[Fic Hetalia UKUS] ราตรีนิมิตกลางสายฝน
เขียนโดย snowred
วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.50 น.
แก้ไขเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ยามที่ 2 : เขาคนนั้นที่เรียก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความยามที่ 2
เขาคนนั้นที่เรียก
อเมริกาไม่ค่อยอยากเข้ามาในห้องเก็บของในบ้านตัวเองนัก เพราะว่ามันเต็มไปด้วยความทรงจำต่าง ๆ ที่เขามีร่วมกับอังกฤษ แต่พอกลับมาจากที่ประชุมเขาก็นึกถึงวันที่ตนเองแยกตัวมาจากอดีตพี่ชายตัวเอง เขาจำได้ว่ามันเป็นวันที่ขมขื่นที่สุดในชีวิต อเมริกาออกจากอ้อมอกพี่ชายเพื่ออิสรภาพของตนเองและผู้คนในประเทศ แม้ความคับแค้นใจจากการกดขี่ของหัวหน้าอังกฤษจะทำให้เขาเลือกหนทางนี้ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเพียงอย่างเดียว
“…”
อเมริกายังคงยืนนิ่ง ๆ ในห้องเก็บของ แสงจากหลอดไฟตามทางเดินในบ้านส่องมาถึงห้องเล็กน้อย เลยเห็นสิ่งต่าง ๆ ในห้องได้เลือนราง แม้ว่ามันจะเป็นอุปสรรคในการมองเห็นแต่ที่นี่ก็ไม่ได้เข้ามาใช้บ่อย ๆ แถมจะครั้งสองครั้งต่อปีด้วยซ้ำ ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องติดหลอดไฟ
ชายหนุ่มผมบลอนด์ตาสีฟ้าเดินเข้าไปลึก ๆ ก่อนจะก้มลงหยิบตุ๊กตาไม้ทหารที่อังกฤษเคยให้เขา …ตอนนั้นเขาดีใจมากกับของเล่นชิ้นนี้ และอังกฤษเองก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วลูบศีรษะเขา
‘ฉันดีใจนะที่นายชอบมัน …แต่ฉันคงอยู่บ้านได้ไม่นานหรอก’
อเมริกานึกถึงคำพูดของอังกฤษในตอนนั้น ‘ฉันอยู่ต่อไม่ได้หรอก’‘ช่วงนี้งานฉันยุ่งมาก’‘เป็นเด็กดีนะ รักษาสุขภาพด้วยล่ะ’‘ขอโทษนะที่ทำให้เหงา แต่หลังจากนี้ฉันจะมาอยู่กับนายตลอดนะ’
ดวงตาสีฟ้าหม่นลง ราวกับท้องฟ้าที่ฝนเริ่มตั้งเค้า อเมริกาเกลียด… เขาเกลียดคำโกหกเหล่านั้น อังกฤษพูดเสมอว่าจะมาหา จะมาอยู่ด้วยตลอด แต่สุดท้ายก็ทิ้งเขาให้อยู่บ้านอย่างโดดเดี่ยว
เขาว้าเหว่มาตลอดและอดทนกับมันเรื่อยมา หวังว่าสักวันจะได้อยู่กับอังกฤษตราบนานเท่านาน
“หึ… ฉันลืมไปได้ยังไงนะ อาณานิคมไม่ได้มีแต่ฉันนี่” อเมริกายิ้มเยาะ …ไม่ใช่ใครอื่นแต่คือตัวเขาเอง “ฉันคงเป็นแค่เด็กที่นายต้องดูแลสินะ …นั่นสินะ นายเคยรักใครเป็นที่ไหนกัน ขนาดพี่ชายนายยังทำร้ายเขาได้ลงคอเลย”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็แก้แค้นสิ”
“!”
อเมริกาสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเอ่ยเบา ๆ เขาหันไปมองด้านหลังก่อนจะพบกับชายผมบลอนด์ดวงตาสีฟ้าในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินถือปืนคาบศิลา ร่างสูงเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน ใบหน้าที่มีผมลู่แนบนั้นเต็มไปด้วยความหมองเศร้า เขาแทบไม่เชื่อสายตาจนต้องเอาแว่นออกแล้วขยี้ตาเพื่อดูว่าตนเองตาฝาดหรือเปล่า
“นาย--- นายเป็นใครน่ะ! ทำไมหน้าตาถึงเหมือนฉัน?!”
