรขำในคอเพื่อรักษานำ้ใจกันแต่ว่าก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย
“ฉันได้ปรึกษากับผู้อำนวยการแล้วนะแล้วก็ตอนที่เธอไปจากบ้านคุณสกุณาเมื่อวานน่ะพวกตำรวจมองไม่เห็นห้องนอนของเธอศพหรือการตายของเธอถึงฉันจะเห็นแต่ก็ไม่มีใครเชื่อฉันฉันก็เลยต้องปล่อยเธอไป...”
“อะ...อะไรนะครับปล่อยเธอเอาไว้แบบนั้นน่ะหรอ”
“ขอโทษนะ”
“เพราะพวกเขาก็เป็นหนึ่งเป้าหมายพวกเขาจึงถูกลบความทรงจำและถูกบิดเบือนความเป็นจริงด้วยภาพมายาที่พวกนายเห็นทุกอย่างและจำทุกอย่างได้ก็เพราะนายไม่ได้โดนถึงจะแบกร่างของเธออกมาจากห้องนั้นแล้วนำไปฝังต่อหน้าต่อตาพวกเขาก็ไม่มีใครตื่นขึ้นมาหรอก”สารวัตรทำหน้าสลดและพูดด้วยนำ้เสียงที่เจ็บใจ
“ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้วเรื่องค่าจ้างทางเราไม่อั้นอยู่แล้วเพราะฉะนั้นต้องลากคอไอ้ฆาตกรลึกลับนั้นออกมาให้ได้นะ”
“ครับ!”
“เข้าใจแล้ว”
 
แล้วผมก็เข้าไปที่โรงเรียนธิดาวิทยาในฐานะของอาจารย์พิเศษที่ผู้อำนวยการจ้างมาสารวัตรช่วยเตรียมทั้งเอกสารหลักฐานและบัตรประจำตัวครูให้ผมเพื่อไม่ให้ใครสงสัยส่วนคุณลิซ่าที่ยังเดินข้างผมก็กระซิบบอกบางอย่างกับผม
“ห้องที่ฉันไปเป็นเด็กใหม่คือห้องป.4/5ฉันเป็นเด็กแลกเปลี่ยนส่วนนายคืออาจารย์พิเศษที่มาแทนอาจารย์ที่ล้มป่วยแล้วก็ลาออกนายก็แค่บอกอาจารย์ในหมวดอะไรก็ได้ไปว่ามาแทนอารย์ที่ขาดคร้าบบบแล้วเขาก็จะให้นายทำนั่นทำนี่เองล่ะ”
“ผมตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นอาจารย์สอนดนตรีบางทีเสียงดนตรีก็สามารถเปิดเผยบางอย่างในตัวเด็กได้นะครับ”
“ฮืม...ก็มีความเชื่ออยู่นั้นล่ะว่าดนตรีขับไล่ปีศาจได้แต่ว่าถ้าไม่ได้ก็จบนะ”
“ก็แค่นึกถึงหนังผีทั่วๆไปเท่านั้นแหละครับ”
“เชื่อเขาเลยนะเอาเถอะไม่ว่าวิธีไหนก็คงต้องลองกันกันซักตั้งล่ะนะ”แล้วเธอก็วิ่งออกไปโดยมีกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่กว่าครึ่งไปด้วยผมก็หวังว่าเธอจะไม่ทำอะไรพลีพลามนะ
ผมเดินฝ่าเหล่าเด็กประถมที่เดินไปเดินมากับเพื่อนๆที่นี่เป็นโรงเรียนเด็กผู้หญิงก็ย่อมไม่ค่อยคุ้นเคยกับผู้ชายเท่าไรพวกเธอมองผมและกระซิบบางอย่างกันมันค่อนข้างทำให้ผมอึดอัดมากทีเดียวและในที่สุดก็มีคนช่วยผมไว้
“คุณ...อักษรใช่มั้ยคะ”ผู้หญิงคนนึงเรียกผมหลังจากที่ผมมัวแต่เดินงงๆอยู่นาน”ทางนี้ค่ะ”
“อะ! ครับ”ผมเดินตามเธอไปจนมาหยุดที่ห้องพักครูหมวดศิลปะ
“ฉันได้รับคำสั่งจากสารวัตรเมธีให้มาดูแลคุณอีกทีค่ะ”
“เอ๊ะ? งั้นคุณก็...”
