บันทึกปริศนา เรื่องลี้ลับของลิซ่า

7.7

เขียนโดย Jabberwocky

วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.29 น.

  11 ตอน
  1 วิจารณ์
  13.05K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2559 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) หญิงในชุดขนสัตว์สีนำ้เงิน(ภาพลางมรณะ)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วี้ว่อ วี้ว่อ วี้ว่อ!!

เสียงหว้อรถตำรวจดังไปทั่วพื้นที่แถวนั้น พอๆกับเสียงดังของผู้คนแถวนั้นที่พูดคุยกันถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“นั้นไง อยู่ตรงนั้น”หนึ่งในไทมุงชี้นิ้วของเธอขึ้นไปบนฟ้า

“ขอทางด้วยครับ”

“นี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ถอยห่างจากบริเวณนี้ด้วยครับ”

สารวัตรเมธีจอดรถกระทันหันและพวกเราก็กระโดดลงจากรถเพื่อไปยังที่แห่งนั้น ทันทีที่ตำรวจคนหนึ่งสังเกตเห็นพวกเราก็รีบวิ่งมาทันที

“สารวัตรครับ”

“ฉันพึ่งผ่านมาที่นี่ เกิดอะไรขึ้น”

“ผู้ชายคนนั้นพกอาวุธปืนและก่อความวุ่นวายจนมีเหตุฆาตกรรมขึ้นในตึกครับ ตอนนี้ทั้งคนของเราและยามประจำตึกกำลังช่วยกันพังประตูเข้าไปควบคุมตัวครับ”

“ไม่ใช่การพยายามฆ่าตัวตายสินะ”

“เหตุการณ์ยังไม่ชัดเจนครับ”แล้วตำรวจคนนี้ก็ได้รับสายจากเครื่องสื่อสาร

“รายงานสถานะการครับ เปลี่ยน” เสียงดังจากเครื่องสื่อสารจนเราได้ยิน

“พังประตูเข้าไปได้แล้วใช่มั้ย เปลี่ยน”

“ครับ ชายคนนี้คือเจ้าของห้างนี้แหละครับ เขามีอาวุธปืนและตัวประกันเด็กหญิงอีกหนึ่ง ดูเขากลายเป็นบ้าไปแล้วครับ เปลี่ยน” แล้วจากนั้นสารวัตรก็แย่งเครื่องสือสารจากมือของเขา

“นี้สารวัตรเมธี ยื้อเป้าหมายเอาไว้ไม่ให้ก่อเหตุไปมากกว่านี้ ผมจะตามขึ้นไป” แล้วเขาก็คืนเครื่องให้กับเขา “เรียกหน่วยกู้ภัยมาประจำการให้เรียบร้อย เผื่อเกิดการพลัดตกหรืออะไรก็ตามเกิดขึ้น”

“ครับผม!!”

“พวกเราก็รีบไปกันเถอะ”

 

พวกเราฝ่าคนมากมายที่เคยมาเที่ยวห้างอย่างสบายใจไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว พวกเขาแตกตื่นและวิ่งกรูกันมาที่ทางออกที่เล็กอย่างกับรูมด

“ขอโทษนะครับ” ผมไม่รู้จริงๆว่าผมเหยียกเท้าใครหรือเหยียบศพใครไปบ้าง ผมได้แต่บอกตัวเองให้ฝ่าไปที่บันไดเลื่อนที่หยุดทำงานนั้นให้ได้เพราะในสถานการณ์แบบนี้ลิฟถ์มักจะใช้งานไม่ได้ เหมือนกับว่ามันจะมีเหตุการณ์ไฟไหม้มาเกี่ยวด้วย

“คุณลิซ่า ไหวมั้ยครับ”ผมหันไปหาเธอที่อยู่ด้านหลังผม เธอเป็นคนที่วิ่งช้ามากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา

“ถ้ารู้แบบนี้ คงไม่แต่งชุดนี้มาหรอก เสียดาย”เธอก็ยังดูไม่ค่อยทุกข์ร้อนอะไรเหมือนทุกๆที

“ลิซ่าเร็วๆเข้าสิ เราไม่มีเวลาทั้งวันนะ”สารวัตรตะโกนมาจากบนสุดของบันไดเลื่อน

“ถ้าอยากให้เร็วก็แบกฉันขึ้นไปเลยเซ่!!”คุณลิซ่าตะโกนกลับไปอย่างเสียอารมณ์

“ขึ้นหลังผมเลยครับ คุณลิซ่า” ผมพูดหลังจากที่ผมคลุกเข่าลง

“อาบนำ้ใหม่รึยังเนี้ย”

“ครับ?”

“เดี๋ยวกลิ่นตู้เก็บของมันจะติดฉันน่ะสิ นายพึ่งจะไปจัดห้องเก็บของมาไม่ใช่รึไง”

เพราะความรำคาญสุดขีดจนอยากจะทิ้งเธอเอาไว้แต่ก็ทิ้งไม่ได้ผมเลยช้อนตัวเธอในท่าเจ้าหญิง

“ว้ายยยยย!! อย่ามาถือวิสาศักษ์..ว้ายยยย!!”