อเมริกาอีกคนมองอีกฝ่ายอย่างนิ่งงัน บรรยากาศที่รายล้อมนั้นน่าหวาดผวาจนอเมริกาเกือบคิดว่าเขาเป็นผี
“ความค้างคาในใจของนาย ฉันจะช่วยเอง”
“อะไรนะ?” อเมริกาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร “จำวันนั้นได้ไหม? วันที่เราแยกตัวออกมาจากอังกฤษ”
“ฉัน… จำได้…”
อเมริกาเม้มริมฝีปากอย่างปวดใจ แม้จะปฏิเสธตัวอีกฝ่ายแต่เขารู้สึกได้ว่าตนเองหนีบางอย่างไม่พ้น
“ความปรารถนาของนายที่อยู่ลึกภายในจิตใจทำให้มีฉัน ฉันคือความอาลัยอาวรณ์ของนายในสงครามครั้งนั้น”
“ความอาลัยอาวรณ์?” อเมริกาพยายามทำความเข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายพูดแล้วเริ่มเข้าใจ “เสียใจด้วย แต่ฉันไม่คิดจะจมปรักอยู่กับอดีตหรอกนะ ตอนนี้หลาย ๆ อย่างฉันว่ามันดีขึ้นแล้วนะ เพราะฉะนั้น---”
“ก็เลยจะปล่อยมันทิ้งไว้แบบนั้น?”
อเมริการู้สึกว่ามีอะไรมาจุกในคอ เขารู้ตัวว่าตนเองทำอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น …เขาปล่อยให้อะไร ๆ มันผ่านมา คิดว่าต่างคนต่างทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้วก็จะกลับมายิ้มให้กันเหมือนเดิม
…ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
“ฉัน…”
เขาหลุบตาลงต่ำ เอ่ยเสียงแผ่ว
รวมทั้งตัวเขาเองก็ด้วยที่สับสนกับตนเองว่าต้องการอะไรกันแน่
“ฉันไม่อยากเร่งนายนักหรอกนะ แต่ตอนนี้อังกฤษกำลังตัดสินใจอยู่เหมือนกัน ถ้าเราเริ่มก่อนก็เท่ากับเดินหน้าไปได้ไกลแล้ว ---เพราะฉะนั้นความลังเลมันทำให้เราตายได้นะ อเมริกา”
อเมริกาสับสนและตึงเครียด เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อตัวเขาอีกคนดีหรือเปล่า ไม่แน่ว่านั่นอาจจะเป็นความชั่วร้ายในตัวเขาก็เป็นได้ และที่เลวร้ายที่สุดอเมริกาอีกคนอาจจะวางแผนทำลายเขาและอังกฤษ ต่อให้เป็นตัวเขาก็เถอะ แต่ขนาดตัวเขาที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย แล้วนับประสาอะไรกับอีกฝ่ายล่ะ
“…ไม่เกินคืนนี้” อเมริกาเอ่ยเบา ๆ ตัวเขาอีกคนมองอย่างไม่เข้าใจ “ไม่เกินคืนนี้ฉันจะให้คำตอบกับนาย”
“หวังว่าจะเป็นคำตอบที่ฉันต้องการ”
อเมริกาอีกคนกล่าวก่อนที่ร่างของเขาจะค่อย ๆ จางหายไป
“…”
ชายหนุ่มอเมริกันยืนนิ่งงันในห้องที่แทบไม่มีแสงสว่างเล็ดลอด
“นี่มัน… เรื่องอะไรกัน?”
