บันทึกปริศนา เรื่องลี้ลับของลิซ่า
7.7
เขียนโดย Jabberwocky
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.29 น.
11 ตอน
1 วิจารณ์
12.86K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2559 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) รอยยิ้มของมิตรภาพ(คดีภาพลางมรณะ)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ผู้โดยสารที่จะขึ้นเครื่องสายการบินTG372 เพื่อไปยังประเทศออสเตรีย เครื่องกำลังจะบินขึ้นในอีก30นาที...”
เสียงประกาศขัดจังหวะการเลือกซื้อของของฉัน อย่างที่ได้ตัดสินใจเมื่อวานนี้ฉันกับอักษรจะไปออสเตรียเพื่อไปพบกับมาเรีย เทเรซ่า..เด็กสาวที่ฉันเคยได้พบกันเมื่อครั้งที่เดินทางไปที่สเปน ฉันรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเธอมากทีเดียวเพราะเท่าที่จำได้ฉันวาดภาพเธอเมื่อหลายปีหลังจากที่ฉันเริ่มออกไปจากอิตาลี
“คุณลิซ่าครับ เราเริ่มไปที่เกตกันเถอะครับ จะได้ไม่ต้องรีบเดินไป”
“งั้นรอฉันจ่ายเงินก่อนนะ” ฉันหยิบไวท์ช็อกโกเเลตที่อยู่ตรงหน้าแล้วเดินอย่างใจเย็นไปยังเคาเตอร์ ฉันพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะฉันไม่อยากให้อักษรรู้สึกกังวลไปด้วย
“ทั้งหมด3550บาทค่ะ” ฉันไม่รู้สึกแปลกใจเลยกับราคาสินค้าที่แพง สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือใช้บัตรสมาชิกลดแล้วควักเงินในกระเป๋าตังค์จ่ายหล่อนไป
“เรียบร้อยแล้ว” ฉันเข้ามาบอกอักษรที่ยืนรออยู่หน้าร้าน
“ออ ครับ” เขาทำท่าทางแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เราเดินทอดน่องไปยังที่รอขึ้นเครื่อง เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยจนกระทั่งอักษรเริ่มต้นก่อน
“คุณลิซ่าไปประเทศไหนมาแล้วบ้างหรือครับ”
“เกือบจะทั่วโลกแล้วล่ะ เริ่มจากอิตาลีแล้ววนไปด้านซ้ายของแผนที่โลก”
“วนไปด้านซ้าย...แบบนี้ก็ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยน่ะสิครับ ละ..แล้วสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องบินด้วยนี่ครับ”
“ถูกต้องแล้วล่ะ”
“ล่ะแล้วคุณ..ทำยังไงหรือครับ นั่งเรือหรือครับ?!” อักษรทำหน้าเหวอ
“ใช่...ฉันนั่งเรือกับโจรสลัด จริงๆตอนแรกฉันแฝงตัวกับพวกทาสที่พวกนั้นจับมาแล้วฉันก็ไปตีสนิทกับกัปตันเรือให้ไปส่งที่เขตแดนอเมริกาในปัจจุบัน”
“ยะ..ยอดเลยนะครับแบบนั้นน่ะ...”
“อย่าให้ฉันเล่นทั้งหมดเลย เล่าเป็นเดือนก็คงไม่หมดหรอกการเดินทางของฉันน่ะ”
“นั่นสินะครับ ก็นั้นมันตั้ง...400กว่าปีเลยใช่มั้ยล่ะครับ”
“อืม...ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่ามันผ่านมานานขนาดนั้นแล้ว แต่ก็กลับมีเรื่องให้ทำอยู่ตลอดเลยนะ”
ฉันถอนลมหายใจ แล้วอักษรก็ดูท่าทางสนอกสนใจมากทีเดียว
“คุณลิซ่าอยู่ประเทศนึงเฉลี่ยแล้วประมาณกี่ปีถึงเดินทางต่อหรือครับ”
“จนกว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาน่ะ ตลอดมาฉันก็พยายามหาประเทศเพื่อตั้งฐานให้เป็นหลักเป็นแหล่ง แต่ว่าฉันก็ต้องย้ายออก ส่วนมากก็เป็นเพราะ..สงครามไม่ก็ถูกขับไล่ออกไป..”
“ถูก..ขับไล่หรือครับ?”
“ถึงจะผ่านสงครามโลกมาแล้วแต่การล่าแม่มดก็ไม่สิ้นสุด”
“พวกเขาตามล่าคุณหรือครับ พวกล่าแม่มด...”
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขายังตามล่าฉันอยู่หรือเปล่า แต่ว่าจากตอนนั้นก็ผ่านมาตั้ง80กว่าปีแล้ว พวกเขาคงสลายตัวกันไปแล้วล่ะมั้ง หวังว่านะ”
“ถ้าพวกนั้น..กลับมา คุณลิซ่าจะทำยังไงหรือครับ”
คำถามของเขาทำให้ฉันหยุดคิดพักหนึ่ง สายตาของฉันมองตำ่ไปยังพรมของสนามบินสีเนวี่
“ฉันก็คง..ต้องออกเดินทางต่อ ก็ต่อเมื่อพวกเขาหาฉันพบล่ะนะ”
คำตอบของฉันถูกกลืนลงไปในความเงียบ อักษรไม่ได้ถามอะไรฉันอีกและฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาทำหน้ายังไง เพราะสายตาของฉันมองตรงไปเพียงด้านหน้าอย่างเดียว
ตลอดมา400กว่าปีนี้ ฉันเจอกับผู้คนมากมายนั้นทำให้ฉันได้เข้าใจอะไรหลายอย่าง ว่าการมีความสัมพันธ์กับคนอื่นก็มีแต่จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย ใช่แล้วล่ะ...เมื่อเวลานั้นมาถึงฉันก็จะไป...ก็เหมือนกับทุกๆทีเป็นเรื่องปกติ
ฉันเดินนำจนมาถึงที่ตรวจตั๋วครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องบิน เมื่อผ่านด่านสุดท้ายแล้วเราก็เข้าไปนั่งในเครื่องชั้น business
ที่มันกว้างกว่าปกติถึงฉันอยากจะนั่ง first class แต่ฉันก็ไม่ค่อยชอบพวกคนรวยสมัยนี้ซักเท่าไร
“รับเครื่องดื่มอะไรมั้ยคะ”แอร์โฮสเตสถามฉันหลังจากที่เธอเดินถามประโยคเดิมกับผู้โดยสารคนอื่นมากว่าสิบคน
“เอาเป็นเอิร์ล เกรย์ก็แล้วกันค่ะ”
“ค่ะ สักครู่นะคะ” หญิงคนนั้นจดรายการและหันกลับไปหาอักษรที่นั่งอุดๆอู้ๆอย่างเกร็งๆที่อยู่ถัดจากฉัน
“แล้วคุณผู้ชายล่ะคะ จะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
“เอ่อ..ผม...”เขาพูดตะกุกตะกัก
“แค่โกโก้ร้อนซักแก้วก็พอแล้วล่ะ”
“ค่ะ รับทราบค่ะ”
ทันทีที่แอร์โฮสเตสเดินออกไปอักษรก็ถอนหายใจเหือกใหญ่
“ขอบคุณนะครับคุณลิซ่า ถ้าไม่ได้คุณลิซ่าช่วยผมคงแย่แน่เลย”
“อะไรของนายน่ะ ทำอย่างกับว่านั่งชั้นbusinessครั้งแรกอย่างนั้นแหละ”
“ก็ครั้งแรกน่ะสิครับ โธ่...”
“เฮ้ย!!ล้อเล่นปะเนี้ย”ฉันระเบิดหัวเราะอย่างไม่อยากเชื่อ เขามีพ่อเป็นวาทยากรชื่อดังแท้ๆ เขาต้องรวยจนนั่งแม้แต่ first classได้ด้วยซำ้
“ก็เพราะว่าครอบครัวของผมไม่ได้รวย...ถึงขนาดนั้นยังไงล่ะครับ...”
คำพูดของอักษรแทบทำให้ฉันกลืนเสียงหัวเราะแทบไม่ทัน เอาเข้าจริงๆฉันไม่ค่อยรู้เรื่องของเขาเลยถึงแม้ว่าจะทำงานด้วยกันมาเป็นเดือนๆแล้วก็ตาม
“ขอโทษที”ฉันพูดด้วยเสียงเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงตอนนี้หนี้ของพ่อก็ถูกชำระไปหมดแล้ว และ...ผมก็คงจะได้พาแม่ สีฟ้า แล้วก็สีครามไปเที่ยวต่างประเทศอีกครั้งนึงได้แน่ครับ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกๆครั้งที่เขายิ้ม ฉันมองมันด้วยหางตาก่อนจะถอนหายใจ
“นายนี่..น่าอนาจจริงๆเลยนะ เอาเป็นว่าในฐานะหัวหน้ามีปัญหาอะไรอีกก็บอกฉันก็แล้วกัน”
“ครับ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ฉันรู้สึกอะไรบางอย่างข้างใน เป็นความรู้สึกห่วงใย...ล่ะมั้ง นานมากทีเดียวที่ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็คงไม่สามารถให้มันเกินเลยได้ ฉัน...จะเป็นห่วงหมอนี่มากไม่ได้ ฉันต้องเตรียมตัวสำหรับการเดินทางอยู่ตลอดเวลา...
ฉันมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยเมฆสีขาวและมีสีส้มแซกมาจากดวงอาทิตย์ ฉันพยายามเคลียร์หัวให้ว่างเพราะทันทีที่เครื่องลงที่ออสเตรียก็คงมีเรื่องมากมายที่ฉันต้องคิดอีกมากแน่
เพียงแต่สองชั่วโมงเราก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนาแต่กว่าจะออกมาจากสนามบินได้ก็กินเวลาไปถึงสี่โมงเย็นแล้ว ฉันบินบิดขี้เกียจหลังจากที่หลุดออกมาจากตรวจคนเข้าเมืองมาได้
“อักษรเร็วเข้าสิ เรายังต้องหาโรงแรมนอนกันอีกนะ”
“คร้าบบบบ”เขาพูดเสียงหอบพร้อมๆกับกระเป๋าลากและกระเป๋าถือมากมายเต็มมือ “คุณลิซ่าครับ อย่างน้องก็เอากระเป๋าลากของคุณไปหน่อยได้มั้ยล่ะครับ”
“หยุดบ่นน่า”ฉันเดินฉับๆนำเขาไปหาคนรู้จักที่ฉันเคยซี้ก่อนที่จะย้ายมาที่เมืองไทย “อะ ซิสเตอร์”
“คุณลิซ่า ยังเหมือนเดินเลยนะ” หญิงแก่วัย80ขึ้นมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้ม เธอคือซิสเตอร์ของโบสถ์ที่ฉันมาขออาศัยเป็นประจำตอนที่มีงานที่ต้องทำที่นี่ ทำให้เธอรู้เรื่องของฉันดีทีเดียวและรู้เรื่องที่ฉันถูกตามล่าด้วย
“แล้วนั้นใครหรือ”
“สวัสดีครับ ผะ..ผมชื่ออักษรครับ”
“ขอโทษที่ต้องให้พูดภาษไทยนะคะ เพราะเขาไม่ค่อยคล่องภาษาอังกฤษน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็ถือซะว่าเป็นการฝึกภาษาของฉันก็แล้วกัน”
เรานั่งรถตู้ของคณะโบสถ์เพื่อไปยังโบสถ์เซนต์จอห์นที่เป็นโบสถ์เล็กๆที่ออกไปทางชนบทและห่างจากเวียงนามากทีเดียว
“ครั้งนี้มีเรื่องอะไรอย่างนั้นรึ”
“มีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นค่ะ แต่ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ ถ้าเป็นไปได้ช่วยอธิบายสัญลักษณ์นี้ทีได้มั้ยคะ”
ฉันวาดภาพสัญลักษณ์แกะที่มีกางเขนและยื่นสมุดเล่มเล็กนี้ให้กับซิสเตอร์
“Agnus Dei หรือ Lamb of God อยากรู้เกี่ยวกับอะไรล่ะ”
“สำหรับชาวคาทอลิคแล้วมันมีความหมายอะไรลึกซึ้งอย่างนั้นเหรอ”
“การมีชัยชนะเหนือความตายอย่างไรล่ะ”
“ชัยชนะ..เหนือความตาย?”
“การฟื้นคืนขององค์เยซูตามพระคำภีร์ ลูกแกะพระเจ้า ผู้ลบล้างบาปของโลกจากพระวรสารจอห์นแปปติสถ์ ได้บอกว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร และอะไรคือพันธกิจของพระองค์”
“เพื่อนำทุกคนให้กลับไปหาพระเจ้า พระผู้สร้าง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและเป้าหมายสุดท้าย...ของพวกเรา”
เมื่อทบทวนหลายอย่างให้ดีๆความหมายที่แท้จริงของพวกลัทธินี้ เหมือนจะเป็น...
“นี่มัน...บ้าชัดๆ...”ฉันบ่นออกมาและรู้ด้วยว่าสีหน้าของฉันคงแย่มากโดยไม่ต้องส่องกระจก
“อะไรอย่างนั้นหรือครับคุณลิซ่า” อักษรถามเมื่อสังเกตเห็นท่าทางของฉัน
“ถ้าจะให้พวกเรากลับไปหาพระเจ้า...เราจะต้องทำยังไง..”ฉันถามย้อนไปหาอักษร เขาทำหน้างงๆก่อนจะครุ่นคิด
“เราก็แค่กลับใจไปเชื่อพระเจ้าไงล่ะครับ”
“ใช่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของวิถีคริสต์เตียน แต่ยังมีส่วนสำคัญอยู่”
“ส่วนสำคัญ?”เขาครุ่นคิดก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกกว้าง “อย่าบอกนะครับว่าการฆ่าตัวตายพวกนี้ก็คือ...การกลับไปหาพระเจ้าของพวกนั้นน่ะ”
“หรือไม่ก็เป็นการเอาชนะความตายอย่างที่พระเยซูทรงทำได้”ซิสเตอร์พูดแล้วจากนั้นก็มองมาที่ฉัน “หรือแม้แต่การแก้แค้น..”
คำพูดของเธอทำให้ฉันอึ้งปนกับไม่อยากเชื่อ เมื่อนึกถึงชื่อนั้นทีไรความรู้สึกหนาวไปทั่วก็กระจายไปทั่วร่างกาย
“นี่...เป็นฝีมือของพวกนั้นงั้นเหรอ...”
“คุณลิซ่าครับ?”
“ลัทธิคลั่งศาสนาที่เคยก่อโศกนาฏกรรม พวกเขาเรียกตัวเองว่าคณะปฎิวัติ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเผาทำลายโบสถ์ของศาสนาอื่นหรือแม้แต่คริสถ์นิกายอื่นก็ตาม”
“ผม..ไม่เคยได้ยินเกียวกับพวกเขาเลย”
“เป็นคดีเล็กๆที่เกิดขึ้นที่ชนบทของนิวซีแลนน่ะ ประมาณ90ปีก่อนได้ล่ะมั้ง ฉันก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะยังอยู่นะ”
“พวกเขาทำ..เพื่อแก้แค้นคุณลิซ่าอย่างนั้นเหรอครับ”
“ถ้าพวกเขาจะแก้แค้นพวกเขาก็คงกลายเป็นผีกันหมดแล้วล่ะ แต่ฉันก็ไม่เชื่อว่าวิญญาณจะฆ่าคนได้หรอกนะ นอกจาก...”
และแล้วฉันก็เข้าใจ เข้าใจตัวตนของต้นเหตุและเรื่องทั้งหมดนี้ ฉันลุกขึ้นและตะโกนไปยังคนขับรถ
“เราต้องกลับไปที่เวียงนา เราจะต้องไปที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ”
“What?” ฉันตกใจจนเพลอลนจนพูดภาษาไทยออกไป ฉันรีบรวบรวมสติก่อนที่จะรีบเดินไปหาเขา
“We have to go to Kunsthistorisches Museum right now!!”
“What do ya mean?We gonna…”
“Just do what I say!!!!”
แล้วทันใดนั้นรถตู้ก็วิ่งเร็วขึ้นและเลี้ยวกลับอย่างรวดเร็วจนตัวของฉันถึงกับล้มตุ๊บลงที่เบาะที่อยู่ด้านหลังคนขับพร้อมๆกับเสียงร้องตกใจของอักษรและซิสเตอร์ผู้ติดตาม
“คะ..คุณลิซ่าครับ ไหนว่าจะไปที่พิพิธภัณฑ์นั่นพรุ่งนี้ไงล่ะครับ”
“มาเรียนำทางพวกเรามาที่นี่ พวกนั้นถึงได้เล็งเป้าหมายไปที่เธอ ที่นั่นต้องเก็บอะไรเอาไว้แน่ อะไรบางอย่างที่เราจะหยุดพวกนั้นได้...”
แป๊น แป็น แป๊นนนน!!
เสียงบีบแตรรถดังสนั่นไปทั่วถนนเมื่อเริ่มเข้าตัวเมือง เสียงหว๋อของรถตำรวจเองก้เริ่มตามเรามาเป็นโขยง ซิสเตอร์ที่นั่งคาดเข็มขัดอยู่ด้านหลังได้แต่อธิฐานต่อพระเจ้า
“นั่นใช่มั้ยครับคุณลิซ่า” อักษรชี้ไปทางอาคารที่ประดับประดาด้วยความงดงามและสวยอย่างกับพระราชวัง แต่ฉันก็ไม่ได้ยลความงามนั้นมากเท่าที่ควรเพราะฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ
“อักษรเราลงกันเลยเถอะ”
“คะ..ครับ” ฉันเปิดประตูรถแล้วแทบจะกระโดดลงในทันที ฉันวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ตรงหน้า แต่ว่าการวิ่งเป็นสิ่งที่ฉันเกลียดและแย่ที่สุดเลย
“คุณลิซ่า ขอโทษนะครับ”
“อะไร ว้ายยย!!”ชั่วอึดใจเดียวเขาก็ช้อนตัวของฉันขึ้นมาอุ้มและเริ่มวิ่งตรงไปที่นั่น ฉันได้แต่มองหน้าเขาด้วยความงุนงงและประหลาดใจ แต่พวกนั้นก็ไม่ได้ทำให้ฉันหายกังวลกับสังหรไม่ดีที่ฉันรู้สึกได้เลย
เพียงไม่ถึงสิบนาทีเราก็มาถึงด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ทะยอยกันกลับ อักษรที่เหงือท่วมตัววางฉันลงก่อนจะนั่งลงกองกับบันไดของพิพิธภัณฑ์
“โทษทีนะอักษร”
“แค่นี้...สบายมากครับ แฮะๆๆ ยังไงเราก็มาทันก่อนพิพิธภัณฑ์ปิดละกันครับ”เขาพูดไปหอบแฮ่กไป
“ใช่ เรามีเวลาถึงสองชั่วโมงที่จะสำรวจที่นี้โดยไม่ต้องเสี่ยงอะไร แต่ถ้ามันไม่เกิดอะไรขึ้นตอนนี้ เราก็ต้องอยู่เฝ้าที่นี่ต่อ”
“อะ...อะไรนะครับ อยู่เฝ้าที่นี่?”