เพราะผมเร่งฝีเท้ากระโดดข้ามขั้นบันไดสองขั้นในครั้งเดียวทำให้เธอกอดคอผมด้วยความตกใจ ผมรีบตามสารวัตรที่วิ่งนำหน้าให้เร็วขึ้นเท่าที่ผมจะทำได้ ผมได้รู้เลยว่าการวิ่งขึ้นบันไดพร้อมๆกับแบกผู้หญิงไปด้วยมันเหนื่อยถึงขนาดนี้

จนมาถึงบริเวณชั้นสามของตึก ผมก็มองเห็นศพที่มีแผลเป็นรูกระสุนปืนเป็นสิบบนร่างอยู่บนพื้น เกลื่อนกราดไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจไปสนใจพวกเขาได้เพราะเราต้องรีบไปให้ถึงชั้นสี่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก

“หยุดแล้วใจเย็นๆ วางอาวุธซะ”เสียงของเจ้าหน้าที่เป็นสัญญาณว่าเราถึงแล้ว

“อ้ากกกกกกกก!!!”คนร้ายวีดร้องไล่เหล่าตำรวจสองสามคนที่ต้อนเขาจนจนมุม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีฝ่ายไหนขยับ

ผมพยายามสงบใจและมองเหตุการณ์ตรงหน้า คนร้ายเป็นผู้ชายอายุราวสามสิบกว่าๆเขาใช้อาวุธปืนกลจ่อไปที่หัวของเด็กสาวที่นำ้ตาอาบหน้า และทันใดนั้นผมก็จำเธอได้ทันที

“นั่นมัน...ลูกของท่านรองไม่ใช่หรือครับ!?”

“ว่าไงนะ”ตำรวจที่อยู่ขนาบข้างผมตกใจกับคำพูดของผม “เอาปืนออกจากเธอซะ ไม่อย่างนั้นเราจะยิง”

“พูดกันมันไม่รู้เรื่องหรอก อักษรวางฉันลง” ผมวางเธอลงตามที่เธอสั่ง และคุณลิซ่าก็เดินนำหน้าขึ้นมาระหว่างคนร้ายกับพวกเรา

“คะ..คุณลิซ่าครับ”

“คุณผู้หญิงจะทำอะไร...”ก่อนที่ตำรวจคนนึงจะเข้าไปใกล้เธอสารวัตรก็ขวางเขาเอาไว้

“พวกนายถอยออกไป”

“แต่ว่า...”

“เร็วเข้าเถอะน่า” สิ้นเสียงของสารวัตร ตำรวจทั้งสามคนก็ถอยกำลังจากบริเวณนั้น ผมบังคับตัวเองให้เข้าไปใกล้พวกเขา

“ช่วยหนูด้วย...”เธอพูดด้วยเสียงเบาและหวาดกลัว

“ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราจะช่วยเธอเอง แข็งใจเอาไว้ก่อนนะ”ผมบอกเธอ เธอพยักหน้าหงึกๆเบาๆ

“ลิซ่า เป็นไงบ้างเห็นความผิดปกติอะไรมั้ย”

“ผู้ชายคนนี้...เหมือนถูกสะกดจิต”

“สะกดจิตงั้นเหรอ”

“ฉันจะพยายามทำอะไรซักอย่างก็แล้วกัน” แล้วคุณลิซ่าก็ก้าวเข้าไปให้ใกล้อีก แล้วคนร้ายก็ตะโกนขู่

“ว้ากกกกกก!!!”

“ชู่.....”เธอส่งเสียงเหมือนพยายามทำให้สัตว์ร้ายสงบลง ท่าทางของชายคนนั้นว็อกแว็กและหวาดกลัว

“ชู่.....”เธอส่งเสียงอีกครั้ง ก่อนจะเคาะเท้าเป็นจังหวะ ปรบมือ และดีดนิ้ว

“ลิซ่าเร็วเข้าสิ”

“ใจเย็นๆสิ คิดว่าฉันจะเจออะไรแบบนี้อยู่ตลอดเวลาเลยรึไง”

ผมรู้ครับว่าการสะกดจิตมันก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณลิซ่าถนัดนัก ถึงเธอจะเป็นแม่มดและยังรอบรู้ไปซะหมด

“คุณคุยกับเขาไม่ได้หรือครับ”

“นี้นายเข้าใจการถูกสะกดจิตมั้ยเนี้ย  การสะกดจิตคือ สภาวะที่ผู้ถูกสะกดตอบสนองต่อคำบอกกล่าวของผู้สะกด ภายใต้สภาวะแวดล้อมและเงื่อนไขที่ผู้สะกดจิตทำขึ้น เพราะฉะนั้นคนเดียวที่จะสามารถคลายหมอนี่จากภวังค์ได้ก็คือคนที่สะกดหรือคนที่รู้วิธีการเฉพาะตัวของผู้สะกดเท่านั้น”

“เออ..งั้นเราจะทำยังไงดีล่ะครับ” ผมเริ่มงงกับสิ่งที่คุณลิซ่าอธิบาย

“นายเข้าใจที่ฉันพูดบ้างมั้ยเนี้ย เจ้าโง่เอ้ย”

“ว้ากกกกกกกก!!!” เสียงขู่ของคนร้ายทำให้คุณลิซ่าหยุดการโวยวายของเธอ แล้วเธอก็คิดและพึมพำอะไรหลายๆอย่างโดยฟังไม่ได้ศัพท์

กริ๊งงงงงง!!เสียงโทรศัพท์ของสารวัตรดังขึ้น แล้วจู่ๆคนร้ายก็เริ่มโหยหวน

“อ้ากกกกกกก!!!” เขาเอามือป้องหูทำให้เด็กคนนั้นได้โอกาสพลักคนร้ายคนนั้น มันเกิดขึ้นเร็วมาก

“แย่แล้ว” แรงพลักของเธอทำให้เขาพลัดตกจากด่านฟ้า แล้วเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นจากด้านล่าง เรารีบวิ่งตรงไปดูสถานการณ์ด้านล่าง

“ดีจริงๆที่บอกให้เรียกหน่วยกู้ภัยมา”สารวัตรพูดและถอนหายใจอย่างหายห่วง

ผ้าใบผืนใหญ่ที่ถูกกางโดยคนถึงสิบคนรองรับร่างของคนร้ายได้อย่างพอดิบพอดี  พวกตำรวจที่อยู่ด้านล่างช่วยกันรวบตัวเขา แล้วผมก็ถึงกับต้องซุดเข่าลงกับพื้นพร้อมๆกับเด็กสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากผม

“ไม่เป็นไรใช่มั้ย เธอมาทำอะไรที่นี่”ผมหันไปถามเธอ

“หนูพยายาม..จะสืบเรื่องนี้ค่ะ”เธอพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก “หนูเจอบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับคดีนี่ มันชี้นำหนูมาที่นี่ แต่ว่า..”