“ตำรวจหญิงสุพรรณวดีค่ะเรียกฉันว่าผึ้งก็ได้ค่ะ”
“อะ...อักษรครับ”
“แต่ว่าฉันจะไม่ได้อยู่ช่วยคุณตลอดนะคะฉันเป็นอาจารย์หมวดภาษาไทยค่ะฉันได้รับหน้าที่สืบข้อมูลที่นี้ตั้งแต่ปีที่แล้วค่ะ”
“ปีที่แล้วหรือครับ”
“ค่ะนี่น่ะไม่ใช่คดีที่เกิดขึ้นใหม่แต่เกิดขึ้นมานานแล้วและเราตามสืบมานานมากแต่ไม่พบอะไรเลยการได้ยินเรื่องหลายๆอย่างจากพวกคุณรวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากพวกคุณถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ”
“งั้นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เป็นคดีที่ถูกปิดเงียบเอาไว้มาตลอดใช่มั้ยครับ”
“ก่อนหน้านี้เรื่องนี้ไม่เคยเป็นข่าวหรือเอามาทำคดีด้วยซำ้ที่ฉันขอเข้ามาตรวจสอบด้วยตัวเองโดยไม่มีกลุ่มหรือทีมเพราะข่าวลือที่ได้ยินทำให้ฉันเอะใจว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นและเพราะพวกคุณถึงทำให้มันออกมาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นค่ะ”และเธอก็ได้ยืนแฟ้มเอกสารสีนำ้ตาลให้ผม“นี้คือรูปถ่ายของเด็กๆที่ฉันเก็บไว้เปรียบเทียบในแต่ละเดือนค่ะถ้าว่างล่ะก็ช่วยดูให้ละเอียดทีนะคะฉันขอตัวก่อนค่ะ”
“ขอบคุณมากนะครับช่วยได้เยอะเลยครับ”
“งั้นตอนเที่ยงก็มาเจอกันที่โรงอาหารครูนะคะเอ่อ...ขอเบอร์ของคุณด้วยได้มั้ยคะ”
“ครับได้แน่นอน”แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันหลังจากที่แลกเบอร์กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว 
ผมเดินตรงเข้าไปยังห้องพักครูศิลปะที่มีกันคนอยู่แค่3คนเป็นผู้หญิง2คนและผู้ชายที่แก่กว่าผมอีกหนึ่งพอพวกเขาเห็นผมเดินเข้ามา ครูผู้หญิงคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาหาผม
“คุณคือครูพิเศษที่ผอ.วานมาใช่มั้ยคะ”
“ครับอักษรอภิรเมธีวงศ์ครับ”
“สวัสดีจ๊ะพี่ชื่อเมษานะเป็นหัวหน้าหมวดเป็นอาจารย์นาฎศิลป์ส่วนตรงนั้นก็พี่อาร์ตสอนศิลปะและคนที่แก่ๆตรงนู้นก็ครูสังคมสอนดนตรีจ๊ะ”
“สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้อาจารย์ทีละคนพวกเขายกรับมือไหว้ตอบด้วยรอยยิ้มเเจ่มใส
“แล้ว...เธอมาเป็นอาจารย์พิเศษวิชาอะไรหรอ”
“อะเอ่อ...วิชาดนตรีครับดนตรีสากล...”
“อ้าวแบบนี้ก็ซำ้กับครูสังคมน่ะสิชมรมครูสังคมก็คุมอยู่นา”
“อะเอ๋?”แย่แล้วสิแบบนี้แผนแตกแน่เลยสายตาของคุณสังคมจ้องมองผมด้วยความสงสัยสุดขีดแต่ว่าผมก็คงจะยอมถอยแค่นี้ไม่ได้..
“ก็อย่างที่บอกครับผมสอนดนตรีสากลพวกวงออร์แคสตร้าน่ะครับอาจารย์”ผมหัวเราะแห้งๆบวกกับขอร้องกับพระเจ้าให้ช่วยผมผ่านเหตุการนี้ไปให้ได้
“ออร์แคสตร้าหรอ”
“ครับท่านผู้อำนวยการอยากจะให้มีชมรมออร์แคสตร้าขึ้นมาครับก็เลยวานผมมา”
ความเงียบปกคลุมห้องหมวดศิลปะมันทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกแต่แล้วคุณสังคมก็เอ่ยปากพูด
“เธอเป็นลูกชายของอิทธิฤทธิ์งั้นหรอ”
“ครับใช่ครับ”
“เขาเป็นวาทยากรและนักแต่งเพลงที่ยอดเยี่ยมคนนึงทีเดียวเธอใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากเขามาสอนให้เด็กๆแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีจริงๆนะ”
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และจับมือของผมอย่างอบอุ่น
“ฉันเสียใจเรื่องพ่อเธอด้วยนะถ้าต้องการความช่วยเหลือจากฉันก็บอกได้เลยไม่มีปัญหา”พูดจบเขาก็ยิ้มให้ผมพร้อมกับตบบ่าผมแรงๆผมก็นึกว่าเขาจะดุซะอีก ที่ไหนได้ก็ใจดีเหมือนกัน
“ถะ..ถ้าอย่างนั้นผมขอตามคุณในคาบสอนของคุณได้มั้ยครับ”
“ฮืม?”
“เป็นการเรียนรู้น่ะครับผมอยากรู้ว่าควรจะสอนยังไงแล้วก็ผมอยากได้ประสบการณ์จากคุณด้วยครับ”เขาหัวเราะและกลับไปที่โตีะเพื่อให้ตารางสอนของเขากับผม
“เอ้านี้อยากมาเมื่อไรก็มาได้เลยหรืออยากจะช่วยเก็บห้องหลังจากที่สอนนักเรียนเสร็จก็ตามสะบายนะ”
“ครับขอบคุณมากนะครับ”
 ผมมองดูตารางสอนของคุณสังคมเขามีสอนทุกระดับชั้นเลยและเวลาเรามีแค่วันนี้ที่เป็นวันพฤหัสและก็วันศุกร์สำหรับอาทิย์นี้และวันจันทร์ถึงศุกร์ในอาทิตย์หน้าสำหรับการสืบในโรงเรียนนี้ถ้าเป็นไปได้เราก็คงจับฆาตกรได้...  แต่ถ้าไม่...มันก็จะเกิดขึ้นอีกในช่วงคาบเกี่ยวถัดไปซึ่งนั้นก็หมายความว่าเราจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้อีกอย่างเด็ดขาดเลย!
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา