[Fic Hetalia UKUS] ราตรีนิมิตกลางสายฝน
8.3
เขียนโดย snowred
วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.50 น.
5 ตอน
0 วิจารณ์
8,539 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ยามที่ 3 : เริ่มจากห้องใต้ดิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความยามที่ 3
เริ่มจากห้องใต้ดิน
ซ่า ๆ
ชายหนุ่มดวงตาสีม่วง ผมออกหยักศกมีปอยผมเส้นหนึ่งม้วนลงมาข้างหน้า สวมชุดที่มีลายใบเมเปิ้ลและสะพายกระเป๋าข้างหนึ่งถอนหายใจ เมื่อเขากดกริ่งหลายรอบแล้วแต่เจ้าของบ้านไม่ออกมาเปิดเสียที แคนาดามองซ้ายทีขวาทีอย่างหาทางออกแล้วตัดสินใจตะโกน
“อเมริกา! เธออยู่ไหม ผมเอาเกมที่เธอลืมไว้มาให้” แคนาดายืนนิ่ง ๆ รออยู่พักหนึ่งแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับ ในขณะที่เขาคิดว่าตัวเองน่าจะโทรฯ มาบอกล่วงหน้าก่อนนั้นก็คิดได้ว่าพี่ชายตนเองคงออกไปนอกบ้าน จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรฯ หาอเมริกา
“…”
แคนาดารออยู่พักหนึ่งจนมันนานพอที่จะทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่รับสาย เขาถอนหายใจแล้ววางสายก่อนจะกดเบอร์ของอังกฤษ
ฝ่ายอังกฤษที่ตอนนี้กำลังเดินไปส่งสกอตแลนด์ที่หน้าบ้าน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทานอาหารเย็นด้วยกันนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วดูว่าเป็นใคร ชื่อแคนาดาที่ปรากฏนั้นทำให้เขาแปลกใจนิดหน่อย
“ฮัลโหล แคนาดามีอะไรเหรอถึงโทรฯ มาตอนนี้?” หลังจากกดรับสายอังกฤษก็ถามด้วยใจที่เริ่มวิตก เขาอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอเมริกา
“ขอโทษครับอังกฤษ ผมเอาเกมที่อเมริกาลืมไว้ที่บ้านผมมาคืนให้ แต่เขาไม่อยู่ผมเองก็ไม่ได้โทรฯ นัดเขาไว้ล่วงหน้าเลยคิดว่าอเมริกาน่าจะอยู่ที่บ้านเธอ” สกอตแลนด์มองอังกฤษอย่างสงสัยว่าใครโทรฯ มา น้องชายเขาทำมือเป็นเชิงบอกว่าให้เงียบก่อน
“อเมริกาไม่ได้อยู่บ้านฉันหรอกตอนนี้ฉันอยู่กับสกอตแลนด์ บางทีเขาอาจจะไปหาญี่ปุ่นก็ได้”
“ขอบคุณครับอังกฤษ” หลังจากแคนาดากล่าวจบทั้งสองก็บอกลากัน สกอตแลนด์ได้โอกาสจึงถามอังกฤษ “ใครโทรฯ มาน่ะ?”
“แคนาดาน่ะ” อังกฤษไม่ตอบอะไรมากกว่านั้น ตอนนี้เขาคิดไปต่าง ๆ นานาว่าอเมริกาอาจจะเจอเรื่องร้ายแรง “บ้าจริง หมอนั่นออกไปไหนตอนนี้นะ”
สกอตแลนด์เองก็กังวลไม่แพ้กัน เขาคิดถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ “คงไม่ใช่ว่าอเมริกาถูกใครบางคนเรียกออกไปนะ”
“ตัวเราอีกคน?”
“ชักน่ากลัวแล้วสิ ถ้าเกิดเป็นอย่างที่เราคิดก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นตัวนายอีกคนก็ได้ที่เรียก หรือว่าเขาอาจจะโดนทำร้ายในบ้าน” สกอตแลนด์ขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม อังกฤษได้ฟังดังนั้นก็รีบโทรฯ หาแคนาดา
ระหว่างนั้นแคนาดาที่เดินออกจากบ้านมาแล้วนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาแปลกใจที่ชื่อปลายสายเป็นอังกฤษ
“ฮัลโหล มีอะไรเหรอครับอังกฤษ”
“แคนาดา! ตอนนี้นายอยู่ไหน!” อังกฤษแทบจะตะโกนใส่ปลายสาย แคนาดาสะดุ้งก่อนจะถามกลับไปอย่างหวาด ๆ “เอ่อ ถนนแถวบ้านอเมริกาน่ะครับ”
“นายช่วยกลับไปบ้านเขาแล้วพังประตูให้ทีสิ!”
“อังกฤษเธอพูดอะไรน่ะครับ! ทำแบบนั้นมัน---” แคนาดาหน้าถอดสีที่อดีตพี่ชายอีกคนของตนเองบอกให้ทำเรื่องแบบนั้น “นายอยากให้พี่ชายตัวเองตายรึไง!”
“!!”
แคนาดาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่น้ำเสียงของอังกฤษฟังแล้วดูกังวลมาก ชายหนุ่มดวงตาสีม่วงเผลอทิ้งร่มที่กางกันฝนแล้วรีบวิ่งกลับไปยังบ้านพี่ชายตนเอง ความเย็นเฉียบของฝนไม่ทำให้เขาใจเย็นและเขาก็ไม่สนด้วยว่าตนเองจะเปียก พอมาถึงเขาก็มองซ้ายมองขวาเพื่อหาวัตถุที่หนักและแข็งพอจะพังประตูบ้าน ในเวลากลางคืนแบบนี้ความมืดเป็นอุปสรรคในการหาของก็จริงแต่ถ้าเพ่งมองดี ๆ มันก็ไม่ยากนัก แต่นอกจากกระถางต้นไม้แล้วก็ไม่มีอะไรที่มีคุณสมบัติพอ แคนาดาจึงวิ่งไปยังข้างบ้านเพื่อเข้าทางหน้าต่างก่อนจะหยิบกระถางต้นไม้แถวนั้นมาทุบกระจกหน้าต่างที่ล็อคอยู่
เพล้ง!
พอทุบจนมันแหลกพอให้เข้าไปได้แคนาดาก็ไม่รอช้ารีบปีนเข้าหน้าต่าง โทนี่ที่ได้ยินเสียงผิดปรกติเดินมาดูแล้วมองแคนาดาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดระแวงเพราะพวกเขาคุ้นเคยในระดับหนึ่ง
“อ้าว? โทนี่ ทำไมผมเรียกตั้งหลายครั้งแล้วไม่ช่วยมาเปิดประตูล่ะครับ หรืออเมริกาห้ามไม่ให้เปิดประตูให้ใคร?” โทนี่พยักหน้า แคนาดาถอนหายใจก่อนจะถามต่อ “แล้วอเมริกาอยู่ไหนเหรอครับ?” เพื่อนมนุษย์ต่างดาวส่ายหน้า ชายหนุ่มดวงตาสีม่วงขมวดคิ้วมุ่นเพราะความไม่สบายใจ เขานึกถึงคำพูดของอังกฤษที่บอกเป็นนัยว่าพี่ชายตนเองกำลังเจอเรื่องอันตราย ระหว่างนั้นโทนี่ก็เข้ามาดึงชายเสื้อเขาแล้วชี้ไปที่เศษกระจกหน้าต่างแล้วทำหน้าไม่พอใจ แคนาดายิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะเอ่ย
“อ่า… ไว้จะมาชดใช้ค่าเสียหายนะครับ แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องด่วนจริง ๆ ” แคนาดาเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมเมื่อคิดว่าจะค้นบ้านพี่ชายตนเอง เขารีบวิ่งไปดูห้องและส่วนต่าง ๆ ของบ้านแต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ ก่อนจะกลับมาที่หน้าต่างที่ตนเองทุบเข้ามาแล้วปีนขึ้นไปและรีบวิ่ง
ซ่า ๆ
เปรี้ยง!
เสียงฝนตกและเสียงฟ้าร้องยิ่งบีบคั้นให้แคนาดากังวลมากขึ้น บรรยากาศแบบนี้ดูเป็นลางไม่ดีเลย รองเท้าจากตอนแรกที่สะอาดนั้นมาตอนนี้เต็มไปด้วยโคลนและเศษดิน ใบหน้าผมเผ้าเปียกไปด้วยน้ำฝน เสื้อผ้ากับกางเกงแนบเนื้อจนอึดอัด แต่ทั้งหมดนั่นไม่ทำให้แคนาดาสนใจแม้แต่น้อย
ตึก…
แคนาดาหยุดเดินเมื่อมาถึงบริเวณม้านั่งที่มีเสาไฟตั้งอยู่ไม่ห่างนัก ดวงตาสีม่วงเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพบกับความเป็นจริงตรงหน้า
เปรี้ยง!!
ท้องฟ้าสว่างวูบหนึ่งก่อนที่จะเหลือเพียงความมืดมิดเมื่อเสาไฟกระพริบอยู่ครู่หนึ่งแล้วดับไป …ของเหลวสีแดงที่เจิ่งนองบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยน้ำฝนนั้นส่งกลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียน มันเริ่มไหลไปพร้อมกับน้ำฝนจนจางลงเรื่อย ๆ แคนาดาทรุดลงนั่งกับพื้นโดยไม่สนว่ามันเปียกและสกปรก
ทำไม… เลือด… แล้วอเมริกาล่ะ? อเมริกาอยู่ไหน?
ซ่า ๆ ซ่า ๆ …
สายลมที่เย็นยะเยือกนั้นทำให้ภาพโดยรอบน่าขนลุก ฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างรุนแรงราวกับจะตอกย้ำภาพตรงหน้า แคนาดาส่ายหน้าช้า ๆ เพื่อปฏิเสธความเป็นจริง
“อเมริกา!!!”
อังกฤษกับสกอตแลนด์แทบจะนั่งอยู่ไม่สุขเพราะสถานการณ์ตอนนี้ชักน่ากลัวขึ้นทุกที ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่บนรถแท็กซี่เพื่อไปยังบ้านอเมริกา พอมาถึงและลงจากรถแล้วสกอตแลนด์ก็รีบยัดเงินใส่มือคนขับโดยไม่รอเงินทอน ระหว่างที่รถแล่นจากไปแล้วทั้งสองคนก็เดินอย่างรวดเร็วไปที่ประตูบ้าน พอเห็นว่าไม่มีร่องรอยในการงัดแงะหรือพังก็เดินไปที่ข้างบ้านเพราะคิดว่าแคนาดาคงจะเข้าทางนี้
มองลึกเข้าไปผ่านหน้าต่างที่กระจกแตกมีเพียงความมืดเท่านั้น ดูเหมือนว่าฟ้าแรงจนไฟดับ อังกฤษกับสกอตแลนด์มองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แคนาดายังไม่โทรฯ บอกอะไรเลย อย่าบอกนะว่าอเมริกา---” หัวใจของอังกฤษเต้นถี่กระชั้น สกอตแลนด์แม้ว่าจะมีสีหน้าที่ขรึมกว่าแต่น้ำเสียงที่ตอบนั้นบ่งบอกว่าเขาเองก็กังวลไม่แพ้กัน
“อเมริกาเสร็จมันแล้ว?”
“แล้วจะทำไงต่อดีล่ะ?” อากาศรอบกายเย็นลงทุกที ๆ สมองอังกฤษด้านชาจนแทบคิดอะไรไม่ออก “ก็ต้องออกตามหานั่นแหละ ให้ตายสิ สถานการณ์แย่ลงทุกที ถ้าใครอีกคนโดนล่ะก็เรื่องนี้จบเห่แน่” สกอตแลนด์เลียริมฝีปาก รสเค็มของน้ำฝนเรียกสติเขากลับมาได้หน่อย
หลังจากนั้นพวกเขาก็วิ่งมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงม้านั่งที่มีร่างหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น แม้ความมืดจะมีมากขึ้นเพราะไฟจากที่ต่าง ๆ เริ่มดับลงเพราะฟ้าแรงแต่อังกฤษก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“แคนาดา?”
“อังกฤษ… ผมขอโทษ ผมมาช้าเกินไป” ตอนแรกอังกฤษไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คำพูดกับน้ำเสียงที่สั่นเครือจนคุมไม่อยู่นั้นก็มากพอแล้วที่จะอธิบายสถานการณ์ เพราะตัวเขาและพี่ชายตนเองก็เพิ่งสังเกตเลือดที่จางลงจนแทบไม่เห็นเพราะมันโดนน้ำฝนชะล้างเกือบหมด
“เลือดอเมริกา?” ชายหนุ่มดวงตาสีเขียวพึมพำ ดวงตาเขาเบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มามัวเสียใจมีแต่เสียกับเสีย อังกฤษจึงกัดริมฝีปากระบายความรู้สึกในใจจนเลือดซึมออกมา ฝ่ายแคนาดาเองก็รู้สึกไม่ต่างกันและพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“ถึงจะไม่มีหลักฐานก็เถอะ แต่เรื่องที่เราเจอกับเลือดตรงนี้มันไม่เผอิญเกินไปเหรอ?” ตอนนี้คนที่มีสติมากที่สุดก็คือสกอตแลนด์ อย่างน้อยเขาก็ยังมีสติพอที่จะทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่นายพูดนั่นแหละ ฉันว่ามันไม่มีทางเป็นเลือด ใครอื่นได้อีกนอกจากอเมริกา …แต่ว่าเขาอยู่ไหนล่ะ? นี่คงไม่ใช่การฆ่าแบบเก็บศพใช่ไหม?” อังกฤษพยายามพยุงจิตใจให้กลับมาเป็นปรกติแม้ว่าในใจตอนนี้จะด่าตัวเขาอีกคนเป็นล้าน ๆ คำแล้ว
“กลับบ้านนายก่อนเถอะ รวมทั้งแคนาดาด้วย” สกอตแลนด์กล่าวต่อพร้อมกับมองไปรอบ ๆ
ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทำไมที่นี่ถึงได้มืด… และเงียบขนาดนี้
ซ่า ๆ
ฝนไม่มีท่าทีหยุดตก หลังจากพวกเขากลับมาอาบน้ำที่บ้านอังกฤษ และเปลี่ยนเสื้อที่เจ้าของบ้านพอมีให้ยืมแล้ว สกอตแลนด์ก็ตัดสินใจว่าจะอยู่บ้านน้องชายตนเองจนกว่าเรื่องจะจบ แคนาดาเริ่มกลับมาเป็นปรกติเพราะคิดได้ว่าไม่มีอะไรมายืนยันว่าพี่ชายเขาตายไปแล้ว
“แคนาดา ตอนที่นายเห็นเลือดมันเยอะมั้ย?” สกอตแลนด์ถามแคนาดาในระหว่างที่อังกฤษไปชงอะไรอุ่น ๆ มาให้ดื่ม ชายหนุ่มชาวแคนาเดียนนึกภาพเลือดที่ตนเองเห็นแล้วส่ายหน้าก่อนจะตอบ “ก็ไม่มากหรอกครับ”
“งั้นก็แล้วไป ถ้านายบอกว่ามันไม่เยอะแสดงว่าอเมริกาน่าจะยังปลอดภัยอยู่ …ไม่สิ ถ้าเกิดคนร้ายมันใช้อาวุธปืนล่ะ?”
“ถ้าใช้ปืนจริงก็หวังว่าจะเป็นปืนขนาดลำกล้อง .38 หรือ .45 อย่างน้อยกระสุนก็มีความเร็วต่ำกว่าสองพันฟุตต่อวินาที” อังกฤษกล่าวต่อหลังจากที่ชงเครื่องดื่มอุ่น ๆ เสร็จแล้ว เขาเดินมาพร้อมกับถาดใส่แก้วแล้ววางมันลงให้ทีละคน
“ถ้าเกิดมากกว่านั้นอย่างเช่นเกิดจากการถูกยิงในระยะใกล้กว่าเจ็ดฟุต กระสุนจะรวมเข้าเป้าและมีอำนาจทำลายสูงเนื้อเยื่อจะถูกทำลายบริเวณกว้างรอบทางกระสุนผ่าน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็คิดว่าคนร้ายคงไม่ใช้อาวุธที่ร้ายแรงนักหรอก และอีกอย่าง ถึงแม่ว่ารถยนต์และคนที่เดินผ่านไปมาจะแทบไม่มีแล้วแต่ถ้าใช้อาวุธปืนทำไมถึงไม่มีใครได้ยินเสียง? หรือจะเป็นปืนประเภทเก็บเสียง? แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่หรอก ทำไมตอนนั้นที่เราไปถึงนอกจากแคนาดาแล้วถึงไม่มีใครเลยล่ะ? พวกนายสังเกตบ้างหรือเปล่า?”
สกอตแลนด์พูดมาถึงตรงนี้ในห้องโถงก็มีเพียงแต่ความเงียบ อังกฤษกับแคนาดามองหน้ากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“จะว่าไปก็จริง ตอนที่เรากำลังจะกลับที่นั่นมันมืดผิดปรกติ” อังกฤษเพิ่งนึกขึ้นได้ แคนาดากล่าวต่อ “ทำไมผมถึงไม่เอะใจนะ? จะพูดว่าที่นั่นมืดผิดปรกติก็คงไม่ถูกหรอกครับ แต่พูดว่าไม่มีแสงไฟจากที่ไหนเลยน่าจะถูกกว่าและไม่มีเสียงรถเลยแม้แต่คันเดียว”
“จะบอกว่าตอนนี้มันดึกและฝนตกก็แทบไม่น่าเชื่อ อย่างน้อยมันน่าจะมีเสียงอะไรบ้างสิแต่นี่นอกจากฝนแล้วก็เงียบสุด ๆ ” อังกฤษเอ่ยก่อนจะดื่มน้ำชา ความร้อนและกลิ่นหอมของมันช่วยผ่อนความตึงเครียดได้ดี
“ตอนนี้เรื่องนั้นปล่อยไว้ก่อน ปัญหาที่เราต้องทำก่อนคือเราจะไปตามหาอเมริกาที่ไหน? คนร้ายไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้เลย ---ไม่สิ เวทเคลื่อนย้าย อังกฤษ นายยังเก็บตำราเวทมนตร์อยู่ไหม?” สกอตแลนด์เอ่ยกับอังกฤษที่ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกออก ดวงตาของทั้งสองฉายแววความหวัง
“ฉันลืมไปได้ไงนะ แน่นอน ฉันยังเก็บไว้ที่ห้องใต้ดิน” แคนาดามองทั้งสองคนอย่างไม่เข้าใจ แต่ดูจากสีหน้าพวกเขาแล้วก็รู้สึกใจชื่นที่โอกาสยังมีหวังอยู่
“พาฉันไปดูที”
“ว่าแต่ให้แคนาดาอยู่ที่นี่มั้ย ถ้าเกิดเขาถูกทำร้ายระหว่างที่เราไม่อยู่ล่ะ?”
“งั้นให้มาด้วย”
อังกฤษแปลกใจที่สกอตแลนด์ยอมให้แคนาดาไปที่ที่เก็บตำราเวทมนตร์ ตอนที่เขายังเป็นเด็ก ๆ สกอตแลนด์มักจะพูดเสมอว่าของพวกนั้นห้ามให้ใครเห็นเด็ดขาด แต่ตอนนี้ไม่ใช้เวลามาสนใจเรื่องนั้น เขาลุกขึ้นเดินตามด้วยอีกสองคน
อังกฤษหยิบไฟฉายให้คนละกระบอกเพราะทางเดินลงไปยังห้องใต้ดินไม่มีหลอดไฟติดก่อนจะเดินลงไป เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะปิดประตูทางเข้าหรือเปิดไว้ดี เพราะหากเปิดแล้วมีใครแอบเข้ามาได้เกิดเรื่องแน่ แต่ถ้าเกิดข้างล่างเกิดมีอันตรายขึ้นมาก็ตายพอกัน ก่อนที่ความคิดแวบหนึ่งจะผ่านเข้ามา อังกฤษเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าห้องใต้ดินยังมีทางออกทางอื่นอยู่อีกจึงตัดสินใจปิดประตูแล้วร่ายเวทเพื่อผนึกมันไว้ เกิดแสงสว่างวูบหนึ่งแล้วดับไป
ระหว่างทางเดินมีเพียงความเงียบ ความอึดอัด และความมืด ทางเดินลงบันไดทำมาจากอิฐผนังเองก็เช่นกัน ฉะนั้นแล้วไม่แปลกใจเลยถ้าเกิดช่องว่างของอากาศมันแทบจะไม่มี กลิ่นสาบสางและเหม็นชื้นยิ่งแล้วใหญ่ แสงไฟจากไฟฉายต่อให้รวมเป็นสามกระบอกก็ใช่ว่าจะทำให้ที่นี่สว่างนัก แคนาดามองไปรอบ ๆ แล้วหันไปมองด้านหลังที่มองไม่เห็นอะไร พูดตามตรงเลยว่าเขากลัวอยู่เหมือนกัน แต่สกอตแลนด์กับอังกฤษไม่ได้รู้สึกแบบนั้น พวกเขาชินแล้วกับบรรยากาศแบบนี้เวลาทำพิธีจนชายหนุ่มชาวแคนาเดียนอดคิดไม่ได้ว่าสมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน (และเพราะมันน่ากลัวขึ้นทุกทีเลยแอบประชดไปด้วย)
พอมาถึงอังกฤษก็ร่ายเวทมนตร์อีกครั้ง ยังดีที่เขายังจำมันได้ไม่อย่างนั้นเปิดประตูไม่ได้แน่ ก่อนจะเกิดแสงสว่างเรือง ๆ ดูน่าขนลุกบอกไม่ถูก แคนาดารู้สึกหวั่นใจเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับเวทมนตร์
ประตูซึ่งทำจากอิฐค่อย ๆ แยกออกจากกัน กลิ่นอับเหม็นชื้นยิ่งทวีขึ้นเมื่อมันออกมาจากข้างในจนสกอตแลนด์อดถามไม่ได้
“ฉันถามจริงนะ นายเคยทำความสะอาดห้องหรือที่นี่บ้างไหม?”
“สามปีต่อครั้ง” อังกฤษใช่ว่าจะไม่เหม็นกลิ่นอับ แต่เขาไม่เอะใจว่าทำไมพี่ชายตนเองถามแบบนั้น สกอตแลนด์ลอบถอนหายใจเบา ๆ กับความไม่เอาใจใส่ของน้องชาย เรื่องอื่นนี่รอบคอบดีจริงแต่เรื่องนี้ทำไมถึงละเลยนักนะ
ทำความสะอาดแบบไหนของแกฟะ ต่อให้สามปีต่อครั้งแต่ทำไมกลิ่นถึงเหม็นขนาดนี้ล่ะ?
และแน่นอนว่าสกอตแลนด์ไม่ได้พูดออกไป ทั้งสามคนเดินเข้าไปในห้องก่อนที่สกอตแลนด์จะตรงไปยังที่วางชั้นหนังสือ แคนาดามองสภาพห้องด้วยสีหน้าซีด ๆ บางมุมห้องมีใยแมงมุมและมีหัวกะโหลกที่ผุกร่อนห้อยกับเชือกเก่า ๆ ผนังฝั่งหนึ่งมีโต๊ะที่วางโหลแก้วใส่สิ่งมีชีวิตที่น่าสงสาร ที่เห็นได้บ่อยก็จะเป็นตะขาบไม่ก็งู เขาเหลือบตามองอังกฤษสลับกับสกอตแลนด์สองสามครั้งแล้วคิด
อังกฤษ บางทีผมก็คิดนะว่าเธอน่ากลัวกว่าคนอื่น
ดูเหมือนว่าเรื่องก่อนหน้านี้จะแทบไม่อยู่ในสมองเมื่อเขาสนใจกับของที่อยู่ในห้องนี้ แคนาดาจำได้ว่าแต่ก่อนอังกฤษห้ามเขากับอเมริกาอย่างเด็ดขาดเลยว่าห้ามลงไปที่ห้องใต้ดิน แต่ถึงไม่ห้ามเขากับพี่ตนเองก็ลงมาไม่ได้อยู่แล้วล่ะ
“นี่ใช่ไหมสกอตแลนด์?” อังกฤษช่วยอีกฝ่ายหาก่อนจะหยิบหนังสือที่เย็บกระดาษเข้ากับด้ายให้ สกอตแลนด์รับหนังสือที่เก่าโทรมแล้วมาเปิดอ่านอย่างทะนุถนอม “อืม แต่ดูยาก”
อังกฤษเห็นด้วยเพราะหนังสือเก่าขนาดนั้นการที่ตัวอักษรจะขาด ๆ หาย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาคิดว่าตนเองควรทำฉบับคัดลอกสำรองไว้
“ว่าแต่เราจะใช้ยังไงล่ะ? เวทนี้ใช้ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าจะไปสถานที่ไหนแล้วจึงตั้งจิตนึกภาพตาม ไม่ก็ใช้ของที่เคยอยู่ในสถานที่นั้น”
“ตามข้อหลังนั่นแหละ นายมีของอะไรที่เป็นของอเมริกาไหมล่ะ? ในกรณีนี้ก็ใช้ได้เหมือนกันเพื่อให้มันเป็นสื่อกลางสองสถานที่” อังกฤษนึกอยู่พักหนึ่งแต่ก็จำไม่ได้ว่าตนเองมีของอะไรที่เป็นของอเมริกาบ้าง แคนาดาที่ได้ยินก็เดินเข้ามาใกล้แล้วพูด
“เอ่อ แผ่นเกมได้ไหมครับ มันเป็นของอเมริกา” สกอตแลนด์มองแคนาดาก่อนจะตอบ “ใช้ได้ ว่าแต่นายรู้ไหมว่าเขาซื้อมาจากไหน?”
“รู้ครับ ว่าแต่ทำไมเหรอ หรือว่าเธออยากเล่น” แคนาดาถามอย่างซื่อ ๆ เล่นเอาสกอตแลนด์เกือบจะเอาศีรษะโขกกับชั้นหนังสือ อังกฤษหันหน้าไปอีกทางแล้วพยายามหุบยิ้มเพราะอยากหัวเราะ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกแคนาดา เวทบทนี้ถ้าเกิดโชคร้ายสิ่งของที่เราใช้มันจะหายไป สกอตแลนด์เลยถามเผื่อต้องซื้อคืน” อังกฤษตอบโดยพยายามกลั้นขำสุดชีวิตเมื่อเห็นหน้าสกอตแลนด์ดูเอือม ๆ กับแคนาดา
“และแน่นอนว่าคนจ่ายต้องไม่ใช่ฉัน อังกฤษ ในฐานะที่เป็นพี่ชายนายควรจะรับผิดชอบ” อังกฤษหันขวับไปมองสกอตแลนด์เหมือนจะถามว่าไหงเป็นงั้น ชายหนุ่มผมสีแดงทำเป็นไม่สนใจแล้วพูดต่อ
“พิธีนี้ฉันทำเอง แคนาดาไปยังอยู่ริม ๆ ห้องก่อน อังกฤษนายช่วยถือไฟฉายมาส่องที”
แคนาดายอมไปอยู่ริมห้องอย่างว่าง่ายแล้วสะดุ้งเมื่อเขายืนใกล้กับโหลใส่ลูกตาก่อนที่สกอตแลนด์จะเริ่มพิธี ชายหนุ่มผมสีแดงลงมือเขียนอักขระบทเวทที่ผิวพื้นอย่างตั้งใจในขณะที่อังกฤษส่องไฟฉายให้ เพราะถ้าเกิดพลาดไปตัวใดตัวหนึ่งอาจเกิดเรื่องร้ายแรงได้ อย่างน้อยที่สุดก็หลุดเข้าไปในอีกมิติหนึ่งแล้วไม่ได้กลับมาอีก
พอเขียนเสร็จสกอตแลนด์ก็ร่ายเวท อังกฤษกับแคนาดายืนมองนิ่ง ๆ ก่อนที่แสงสีฟ้าจะสว่างไปทั่วห้องและด้วยความที่มันจ้ามากทั้งสองจึงยกแขนมาบังไว้ ส่วนสกอตแลนด์ยังคงจ้องไปยังรอยอักขระและร่ายเวทต่อไป
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็หายไปจากห้องพร้อมกับที่แสงดับวูบลง ไฟฉายทั้งสามกระบอกตกกระทบกับพื้นและเปิดไว้อย่างนั้น ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มผมสีบลอนด์จะเดินเข้ามา… ไม่สิ น่าจะกล่าวว่าปรากฏออกมาถึงจะถูก เขาพึมพำอะไรบางอย่างแล้วหายตัวไป
เริ่มจากห้องใต้ดิน
ซ่า ๆ
ชายหนุ่มดวงตาสีม่วง ผมออกหยักศกมีปอยผมเส้นหนึ่งม้วนลงมาข้างหน้า สวมชุดที่มีลายใบเมเปิ้ลและสะพายกระเป๋าข้างหนึ่งถอนหายใจ เมื่อเขากดกริ่งหลายรอบแล้วแต่เจ้าของบ้านไม่ออกมาเปิดเสียที แคนาดามองซ้ายทีขวาทีอย่างหาทางออกแล้วตัดสินใจตะโกน
“อเมริกา! เธออยู่ไหม ผมเอาเกมที่เธอลืมไว้มาให้” แคนาดายืนนิ่ง ๆ รออยู่พักหนึ่งแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับ ในขณะที่เขาคิดว่าตัวเองน่าจะโทรฯ มาบอกล่วงหน้าก่อนนั้นก็คิดได้ว่าพี่ชายตนเองคงออกไปนอกบ้าน จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรฯ หาอเมริกา
“…”
แคนาดารออยู่พักหนึ่งจนมันนานพอที่จะทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่รับสาย เขาถอนหายใจแล้ววางสายก่อนจะกดเบอร์ของอังกฤษ
ฝ่ายอังกฤษที่ตอนนี้กำลังเดินไปส่งสกอตแลนด์ที่หน้าบ้าน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทานอาหารเย็นด้วยกันนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วดูว่าเป็นใคร ชื่อแคนาดาที่ปรากฏนั้นทำให้เขาแปลกใจนิดหน่อย
“ฮัลโหล แคนาดามีอะไรเหรอถึงโทรฯ มาตอนนี้?” หลังจากกดรับสายอังกฤษก็ถามด้วยใจที่เริ่มวิตก เขาอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอเมริกา
“ขอโทษครับอังกฤษ ผมเอาเกมที่อเมริกาลืมไว้ที่บ้านผมมาคืนให้ แต่เขาไม่อยู่ผมเองก็ไม่ได้โทรฯ นัดเขาไว้ล่วงหน้าเลยคิดว่าอเมริกาน่าจะอยู่ที่บ้านเธอ” สกอตแลนด์มองอังกฤษอย่างสงสัยว่าใครโทรฯ มา น้องชายเขาทำมือเป็นเชิงบอกว่าให้เงียบก่อน
“อเมริกาไม่ได้อยู่บ้านฉันหรอกตอนนี้ฉันอยู่กับสกอตแลนด์ บางทีเขาอาจจะไปหาญี่ปุ่นก็ได้”
“ขอบคุณครับอังกฤษ” หลังจากแคนาดากล่าวจบทั้งสองก็บอกลากัน สกอตแลนด์ได้โอกาสจึงถามอังกฤษ “ใครโทรฯ มาน่ะ?”
“แคนาดาน่ะ” อังกฤษไม่ตอบอะไรมากกว่านั้น ตอนนี้เขาคิดไปต่าง ๆ นานาว่าอเมริกาอาจจะเจอเรื่องร้ายแรง “บ้าจริง หมอนั่นออกไปไหนตอนนี้นะ”
สกอตแลนด์เองก็กังวลไม่แพ้กัน เขาคิดถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ “คงไม่ใช่ว่าอเมริกาถูกใครบางคนเรียกออกไปนะ”
“ตัวเราอีกคน?”
“ชักน่ากลัวแล้วสิ ถ้าเกิดเป็นอย่างที่เราคิดก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นตัวนายอีกคนก็ได้ที่เรียก หรือว่าเขาอาจจะโดนทำร้ายในบ้าน” สกอตแลนด์ขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม อังกฤษได้ฟังดังนั้นก็รีบโทรฯ หาแคนาดา
ระหว่างนั้นแคนาดาที่เดินออกจากบ้านมาแล้วนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาแปลกใจที่ชื่อปลายสายเป็นอังกฤษ
“ฮัลโหล มีอะไรเหรอครับอังกฤษ”
“แคนาดา! ตอนนี้นายอยู่ไหน!” อังกฤษแทบจะตะโกนใส่ปลายสาย แคนาดาสะดุ้งก่อนจะถามกลับไปอย่างหวาด ๆ “เอ่อ ถนนแถวบ้านอเมริกาน่ะครับ”
“นายช่วยกลับไปบ้านเขาแล้วพังประตูให้ทีสิ!”
“อังกฤษเธอพูดอะไรน่ะครับ! ทำแบบนั้นมัน---” แคนาดาหน้าถอดสีที่อดีตพี่ชายอีกคนของตนเองบอกให้ทำเรื่องแบบนั้น “นายอยากให้พี่ชายตัวเองตายรึไง!”
“!!”
แคนาดาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่น้ำเสียงของอังกฤษฟังแล้วดูกังวลมาก ชายหนุ่มดวงตาสีม่วงเผลอทิ้งร่มที่กางกันฝนแล้วรีบวิ่งกลับไปยังบ้านพี่ชายตนเอง ความเย็นเฉียบของฝนไม่ทำให้เขาใจเย็นและเขาก็ไม่สนด้วยว่าตนเองจะเปียก พอมาถึงเขาก็มองซ้ายมองขวาเพื่อหาวัตถุที่หนักและแข็งพอจะพังประตูบ้าน ในเวลากลางคืนแบบนี้ความมืดเป็นอุปสรรคในการหาของก็จริงแต่ถ้าเพ่งมองดี ๆ มันก็ไม่ยากนัก แต่นอกจากกระถางต้นไม้แล้วก็ไม่มีอะไรที่มีคุณสมบัติพอ แคนาดาจึงวิ่งไปยังข้างบ้านเพื่อเข้าทางหน้าต่างก่อนจะหยิบกระถางต้นไม้แถวนั้นมาทุบกระจกหน้าต่างที่ล็อคอยู่
เพล้ง!
พอทุบจนมันแหลกพอให้เข้าไปได้แคนาดาก็ไม่รอช้ารีบปีนเข้าหน้าต่าง โทนี่ที่ได้ยินเสียงผิดปรกติเดินมาดูแล้วมองแคนาดาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดระแวงเพราะพวกเขาคุ้นเคยในระดับหนึ่ง
“อ้าว? โทนี่ ทำไมผมเรียกตั้งหลายครั้งแล้วไม่ช่วยมาเปิดประตูล่ะครับ หรืออเมริกาห้ามไม่ให้เปิดประตูให้ใคร?” โทนี่พยักหน้า แคนาดาถอนหายใจก่อนจะถามต่อ “แล้วอเมริกาอยู่ไหนเหรอครับ?” เพื่อนมนุษย์ต่างดาวส่ายหน้า ชายหนุ่มดวงตาสีม่วงขมวดคิ้วมุ่นเพราะความไม่สบายใจ เขานึกถึงคำพูดของอังกฤษที่บอกเป็นนัยว่าพี่ชายตนเองกำลังเจอเรื่องอันตราย ระหว่างนั้นโทนี่ก็เข้ามาดึงชายเสื้อเขาแล้วชี้ไปที่เศษกระจกหน้าต่างแล้วทำหน้าไม่พอใจ แคนาดายิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะเอ่ย
“อ่า… ไว้จะมาชดใช้ค่าเสียหายนะครับ แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องด่วนจริง ๆ ” แคนาดาเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมเมื่อคิดว่าจะค้นบ้านพี่ชายตนเอง เขารีบวิ่งไปดูห้องและส่วนต่าง ๆ ของบ้านแต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ ก่อนจะกลับมาที่หน้าต่างที่ตนเองทุบเข้ามาแล้วปีนขึ้นไปและรีบวิ่ง
ซ่า ๆ
เปรี้ยง!
เสียงฝนตกและเสียงฟ้าร้องยิ่งบีบคั้นให้แคนาดากังวลมากขึ้น บรรยากาศแบบนี้ดูเป็นลางไม่ดีเลย รองเท้าจากตอนแรกที่สะอาดนั้นมาตอนนี้เต็มไปด้วยโคลนและเศษดิน ใบหน้าผมเผ้าเปียกไปด้วยน้ำฝน เสื้อผ้ากับกางเกงแนบเนื้อจนอึดอัด แต่ทั้งหมดนั่นไม่ทำให้แคนาดาสนใจแม้แต่น้อย
ตึก…
แคนาดาหยุดเดินเมื่อมาถึงบริเวณม้านั่งที่มีเสาไฟตั้งอยู่ไม่ห่างนัก ดวงตาสีม่วงเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพบกับความเป็นจริงตรงหน้า
เปรี้ยง!!
ท้องฟ้าสว่างวูบหนึ่งก่อนที่จะเหลือเพียงความมืดมิดเมื่อเสาไฟกระพริบอยู่ครู่หนึ่งแล้วดับไป …ของเหลวสีแดงที่เจิ่งนองบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยน้ำฝนนั้นส่งกลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียน มันเริ่มไหลไปพร้อมกับน้ำฝนจนจางลงเรื่อย ๆ แคนาดาทรุดลงนั่งกับพื้นโดยไม่สนว่ามันเปียกและสกปรก
ทำไม… เลือด… แล้วอเมริกาล่ะ? อเมริกาอยู่ไหน?
ซ่า ๆ ซ่า ๆ …
สายลมที่เย็นยะเยือกนั้นทำให้ภาพโดยรอบน่าขนลุก ฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างรุนแรงราวกับจะตอกย้ำภาพตรงหน้า แคนาดาส่ายหน้าช้า ๆ เพื่อปฏิเสธความเป็นจริง
“อเมริกา!!!”
อังกฤษกับสกอตแลนด์แทบจะนั่งอยู่ไม่สุขเพราะสถานการณ์ตอนนี้ชักน่ากลัวขึ้นทุกที ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่บนรถแท็กซี่เพื่อไปยังบ้านอเมริกา พอมาถึงและลงจากรถแล้วสกอตแลนด์ก็รีบยัดเงินใส่มือคนขับโดยไม่รอเงินทอน ระหว่างที่รถแล่นจากไปแล้วทั้งสองคนก็เดินอย่างรวดเร็วไปที่ประตูบ้าน พอเห็นว่าไม่มีร่องรอยในการงัดแงะหรือพังก็เดินไปที่ข้างบ้านเพราะคิดว่าแคนาดาคงจะเข้าทางนี้
มองลึกเข้าไปผ่านหน้าต่างที่กระจกแตกมีเพียงความมืดเท่านั้น ดูเหมือนว่าฟ้าแรงจนไฟดับ อังกฤษกับสกอตแลนด์มองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แคนาดายังไม่โทรฯ บอกอะไรเลย อย่าบอกนะว่าอเมริกา---” หัวใจของอังกฤษเต้นถี่กระชั้น สกอตแลนด์แม้ว่าจะมีสีหน้าที่ขรึมกว่าแต่น้ำเสียงที่ตอบนั้นบ่งบอกว่าเขาเองก็กังวลไม่แพ้กัน
“อเมริกาเสร็จมันแล้ว?”
“แล้วจะทำไงต่อดีล่ะ?” อากาศรอบกายเย็นลงทุกที ๆ สมองอังกฤษด้านชาจนแทบคิดอะไรไม่ออก “ก็ต้องออกตามหานั่นแหละ ให้ตายสิ สถานการณ์แย่ลงทุกที ถ้าใครอีกคนโดนล่ะก็เรื่องนี้จบเห่แน่” สกอตแลนด์เลียริมฝีปาก รสเค็มของน้ำฝนเรียกสติเขากลับมาได้หน่อย
หลังจากนั้นพวกเขาก็วิ่งมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงม้านั่งที่มีร่างหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น แม้ความมืดจะมีมากขึ้นเพราะไฟจากที่ต่าง ๆ เริ่มดับลงเพราะฟ้าแรงแต่อังกฤษก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“แคนาดา?”
“อังกฤษ… ผมขอโทษ ผมมาช้าเกินไป” ตอนแรกอังกฤษไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คำพูดกับน้ำเสียงที่สั่นเครือจนคุมไม่อยู่นั้นก็มากพอแล้วที่จะอธิบายสถานการณ์ เพราะตัวเขาและพี่ชายตนเองก็เพิ่งสังเกตเลือดที่จางลงจนแทบไม่เห็นเพราะมันโดนน้ำฝนชะล้างเกือบหมด
“เลือดอเมริกา?” ชายหนุ่มดวงตาสีเขียวพึมพำ ดวงตาเขาเบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มามัวเสียใจมีแต่เสียกับเสีย อังกฤษจึงกัดริมฝีปากระบายความรู้สึกในใจจนเลือดซึมออกมา ฝ่ายแคนาดาเองก็รู้สึกไม่ต่างกันและพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“ถึงจะไม่มีหลักฐานก็เถอะ แต่เรื่องที่เราเจอกับเลือดตรงนี้มันไม่เผอิญเกินไปเหรอ?” ตอนนี้คนที่มีสติมากที่สุดก็คือสกอตแลนด์ อย่างน้อยเขาก็ยังมีสติพอที่จะทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่นายพูดนั่นแหละ ฉันว่ามันไม่มีทางเป็นเลือด ใครอื่นได้อีกนอกจากอเมริกา …แต่ว่าเขาอยู่ไหนล่ะ? นี่คงไม่ใช่การฆ่าแบบเก็บศพใช่ไหม?” อังกฤษพยายามพยุงจิตใจให้กลับมาเป็นปรกติแม้ว่าในใจตอนนี้จะด่าตัวเขาอีกคนเป็นล้าน ๆ คำแล้ว
“กลับบ้านนายก่อนเถอะ รวมทั้งแคนาดาด้วย” สกอตแลนด์กล่าวต่อพร้อมกับมองไปรอบ ๆ
ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทำไมที่นี่ถึงได้มืด… และเงียบขนาดนี้
ซ่า ๆ
ฝนไม่มีท่าทีหยุดตก หลังจากพวกเขากลับมาอาบน้ำที่บ้านอังกฤษ และเปลี่ยนเสื้อที่เจ้าของบ้านพอมีให้ยืมแล้ว สกอตแลนด์ก็ตัดสินใจว่าจะอยู่บ้านน้องชายตนเองจนกว่าเรื่องจะจบ แคนาดาเริ่มกลับมาเป็นปรกติเพราะคิดได้ว่าไม่มีอะไรมายืนยันว่าพี่ชายเขาตายไปแล้ว
“แคนาดา ตอนที่นายเห็นเลือดมันเยอะมั้ย?” สกอตแลนด์ถามแคนาดาในระหว่างที่อังกฤษไปชงอะไรอุ่น ๆ มาให้ดื่ม ชายหนุ่มชาวแคนาเดียนนึกภาพเลือดที่ตนเองเห็นแล้วส่ายหน้าก่อนจะตอบ “ก็ไม่มากหรอกครับ”
“งั้นก็แล้วไป ถ้านายบอกว่ามันไม่เยอะแสดงว่าอเมริกาน่าจะยังปลอดภัยอยู่ …ไม่สิ ถ้าเกิดคนร้ายมันใช้อาวุธปืนล่ะ?”