“เธอรู้เรื่องคดีได้ยังไง”

“จากที่พวกลูกน้องของพ่อคุยกัน ถ้าจำไม่ผิดคุณก็คือ..สารวัตรเมธีสินะคะ”

“ใช่ พ่อของเธอคือหัวหน้าของฉัน และฉันคงปล่อยให้เธอมายุ่งกับเรื่องนี้ไม่ได้”

“ขอร้องล่ะค่ะ ให้หนูช่วยสืบเรื่องนี้ด้วย อย่าไล่หนูไป เชื่อหนูเถอะค่ะว่าหนู...หนูอยากจะช่วยแม่ของหนูให้พ้นมลทิน!!”

เธอพูดด้วยเสียงเเข็งพยายามซ่อนความกลัวบนใบหน้าแม้ว่าร่างกายของเธอจะสั่นไหวไปหมด สารวัตรถอนหายใจ

“สงสารคนเป็นเถอะ อีหนู”เขาพูดด้วยนำ้เสียงเรียบเฉยและดึงบุหรี่ออกมาจากซองและเริ่มสูบ แต่ที่สุดแล้วคุณลิซ่าก็ดึงบุหรี่ม้วนนั้นออกจากมือของสารวัตรและขยี่มันด้วยส้นสูงสีดำของเธอ

“ก่อนจะพูดแบบนั้นกับเด็ก สงสารปอดตัวเองก่อนเถอะย่ะ” แล้วเธอก็เดินฉับๆมาตรงหน้าของเด็กสาว “เธอชื่ออะไร เราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า”

“คุณไม่รู้จักหนูหรอกค่ะ แต่หนูนี่แหละที่รู้จักคุณ”เธอพูดเสร็จก็รีบลุกขึ้นและเปิดโทรศัพท์ก่อนจะโชว์ให้เธอดู “นี่ไงล่ะคะ แฟนเพจของคุณ”

“ฮะ? เเฟนเพจ?”คุณลิซ่าทำหน้างง

“เหมือนกับเป็นแฟนคลับน่ะครับ เป็นกลุ่มของคนที่ชื่นชอบคุณมากน่ะครับ”

“รหัสของพวกเราคือ แมวน้อยค่ะ!! ไม่ว่าใครที่รู้รหัสนี้ก็จะเป็นพวกเดียวกันค่ะ”

“นี่มัน...เออ..เหมือนสโตกเกอร์เลยอะ”เธอบ่นออกมาพร้อมๆกับเลื่อนดูเนื้อหาบนหน้าจอ ถึงจะอยู่มานานถึงสี่ร้อยกว่าปีแต่ก็คงยังไม่ชินกับยุคดิจิตอลเท่าไรสินะ

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็รู้ข้อมูลคดีจากที่นี่น่ะหรอ”

“ใช่ค่ะ ถึงจะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ว่าก็ทำให้หนูมาเจอพวกคุณได้ใช่มั้ยล่ะคะ”

เธอพูดด้วยความมั่นใจ ผิดกับพวกผมที่รู้สึกเป็นห่วง การยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มากๆมันอาจทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย

“นี่ฟังนะ กลับบ้านไปซะ แล้วอย่ายุ่งกับเรื่องพวกนี้อีก บางทีถ้าหยุดแค่นี่ฉันอาจไม่เอาเรื่องนีไปบอกท่านรอง”

“อย่าเอาพ่อหนูมาขู่ให้ยากเลยค่ะ ทำไมล่ะคะ หนูน่ะมีแหล่งข้อมูลที่ใช้งานได้นะคะ หนูช่วยพวกคุณได้จริงๆ”

“ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่จะลำบาก แต่พวกฉันโดยเฉพาะฉันเนี้ย จะตกงานเพราะเธอ”

“ไม่เอาน่าสารวัตร ฉันว่าเราต้องการเธอนะ”

“เอ๋??”ผมและสารวัตรเหวอแทบหงายหลัง เมื่อคุณลิซ่ายอมให้เธอมาช่วยด้วย

“เย้!!! จริงด้วย หนูชื่อมิ้นนะคะ เป็นแมวน้อยหมายเลข00147 พร้อมปฎิบัติการร์แล้วค่าาาา”

มิ้นกระโดดโลดเต้นอย่างกับเด็กๆ ผมรีบเข้าไปกระซิบข้างหูคุณลิซ่า

“จะดีหรือครับแบบนั้นน่ะ”

“บางทีเธออาจจะมีประโยชน์มากกว่านายก็ได้นะ อักษร”

“พะ..พูดแบบนี้ ใจร้ายจริงๆเลยครับ” รู้สึกห่อเหี่ยวสุดๆ

“นำ้ขึ้นให้รีบตักไงล่ะ ถ้าเราตักแล้วเป็นนำ้เน่าก็ค่อยว่ากันอีกที”

แล้วคุณลิซ่าก็เดินนำออกไปจากบริเวณนั้นตามติดๆด้วยมิ้นที่ท่าทางตื่นเต้น สารวัตรที่มองบนเหมือนใกล้ตายและผมที่ได้แต่ถอนหายใจและปล่อยให้ผ่านไป

 

“คราวนี้ไม่มีภาพใส่กรอบในเหตุ แต่เป็นการก่ออาชญากรรมและสะกดจิต”