“ฉันรู้สึกว่าพวกนั้นต้องลงมือตอนกลางคืนแน่ เหยื่ออาจเป็นมาเรียไม่ก็คนในพิพิธภัณฑ์นี่แน่”
“บะ..แบบนั้น...แบบนั้นมันผิดกฎหมายนะครับ ถ้าเราถูกจับได้ล่ะ”
“ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นใคร อักษร”
เพียงพูดคำนั้นออกมาเขาก็เงียบกริบและเข้าใจได้ทันที ฉันเป็นแม่มดฉันจะทำอะไรก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่อยากใช้พลังสุ่มสี่สุ่มห้าในสถานการณ์แบบนี้เท่าไรนัก
“ถ้าเราโชคดี ภายในสองชั่วโมงนี้เราอาจจะได้เจอกับมาเรียก็ได้ เมื่อเจอเธอแล้วเราก็จะพาเธอกลับไปด้วย แต่ว่า...ถ้าเราโชคดีล่ะนะ”
อักษรจ้องมองฉันที่ยืนหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาทาง เขาลุกขึ้นแล้วแล้วสูดลมหายใจ
“ที่คุณลิซ่าบอกว่าจะปกป้องผมน่ะ...ผมขอไม่รับการปกป้องนั้นนะครับ”
“เอ๋?”ฉันหันกลับมาเงยหน้ามองอักษรที่สูงกว่าฉันกว่าสิบเซ็น ฉันพูดด้วยความขุ่นเครือ “ที่พูดหมายความว่าไง นายจะบอกว่าจะเป็นคนปกป้องฉันแทนงั้นเหรอ”
เขาเงียบไปเหมือนกับว่าฉันอ่านความคิดของเขาแล้วทั้งที่ฉันไม่ได้ทำ
“ครับ คุรลิซ่าต่างหากที่ควรเป็นคนที่ถูกปกป้อง ผม..จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยคุณครับ” คำพูดของเขาเสียดแทงเข้าไปกลางอกของฉัน คำพูดนี้อีกแล้วไม่ว่าใครที่ฉันสนิทด้วยก็พูดแต่คำนี้ หรือแม้แต่เขา...
“ไม่มีใคร...ปกป้องฉันได้หรอกน่า” นำ้เสียงของฉันเบาจนแทบเหมือนกระซิบ
“คะ..ครับ?”
“รีบไปกันเถอะ เราเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ฉันชิงตัดบทและเดินฉับๆไปยังแผนที่พิพิธภัณฑ์ที่วางอยู่ข้างเคาเตอร์จ่ายเงินค่าเข้าชม ฉันหาตำแหน่งของภาพเจ้าหญิงมาร์การิตา เทเรซาในชุดสีน้ำเงินซึ่งน่าจะเป็นตำแหน่งที่มาเรียจะรอเราอยู่ด้วย
ฉันเดินนำอักษรไปตามห้องโถงที่สวยงามและมีภาพเขียนมากมายเรียงรายอยู่มากมาย ไม่แปลกเลยที่เขาจะดวงตารุกวาวกับภาพพวกนั้น
“ยอดเลยนะครับที่นี่ ผมฝันมานานแล้วที่จะมาดูภาพพวกนี้แบบใกล้ๆซักครั้ง”
“นายได้ดูแน่หลังจากที่งานของเราจบลง เอ๊ะ...”
แล้วฉันก็เห็นวิญญาณของชายแก่ที่ขาของเขาถูกล่ามด้วยโซ่ขนาดใหญ่ เขาน่าจะเป็นนักโทษเมื่อหลายศัตวรรษก่อน เขาชี้มาที่ทางฉันพร้อมกับพูดบางอย่างสำเนียงออกออสเตียน
“เจ้า...ซาโลเม...คนบาป...”
“ซาโลเม?” แล้วภาพความทรงจำของเขาก็พุ่งเข้ามา
ฉันพบตัวเองเข้าไปยังเหตุการณ์ตัดสินประหารชีวิตโดยการตัดหัวของชายคนนั้น ฉันนั่งลงที่ที่นั่งพยานใส่ชุดสวยหรูเหมือนเป็นคุณหนูผู้สูงศักษ์ในสมัยนั้น ถ้าเดาเวลาคราวๆก็คงหนีไม่พ้นศัตวรรษ์ที่17-18
“เจ้าพบความผิดฐานลบหลู่ศาสนาและยังกระทำให้หญิงคนนี้เสื่อมเสียใช่หรือไม่”
“ทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริง...”ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงแหบแห้งและสั่นสะท้าน ไม่ต้องสังเกตก็รู้ได้เลยว่าเขาถูกทรมาณมาอย่างหนักก่อนที่จะเข้าห้องสืบสวนอีกครั้ง
“เจ้าเป็นบาทหลวงแต่กลับทำผิดศีล ไม่เชื่อฟังคำสอนของพระเป็นเจ้าใช่หรือไม่”
“ไม่จริง พ่อ...ไม่ได้..ทำ”
“เจ้าคบค้ากับซาตาน ทำยาพิษให้ชาวบ้านและหลอกพวกเขาว่าเป็นพรจากพระเป็นเจ้าใช่หรือไม่”
“พ่อ..ไม่ได้ทำ...”
เป็นการสอบสวนที่ไม่มีมูลเหตุเหมือนๆกับการล่าแม่มดที่ฉันเคยเจอ เขาถูกใส่ร้าย...
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมรับ เจ้าไม่มีหลักฐานที่จะมาหักล้างความผิดนี้”
“เพราะว่านางโกหกไงล่ะ!!อาจารย์ของพวกเราไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่” กลุ่มชายในชุดของบาทหลวงชี้มาที่ฉันที่นั่งอย่างสง่างาม ฉันพูดกลับไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ดิฉันพูดความจริงและมีหลักฐานพร้อม ชายคนนี้เป็นพระปลอมและเลวทราม ศาลโปรดตัดสินประหารเขาเถิด”
“เจ้า!!!!” บาทหลวงหนึ่งในนั้นระเบิดอารมณ์ออกมาแต่ก็ได้เพื่อนๆของเขาช่วยระงับความโกรธของเขาเอาไว้ ชายแก่พูดอย่างเหนื่อยอ่อน
“พอเถิด...พ่อเหนื่อยแล้ว หากพระเจ้าต้องการให้พ่อหยุด พ่อก็จะหยุด....” เขาสูดลมหายใจลึก “พ่อ...ยอมรับทุกข้อกล่าวหา..”
“อาจารย์!!!!”
“ถ้าเช่นนั้นในรุ่งสาง เขาจะถูกตัดหัวต่อหน้าประชาชนและครอบครัวเพื่อไม่ให้ผู้ใดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง จบเพียงเท่านี้”
“อาจารย์!!!!”เหล่าลูกศิษย์วิ่งกรูไปหาอาจารย์ของตน เขาถูกทหารรวบตัวอีกครั้งและตอนนั้นเองที่เราได้สบตากัน
“ขอพระเจ้าอภัยแก่หญิงผู้โง่เขลาผู้นี้ด้วยเถิด...”
“คุณลิซ่าครับ”
“อะ??”เสียงเรียกชื่อของอักษรปลุกให้ฉันออกมาจากนิมิตของชายนักโทษคนนั้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ รู้เรื่องอะไรเพิ่มแล้วหรือครับ”
“ซาโลเม....”
“ครับ?” เขาทำหน้างงเหมือนทุกๆที บางทีมันก็น่ารำคาญที่เขาไม่เคยคิดอะไรได้เองเลย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นแค่มนุษย์
“ชื่อของหญิงคนหนึ่ง เมื่อกี้ฉันได้รับความทรงจำของการตัดสินคดีบางอย่างของบาทหลวง หญิงคนนั้นเหมือนจะยัดข้อหาใส่เขา”
“ยัดข้อหาใส่บาทหลวงแบบนี้มัน...”
“โหดร้ายสินะ แต่ว่ามันก็เกิดขึ้น...โดยไม่มีแม้แต่การสำนึกผิด บางทีนี้อาจจะเป็นการแก้แค้นอย่างที่ซิสเตอร์ว่า ช่างเป็นอะไรที่ธรรมดาจริงๆ”
“ธรรมดาอะไรกันครับ”เขาพูดด้วยนำ้เสียงไม่พอใจ
“แรงจูงใจในการฆ่าไงล่ะ จะตายไปแล้วหรือไม่ตาย ถ้ายังมีกิเลสและบาปอยู่ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น”
อักษรมองลงตำ่เหมือนไม่เห็นด้วย ใช่...สำหรับเด็กแบบเขาหรือคนทั่วไปย่อมมองเรื่องนี้เป็นเรื่องโหดร้าย เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าจะทำกันง่ายๆ แต่สำหรับฉันแล้วมันเหมือนปกติ
แล้วในที่สุดเราก็มาถึงภาพเจ้าหญิงมาร์การิตา เทเรซาในชุดสีน้ำเงิน ตรงนั้นมีหญิงคนหนึ่งในชุดสีนำ้เงินกับหมวกปีกใหญ่ยืนมองภาพนี้อยู่ ฉันเลยรีบเข้าไปหาเธอ
“มาเรีย...” ฉันเรียกชื่อของเธอ แล้วเธอก็หันมาพร้อมกับรอยยิ้มบาง
“คุณลิซ่า..ในที่สุดเราก็ได้พบกัน”แล้วเธอก็หันไปยังอักษรที่ยืนอยู่ข้างๆฉัน “ขอเราคุยกันตามลำพังจะได้มั้ยคะ คุณอักษร”
“เอ๋? เอ่อ..”
“ดูลาดเลาให้ที ฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นจะโผล่มาตอนไหน”
“เออ..ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อักษรยอมออกจากบริเวณนั้น แล้วฉันก็เริ่มพูดด้วยความหงุดหงิดและสับสน
“เธอ..อย่าบอกนะว่า...เธอเป็น..”
“ค่ะ อย่างที่คุณคิด ฉันทำสัญญากับปีศาจ...”
“ยัยโง่...” ถ้าเธอบอกว่าเธอเป็นแม่มดขาวยังน่าดีใจกว่า แต่ถ้าเธอไม่ขายวิญญาณเธอก็คงอยู่ไม่ได้จนถึงตอนนี้หรอก “ทำไม...เธอถึงทำ”
“หลังจากที่คุณไป เรื่องมากมายก็เกิดขึ้นค่ะ มันก็เพียงแค่ว่า..ฉันไม่อยากตาย...ก็เท่านั้น”
“แล้วยังไง เธอจะมาฆ่าฉันแบบที่คนอื่นพยายามทำงั้นเหรอ”
เธอส่ายหน้า เอามือกอดอกเหมือนกับว่าอึดอัดกับสิ่งที่เธอเป็นในตอนนี้
“ฉัน...ไม่เคยฆ่าใคร...และจะไม่ฆ่า”เธอหยุดกลืนนำ้ลายแล้วมองมาที่ฉัน “นั้นทำให้ฉันหมดประโยชน์..”
“พวกปีศาจหรือแม่มดคนอื่น..ต้องการจะฆ่าเธองั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ พวกเขาไม่สนใจฉันเลย คนที่จะฆ่าฉันก็คือคนพวกนั้น...ลัทธิล่าแม่มด”
“ลัทธิล่าแม่มดงั้นเหรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการฆ่าตัวตาย เกี่ยวอะไรกับพวกคณะปฎิวัติ??”
“สิ่งที่คุณเผชิญไม่ใช่แค่ผู้คนที่หลงผิด แต่เป็นคนที่ถูกชักจูงโดยซาตาน พวกเขาจะไม่หยุดแน่”
“แล้วใบประกาศที่ถูกติดไว้ล่ะ วันอาทิตย์ที่29 สิงหาคมนี้”
“พวกเขาจะประกาศตนด้วยโศกนาฎกรรม”
“การ...สังหารหมู่งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่การสังหาร แต่เป็นการฆ่าตัวตายหมู่...โดยบรรดาผู้ที่เชื่อ ศูนย์กลางคือสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย นั่นหมายความว่าไทยจะเป็นที่แรก จากนั้นก็จะไปยังประเทศอื่นๆ ถ้าเธอสามารถหยุดเรื่องทั้งหมดได้แน่”
“เธอรู้ได้ยังไง...เรื่องทั้งหมดนี่”
“เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แม่มดที่ทำสัญญากับซาตานจะต้องเพิ่มสาวก เพิ่มผู้หลงผิด...ฉันขอโทษนะ”
เหมือนเดิมเลย...แม่มดดำทุกตนแทบจะมีชะตากรรมที่เหมือนวงจรอุบาท เหมือนกับอานาตเซีย...หรือแม่มดตนอื่นๆที่ฉันพบเจอมาตลอด
“มาเรีย...”ฉันพยายามเรียกชื่อของเธอ แต่แล้วบรรยากาศก็กลับเย็นยะเยือกทำให้ฉันเสียวสันหลัง บรรยาการณ์ที่ไม่ได้สัมผัสมานาน พวกปีศาจ...
“วิญญาณของคุณเป็นที่โปรดปรานมาก การที่คุณอยู่กับฉันนานมากเท่าไร พวกเขาก็จะรู้ตัวคุณได้ง่ายขึ้น พวกเขาต้องบอกเรื่องนี้แน่”
“บอก? บอกใครกัน”
“ลัทธิล่าแม่มด คุณต้องไปแล้วไปยังที่ๆพวกเขาหาคุณไม่เจอ”
“แล้วเธอล่ะมาเรีย เธอกลับไปกับพวกเราเถอะ ตอนนี้ก็ยังทันนะ”
มาเรียส่ายหน้า มันทำให้เลือดในหัวของฉันแทบแตก
“นังบ้า!!!เด็กโง่ ฉันบอกให้เธอมากับฉันไงล่ะ จะให้ฉันเห็นคนตายเพิ่มอีกกี่คนกันแน่!!!”
ฉันตะโกนอย่างเหลืออดอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน ตรงหน้าของฉันคือเด็กหญิงที่ฉันเคยวาดภาพให้และยังเป็นเหมือนน้องสาวที่น่ารักของฉัน ฉันทนที่จะต้องกลั่นนำ้ตาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“เร็วเข้า ก่อนที่พวกนั้นจะมา” ฉันดึงข้อมือของเธอ แต่เธอก็กลับไม่ขยับเขยื่อนไปตามที่ฉันบังคับ
“ฉันทำไม่ได้หรอก ไปฉันก็ตาย ไม่ไปฉันก็ตาย ฉันรู้ดี...แต่อย่างน้อยฉันก็อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อเธอ ฉันถึงได้ล่อเธอมาที่นี่ ไปซะแล้วรีบกลับไป...”
“มาเรีย!!!”สิ้นเสียงเรียกของฉัน มาเรียก็ทำให้ฉันสลบไป
………….
………
…..
…
“มาเรีย!!!”
ฉันตะโกนชื่อของเธอ ตัวของฉันเด่งชึ้นมา รอบๆตัวฉันคือห้องนอนใต้หลังคาที่คุ้นเคย มันคือโบสถ์ในชนบทที่ตอนแรกเราจะมาพักที่นี่ก่อน แต่ว่าเราก็เปลี่ยนเส้นทางและ....
“อะ คุณลิซ่าตื่นแล้วหรือครับ” อักษรเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถาดใส่อาหาร มันทำห้ฉันรู้ในทันทีว่านี่เช้าแล้ว
“เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น”
“เราอยู่กันจนหกโมงเย็นที่พิพิธภัณฑืปิดแถมยังไม่มีอะไรผิดปกติด้วย ผมเลยวกกลับไปหาคุณ แต่ก็กลับเห็นคุณนอนสลบไปครับ หล่อนคงไม่ได้ทำอะไรคุณ...”
“เธอไม่ใช่คนพวกนั้นนะ!!!”ฉันเผลอตวาดใส่เขาจนเขาสะดุ้งโหยง แล้วความเงียบก็กัดกินยามเช้าอันสดใสนี้
“ขอโทษนะ...”
“ไม่เป็นไรครับ”เขายิ้มแล้ววางอาหารเช้าบนโต๊ะข้างเตียง “พักผ่อนเถอะครับ ถ้ามีอะไรก็เรียกผมได้เลยนะครับ”
“….อักษร” ฉันจับชายเสื้อของเขา “ขอบคุณมากนะ สำหรับทุกๆอย่างเลย แต่ว่าฉันไม่อยากให้นายเป็นห่วงฉันมากจนเกินไป” เขาเดินไปยังประตูไม้เก่าๆนั่น ก่อนที่จะหันมาบอกคำพูดสุดท้ายกับฉัน
“กลัวผมจะเสียใจอย่างนั้นเหรอครับ การที่ผมทำงานร่วมกับคุณน่ะ”
“…”
“ไม่ต้องทำเป็นเข็มแข็งอยู่ตลอดเวลาหรอกนะครับ ถ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเลย”
และแล้วเขาก็ปิดประตูห้อง ปล่อยให้ฉันอยู่กับตัวเองในห้องแคบๆนี่
นำ้ตาของฉันก็ไหลอาบแก้มของฉัน ฉันสะอื่นอย่างหายใจไม่ออก ไม่รู้ว่านี่มันกี่ร้อยปีแล้วที่ฉันพยายามกลืนนำ้ตาตัวเองเอาไว้ เพื่อแสดงว่าฉันเก่ง ฉันยอดเยี่ยมไปซะหมด จริงๆแล้ว...ฉันมันโง่ซะยิ่งกว่าโง่เสียอีก
“วิล...วิลเลียม...”ฉันเรียกชื่อของเขา ซำ้ๆซำ้ๆ
“ฉันคิดถึงเธอ...”
ผ่านชั่วเวลาที่ยากลำบากมาแล้วฉันก็ทานอาหารเช้าและเปลี่ยนชุดแต่งหน้า ฉัน...จะมัวกลัวอยู่ไม่ได้ ฉันจะต้องสู้..