“อังกฤษ…”
สกอตแลนด์มองน้องชายของตนเองอย่างพินิจ อีกฝ่ายมีสีหน้าซีดเผือด ดวงตาสีเขียวฉายแววหวาดกลัวกับความเป็นจริงที่ตนเองไม่สามารถปฏิเสธได้
“เอาเถอะ ฉันเองก็ไม่อยากพูดมากไปกว่านี้แล้วล่ะ ว่าไง อังกฤษ? ฉันว่านายน่าจะร่วมมือกับฉันนะ” ปืนในมืออังกฤษลดลง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่เขาเก็บซ่อนไว้ใจมาตลอดจะถูกตัวเขาอีกคนล่วงรู้ ระหว่างนั้นสกอตแลนด์ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ยากจะอ่านออก
“อังกฤษ นายคงไม่โง่พอที่จะหลงเชื่อหมอนั่นนะ”
“บางทีฉันก็เคยคิดนะว่าน่าจะฆ่านายให้ตายตั้งแต่แรก ช่างเป็นพี่ชายที่น่ารำคาญจริง ๆ ” โจรสลัดอังกฤษกล่าวอย่างเบื่อหน่ายแม้ว่าริมฝีปากจะยังยิ้มอยู่
“ฉันควรจะดีใจไหมที่นายเห็นฉันเป็นพี่ หึ” สกอตแลนด์แค่นเสียงอย่างประชด
“อย่างน้อยนั่นก็เคยเป็น ---เวลามีไม่มากพอสำหรับนายนะ อเมริกาเองก็คงกำลังตัดสินใจอยู่เหมือนกัน” อังกฤษอีกคนหันไปพูดกับตัวเขา
“อเมริกา? นายพูดอะไรกับเขา” น้ำเสียงของอังกฤษเย็นเฉียบเมื่อได้ยินชื่อนั้น “วางใจได้ ฉันไม่ได้พูดอะไรกับเขา แต่เป็นเขาอีกคนต่างหากที่พูด”
“นายคงไม่ได้คิดจะเล่นตุกติกอะไรใช่ไหม? หึ ฉันชักกลัวขึ้นมาแล้วสิว่าตัวฉันอีกคนก็คงจะมาหาไม่ช้าก็เร็ว” สกอตแลนด์เอ่ยอย่างล้อเลียน อังกฤษอีกคนได้ฟังดังนั้นก็แสยะยิ้มอย่างนึกสนุก
“แน่นอนว่านายได้เจอแน่”
กล่าวจบทั้งสองก็จ้องตากันอย่างท้าทาย สกอตแลนด์เลียริมฝีปากด้วยความรู้สึกตื่นเต้น …บางครั้งการได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องอันตรายก็เป็นสิ่งที่เขาชอบทำ
---ปัง!
จู่ ๆ ก็มีเสียงดังแหวกผ่านอากาศเฉียดแก้มอังกฤษอีกคน ถึงอย่างนั้นเขาก็เพียงเบิกตากว้างความตกใจ ชายหนุ่มในชุดโจรสลัดหันไปมองด้านหลังที่มีตัวเขาอีกคนเล็งปืนมายังเขา
“ประมาทนะ” อังกฤษยิ้มอย่างเย้ยหยัน โจรสลัดหนุ่มมองอย่างเย็นชาครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“หึ เล่นทีเผลอเรอะ?”
ชายหนุ่มผมสีทองไล้ปลายนิ้วมือในถุงมือสีดำไปตามรอยถากที่มีเลือดซึมออกมาที่แก้ม แม้จะเจ็บแสบและร้อนแต่เขาก็ไม่ใส่ใจ
“ทีเผลออะไรกัน นายอย่าลืมนะว่าต่อให้สถานการณ์เป็นแบบไหน โอกาสที่ศัตรูจะจู่โจมไม่มีเป็นศูนย์หรอก”
“ก็คิดว่าไว้อยู่ล่ะนะ” อังกฤษอีกคนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เขาลดปืนที่เล็งไปยังสกอตแลนด์ลงก่อนจะกล่าวต่อ ท่าทางนั้นไม่มีแต่ความระแวงหรือระมัดระวังตัว
“ฉันให้เวลานายแค่คืนนี้”
หลังจากนั้นร่างของเขาก็จางหายไป อังกฤษมองด้วยความตะลึงครู่หนึ่งในขณะที่สกอตแลนด์จ้องอย่างเคร่งเครียด
“คราวหน้าไม่ใช่แค่ครั้งสุดท้ายแน่ …จนกว่าเรื่องนี้จะจบ” สกอตแลนด์พึมพำ สีหน้ายังไม่คลายลง อังกฤษที่ได้โอกาสแล้วรีบตรงเข้ามาหาสกอตแลนด์ด้วยความเป็นห่วง พอก้มดูบาดแผลและรอยฟกช้ำที่มากเอาเรื่องแล้วก็ถาม
“สกอตแลนด์! นายถูกยิงหรือเปล่า รีบไปโรงพยาบาลเถอะ!” สกอตแลนด์มองอังกฤษที่มีสีหน้าร้อนรนและห่วงใยนั้นแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอย่างขำ ๆ แล้วถามกลับ
“เป็นห่วงเหรอ?”
คำถามสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่เล่นเอาคนถูกถามหน้าแดงเพราะความอาย อังกฤษตะโกนใส่สกอตแลนด์
“ฉันไม่ได้เป็นห่วงซะหน่อย นี่มันบ้านฉันนะจะให้นายมาตายได้ไง!”
“ลืมอะไรไปหรือเปล่า จิตวิญญาณอย่างเราไม่ตายเพราะแผลแค่นี้หรอก” ชายหนุ่มผมสีแดงยอมรับว่าตนเองเจ็บ… เจ็บมากด้วย แต่สีหน้าที่เขินอายของอีกฝ่ายทำให้เขาลืมความรู้สึกนั้น
“ขืนยังเล่นตัวอยู่อีกนายได้เห็นสวรรค์แน่”
ไม่รู้ว่าทำไม พอได้อยู่กับน้องชายแล้วสกอตแลนด์ถึงรู้สึกอบอุ่นมากขนาดนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับเป็นเพียงฝันร้าย
“โอเค ๆ แต่นายทำให้แผลให้ฉันทีสิ โรงพยาบาลมันเหม็นกลิ่นยา”
“นายนี่มัน…”
อังกฤษถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะบอกให้สกอตแลนด์นั่งอยู่ตรงนี้ก่อน อีกฝ่ายค้านบอกว่าจะนั่งบนโซฟาไม่ก็เก้าอี้แต่เจ้าของบ้านบอกว่าขืนทำแบบนั้นพวกมันก็เปื้อนเลือดสิ โดยเฉพาะโซฟาราคากระเป๋าฉีกของเขา เล่นเอาคนเป็นพี่ถึงกับถอนหายใจกลับเพราะความเป็นผู้ดีที่มากไปของน้องชายตนเอง
ระหว่างเดินไปหยิบอังกฤษก็นึกถึงสมัยก่อน …สกอตแลนด์มักจะใจร้ายกับเขาเสมอ ต่อให้อังกฤษมีบาดแผลมันก็แทบไม่มีค่าในสายตาอีกฝ่ายเลย และพี่ชายเขานั้นมักจะพูดจาเชือดเฉือนใจเสมอ
แต่พอมาตอนนี้ดวงตาที่แต่ก่อนมีเพียงความเฉยชาแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น
อังกฤษเดินกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล เขาจัดแจงหยิบผ้าพันแผล ยาฆ่าเชื้อ คีมคีบ และถุงมือยางก่อนจะลงมือทำแผลให้
“สกอตแลนด์ นายโดนยิงหรือเปล่า?” อังกฤษถามเรื่องสำคัญก่อนและคิดว่ายังไงก็ต้องโดนสักที่แน่ ๆ เขารู้ว่าความสามารถในการยิงปืนของเขาไม่ด้อยกว่าใคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเขาในสมัยที่ยังเป็นโจรสลัด
“ที่ไหลข้างซ้ายนี่แหละ” สกอตแลนด์ตอบ
“ให้ฉันเอาออกเลยมั้ย?”