คุณลิซ่าบ่นออกมาหลังจากที่ตรวจพื้นที่โดยรอบและตรวจศพที่นอนจมกองเลือดบนพื้นห้างนี้ ผมเองก็ไม่เจอหลักฐานอะไรที่เกี่ยวโยงกันเท่าไรเช่นเดิม

“ที่หนูได้ข้อมูลมาก็คือ เจ้าของห้างแห่งนี้เป็นพวกหัวรุนแรงที่เคร่งศาสนาน่ะค่ะ”

“เคร่งศาสนางั้นเหรอ”

“ค่ะ เออชื่อ...”เธอเลื่อนดูแชทในกลุ่มแมวน้อยของเธอ “ชื่อมิคา มารี แคริดิโต เป็นชาวอเมริกาและแต่งงานกับสาวไทยเลยย้ายมาสร้างห้างที่นี่ เขาเคยเป็นหัวโจกประท้วงการสร้างวัดในถิ่นของคนคริสต์แล้วก็อีกหลายๆอย่างเลย”

“ถ้าอย่างนั้น...คนร้ายคนนั้นก็คือเจ้าของห้างเองหรอกหรอ?”

“เอ๊ะ อะ..ไอโรคจิตคนนั้นน่ะหรือคะ ที่ทำเรื่องพวกนี้”

“ไม่ใช่ ก็บอกไปแล้วไงล่ะว่าเขาถูกสะกดจิต บางทีเขาอาจจะรู้บางอย่างจนถูกเก็บก็ได้”

“ถ้างั้นนี่ก็คือการสร้างสถานการณ์ เพื่อปิดปาก..” เมื่อสารวัตรเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วเขาก็เริ่มออกคำสั่งกับตำรวจที่อยู่แถวนั้นทันที “ออกหมายค้นห้องทำงานและบ้านของผู้ต้องหาให้ละเอียด ตามตัวเมียของเขามาที่สถานีเย็นนี้ด้วย ฉันจะเข้าไปสอบสวนเอง”

“ครับ สารวัตร!!”เสร็จแล้วพวกเขาก็รีบวิ่งไปทำหน้าที่ของตัวเอง

เมื่อได้โอกาส ผมเลยรีบโชว์แผ่นโฆษณาที่น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีให้มิ้นดู

“มิ้น รู้จักมั้ยว่ามันคืออะไร”

“อ๋อ เป็นโฆษณาที่ถูกติดไปทั่วเลยไม่ใช่หรือคะ”

“ฉันคิดว่ามันต้องมีบางอย่างเกี่ยวกับมันแน่ ช่วยถ่ายกระดาษแผ่นนี้ส่งเข้าไปในกลุ่มที”

“ได้เลยค่ะ”แล้วเธอก็ถ่ายรูปและเริ่มพิมพ์แชทกับเหล่าคนในกลุ่ม อย่างขมักเขม่นในขณะที่คุณลิซ่ากำลังยืนอยู่กับที่และเหมือนกำลังคุยกับสิ่งที่มองไม่เห็น

“หมอนั่นเข้ามาแล้วก็กราดปืนยิงพวกเธอเลยงั้นเหรอ แต่จากที่ฉันดูแล้วเนี้ยเขาถูกสะกดจิตให้ทำน่ะ”

“เออ คุณลิซ่า ผมมาขัดจังหวะรึเปล่าครับ”

“ออ ไม่หรอก มาก็ดีแล้วจะได้ช่วยจดซะเลย”

“เอ๋ อะไรหรือครับ”

“ก็ช่วยสะสางงานให้พวกเขาไปสู่สุขติไงล่ะ”

“อะ..เออ ครับ” แล้วผมก็หยิบโน๊ตจดรายการขึ้นมาจากกระเป๋าในเสื้อกับปากกาเพื่อจดงานที่ต้องทำ มันกลายเป็นเรื่องสุดแสนจะธรรมดาไปแล้ว

“ได้ เอาโลเหล็กไปเป็นของขวัญให้ลูก ลูกเธอนี่เท่าไรแล้วล่ะ..จะจบปริญญาเอกสัปดาห์นี้หรอ ยินดีด้วยนะ แล้วนายล่ะ...”

คุณลิซ่าพูดคุยกับเหล่าคนตายอย่างสนิทสนมพร้อมๆกับผมที่จดงานที่ค้างไว้ของพวกเขา ผมมองรายชื่อและงานที่ถูกจัดไว้เป็นตารางเป็นระเบียบดูแล้ก็ราวๆ30กว่าคนได้ เยอะสุดที่เราเคยทำก็คือ100คนในหนึ่งวัน

“ครบทุกคนแล้วใช่มั้ย ฉันจะช่วยสะสางให้หลังจากที่ปิดคดีนี้เสร็จนะ ฉันจะบอกเพื่อนๆของพวกคุณให้ว่าพวกคุณสบายดี ใครที่พร้อมจะไปก็ไปเลยนะ ฉันเชื่อแน่ว่าพระเจ้าจะเปิดประตูต้อนรับพวกคุณทุกคน..”

แล้วจากนั้นผมก็รู้สึกขนลุกเหมือนมีลมประหลาดมาแตะที่แขนของผม มันทำให้ผมรู้ว่าพวกเขาเริ่มทะยอยกันออกเดินทางข้ามภพแล้ว

“กล้องวงจรปิดงั้นเหรอ ได้ฉันจะลองตรวจดู กล้องตัวที่11...ได้ เข้าใจแล้ว พวกฉันจะจัดการเอง”

เมื่อได้รับข้อความแล้ว เธอก็หันออกมาจากกำแพงและเดินฉับๆนำผมไปหาสารวัตร

“ได้เรื่องแล้วเหรอ”

“ผู้อำนวยการมิคาปกติจะทำงานอยู่ที่ตึกฝั่งตะวังออก เราต้องลองไปดูห้องวงจรปิด”

“อยู่ที่ไหนล่ะ”

“ทางใกล้ที่สุดคือหลังตึก ชั้นสอง”

“มิ้น ไปกันเถอะ” ผมเรียกเธอที่มัวแต่แชทจนไม่สังเกตสิ่งรอบข้าง โดยไม่มีโอกาสได้อธิบายเราก็รีบตามคุณลิซ่าและสารวัตรไป

 

พวกเราวิ่งออกนอกอาคารและเข้าไปในอาคารฝั่งตะวันตกที่เป็นที่ทำการของห้าง เราตรงไปที่ห้องวงจรปิดโดยไม่รีรอ

“ฮืม?”ยามประจำห้องวงจรหันมาหาเราด้วยท่าทางแปลกใจเหมือนไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น

“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ” สารวัตรชูตราสัญลักษณ์พร้อมบัตรประจำตัว “รู้รึเปล่าว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น”

“เออ..ครับ รู้ครับ”เขาตอบโดยไม่ได้แสดงท่าทางอะไร มันทำให้มรู้สึกแปลกๆ

“ช่วยเปิดภาพบันทึกของกล้องตัวที่11ที”

“ครับ..ได้ครับ” แล้วเขาก็หันกลับไปทางหน้าจอดูกล้องวงจรด้วยท่าทางเรียบเฉย ผมเลยกระซิบบอกสิ่งที่ผมรู้สึกกับคุณลิซ่า

“คุณลิซ่าครับ ยามคนนี้ดูแปลกๆยังไงชอบกลนะครับ”

“เอือมละอามากกว่ามั้ง”

“เอือม..ละอา?”

“ใช่ ก็เหมือนพวกเราไงที่เห็นคนตายจนเบื่อ หมอนั้นเองก็คงเคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้ว และเข้าใจว่ายังไงตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้ว่าจะในท้ายที่สุดก็ตาม”

คำพูดของคุณลิซ่าทำให้ผมเข้าใจผู้ชายคนนี้ในทันที ผมเองก็มีช่วงเวลาที่เบื่อหน่ายและท้อแท้เหมือนกัน เหมือนกับคดีใหญ่ครั้งก่อนนั้น...

แทนที่ผมจะย้อนนึกกลับไปถึงอดีต ผมรวบรวมสติและเพ่งเล็งกับสิ่งตรงหน้า วีดีโอภาพบันทึกถูกกรอย้อนไปมา

“แปลกจังแฮะ...”

“มีอะไรหรอสารวัตร”

“เห็นผู้หญิงคนนี้มั้ย“สารวัตรชี้ไปที่ผู้หญิงคนนึงที่ใส่ชุดขนสัตว์ฟูฟ่องสีนำ้เงิน เธอดูกำลังเดินอยู่ที่ทางเดินที่ดูเหมือนจะอยู่ในแผนกทำงาน แล้วเหมือนกับว่ามีคนเดินตัดหน้าเธอ แล้วเธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“หล่อนหายไปได้ยังไง ชั่วพริบตาเดียวเอง”

“แม่มดอีกแล้วล่ะมั้ง” คุณลิซ่าพูดสรุปง่ายๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่เธอจะเดินไปหยิบถุงคุ๊กกี้S&Pรสนมที่วางอยู่ด้านหลังของห้อง เธอแกะถุงและกินมันโดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นเจ้าของ

“ถ้ายัยนั้นเป็นคนสะกดจิตมิคา ก็ต้องมีความเกี่ยวเนื่องกันในทางธุระกิจแน่”

แล้วเธอก็เดินกลับมาดูที่เทปกล้องวงจรอีกครั้ง

“เวลาบ่ายสอง 45นาทีอย่างนั้นหรอ นี่เป็นกล้องบริเวณไหนของตึกน่ะ”

“ชั้น20 ทางเดินออกจากลิฟท์หน้าห้องประชุมครับ” แล้วเธอก็เริ่มคิดคำนวณความเป็นไปได้

“เธอน่าจะขึ้นลิฟท์มานะ น่าจะไม่เกินเที่ยงนี่แหละที่หล่อนมาที่นี่”

“และท่าทางของหล่อนก็ไม่ใช่พวกพนักงานหรือพวกลูกน้องด้วยนี่ ใช่มั้ยล่ะ ถ้าลองเช็ครายชื่อคนเข้าออกบริษัทในสมุดผู้มาเยือนตามเวลาที่เธอบอกน่าจะได้ชื่อนั่นแหละ”

“ใช่ ก็ถูก..แต่ ไม่ใช่ว่าคนที่มาเยี่ยมจะใช้ชื่อจริงเสมอไป”

“งั้นเราจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ ว่าเธอเป็นใคร”

“ฉันจะเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเธอ เรียกอีกอย่างก็ดูความทรงจำนั่นแหละ”

“เอ๋?? ไหนคุณลิซ่าบอกว่าจะไม่ทำแล้วยังไงล่ะครับ”

“ช่วยไม่ได้นี่นา เราไม่มีทางหาหล่อนเจอถ้ามัวแต่ใช้วิธีปกติ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก ไม่ถึงขั้นตายหรอก”

ที่เธอพูดแบบนั้นก็เพราะเธอไม่มีทางตาย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้ว่ามันอันตรายขนาดไหนที่ต้องเข้าไปยังจิตใต้สำนึกของคนอื่น

“ไม่มีทางเลือกเลยงั้นเหรอครับ”

“เพราะไม่มีนี่แหละถึงได้ต้องทำ สารวัตร...”