“อะ..คุณลิซ่า?”เขามองหน้าฉันอย่างงงๆกับท่าทางที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของฉัน
“รีบไปอ่าบนำ้เปลียนชุดได้แล้ว เราจะต้องไปทำงานกันต่อนะ”
แล้วใบหน้าอันงุนงงของเขาก็พลันเปลี่ยนสี
“ครับ รอแป๊ปนึงนะครับ”
ใช่แล้วล่ะ...ฉัน..ต้องทำงานให้เสร็จ ต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
เสียงประกาศขัดจังหวะการเลือกซื้อของของฉัน อย่างที่ได้ตัดสินใจเมื่อวานนี้ฉันกับอักษรจะไปออสเตรียเพื่อไปพบกับมาเรีย เทเรซ่า..เด็กสาวที่ฉันเคยได้พบกันเมื่อครั้งที่เดินทางไปที่สเปน ฉันรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเธอมากทีเดียวเพราะเท่าที่จำได้ฉันวาดภาพเธอเมื่อหลายปีหลังจากที่ฉันเริ่มออกไปจากอิตาลี
“คุณลิซ่าครับ เราเริ่มไปที่เกตกันเถอะครับ จะได้ไม่ต้องรีบเดินไป”
“งั้นรอฉันจ่ายเงินก่อนนะ” ฉันหยิบไวท์ช็อกโกเเลตที่อยู่ตรงหน้าแล้วเดินอย่างใจเย็นไปยังเคาเตอร์ ฉันพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะฉันไม่อยากให้อักษรรู้สึกกังวลไปด้วย
“ทั้งหมด3550บาทค่ะ” ฉันไม่รู้สึกแปลกใจเลยกับราคาสินค้าที่แพง สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือใช้บัตรสมาชิกลดแล้วควักเงินในกระเป๋าตังค์จ่ายหล่อนไป
“เรียบร้อยแล้ว” ฉันเข้ามาบอกอักษรที่ยืนรออยู่หน้าร้าน
“ออ ครับ” เขาทำท่าทางแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เราเดินทอดน่องไปยังที่รอขึ้นเครื่อง เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยจนกระทั่งอักษรเริ่มต้นก่อน
“คุณลิซ่าไปประเทศไหนมาแล้วบ้างหรือครับ”
“เกือบจะทั่วโลกแล้วล่ะ เริ่มจากอิตาลีแล้ววนไปด้านซ้ายของแผนที่โลก”
“วนไปด้านซ้าย...แบบนี้ก็ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยน่ะสิครับ ละ..แล้วสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องบินด้วยนี่ครับ”
“ถูกต้องแล้วล่ะ”
“ล่ะแล้วคุณ..ทำยังไงหรือครับ นั่งเรือหรือครับ?!” อักษรทำหน้าเหวอ
“ใช่...ฉันนั่งเรือกับโจรสลัด จริงๆตอนแรกฉันแฝงตัวกับพวกทาสที่พวกนั้นจับมาแล้วฉันก็ไปตีสนิทกับกัปตันเรือให้ไปส่งที่เขตแดนอเมริกาในปัจจุบัน”
“ยะ..ยอดเลยนะครับแบบนั้นน่ะ...”
“อย่าให้ฉันเล่นทั้งหมดเลย เล่าเป็นเดือนก็คงไม่หมดหรอกการเดินทางของฉันน่ะ”
“นั่นสินะครับ ก็นั้นมันตั้ง...400กว่าปีเลยใช่มั้ยล่ะครับ”
“อืม...ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่ามันผ่านมานานขนาดนั้นแล้ว แต่ก็กลับมีเรื่องให้ทำอยู่ตลอดเลยนะ”
ฉันถอนลมหายใจ แล้วอักษรก็ดูท่าทางสนอกสนใจมากทีเดียว
“คุณลิซ่าอยู่ประเทศนึงเฉลี่ยแล้วประมาณกี่ปีถึงเดินทางต่อหรือครับ”
“จนกว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาน่ะ ตลอดมาฉันก็พยายามหาประเทศเพื่อตั้งฐานให้เป็นหลักเป็นแหล่ง แต่ว่าฉันก็ต้องย้ายออก ส่วนมากก็เป็นเพราะ..สงครามไม่ก็ถูกขับไล่ออกไป..”
“ถูก..ขับไล่หรือครับ?”
“ถึงจะผ่านสงครามโลกมาแล้วแต่การล่าแม่มดก็ไม่สิ้นสุด”
“พวกเขาตามล่าคุณหรือครับ พวกล่าแม่มด...”
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขายังตามล่าฉันอยู่หรือเปล่า แต่ว่าจากตอนนั้นก็ผ่านมาตั้ง80กว่าปีแล้ว พวกเขาคงสลายตัวกันไปแล้วล่ะมั้ง หวังว่านะ”
“ถ้าพวกนั้น..กลับมา คุณลิซ่าจะทำยังไงหรือครับ”
คำถามของเขาทำให้ฉันหยุดคิดพักหนึ่ง สายตาของฉันมองตำ่ไปยังพรมของสนามบินสีเนวี่
“ฉันก็คง..ต้องออกเดินทางต่อ ก็ต่อเมื่อพวกเขาหาฉันพบล่ะนะ”
คำตอบของฉันถูกกลืนลงไปในความเงียบ อักษรไม่ได้ถามอะไรฉันอีกและฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาทำหน้ายังไง เพราะสายตาของฉันมองตรงไปเพียงด้านหน้าอย่างเดียว
ตลอดมา400กว่าปีนี้ ฉันเจอกับผู้คนมากมายนั้นทำให้ฉันได้เข้าใจอะไรหลายอย่าง ว่าการมีความสัมพันธ์กับคนอื่นก็มีแต่จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย ใช่แล้วล่ะ...เมื่อเวลานั้นมาถึงฉันก็จะไป...ก็เหมือนกับทุกๆทีเป็นเรื่องปกติ
ฉันเดินนำจนมาถึงที่ตรวจตั๋วครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องบิน เมื่อผ่านด่านสุดท้ายแล้วเราก็เข้าไปนั่งในเครื่องชั้น business
ที่มันกว้างกว่าปกติถึงฉันอยากจะนั่ง first class แต่ฉันก็ไม่ค่อยชอบพวกคนรวยสมัยนี้ซักเท่าไร
“รับเครื่องดื่มอะไรมั้ยคะ”แอร์โฮสเตสถามฉันหลังจากที่เธอเดินถามประโยคเดิมกับผู้โดยสารคนอื่นมากว่าสิบคน
“เอาเป็นเอิร์ล เกรย์ก็แล้วกันค่ะ”
“ค่ะ สักครู่นะคะ” หญิงคนนั้นจดรายการและหันกลับไปหาอักษรที่นั่งอุดๆอู้ๆอย่างเกร็งๆที่อยู่ถัดจากฉัน
“แล้วคุณผู้ชายล่ะคะ จะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
“เอ่อ..ผม...”เขาพูดตะกุกตะกัก
“แค่โกโก้ร้อนซักแก้วก็พอแล้วล่ะ”
“ค่ะ รับทราบค่ะ”
ทันทีที่แอร์โฮสเตสเดินออกไปอักษรก็ถอนหายใจเหือกใหญ่
“ขอบคุณนะครับคุณลิซ่า ถ้าไม่ได้คุณลิซ่าช่วยผมคงแย่แน่เลย”
“อะไรของนายน่ะ ทำอย่างกับว่านั่งชั้นbusinessครั้งแรกอย่างนั้นแหละ”
“ก็ครั้งแรกน่ะสิครับ โธ่...”
“เฮ้ย!!ล้อเล่นปะเนี้ย”ฉันระเบิดหัวเราะอย่างไม่อยากเชื่อ เขามีพ่อเป็นวาทยากรชื่อดังแท้ๆ เขาต้องรวยจนนั่งแม้แต่ first classได้ด้วยซำ้
“ก็เพราะว่าครอบครัวของผมไม่ได้รวย...ถึงขนาดนั้นยังไงล่ะครับ...”
คำพูดของอักษรแทบทำให้ฉันกลืนเสียงหัวเราะแทบไม่ทัน เอาเข้าจริงๆฉันไม่ค่อยรู้เรื่องของเขาเลยถึงแม้ว่าจะทำงานด้วยกันมาเป็นเดือนๆแล้วก็ตาม
“ขอโทษที”ฉันพูดด้วยเสียงเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงตอนนี้หนี้ของพ่อก็ถูกชำระไปหมดแล้ว และ...ผมก็คงจะได้พาแม่ สีฟ้า แล้วก็สีครามไปเที่ยวต่างประเทศอีกครั้งนึงได้แน่ครับ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกๆครั้งที่เขายิ้ม ฉันมองมันด้วยหางตาก่อนจะถอนหายใจ
“นายนี่..น่าอนาจจริงๆเลยนะ เอาเป็นว่าในฐานะหัวหน้ามีปัญหาอะไรอีกก็บอกฉันก็แล้วกัน”
“ครับ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ฉันรู้สึกอะไรบางอย่างข้างใน เป็นความรู้สึกห่วงใย...ล่ะมั้ง นานมากทีเดียวที่ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็คงไม่สามารถให้มันเกินเลยได้ ฉัน...จะเป็นห่วงหมอนี่มากไม่ได้ ฉันต้องเตรียมตัวสำหรับการเดินทางอยู่ตลอดเวลา...
ฉันมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยเมฆสีขาวและมีสีส้มแซกมาจากดวงอาทิตย์ ฉันพยายามเคลียร์หัวให้ว่างเพราะทันทีที่เครื่องลงที่ออสเตรียก็คงมีเรื่องมากมายที่ฉันต้องคิดอีกมากแน่
เพียงแต่สองชั่วโมงเราก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนาแต่กว่าจะออกมาจากสนามบินได้ก็กินเวลาไปถึงสี่โมงเย็นแล้ว ฉันบินบิดขี้เกียจหลังจากที่หลุดออกมาจากตรวจคนเข้าเมืองมาได้
“อักษรเร็วเข้าสิ เรายังต้องหาโรงแรมนอนกันอีกนะ”
“คร้าบบบบ”เขาพูดเสียงหอบพร้อมๆกับกระเป๋าลากและกระเป๋าถือมากมายเต็มมือ “คุณลิซ่าครับ อย่างน้องก็เอากระเป๋าลากของคุณไปหน่อยได้มั้ยล่ะครับ”
“หยุดบ่นน่า”ฉันเดินฉับๆนำเขาไปหาคนรู้จักที่ฉันเคยซี้ก่อนที่จะย้ายมาที่เมืองไทย “อะ ซิสเตอร์”
“คุณลิซ่า ยังเหมือนเดินเลยนะ” หญิงแก่วัย80ขึ้นมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้ม เธอคือซิสเตอร์ของโบสถ์ที่ฉันมาขออาศัยเป็นประจำตอนที่มีงานที่ต้องทำที่นี่ ทำให้เธอรู้เรื่องของฉันดีทีเดียวและรู้เรื่องที่ฉันถูกตามล่าด้วย
“แล้วนั้นใครหรือ”
“สวัสดีครับ ผะ..ผมชื่ออักษรครับ”
“ขอโทษที่ต้องให้พูดภาษไทยนะคะ เพราะเขาไม่ค่อยคล่องภาษาอังกฤษน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็ถือซะว่าเป็นการฝึกภาษาของฉันก็แล้วกัน”
เรานั่งรถตู้ของคณะโบสถ์เพื่อไปยังโบสถ์เซนต์จอห์นที่เป็นโบสถ์เล็กๆที่ออกไปทางชนบทและห่างจากเวียงนามากทีเดียว
“ครั้งนี้มีเรื่องอะไรอย่างนั้นรึ”
“มีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นค่ะ แต่ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ ถ้าเป็นไปได้ช่วยอธิบายสัญลักษณ์นี้ทีได้มั้ยคะ”
ฉันวาดภาพสัญลักษณ์แกะที่มีกางเขนและยื่นสมุดเล่มเล็กนี้ให้กับซิสเตอร์
“Agnus Dei หรือ Lamb of God อยากรู้เกี่ยวกับอะไรล่ะ”
“สำหรับชาวคาทอลิคแล้วมันมีความหมายอะไรลึกซึ้งอย่างนั้นเหรอ”
“การมีชัยชนะเหนือความตายอย่างไรล่ะ”
“ชัยชนะ..เหนือความตาย?”
“การฟื้นคืนขององค์เยซูตามพระคำภีร์ ลูกแกะพระเจ้า ผู้ลบล้างบาปของโลกจากพระวรสารจอห์นแปปติสถ์ ได้บอกว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร และอะไรคือพันธกิจของพระองค์”
“เพื่อนำทุกคนให้กลับไปหาพระเจ้า พระผู้สร้าง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและเป้าหมายสุดท้าย...ของพวกเรา”
เมื่อทบทวนหลายอย่างให้ดีๆความหมายที่แท้จริงของพวกลัทธินี้ เหมือนจะเป็น...
“นี่มัน...บ้าชัดๆ...”ฉันบ่นออกมาและรู้ด้วยว่าสีหน้าของฉันคงแย่มากโดยไม่ต้องส่องกระจก
“อะไรอย่างนั้นหรือครับคุณลิซ่า” อักษรถามเมื่อสังเกตเห็นท่าทางของฉัน
“ถ้าจะให้พวกเรากลับไปหาพระเจ้า...เราจะต้องทำยังไง..”ฉันถามย้อนไปหาอักษร เขาทำหน้างงๆก่อนจะครุ่นคิด
“เราก็แค่กลับใจไปเชื่อพระเจ้าไงล่ะครับ”
“ใช่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของวิถีคริสต์เตียน แต่ยังมีส่วนสำคัญอยู่”
“ส่วนสำคัญ?”เขาครุ่นคิดก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกกว้าง “อย่าบอกนะครับว่าการฆ่าตัวตายพวกนี้ก็คือ...การกลับไปหาพระเจ้าของพวกนั้นน่ะ”
“หรือไม่ก็เป็นการเอาชนะความตายอย่างที่พระเยซูทรงทำได้”ซิสเตอร์พูดแล้วจากนั้นก็มองมาที่ฉัน “หรือแม้แต่การแก้แค้น..”
คำพูดของเธอทำให้ฉันอึ้งปนกับไม่อยากเชื่อ เมื่อนึกถึงชื่อนั้นทีไรความรู้สึกหนาวไปทั่วก็กระจายไปทั่วร่างกาย
“นี่...เป็นฝีมือของพวกนั้นงั้นเหรอ...”
“คุณลิซ่าครับ?”
“ลัทธิคลั่งศาสนาที่เคยก่อโศกนาฏกรรม พวกเขาเรียกตัวเองว่าคณะปฎิวัติ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเผาทำลายโบสถ์ของศาสนาอื่นหรือแม้แต่คริสถ์นิกายอื่นก็ตาม”
“ผม..ไม่เคยได้ยินเกียวกับพวกเขาเลย”
“เป็นคดีเล็กๆที่เกิดขึ้นที่ชนบทของนิวซีแลนน่ะ ประมาณ90ปีก่อนได้ล่ะมั้ง ฉันก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะยังอยู่นะ”
“พวกเขาทำ..เพื่อแก้แค้นคุณลิซ่าอย่างนั้นเหรอครับ”
“ถ้าพวกเขาจะแก้แค้นพวกเขาก็คงกลายเป็นผีกันหมดแล้วล่ะ แต่ฉันก็ไม่เชื่อว่าวิญญาณจะฆ่าคนได้หรอกนะ นอกจาก...”
และแล้วฉันก็เข้าใจ เข้าใจตัวตนของต้นเหตุและเรื่องทั้งหมดนี้ ฉันลุกขึ้นและตะโกนไปยังคนขับรถ
“เราต้องกลับไปที่เวียงนา เราจะต้องไปที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ”
“What?” ฉันตกใจจนเพลอลนจนพูดภาษาไทยออกไป ฉันรีบรวบรวมสติก่อนที่จะรีบเดินไปหาเขา
“We have to go to Kunsthistorisches Museum right now!!”
“What do ya mean?We gonna…”
“Just do what I say!!!!”
แล้วทันใดนั้นรถตู้ก็วิ่งเร็วขึ้นและเลี้ยวกลับอย่างรวดเร็วจนตัวของฉันถึงกับล้มตุ๊บลงที่เบาะที่อยู่ด้านหลังคนขับพร้อมๆกับเสียงร้องตกใจของอักษรและซิสเตอร์ผู้ติดตาม
“คะ..คุณลิซ่าครับ ไหนว่าจะไปที่พิพิธภัณฑ์นั่นพรุ่งนี้ไงล่ะครับ”
“มาเรียนำทางพวกเรามาที่นี่ พวกนั้นถึงได้เล็งเป้าหมายไปที่เธอ ที่นั่นต้องเก็บอะไรเอาไว้แน่ อะไรบางอย่างที่เราจะหยุดพวกนั้นได้...”
แป๊น แป็น แป๊นนนน!!
เสียงบีบแตรรถดังสนั่นไปทั่วถนนเมื่อเริ่มเข้าตัวเมือง เสียงหว๋อของรถตำรวจเองก้เริ่มตามเรามาเป็นโขยง ซิสเตอร์ที่นั่งคาดเข็มขัดอยู่ด้านหลังได้แต่อธิฐานต่อพระเจ้า
“นั่นใช่มั้ยครับคุณลิซ่า” อักษรชี้ไปทางอาคารที่ประดับประดาด้วยความงดงามและสวยอย่างกับพระราชวัง แต่ฉันก็ไม่ได้ยลความงามนั้นมากเท่าที่ควรเพราะฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ
“อักษรเราลงกันเลยเถอะ”
“คะ..ครับ” ฉันเปิดประตูรถแล้วแทบจะกระโดดลงในทันที ฉันวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ตรงหน้า แต่ว่าการวิ่งเป็นสิ่งที่ฉันเกลียดและแย่ที่สุดเลย
“คุณลิซ่า ขอโทษนะครับ”
“อะไร ว้ายยย!!”ชั่วอึดใจเดียวเขาก็ช้อนตัวของฉันขึ้นมาอุ้มและเริ่มวิ่งตรงไปที่นั่น ฉันได้แต่มองหน้าเขาด้วยความงุนงงและประหลาดใจ แต่พวกนั้นก็ไม่ได้ทำให้ฉันหายกังวลกับสังหรไม่ดีที่ฉันรู้สึกได้เลย
เพียงไม่ถึงสิบนาทีเราก็มาถึงด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ทะยอยกันกลับ อักษรที่เหงือท่วมตัววางฉันลงก่อนจะนั่งลงกองกับบันไดของพิพิธภัณฑ์
“โทษทีนะอักษร”
“แค่นี้...สบายมากครับ แฮะๆๆ ยังไงเราก็มาทันก่อนพิพิธภัณฑ์ปิดละกันครับ”เขาพูดไปหอบแฮ่กไป
“ใช่ เรามีเวลาถึงสองชั่วโมงที่จะสำรวจที่นี้โดยไม่ต้องเสี่ยงอะไร แต่ถ้ามันไม่เกิดอะไรขึ้นตอนนี้ เราก็ต้องอยู่เฝ้าที่นี่ต่อ”
“อะ...อะไรนะครับ อยู่เฝ้าที่นี่?”