“ถ้าใช้ปืนจริงก็หวังว่าจะเป็นปืนขนาดลำกล้อง .38 หรือ .45 อย่างน้อยกระสุนก็มีความเร็วต่ำกว่าสองพันฟุตต่อวินาที” อังกฤษกล่าวต่อหลังจากที่ชงเครื่องดื่มอุ่น ๆ เสร็จแล้ว เขาเดินมาพร้อมกับถาดใส่แก้วแล้ววางมันลงให้ทีละคน
“ถ้าเกิดมากกว่านั้นอย่างเช่นเกิดจากการถูกยิงในระยะใกล้กว่าเจ็ดฟุต กระสุนจะรวมเข้าเป้าและมีอำนาจทำลายสูงเนื้อเยื่อจะถูกทำลายบริเวณกว้างรอบทางกระสุนผ่าน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็คิดว่าคนร้ายคงไม่ใช้อาวุธที่ร้ายแรงนักหรอก และอีกอย่าง ถึงแม่ว่ารถยนต์และคนที่เดินผ่านไปมาจะแทบไม่มีแล้วแต่ถ้าใช้อาวุธปืนทำไมถึงไม่มีใครได้ยินเสียง? หรือจะเป็นปืนประเภทเก็บเสียง? แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่หรอก ทำไมตอนนั้นที่เราไปถึงนอกจากแคนาดาแล้วถึงไม่มีใครเลยล่ะ? พวกนายสังเกตบ้างหรือเปล่า?”
สกอตแลนด์พูดมาถึงตรงนี้ในห้องโถงก็มีเพียงแต่ความเงียบ อังกฤษกับแคนาดามองหน้ากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“จะว่าไปก็จริง ตอนที่เรากำลังจะกลับที่นั่นมันมืดผิดปรกติ” อังกฤษเพิ่งนึกขึ้นได้ แคนาดากล่าวต่อ “ทำไมผมถึงไม่เอะใจนะ? จะพูดว่าที่นั่นมืดผิดปรกติก็คงไม่ถูกหรอกครับ แต่พูดว่าไม่มีแสงไฟจากที่ไหนเลยน่าจะถูกกว่าและไม่มีเสียงรถเลยแม้แต่คันเดียว”
“จะบอกว่าตอนนี้มันดึกและฝนตกก็แทบไม่น่าเชื่อ อย่างน้อยมันน่าจะมีเสียงอะไรบ้างสิแต่นี่นอกจากฝนแล้วก็เงียบสุด ๆ ” อังกฤษเอ่ยก่อนจะดื่มน้ำชา ความร้อนและกลิ่นหอมของมันช่วยผ่อนความตึงเครียดได้ดี
“ตอนนี้เรื่องนั้นปล่อยไว้ก่อน ปัญหาที่เราต้องทำก่อนคือเราจะไปตามหาอเมริกาที่ไหน? คนร้ายไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้เลย ---ไม่สิ เวทเคลื่อนย้าย อังกฤษ นายยังเก็บตำราเวทมนตร์อยู่ไหม?” สกอตแลนด์เอ่ยกับอังกฤษที่ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกออก ดวงตาของทั้งสองฉายแววความหวัง
“ฉันลืมไปได้ไงนะ แน่นอน ฉันยังเก็บไว้ที่ห้องใต้ดิน” แคนาดามองทั้งสองคนอย่างไม่เข้าใจ แต่ดูจากสีหน้าพวกเขาแล้วก็รู้สึกใจชื่นที่โอกาสยังมีหวังอยู่
“พาฉันไปดูที”
“ว่าแต่ให้แคนาดาอยู่ที่นี่มั้ย ถ้าเกิดเขาถูกทำร้ายระหว่างที่เราไม่อยู่ล่ะ?”
“งั้นให้มาด้วย”
อังกฤษแปลกใจที่สกอตแลนด์ยอมให้แคนาดาไปที่ที่เก็บตำราเวทมนตร์ ตอนที่เขายังเป็นเด็ก ๆ สกอตแลนด์มักจะพูดเสมอว่าของพวกนั้นห้ามให้ใครเห็นเด็ดขาด แต่ตอนนี้ไม่ใช้เวลามาสนใจเรื่องนั้น เขาลุกขึ้นเดินตามด้วยอีกสองคน
อังกฤษหยิบไฟฉายให้คนละกระบอกเพราะทางเดินลงไปยังห้องใต้ดินไม่มีหลอดไฟติดก่อนจะเดินลงไป เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะปิดประตูทางเข้าหรือเปิดไว้ดี เพราะหากเปิดแล้วมีใครแอบเข้ามาได้เกิดเรื่องแน่ แต่ถ้าเกิดข้างล่างเกิดมีอันตรายขึ้นมาก็ตายพอกัน ก่อนที่ความคิดแวบหนึ่งจะผ่านเข้ามา อังกฤษเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าห้องใต้ดินยังมีทางออกทางอื่นอยู่อีกจึงตัดสินใจปิดประตูแล้วร่ายเวทเพื่อผนึกมันไว้ เกิดแสงสว่างวูบหนึ่งแล้วดับไป
ระหว่างทางเดินมีเพียงความเงียบ ความอึดอัด และความมืด ทางเดินลงบันไดทำมาจากอิฐผนังเองก็เช่นกัน ฉะนั้นแล้วไม่แปลกใจเลยถ้าเกิดช่องว่างของอากาศมันแทบจะไม่มี กลิ่นสาบสางและเหม็นชื้นยิ่งแล้วใหญ่ แสงไฟจากไฟฉายต่อให้รวมเป็นสามกระบอกก็ใช่ว่าจะทำให้ที่นี่สว่างนัก แคนาดามองไปรอบ ๆ แล้วหันไปมองด้านหลังที่มองไม่เห็นอะไร พูดตามตรงเลยว่าเขากลัวอยู่เหมือนกัน แต่สกอตแลนด์กับอังกฤษไม่ได้รู้สึกแบบนั้น พวกเขาชินแล้วกับบรรยากาศแบบนี้เวลาทำพิธีจนชายหนุ่มชาวแคนาเดียนอดคิดไม่ได้ว่าสมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน (และเพราะมันน่ากลัวขึ้นทุกทีเลยแอบประชดไปด้วย)
พอมาถึงอังกฤษก็ร่ายเวทมนตร์อีกครั้ง ยังดีที่เขายังจำมันได้ไม่อย่างนั้นเปิดประตูไม่ได้แน่ ก่อนจะเกิดแสงสว่างเรือง ๆ ดูน่าขนลุกบอกไม่ถูก แคนาดารู้สึกหวั่นใจเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับเวทมนตร์
ประตูซึ่งทำจากอิฐค่อย ๆ แยกออกจากกัน กลิ่นอับเหม็นชื้นยิ่งทวีขึ้นเมื่อมันออกมาจากข้างในจนสกอตแลนด์อดถามไม่ได้
“ฉันถามจริงนะ นายเคยทำความสะอาดห้องหรือที่นี่บ้างไหม?”
“สามปีต่อครั้ง” อังกฤษใช่ว่าจะไม่เหม็นกลิ่นอับ แต่เขาไม่เอะใจว่าทำไมพี่ชายตนเองถามแบบนั้น สกอตแลนด์ลอบถอนหายใจเบา ๆ กับความไม่เอาใจใส่ของน้องชาย เรื่องอื่นนี่รอบคอบดีจริงแต่เรื่องนี้ทำไมถึงละเลยนักนะ
ทำความสะอาดแบบไหนของแกฟะ ต่อให้สามปีต่อครั้งแต่ทำไมกลิ่นถึงเหม็นขนาดนี้ล่ะ?
และแน่นอนว่าสกอตแลนด์ไม่ได้พูดออกไป ทั้งสามคนเดินเข้าไปในห้องก่อนที่สกอตแลนด์จะตรงไปยังที่วางชั้นหนังสือ แคนาดามองสภาพห้องด้วยสีหน้าซีด ๆ บางมุมห้องมีใยแมงมุมและมีหัวกะโหลกที่ผุกร่อนห้อยกับเชือกเก่า ๆ ผนังฝั่งหนึ่งมีโต๊ะที่วางโหลแก้วใส่สิ่งมีชีวิตที่น่าสงสาร ที่เห็นได้บ่อยก็จะเป็นตะขาบไม่ก็งู เขาเหลือบตามองอังกฤษสลับกับสกอตแลนด์สองสามครั้งแล้วคิด
อังกฤษ บางทีผมก็คิดนะว่าเธอน่ากลัวกว่าคนอื่น
ดูเหมือนว่าเรื่องก่อนหน้านี้จะแทบไม่อยู่ในสมองเมื่อเขาสนใจกับของที่อยู่ในห้องนี้ แคนาดาจำได้ว่าแต่ก่อนอังกฤษห้ามเขากับอเมริกาอย่างเด็ดขาดเลยว่าห้ามลงไปที่ห้องใต้ดิน แต่ถึงไม่ห้ามเขากับพี่ตนเองก็ลงมาไม่ได้อยู่แล้วล่ะ
“นี่ใช่ไหมสกอตแลนด์?” อังกฤษช่วยอีกฝ่ายหาก่อนจะหยิบหนังสือที่เย็บกระดาษเข้ากับด้ายให้ สกอตแลนด์รับหนังสือที่เก่าโทรมแล้วมาเปิดอ่านอย่างทะนุถนอม “อืม แต่ดูยาก”
อังกฤษเห็นด้วยเพราะหนังสือเก่าขนาดนั้นการที่ตัวอักษรจะขาด ๆ หาย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาคิดว่าตนเองควรทำฉบับคัดลอกสำรองไว้
“ว่าแต่เราจะใช้ยังไงล่ะ? เวทนี้ใช้ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าจะไปสถานที่ไหนแล้วจึงตั้งจิตนึกภาพตาม ไม่ก็ใช้ของที่เคยอยู่ในสถานที่นั้น”
“ตามข้อหลังนั่นแหละ นายมีของอะไรที่เป็นของอเมริกาไหมล่ะ? ในกรณีนี้ก็ใช้ได้เหมือนกันเพื่อให้มันเป็นสื่อกลางสองสถานที่” อังกฤษนึกอยู่พักหนึ่งแต่ก็จำไม่ได้ว่าตนเองมีของอะไรที่เป็นของอเมริกาบ้าง แคนาดาที่ได้ยินก็เดินเข้ามาใกล้แล้วพูด
“เอ่อ แผ่นเกมได้ไหมครับ มันเป็นของอเมริกา” สกอตแลนด์มองแคนาดาก่อนจะตอบ “ใช้ได้ ว่าแต่นายรู้ไหมว่าเขาซื้อมาจากไหน?”
“รู้ครับ ว่าแต่ทำไมเหรอ หรือว่าเธออยากเล่น” แคนาดาถามอย่างซื่อ ๆ เล่นเอาสกอตแลนด์เกือบจะเอาศีรษะโขกกับชั้นหนังสือ อังกฤษหันหน้าไปอีกทางแล้วพยายามหุบยิ้มเพราะอยากหัวเราะ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกแคนาดา เวทบทนี้ถ้าเกิดโชคร้ายสิ่งของที่เราใช้มันจะหายไป สกอตแลนด์เลยถามเผื่อต้องซื้อคืน” อังกฤษตอบโดยพยายามกลั้นขำสุดชีวิตเมื่อเห็นหน้าสกอตแลนด์ดูเอือม ๆ กับแคนาดา
“และแน่นอนว่าคนจ่ายต้องไม่ใช่ฉัน อังกฤษ ในฐานะที่เป็นพี่ชายนายควรจะรับผิดชอบ” อังกฤษหันขวับไปมองสกอตแลนด์เหมือนจะถามว่าไหงเป็นงั้น ชายหนุ่มผมสีแดงทำเป็นไม่สนใจแล้วพูดต่อ
“พิธีนี้ฉันทำเอง แคนาดาไปยังอยู่ริม ๆ ห้องก่อน อังกฤษนายช่วยถือไฟฉายมาส่องที”
แคนาดายอมไปอยู่ริมห้องอย่างว่าง่ายแล้วสะดุ้งเมื่อเขายืนใกล้กับโหลใส่ลูกตาก่อนที่สกอตแลนด์จะเริ่มพิธี ชายหนุ่มผมสีแดงลงมือเขียนอักขระบทเวทที่ผิวพื้นอย่างตั้งใจในขณะที่อังกฤษส่องไฟฉายให้ เพราะถ้าเกิดพลาดไปตัวใดตัวหนึ่งอาจเกิดเรื่องร้ายแรงได้ อย่างน้อยที่สุดก็หลุดเข้าไปในอีกมิติหนึ่งแล้วไม่ได้กลับมาอีก
พอเขียนเสร็จสกอตแลนด์ก็ร่ายเวท อังกฤษกับแคนาดายืนมองนิ่ง ๆ ก่อนที่แสงสีฟ้าจะสว่างไปทั่วห้องและด้วยความที่มันจ้ามากทั้งสองจึงยกแขนมาบังไว้ ส่วนสกอตแลนด์ยังคงจ้องไปยังรอยอักขระและร่ายเวทต่อไป
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็หายไปจากห้องพร้อมกับที่แสงดับวูบลง ไฟฉายทั้งสามกระบอกตกกระทบกับพื้นและเปิดไว้อย่างนั้น ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มผมสีบลอนด์จะเดินเข้ามา… ไม่สิ น่าจะกล่าวว่าปรากฏออกมาถึงจะถูก เขาพึมพำอะไรบางอย่างแล้วหายตัวไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