ทันทีที่คุณลิซ่าเรียกเขา เขาก็รีบโทรสั่งการให้พาตัวเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ที่ล็อบบี้ตอนเที่ยงเจอผู้หญิงชุดขนสัตว์สีฟ้านั่นให้รวมตัวกันที่นั่น แล้วจากนั้นพวกเราก็ไปที่นั่นกัน

 

“คนนี้ใช่มั้ย”

“ครับ สารวัตร” เสร็จแล้วพวกลูกน้องของสารวัตรก็ปล่อยให้พวกเราจัดการกันเอง “ไปนั่งกันที่โซฟากันดีกว่านะ”

ทั้งผม สารวัตร คุณลิซ่า มิ้นและพนักงานหญิงคนนี้ก็ไปนั่งกันที่เก้าอี้รับแขกกลางล็อบบี้โดยมีดนตรีคราสสิกบรรเลงเบาๆ

“ว้าวๆๆ ตืนเต้นจังเลยค่ะ”มิ้นกระซิบบอกผมเบาๆอย่างตื่นเต้นท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุม “พี่อักษรได้เจอเรื่องแบบนี้ตลอดเลยหรือคะ”

“อืม ใช่ ตอนแรกๆก็กลัวแต่ตอนนี้ ก็รู้สึกว่าปกติดีแล้วล่ะ”

“คุณลิซ่านี่เท่สุดๆไปเลยนะคะ ว่ามั้ยๆ”

“นั่นสินะ..แฮะๆๆ” แล้วจากนั้นคุณลิซ่าเริ่มเอ่ยปากอธิบาย

“ในเธอเห็นผู้หญิงชุดขนสัตว์สีนำ้เงินใช่มั้ย”

“ค่ะ แต่ว่าฉันจำเธอไม่ได้ทั้งหมดนะคะ เพราะตึกนี่นอกจากจะเป็นที่ทำงานของพวกพนักงานแล้ว ยังเป็นโรงแรมอีกด้วย เพราะงั้นไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางจดจำลูกค้าได้ทุกคนหรอกค่ะ”

“สมเหตุสมผลดี แต่ยังไงฉันก็อยากได้ข้อมูลจากเธออยู่ดี”

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงหรือคะ”

“แค่ทำตัวตามสบายและให้ฉันเข้าไปก็พอ”

แล้วคุณลิซ่าก็เขยิบตัวเข้าไปใกล้พนักงานสาว คุณลิซ่าใช้มือทั้งสองข้างจับขมับของผู้หญิงคนนั้นเอาไว้

“ไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบาย” เธอพูดปลอบใจแล้วทุกๆอย่างก็ตกลงไปในความเงียบงัน

แล้วดวงตาของคุณลิซ่าก็เหลือกจนพลิกกลับไปด้านหลัง ใบหน้าเงยขึ้นเหมือนจิตหลุด ทำเอามิ้นตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นยกเว้นแต่ผมและสารวัตรเท่านั้นที่ชินกับเรื่องนี้ไปแล้ว

“กะ..เกิดอะไรขึ้นกับคุณลิซ่าน่ะคะ”

“ชู่...อย่าพึ่งรบกวนพวกเขา”

แล้วผ่านไปหลายนาทีจนผมรูู้สึกกังวลว่าจะเกิดความผิดพลาด พวกเขาสองคนก็หลุดออกจากภวังค์

“แฮ่กๆๆๆๆ” คุณลิซ่าห่อบอย่างแรงและเลือดกำเดาไหลเหมือนว่าเธอใช้พลังงานไปมากทีเดียวในการขุดคุ้ยภาพทรงจำอันมากมายที่ผ่านทางสายตา ผมรีบดึงทิชชู่ที่พกเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อส่งให้เธอ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”หญิงสาวกุมขมับของเธอและพูดอย่างสับสน

“ไม่มีอะไร..พวกเราได้สิ่งที่ต้องการแล้ว”

โดยไม่ได้ตอบคำถามอะไรสารวัตรก็พยุงตัวเธอให้นอนลงกับเบาะโซฟา

เขารีบเอากระดาษและดินสอให้กับคุณลิซ่า เธอเริ่มวาดรูปเหมือนของหญิงในชุดขนสัตว์สีนำ้เงิน ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ เพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฎบนกระดาษ

“ว้าว เหมือนมาริลีน มอลโลเลย” มิ้นออกความเห็นทันทีที่เห็นภาพวาดนี้

“ทำไม..มันดูคุ้นๆชอบกล...”ผมถือกระดาษa4เอาไว้ในมือกับหญิงในหน้าตรงที่ถูกวาดออกมาอย่างรีบเร่ง ถึงจะไม่ได้สวยดีเลิศเท่าที่ควรแต่ว่าก็สามารถระบุได้เลยว่าเป็นใคร “คุณลิซ่าครับ รู้อะไรจากผู้หญิงคนนั้นอีกรึเปล่าครับ”

“เรา..ต้องรีบไป..”เธอพูดตะกุกตะกัก

“รีบไป? รีบไปไหนครับ”

“กลับไปที่..ร้านของพวกเรา..”

“ร้าน? ร้านแกรนมาน่ะหรือครับ”

“ก็บอกให้รีบไง พยุงฉันไปสิ!!”