“ฉันรู้สึกว่าพวกนั้นต้องลงมือตอนกลางคืนแน่ เหยื่ออาจเป็นมาเรียไม่ก็คนในพิพิธภัณฑ์นี่แน่”
“บะ..แบบนั้น...แบบนั้นมันผิดกฎหมายนะครับ ถ้าเราถูกจับได้ล่ะ”
“ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นใคร อักษร”
เพียงพูดคำนั้นออกมาเขาก็เงียบกริบและเข้าใจได้ทันที ฉันเป็นแม่มดฉันจะทำอะไรก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่อยากใช้พลังสุ่มสี่สุ่มห้าในสถานการณ์แบบนี้เท่าไรนัก
“ถ้าเราโชคดี ภายในสองชั่วโมงนี้เราอาจจะได้เจอกับมาเรียก็ได้ เมื่อเจอเธอแล้วเราก็จะพาเธอกลับไปด้วย แต่ว่า...ถ้าเราโชคดีล่ะนะ”
อักษรจ้องมองฉันที่ยืนหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาทาง เขาลุกขึ้นแล้วแล้วสูดลมหายใจ
“ที่คุณลิซ่าบอกว่าจะปกป้องผมน่ะ...ผมขอไม่รับการปกป้องนั้นนะครับ”
“เอ๋?”ฉันหันกลับมาเงยหน้ามองอักษรที่สูงกว่าฉันกว่าสิบเซ็น ฉันพูดด้วยความขุ่นเครือ “ที่พูดหมายความว่าไง นายจะบอกว่าจะเป็นคนปกป้องฉันแทนงั้นเหรอ”
เขาเงียบไปเหมือนกับว่าฉันอ่านความคิดของเขาแล้วทั้งที่ฉันไม่ได้ทำ
“ครับ คุรลิซ่าต่างหากที่ควรเป็นคนที่ถูกปกป้อง ผม..จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยคุณครับ” คำพูดของเขาเสียดแทงเข้าไปกลางอกของฉัน คำพูดนี้อีกแล้วไม่ว่าใครที่ฉันสนิทด้วยก็พูดแต่คำนี้ หรือแม้แต่เขา...
“ไม่มีใคร...ปกป้องฉันได้หรอกน่า” นำ้เสียงของฉันเบาจนแทบเหมือนกระซิบ
“คะ..ครับ?”
“รีบไปกันเถอะ เราเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ฉันชิงตัดบทและเดินฉับๆไปยังแผนที่พิพิธภัณฑ์ที่วางอยู่ข้างเคาเตอร์จ่ายเงินค่าเข้าชม ฉันหาตำแหน่งของภาพเจ้าหญิงมาร์การิตา เทเรซาในชุดสีน้ำเงินซึ่งน่าจะเป็นตำแหน่งที่มาเรียจะรอเราอยู่ด้วย
ฉันเดินนำอักษรไปตามห้องโถงที่สวยงามและมีภาพเขียนมากมายเรียงรายอยู่มากมาย ไม่แปลกเลยที่เขาจะดวงตารุกวาวกับภาพพวกนั้น
“ยอดเลยนะครับที่นี่ ผมฝันมานานแล้วที่จะมาดูภาพพวกนี้แบบใกล้ๆซักครั้ง”
“นายได้ดูแน่หลังจากที่งานของเราจบลง เอ๊ะ...”
แล้วฉันก็เห็นวิญญาณของชายแก่ที่ขาของเขาถูกล่ามด้วยโซ่ขนาดใหญ่ เขาน่าจะเป็นนักโทษเมื่อหลายศัตวรรษก่อน เขาชี้มาที่ทางฉันพร้อมกับพูดบางอย่างสำเนียงออกออสเตียน
“เจ้า...ซาโลเม...คนบาป...”
“ซาโลเม?” แล้วภาพความทรงจำของเขาก็พุ่งเข้ามา
ฉันพบตัวเองเข้าไปยังเหตุการณ์ตัดสินประหารชีวิตโดยการตัดหัวของชายคนนั้น ฉันนั่งลงที่ที่นั่งพยานใส่ชุดสวยหรูเหมือนเป็นคุณหนูผู้สูงศักษ์ในสมัยนั้น ถ้าเดาเวลาคราวๆก็คงหนีไม่พ้นศัตวรรษ์ที่17-18
“เจ้าพบความผิดฐานลบหลู่ศาสนาและยังกระทำให้หญิงคนนี้เสื่อมเสียใช่หรือไม่”
“ทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริง...”ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงแหบแห้งและสั่นสะท้าน ไม่ต้องสังเกตก็รู้ได้เลยว่าเขาถูกทรมาณมาอย่างหนักก่อนที่จะเข้าห้องสืบสวนอีกครั้ง
“เจ้าเป็นบาทหลวงแต่กลับทำผิดศีล ไม่เชื่อฟังคำสอนของพระเป็นเจ้าใช่หรือไม่”
“ไม่จริง พ่อ...ไม่ได้..ทำ”
“เจ้าคบค้ากับซาตาน ทำยาพิษให้ชาวบ้านและหลอกพวกเขาว่าเป็นพรจากพระเป็นเจ้าใช่หรือไม่”
“พ่อ..ไม่ได้ทำ...”
เป็นการสอบสวนที่ไม่มีมูลเหตุเหมือนๆกับการล่าแม่มดที่ฉันเคยเจอ เขาถูกใส่ร้าย...
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมรับ เจ้าไม่มีหลักฐานที่จะมาหักล้างความผิดนี้”
“เพราะว่านางโกหกไงล่ะ!!อาจารย์ของพวกเราไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่” กลุ่มชายในชุดของบาทหลวงชี้มาที่ฉันที่นั่งอย่างสง่างาม ฉันพูดกลับไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ดิฉันพูดความจริงและมีหลักฐานพร้อม ชายคนนี้เป็นพระปลอมและเลวทราม ศาลโปรดตัดสินประหารเขาเถิด”
“เจ้า!!!!” บาทหลวงหนึ่งในนั้นระเบิดอารมณ์ออกมาแต่ก็ได้เพื่อนๆของเขาช่วยระงับความโกรธของเขาเอาไว้ ชายแก่พูดอย่างเหนื่อยอ่อน
“พอเถิด...พ่อเหนื่อยแล้ว หากพระเจ้าต้องการให้พ่อหยุด พ่อก็จะหยุด....” เขาสูดลมหายใจลึก “พ่อ...ยอมรับทุกข้อกล่าวหา..”
“อาจารย์!!!!”
“ถ้าเช่นนั้นในรุ่งสาง เขาจะถูกตัดหัวต่อหน้าประชาชนและครอบครัวเพื่อไม่ให้ผู้ใดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง จบเพียงเท่านี้”
“อาจารย์!!!!”เหล่าลูกศิษย์วิ่งกรูไปหาอาจารย์ของตน เขาถูกทหารรวบตัวอีกครั้งและตอนนั้นเองที่เราได้สบตากัน
“ขอพระเจ้าอภัยแก่หญิงผู้โง่เขลาผู้นี้ด้วยเถิด...”
“คุณลิซ่าครับ”
“อะ??”เสียงเรียกชื่อของอักษรปลุกให้ฉันออกมาจากนิมิตของชายนักโทษคนนั้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ รู้เรื่องอะไรเพิ่มแล้วหรือครับ”
“ซาโลเม....”
“ครับ?” เขาทำหน้างงเหมือนทุกๆที บางทีมันก็น่ารำคาญที่เขาไม่เคยคิดอะไรได้เองเลย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นแค่มนุษย์
“ชื่อของหญิงคนหนึ่ง เมื่อกี้ฉันได้รับความทรงจำของการตัดสินคดีบางอย่างของบาทหลวง หญิงคนนั้นเหมือนจะยัดข้อหาใส่เขา”
“ยัดข้อหาใส่บาทหลวงแบบนี้มัน...”
“โหดร้ายสินะ แต่ว่ามันก็เกิดขึ้น...โดยไม่มีแม้แต่การสำนึกผิด บางทีนี้อาจจะเป็นการแก้แค้นอย่างที่ซิสเตอร์ว่า ช่างเป็นอะไรที่ธรรมดาจริงๆ”
“ธรรมดาอะไรกันครับ”เขาพูดด้วยนำ้เสียงไม่พอใจ
“แรงจูงใจในการฆ่าไงล่ะ จะตายไปแล้วหรือไม่ตาย ถ้ายังมีกิเลสและบาปอยู่ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น”
อักษรมองลงตำ่เหมือนไม่เห็นด้วย ใช่...สำหรับเด็กแบบเขาหรือคนทั่วไปย่อมมองเรื่องนี้เป็นเรื่องโหดร้าย เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าจะทำกันง่ายๆ แต่สำหรับฉันแล้วมันเหมือนปกติ
แล้วในที่สุดเราก็มาถึงภาพเจ้าหญิงมาร์การิตา เทเรซาในชุดสีน้ำเงิน ตรงนั้นมีหญิงคนหนึ่งในชุดสีนำ้เงินกับหมวกปีกใหญ่ยืนมองภาพนี้อยู่ ฉันเลยรีบเข้าไปหาเธอ
“มาเรีย...” ฉันเรียกชื่อของเธอ แล้วเธอก็หันมาพร้อมกับรอยยิ้มบาง
“คุณลิซ่า..ในที่สุดเราก็ได้พบกัน”แล้วเธอก็หันไปยังอักษรที่ยืนอยู่ข้างๆฉัน “ขอเราคุยกันตามลำพังจะได้มั้ยคะ คุณอักษร”
“เอ๋? เอ่อ..”
“ดูลาดเลาให้ที ฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นจะโผล่มาตอนไหน”
“เออ..ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อักษรยอมออกจากบริเวณนั้น แล้วฉันก็เริ่มพูดด้วยความหงุดหงิดและสับสน
“เธอ..อย่าบอกนะว่า...เธอเป็น..”
“ค่ะ อย่างที่คุณคิด ฉันทำสัญญากับปีศาจ...”
“ยัยโง่...” ถ้าเธอบอกว่าเธอเป็นแม่มดขาวยังน่าดีใจกว่า แต่ถ้าเธอไม่ขายวิญญาณเธอก็คงอยู่ไม่ได้จนถึงตอนนี้หรอก “ทำไม...เธอถึงทำ”
“หลังจากที่คุณไป เรื่องมากมายก็เกิดขึ้นค่ะ มันก็เพียงแค่ว่า..ฉันไม่อยากตาย...ก็เท่านั้น”
“แล้วยังไง เธอจะมาฆ่าฉันแบบที่คนอื่นพยายามทำงั้นเหรอ”
เธอส่ายหน้า เอามือกอดอกเหมือนกับว่าอึดอัดกับสิ่งที่เธอเป็นในตอนนี้
“ฉัน...ไม่เคยฆ่าใคร...และจะไม่ฆ่า”เธอหยุดกลืนนำ้ลายแล้วมองมาที่ฉัน “นั้นทำให้ฉันหมดประโยชน์..”
“พวกปีศาจหรือแม่มดคนอื่น..ต้องการจะฆ่าเธองั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ พวกเขาไม่สนใจฉันเลย คนที่จะฆ่าฉันก็คือคนพวกนั้น...ลัทธิล่าแม่มด”
“ลัทธิล่าแม่มดงั้นเหรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการฆ่าตัวตาย เกี่ยวอะไรกับพวกคณะปฎิวัติ??”
“สิ่งที่คุณเผชิญไม่ใช่แค่ผู้คนที่หลงผิด แต่เป็นคนที่ถูกชักจูงโดยซาตาน พวกเขาจะไม่หยุดแน่”
“แล้วใบประกาศที่ถูกติดไว้ล่ะ วันอาทิตย์ที่29 สิงหาคมนี้”
“พวกเขาจะประกาศตนด้วยโศกนาฎกรรม”
“การ...สังหารหมู่งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่การสังหาร แต่เป็นการฆ่าตัวตายหมู่...โดยบรรดาผู้ที่เชื่อ ศูนย์กลางคือสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย นั่นหมายความว่าไทยจะเป็นที่แรก จากนั้นก็จะไปยังประเทศอื่นๆ ถ้าเธอสามารถหยุดเรื่องทั้งหมดได้แน่”
“เธอรู้ได้ยังไง...เรื่องทั้งหมดนี่”
“เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แม่มดที่ทำสัญญากับซาตานจะต้องเพิ่มสาวก เพิ่มผู้หลงผิด...ฉันขอโทษนะ”
เหมือนเดิมเลย...แม่มดดำทุกตนแทบจะมีชะตากรรมที่เหมือนวงจรอุบาท เหมือนกับอานาตเซีย...หรือแม่มดตนอื่นๆที่ฉันพบเจอมาตลอด
“มาเรีย...”ฉันพยายามเรียกชื่อของเธอ แต่แล้วบรรยากาศก็กลับเย็นยะเยือกทำให้ฉันเสียวสันหลัง บรรยาการณ์ที่ไม่ได้สัมผัสมานาน พวกปีศาจ...
“วิญญาณของคุณเป็นที่โปรดปรานมาก การที่คุณอยู่กับฉันนานมากเท่าไร พวกเขาก็จะรู้ตัวคุณได้ง่ายขึ้น พวกเขาต้องบอกเรื่องนี้แน่”
“บอก? บอกใครกัน”
“ลัทธิล่าแม่มด คุณต้องไปแล้วไปยังที่ๆพวกเขาหาคุณไม่เจอ”
“แล้วเธอล่ะมาเรีย เธอกลับไปกับพวกเราเถอะ ตอนนี้ก็ยังทันนะ”
มาเรียส่ายหน้า มันทำให้เลือดในหัวของฉันแทบแตก
“นังบ้า!!!เด็กโง่ ฉันบอกให้เธอมากับฉันไงล่ะ จะให้ฉันเห็นคนตายเพิ่มอีกกี่คนกันแน่!!!”
ฉันตะโกนอย่างเหลืออดอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน ตรงหน้าของฉันคือเด็กหญิงที่ฉันเคยวาดภาพให้และยังเป็นเหมือนน้องสาวที่น่ารักของฉัน ฉันทนที่จะต้องกลั่นนำ้ตาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“เร็วเข้า ก่อนที่พวกนั้นจะมา” ฉันดึงข้อมือของเธอ แต่เธอก็กลับไม่ขยับเขยื่อนไปตามที่ฉันบังคับ
“ฉันทำไม่ได้หรอก ไปฉันก็ตาย ไม่ไปฉันก็ตาย ฉันรู้ดี...แต่อย่างน้อยฉันก็อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อเธอ ฉันถึงได้ล่อเธอมาที่นี่ ไปซะแล้วรีบกลับไป...”
“มาเรีย!!!”สิ้นเสียงเรียกของฉัน มาเรียก็ทำให้ฉันสลบไป
………….
………
…..
…
“มาเรีย!!!”
ฉันตะโกนชื่อของเธอ ตัวของฉันเด่งชึ้นมา รอบๆตัวฉันคือห้องนอนใต้หลังคาที่คุ้นเคย มันคือโบสถ์ในชนบทที่ตอนแรกเราจะมาพักที่นี่ก่อน แต่ว่าเราก็เปลี่ยนเส้นทางและ....
“อะ คุณลิซ่าตื่นแล้วหรือครับ” อักษรเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถาดใส่อาหาร มันทำห้ฉันรู้ในทันทีว่านี่เช้าแล้ว
“เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น”
“เราอยู่กันจนหกโมงเย็นที่พิพิธภัณฑืปิดแถมยังไม่มีอะไรผิดปกติด้วย ผมเลยวกกลับไปหาคุณ แต่ก็กลับเห็นคุณนอนสลบไปครับ หล่อนคงไม่ได้ทำอะไรคุณ...”
“เธอไม่ใช่คนพวกนั้นนะ!!!”ฉันเผลอตวาดใส่เขาจนเขาสะดุ้งโหยง แล้วความเงียบก็กัดกินยามเช้าอันสดใสนี้
“ขอโทษนะ...”
“ไม่เป็นไรครับ”เขายิ้มแล้ววางอาหารเช้าบนโต๊ะข้างเตียง “พักผ่อนเถอะครับ ถ้ามีอะไรก็เรียกผมได้เลยนะครับ”
“….อักษร” ฉันจับชายเสื้อของเขา “ขอบคุณมากนะ สำหรับทุกๆอย่างเลย แต่ว่าฉันไม่อยากให้นายเป็นห่วงฉันมากจนเกินไป” เขาเดินไปยังประตูไม้เก่าๆนั่น ก่อนที่จะหันมาบอกคำพูดสุดท้ายกับฉัน
“กลัวผมจะเสียใจอย่างนั้นเหรอครับ การที่ผมทำงานร่วมกับคุณน่ะ”
“…”
“ไม่ต้องทำเป็นเข็มแข็งอยู่ตลอดเวลาหรอกนะครับ ถ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเลย”
และแล้วเขาก็ปิดประตูห้อง ปล่อยให้ฉันอยู่กับตัวเองในห้องแคบๆนี่
นำ้ตาของฉันก็ไหลอาบแก้มของฉัน ฉันสะอื่นอย่างหายใจไม่ออก ไม่รู้ว่านี่มันกี่ร้อยปีแล้วที่ฉันพยายามกลืนนำ้ตาตัวเองเอาไว้ เพื่อแสดงว่าฉันเก่ง ฉันยอดเยี่ยมไปซะหมด จริงๆแล้ว...ฉันมันโง่ซะยิ่งกว่าโง่เสียอีก
“วิล...วิลเลียม...”ฉันเรียกชื่อของเขา ซำ้ๆซำ้ๆ
“ฉันคิดถึงเธอ...”
ผ่านชั่วเวลาที่ยากลำบากมาแล้วฉันก็ทานอาหารเช้าและเปลี่ยนชุดแต่งหน้า ฉัน...จะมัวกลัวอยู่ไม่ได้ ฉันจะต้องสู้..
“อะ..คุณลิซ่า?”เขามองหน้าฉันอย่างงงๆกับท่าทางที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของฉัน
“รีบไปอ่าบนำ้เปลียนชุดได้แล้ว เราจะต้องไปทำงานกันต่อนะ”
แล้วใบหน้าอันงุนงงของเขาก็พลันเปลี่ยนสี
“ครับ รอแป๊ปนึงนะครับ”
ใช่แล้วล่ะ...ฉัน..ต้องทำงานให้เสร็จ ต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