“อืม”
“เอ่อ ว่าแต่นายทำไมมาที่บ้านฉันล่ะ?” อังกฤษถามคำถามที่คาใจมานาน สกอตแลนด์นึกถึงเหตุผลที่ตนเองมาแล้วก็ถอนหายใจ “ฉันสังหรณ์ใจว่าถ้าปล่อยให้นายอยู่กับหมอนั่นตามลำพังได้เกิดเรื่องแน่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ---ให้ตายสิ ฉันน่าจะมาให้เร็วก่อนนายกลับกว่านี้ แล้วไหนจะพวกแฟรี่อีกล่ะ บอกเองแท้ ๆ ว่าจะดูแลหน้าบ้านให้”
“นี่นาย…” อังกฤษเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างตะลึง “พวกแฟรี่… หมายความว่าไงกัน พวกนั้นบอกฉันว่าจะไปหาดอกไม้บางอย่างที่สแกนดิเนเวียนี่”
“? ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนแรกที่ฉันจะหนีออกมาพวกแฟรี่บอกว่าจะใช้เวทมนตร์พามาที่บ้านนาย ฉันว่าจะทิ้งของบางอย่างให้แต่คิดว่าตอนนี้คงไม่ต้องแล้วล่ะ” สกอตแลนด์หยุดพูดแค่นั้น อังกฤษเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนข้างนอกถึงไม่เห็นรอยเลือดและได้ยินเสียงปืน พวกแฟรี่คงจะอำพรางให้ แต่เขารู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายยังมีช่องโหว่บางอย่าง ดูเหมือนชายหนุ่มผมสีแดงเองก็คงรู้ดีว่าตนเองปิดไม่มิด ถึงได้กล่าว
“ไว้ฉันอธิบายให้ฟัง นายทำแผลเถอะ”
อังกฤษพยักหน้าอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แล้วเริ่มจากทำความสะอาดปากแผลก่อน เขาลืมไปแล้วว่าวิธีการทำแผลในกรณีที่โดนยิงทำยังไง แต่ความทรงจำในสมัยก่อนที่ทำสงครามนั้นเริ่มกลับมาทีละน้อย จากแรก ๆ ที่ยังเกร็ง ๆ นานเข้าก็เริ่มคล่องมือ สกอตแลนด์เผลอกัดริมฝีปากเพราะความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้ร้องหรือพูดอะไรออกมา
“…อังกฤษ” จู่ ๆ สกอตแลนด์ก็เอ่ยชื่ออีกฝ่าย อังกฤษพยายามเบามือเพราะนึกว่าอีกฝ่ายเจ็บ “นายโตขึ้นเยอะแล้วนี่”
อังกฤษเผลอหยุดทำแผลแล้วเงยหน้ามองพี่ชายตนเอง ชายหนุ่มผมสีแดงยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวต่อ
“แต่ก่อนนายมักจะร้องไห้ประจำต้องให้ฉันคอยดูแลอยู่เรื่อย แต่เห็นนายยืนหยัดได้ด้วยตัวเองแล้วฉันก็ดีใจ” ถ้อยคำนั้นช่างอบอุ่นนัก อังกฤษหลุบตามองไปทางอื่นแล้วพูด
“พ่ะ พูดอะไรของนาย แต่ก่อนฉันขี้แยเสียที่ไหนล่ะ” อังกฤษทำเป็นก้มหน้าก้มตาทำแผล ระหว่างนั้นสกอตแลนด์ก็นึกถึงสมัยก่อนที่ตนเองทำเรื่องโหดร้ายกับน้องชายตนเอง
ฉันไม่เคยรู้สึกผิดที่ทำให้นายเสียใจ ถ้าหากนั่นมันทำให้นายเข้มแข็ง ต่อให้ต้องเป็นคนเลือดเย็นแค่ไหนฉันก็ยอม
อเมริกานั่งดูภาพยนตร์โดยที่เนื้อเรื่องแทบไม่เข้าหัวเขาเลย ส่วนโทนี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอาแต่ทานป๊อปคอร์นไปพลางดูด้วย อเมริกานึกถึงเรื่องที่เขารู้สึกเหมือนมีใครแอบมองตอนอยู่ที่ประชุม …และในตอนนั้นเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคน
‘อเมริกา ชีวิตของนายฉันมีสิทธิ์ที่จะพราก’
ชายหนุ่มผมสีบลอนด์เผลอกัดริมฝีปาก ยิ่งกังวลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกดแรงขึ้นจนเลือดซึมออกมา เขาเหลือบตามองเพื่อนต่างดาวแล้วเรียก
“โทนี่”
“?” เพื่อนตาโต (?) มองเขาเหมือนจะถามว่ามีอะไร อเมริกาถอนหายใจแล้วเอ่ยถามอย่างกลุ้มใจ “นายว่าฉันควรจะร่วมมือกับตัวฉันอีกคนมั้ย?”
“??” คราวนี้สีหน้าอีกฝ่ายยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าตัวเขาพูดเรื่องอะไร อเมริกายิ้มแห้ง ๆ แล้วพูด
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”
โทนี่มองเขาอย่างฉงนครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปดูภาพยนตร์ต่อ อเมริกาหยิบหมอนที่อยู่ข้าง ๆ มากอดราวกับว่ามันสามารถระบายความรู้สึกในใจได้ ใจเขากระวนกระวายว่าควรเลือกทางไหนถึงจะดีต่อตนเองและอังกฤษ ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงสายเรียกเข้าดังมาจากโทรศัพท์ เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วดูชื่อว่าใครโทรฯ มา
อังกฤษ?
อเมริกาอ่านชื่อนั้นแล้วก็รู้สึกใจหาย เขาลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วกดรับสาย
“ฮัลโหล” อเมริการู้สึกว่าเสียงตนเองเบาจึงพยายามพูดให้ดังกว่าเดิม “อังกฤษ มีธุระอะไรถึงโทรฯ มาตอนนี้” อเมริกาหันไปมองนาฬิกาที่เข็มชี้บอกเวลา 19 : 20 น.
“อเมริกา ช่วยออกมาหาฉันได้มั้ย?” ปลายสายกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่อเมริกาไม่คุ้นเคย เขารู้สึกแปลก ๆ “ตอนนี้เนี่ยนะ?”
“ขอร้องล่ะ ฉันอยากให้นายช่วยฉัน …มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก” อเมริกาแปลกใจที่คนอย่างอังกฤษขอร้องคนอื่น เห็นปรกติมักจะพูดเสมอว่าตนเองคือจักรวรรดิอังกฤษ
“ต้องออกไปให้ได้เลยเหรอ?” ชายหนุ่มอเมริกันลำบากใจที่จะต้องออกไป เรื่องที่ตัวเขาอีกคนพูดมันทำให้เขามองหน้าอดีตพี่ชายตนเองไม่ติด
“ฉันขอร้องล่ะ อเมริกา มีแต่นายเท่านั้นที่ทำได้” น้ำเสียงนั้นฟังดูอ่อนแรงและวิงวอน อเมริกาเผลอนึกถึงเรื่องที่ตัวเขาอีกคนพูด
‘ฉันไม่อยากเร่งนายนักหรอกนะ แต่ตอนนี้อังกฤษกำลังตัดสินใจอยู่เหมือนกัน ถ้าเราเริ่มก่อนก็เท่ากับเดินหน้าไปได้ไกลแล้ว ---เพราะฉะนั้นความลังเลมันทำให้เราตายได้นะ อเมริกา’
นี่คงไม่ใช่ว่า…
อเมริกาเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู เขามองหน้าจออย่างลังเลและหวาดหวั่น
อังกฤษ ตัวนายอีกคนคงไม่ใช่ว่าพูดอะไรกับนายหรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้น… นายเองก็คงวางแผนจะทำอะไรกับฉันใช่ไหม?
รู้สึกว่าเหงื่อไหลตามขมับ คิ้วขมวดด้วยความรู้สึกกังวลที่คับเต็มอกจนอึดอัด
“อเมริกา นายอย่าเพิ่งวางสายนะ ขอร้องล่ะ”
อังกฤษ ตอนนี้นายคิดอะไรอยู่
“ใจคอนายจะทิ้งฉันได้เหรอ?”
ทำไม เสียงนายกับเสียงนั้นถึงได้เหมือนกัน?
“อเมริกา--- อเมริกา!”
หยุดเรียกชื่อฉันซะที!
“…”
“…”
หลังจากที่อังกฤษเรียกก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก อเมริกาตัดสินใจเดินขึ้นไปบนห้องนอนแม้มือจะยังถือโทรศัพท์อยู่และไม่ได้วางสาย ระหว่างนั้นโทนี่ก็มองตามแล้วดูภาพยนตร์ต่อ เขารู้สึกว่าแต่ละย่างก้าวมันช่างเหนื่อยราวกับมีใครเอาอะไรมาถ่วงขาเขาไว้
“โอเค ฉันน่าจะรู้อยู่แล้วว่านายเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร” ตอนที่อังกฤษกล่าวเผอิญกับตอนที่อเมริกาแนบโทรศัพท์กับหู “อังกฤษ… คือฉัน…”
หรือจริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่มีอะไร?
อเมริกาเริ่มใจอ่อน เขาคงคิดมากเกินไป อังกฤษเองก็คงไม่อยากให้พวกเขามีเรื่องบาดหมางกันอีก
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เกือบจะถึงขึ้นสุดท้ายแล้ว อเมริการีบเดินลงบันไดในขณะที่เขารู้สึกว่าอุณหภูมิบ้านลดต่ำลง พอเดินมาถึงหน้าประตูบ้านก็ได้ยินเสียงฝนตกโปรย ๆ ชายหนุ่มจึงหยิบร่มแล้วกางมันเมื่อออกจากบ้านแล้ว
ครืน ๆ …
เสียงฟ้าร้องเบา ๆ อเมริกาถามอังกฤษที่ยังไม่วางสาย “อังกฤษ นายจะให้ฉันไปหาที่ไหน”
“เดินมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เจอ” อเมริกามีสีหน้าฉงน …ทำไมอังกฤษถึงรู้ว่าเขาเดินอยู่ทางไหน หรือจริง ๆ แล้วเขาถูกสะกดรอยตาม แล้วอังกฤษจะทำแบบนั้นไปทำไมถ้าไม่ใช่เพราะ---
“…อึก” อเมริกากลืนน้ำลายลงคอที่ฝืดแห้งเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัว นี่ก็มืดแล้วแม้ว่าไฟจากเสาไฟจะช่วยทำให้พอมองเห็นทางที่พร่ามัวเพราะน้ำฝน รถยนต์ที่แล่นผ่านรวมทั้งคนอื่น ๆ ที่เดินไปมาบางตาจะทำให้ที่นี่ไม่ดูเปลี่ยวมากแต่มันก็ไม่น่าวางใจอยู่ดี
ไม่มีทางหรอกน่า เราเป็นฮีโร่นะ กับอังกฤษเราสู้ได้อยู่แล้วล่ะ
อเมริกาปลอบใจตนเองแล้วยิ้มออกมา อย่างน้อยที่สุดเขาคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก
“เอ๊ะ?”
ชายหนุ่มผมบลอนด์ตาสีฟ้าหยุดเดินแล้วมองร่างชายคนหนึ่งที่ถูกร่มสีดำบังใบหน้าครึ่งหนึ่งนั่งอยู่บนมานั่งริมทาง แม้จะเห็นหน้าไม่ชัดแต่เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“อัง… อังกฤษ?” อเมริกาเรียกชายคนนั้นพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ ทว่าอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่นิ่ง ๆ ก่อนที่เวลาจะผ่านไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้ลุกขึ้นยืน “ปล่อยให้ฉันรอตั้งนาน
“ขอโทษนะ ฉัน… มีเรื่องกลุ้มใจหน่อยน่ะ” อเมริกาไม่กล้าสบดวงตาสีเขียวที่ฉายแววเย็นเยียบ… ไม่ผิดหรอก เขารู้สึกว่าดวงตาของอังกฤษดูน่ากลัวบอกไม่ถูก ใบหน้าคมคายใต้เงาร่มนั้นมีเพียงนัยน์ตาที่วาวแสง
“ไม่เป็นไร”
“ว่าแต่นายเรียกฉันมาทำไมล่ะ?” อเมริกาถามด้วยความรู้สึกที่หวาดวิตก …ทำไมอังกฤษที่อยู่ตรงหน้าเขาถึงได้มีบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ อีกฝ่ายยิ้มมุมปากแล้วเดินเข้ามาใกล้
ตุบ
ร่มสีดำหล่นลงพื้นส่งผลให้น้ำที่เจิ่งนองกระเซ็น ร่างของอังกฤษเริ่มเปียกเพราะไม่มีอะไรมาบังฝน ใบหน้าของเขามีน้ำไหลหยดลงมา ผมสีทองลู่แนบกับใบหน้า แสงไฟจากเสาไฟสีส้มนวลนั้นต้องดวงตาเขาจนเป็นประกาย
อังกฤษยื่นมือมาจับใบหน้าของอเมริกา เขาลูบผิวแก้มที่อุ่นของอีกฝ่ายแม้ว่ามือของเขาจะเย็นเฉียบและเต็มไปด้วยน้ำฝนก็ตาม แต่อเมริกาไม่เบือนหน้าหนีหรือทำอะไรมีเพียงริมฝีปากเท่านั้นที่ขยับ
“อังกฤษ… นาย…” อเมริกาเอ่ยเสียงแผ่วพร้อม ๆ กับที่ใบหน้าของเขาเริ่มร้อนและแดงเพราะสัมผัสของอดีตพี่ชายตนเอง นิ้วโป้งของอีกฝ่ายเลื่อนมาแตะที่ริมฝีปากก่อนที่ใบหน้าของเจ้าของมือจะเข้ามาใกล้ ๆ
อะไรกัน…
ซ่า ๆ
เสียงฝนเริ่มเบาลงเพราะสติของเขาที่เลื่อนลอย อังกฤษประทับริมฝีปากกับของอีกฝ่ายเบา ๆ …รสน้ำฝนเค็มแต่หวานอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่จะชายหนุ่มผู้ดีอังกฤษจะเริ่มจะจูบหนักหน่วงขึ้น อเมริกาหายใจติดขัดเพราะไม่มีช่องว่างให้หายใจ สมองขาวโพลนไปหมดไม่รับรู้สิ่งใดอีกจนมือเผลอปล่อยร่ม ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อังกฤษโอบแขนรอบเอวเขาแล้วรวบเข้ามากอด มืออีกข้างก็สัมผัสร่างกายส่วนต่าง ๆ ของอเมริกาจนเขาเริ่มอารมณ์ขึ้น แม้ร่างกายทั้งสองคนจะเย็นเฉียบเพราะน้ำฝนที่เริ่มตกหนักขึ้นทุกทีแต่อุณหภูมิกลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
คนที่เดินสัญจรไปมารวมทั้งรถยนต์บางตาลงจนแทบไม่เห็นใครหรือรถคันไหนอีก ความมืดที่โรยตัวลงมาทุกทีนั้นยิ่งขับให้แสงไฟสว่างขึ้น ระหว่างนั้นอังกฤษก็ถอนริมฝีปากออก ลมหายใจของทั้งสองร้อนจนต่างฝ่ายต่างรู้สึกได้
“อังกฤษ---”
ชายหนุ่มผมสีทองยิ้มบาง ๆ ก่อนที่จะหยิบอะไรบางอย่างออกมา
ปัง!
“!!!”
อะ----
เลือดทะลักออกจากปากแผลบริเวณช่องท้องและทะลักออกจากปาก ความร้อนที่แทรกเข้ามาในเนื้อนั้นทำให้อเมริการ้องอะไรไม่ออก ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงสุดขีด สติที่หายไปนั้นกลับมาทันที
“กฤษ อะ อังกฤษ?”
ทำไม… ถึง---?
อังกฤษลดปืนลงก่อนจะแสยะยิ้ม ดวงตาสีเขียวราวกับดวงตาของสัตว์ร้ายที่คอยจู่โจมเหยื่อนั้นดูน่าหวาดหวั่น อเมริกามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจในขณะที่ตัวเขานั้นทรุดลงนั่งกับพื้นที่เปียกแฉะ
“เรากลับไปเริ่มต้นใหม่กันเถอะ”
---------------------------------------------------------------------------------
*ฟิคเรื่องนี้ลงที่เว็บเด็กดีด้วยนะคะ ซึ่งได้ลงตอนได้ ๑๓ บทแล้ว สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ค่ะ กด
ขอบคุณค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