เพราะเสียงตะวาดด้วยความโกรธทั้งผมและมิ้นเลยรีบพยุงเธอให้ลุกขึ้น สีหน้าของเธอเคร่งเครียดมากเลยทีเดียวพอๆกับเหงื่อที่ไหลย้อยไปทั่วหน้า

 

“คุณลิซ่าไม่เป็นไรนะคะ”

“ฉันไม่เป็นอะไรน่า” เธอตอบปัดอย่างหงุดหงิด และปล่อยห้ความเงียบปกคลุมรถส่วนตัวของสารวัตรที่วิ่งอยู่ เธอเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างหลังจากที่ได้พักผ่อนสมองเพียงแป๊ปเดียวตอนออกมาจากห้างนั้นแค่ห้าสิบห้านาที

“หายหงุดหงิดรึยัง ฉันจะได้รู้ว่าเธอรู้อะไรกันแน่” สารวัตรเองก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน

“….”เธอกัดเล็บและยังคงมองไปยังถนนคนเดินภายนอกโดยไม่สนสารวัตร แต่ที่สุดแล้วเธอก็ยอมปริปากพูด

“มาร์การิตา เทเรซา”

“มาร์การิตา เทเรซา? ใครกันน่ะครับ”

“ชื่อที่ผู้หญิงคนนั้นตอนที่จดรายชื่อผู้เยี่ยมเยียน แต่ว่า...มาร์การิตา เทเรซาคนไหนกัน..”

“ที่ว่าคนไหนหมายความว่ายังไง”

“อดีต..หรือปัจจุบัน มาร์การิตา เทเรซา ชื่อนี้มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แม่มดเองก็เช่นกัน”

“แต่ว่าผมรู้สึกคุ้นกับหญิงคนนี้มากเลยนะครับ”

“ใช่สิ เพราะเธอเป็นลูกค้าของร้านเราไง”

“ลูกค้าหรือครับ??” ผมถึงกับช็อกไปเลย ถึงว่าล่ะถึงได้รู้สึกคุ้นนัก

“เพราะแบบนั้นก็เลยอยากจะกลับไปที่ร้านแกรนมางั้นสินะ”

“แล้วเขามาซื้ออะไรหรือคะ” มิ้นเองก็ถามอย่างสนใจไม่ต่างกับพวกผม

“ฉันจะไปรู้เหรอ ฉันไม่ใช่พนักงานหน้าร้านซักหน่อย นู่นนนนถามนู่นนนน”

คุณลิซ่าชี้นิ้วมาทางผมที่นั่งอยู่ข้างสารวัตรที่ขับรถอยู่อย่างเซ็งๆ ผมเลยมองกวาดไปด้านบนเพื่อระลึกความจำของตัวเอง

“เธอมาที่ร้านตอนเช้าสินะครับ เพราะพวกเราตามสารวัตรไปที่สถานีตำรวจตอนประมารสิบโมง แล้วก็เริ่มเปิดร้านตอนประมารหกโมง...” ผมพูดทบทวนความจำ

“แล้วตอนนั้นที่ฉันเห็นยัยนั้น สารวัตรก็ยังไม่ได้มานั่งคุยกับฉันด้วยซำ้”

“งั้นก็ช่วงแปดโมงใช่มั้ยครับเพราะที่ผมจำได้ก็คือ ผมเข้าไปเก็บของหลังร้านตอนเก้าโมง”

“ตามนั้นแหละ เพียงแค่ดูตารางการซื้อขายของร้านก็น่าจะได้รู้อะไรมากขึ้นแล้วล่ะ”พอได้ข้อสรุป เธอก็เปลี่ยนเรื่องไปถามมิ้นแทน “โฆษนาล่ะ กลุ่มเธอว่าไงบ้าง”

“อะ จริงด้วย เดี๋ยวหนูดูให้นะคะ” เธอรีบคว้าโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากระโปรงและอ่านข้อความแชท “เขาบอกกันว่าโฆษณานี้เป็นโฆษณาเชิญชวนเข้าฟังเทศนาค่ะ จะมีแบบนี้ทุกที”

“แบบนี้ทุกปีงั้นเหรอ ทำไมพวกเราไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ดูเหมือนมันจะเป็นกิจกรรมลับๆของพวกที่นับถือน่ะค่ะ พวกเขาอยากเผยแพร่ลัทธิก็เลย..ทำล่ะมั้งคะ” เธอสรุปสิ่งที่เธอเข้าใจจากแชทกลุ่ม “แต่ที่แน่ๆก็คือกลุ่มนี้ไม่นานก็คงออกมาประกาศตัวอย่างเป็นทางการแน่”

“แค่นี้ยังไม่ประกาศตัวพออีกรึไง” สารวัตรบ่นออกมาซึ่งมันก็ไม่แปลกนักกับสิ่งที่พวกนั้นทำ

“ก็เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นการพึ่งกำลังของแม่มดอีกสินะครับ”

“70%”

“เอ่ ทำไมเป็น70%ล่ะครับ คุณลิซ่าเองก็มั่นใจแล้วไม่ใช่หรือครับ”

“บางทีเธออาจเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาก็ได้ พวกที่ชอบหายตัวได้ก็มีพวกนักมายากลไง หรือแม้แต่นักสะกดจิต นักต้มตุ๋น ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน ก็แค่ส่วนใหญ่ที่ฉันเจอจะเป็นแม่มดก็เท่านั้น”

“นั้นคืออีก30%ใช่มั้ยคะ”

“20%ต่างหาก อีก10%ที่เผื่อไว้ก็คือ เธอเป็นแค่เหยื่อคนนึงในคดีเท่านั้น แม้แต่อาจถูกฆ่าไปแล้วก็ตาม”

คำพูดถึงอีก10%ของความเป็นไปได้ของเธอ ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆเหมือนกับว่ามันจะมีบางอย่างเกิดขึ้น เหมือนกับที่ผมมักรู้สึกได้เมื่อผมได้ดูหนังสยองขวัญซักเรื่องหนึ่ง ผมก็คงได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นเหมือนทุกๆที

แล้วไม่ทันที่ความรู้สึกแปลกๆจะหายไปเราก็มาถึงที่ร้านแกรนมาขายของเก่าที่ผมทำงานอยู่ เราออกจากรถพร้อมๆกันกับสภาพอันปกติของหน้าร้าน

“ดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นสินะ” คุณลิซ่าถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สังหรใจของตัวเองไม่เป็นจริง ผมเองก็ด้วย

“นี้น่ะหรอ ร้านของคุณลิซ่า ว้าวววว” มิ้นเดินไปทั่วร้านและถ่ายรูปร้านด้วยโทรศัพท์มือถือของเธอ และแน่นอนเธอไม่ลืมที่จะถ่ายรูปคุณลิซ่าถึงแม้ว่าจะไม่ได้ขอเข้าก็ตาม ผมรู้สึกกลัวว่าเธอจะโกรธเอามากๆเลย

“น่าจะใช่คนนี้นะอักษร” คุณลิซ่าไม่สนใจมิ้นเลยซักนิด เธอชี้รายชื่อการซื้อของให้ผมดู

“มาร์การิตา เทเรซา ชื่อเดิมอย่างนั้นเหรอครับ เป็นไปได้มั้ยครับว่าเธอจะชื่อนี้จริงๆ”

“ส่วนสิ่งที่ซื้อไปก็คือภาพวาดสีนำ้มันของฉันเอง ภาพ...พอตเทรต? นี้นายเขียนอะไรเนี้ย!!!”

“เอ๋ ก็ผมไม่รู้ชื่อภาพนี่ครับ แล้วผมก็ไม่คิดว่าเราจะจำเป็นต้อง...โอ้ยยยย!!!”

คุณลิซ่าตีผม เตะ จนแทบจะทุ่มผมลงกับพื้นกับความประมาทของผม เธอเดินฉับๆพร้อมๆกับขยี้ผมของเธออย่างหงุดหงิด

“จำได้มั้ยว่ามันวางอยู่ตรงไหนน่ะฮะ?!”

“คะ..ครับ” ผมรีบเดินไปบริเวณที่โชว์รูปด้วยความเสียวสันหลัง

“ตรงนี้ครับ”ผมชี้ไปที่กำแพงเหนือของเล่นมากมายที่ถูกเก็บใว้อย่างดีในตู้แก้วเก่าๆ

“ท่าทางมันจะไม่เคยขายออกเลยซินะ”

เธอพูดเซ็งๆหลังจากเห็นฝ้ากำแพงที่ถูกแบ่งสีเพราะฝุ่นอย่างชัดเจน แล้วเธอก็นึกออกในทันที

“ภาพพอตเทรตเด็กคนนึงที่ฉันวาดไว้ตอนไปที่สเปน เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวหนึ่งที่ฉันไปของอาศัยด้วย”

“แบบนี้ก็นานแล้วซิครับ”

“มาเรีย เทเรซ่า...นั่นคือชื่อของเธอ”

“นามสกุลเทเรซ่าเหมือนกันเลย”

“เหมือนเธอต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง...” คุณลิซ่าคิด เธอเริ่มเดินไปเดินมาวนอยู่ในร้าน แต่แล้วเธอก็หยุดลงแล้วดวงตาเบิกกว้าง

“นี้ไงล่ะอักษร ภาพนั้นไง เจ้าหญิงมาร์การิตา เทเรซาในชุดสีน้ำเงิน!!!”

“นั่น..ผลงานของเดียโก เบลัซเกซใช่มั้ยครับ”

“นั่นแหละๆบางที่นี่อาจจะเป็นการบอกใบ้ว่าหล่อนเป็นใคร ประมาณว่าฉันก็คือมาเรียของเธอนะ ให้มาเจอกันที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ เวียนนา”

“แล้วก็.. หล่อนอาจ..อาจกลายเป็นแม่มดไปแล้วงั้นเหรอครับ”

“ฉันเองก็ไม่รู้ เราไม่มีทางรู้จนกว่าเราจะไปหาเธอ”

“แล้วถ้านี่เป็นกับดักล่ะ เราไม่ควรไปติดเบ็ดแบบนั้นง่ายๆสิ”

“แต่ถ้าเราไม่คว้าโอกาสไว้ เราก็ไม่มีทางไปข้างหน้าต่อได้ไม่ใช่เหรอสารวัตร”

คำพูดของคุณลิซ่าทำให้สารวัตรเงียบลงอีกครั้ง เธอยิ้มและเอามือตบบ่าของเขา

“ฉันจะไปออสเตรียกับอักษรในวันพรุ่งนี้ นายช่วยอยู่ที่นี่ดูแลบ้านเมืองด้วยนะคุณตำรวจ”

“อ้าว แล้วหนูล่ะ หนูอยากไปด้วยอะ” มิ้นเริ่มโวยวาย

“เธอน่ะอยู่กับสารวัตรไปเถอะ ถ้าแอบหนีอยู่แบบนี้พ่อก็ตีตายหรอก ถือว่าฉันขอละกัน”

“อืมมมม”เธอทำหน้าบูด “ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณลิซ่าไม่อยากให้หนูไปก็ได้ค่ะ”

“ถ้ารู้เรื่องอะไรก็บอกฉันด้วย อย่าไปคนเดียวเด็ดขาด ฉันยังไม่อยากตกงาน”

“ไม่ต้องบอกก็รู้น่า แบร่!!”

แล้วจากนั้นสารวัตรก็พามิ้นออกไปจากร้าน พร้อมๆกับคุณลิซ่าที่กำลังเดินกลับไปที่ห้องส่วนตัวของเธอ

“เออ เดี๋ยวครับ คุณลิซ่า”

“มีอะไรอีกเหรอ”

“คือว่า...ถ้ามันเป็นไปอย่างที่สารวัตรพูดจะทำยังไงหรือครับ ที่ว่าเป็นกับดักน่ะครับ”

เธอเงียบไปดวงตามองตำ่ แต่เธอก็ยิ้มออกมาพร้อมสายตาที่แน่วแน่

“ฉันก็จะ..ปกป้องเธอไงล่ะอักษร..”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา