Sacred Light ภัยแห่งลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์
-
เขียนโดย สิงหาศัพท์
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.27 น.
9 ตอน
0 วิจารณ์
11.30K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 12.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) โลกที่เคยเต็มไปด้วยปีศาจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “แปลว่าหลังจากที่พวกเรากลับไปแล้ว ลูน่าก็พานายเข้าไปในป่าเพื่อที่จะตามหาแม่มดที่เธอพูดถึง อย่างนั้นสินะ”
“ฉันก็พยายามจะพูดอย่างนี้แหละ” เอเดรียนฟุบลงกับโต๊ะอย่างเหนื่อยล้า การอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับคนที่ไม่ยอมฟังเป็นอะไรที่เหนื่อยเกินไปสำหรับเขา
หลังจากที่ชั่วโมงโฮมรูมจบลง เพื่อนร่วมชั้นที่ถึงจะเอือมระอากับลูน่าก็เข้ามาถามสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเอเดรียนอยู่ดี เอเดรียนใช้ทุกวิธีเพื่อให้ทุกคนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เครเซลเป็นกลุ่มสุดท้ายที่แยกตัวไป ลูน่าพาเขาเดินเข้าไปในป่าและเจอกระท่อมที่หญิงชราใจดีอาศัยอยู่คนเดียว จนกระทั่งลูน่าเป็นฝ่ายขอร้องแนวบังคับให้อาศัยอยู่กับเขา แต่กว่าจะปรับความเข้าใจได้ เวลาก็ผ่านมาจนถึงพักกลางวัน
“กระท่อมเก่าในป่ามีคุณยายอาศัยอยู่คนเดียวด้วยเหรอ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ อย่างกับเป็นเรื่องโกหกแน่ะ”
“แต่เรื่องที่นักเรียนใหม่ขอไปอาศัยอยู่กับเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งรู้จักกันแค่ครึ่งวัน ถึงขนาดเตรียมขนข้าวไปก่อนแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อมากขึ้นไปอีกนะ ใครจะไปคิดว่าเรื่องจะเป็นอย่างนั้นไปจริงๆ ฉันขอโทษที่มองนายผิดไปนะ นายคงไม่ได้โกรธฉันใช่หรือเปล่า” มิเรนน่าที่แสดงท่าทางรังเกียจเอเดรียนอย่างเปิดเผยที่สุดเอ่ยเสียงเบา
เอเดรียนตอบรับคำขอโทษโดยการเอียงคอเป็นครึ่งมุมฉากจากพื้นโต๊ะ พูดว่า “ครั้งหน้า ฉันขอค่าตัดผมร้านเธอราคาพิเศษได้หรือเปล่า” กับลูกสาวร้านตัดผมในย่านชุมชน ก่อนจะได้รับคำตอบว่า “เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ฉันจะเป็นคนตัดให้เองนะ” แล้วเขาก็ไม่พูดอะไรต่ออีกเลย เป็นอันว่ายอมรับข้อตกลงทั้งสองฝ่าย
“ขอฉันพูดสักนิดนะคะ” มีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้นมาจากข้างหลัง เด็กสาวผมสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกเพื่อนเมินในตอนเช้านั่นเอง
“ถ้าเธอไม่พูดจะดีกว่านะ” เอเดรียนพึมพำทั้งที่ยังหันหน้าชนกับโต๊ะ
แต่ก่อนที่ลูน่าจะมีโอกาสได้พูด อาจารย์ก็เข้ามาในห้อง แล้วก็เข้าสู่บรรยากาศการเรียน
การเรียนในวันที่สองก็คล้ายๆ วันแรก แค่อาจารย์เข้ามาแนะนำรายวิชาก็ปล่อยนักเรียนในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ระเบียงฝั่งปีสองกับปีหนึ่งจึงมีนักเรียนออกมาเดินระหว่างคาบ ห้องเรียนของเอเดรียนก็เช่นกัน นักเรียนแต่ละคนที่ได้รับเวลาว่างจึงจับกลุ่มพูดคุยในระหว่างที่อาจารย์ยังนั่งอยู่ในห้อง ซึ่งอาจารย์คนนั้นก็กำลังพูดคุยกับนักเรียนอยู่เช่นกัน
“วันนี้ก็ปล่อยว่างอีกแล้ว แต่สัปดาห์หน้าคงไม่เป็นอย่างนี้แล้วสินะ” เอเดรียนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ คิดอยู่ว่าเขาจะมาโรงเรียนในวันนี้ไปทำไม เมื่อเขาเบื่อถึงขีดสุดจึงหันกลับไปมองโต๊ะเรียนข้างหลัง ปรากฏว่าเจ้าของโต๊ะหายไปแล้ว “อ้าว ลูน่าหายไปไหนล่ะ เมื่อกี้ก็ยังเห็นอยู่เลย”
เขามองหาเธอทั่วห้อง จนสุดท้ายก็หันไปพึ่งพาเพื่อนร่วมห้องที่นั่งอยู่ติดกับลูน่า เธอน่าจะรู้ความเคลื่อนไหวของลูน่าที่นั่งอยู่ติดกัน อีกฝ่ายก็เห็นท่าทางของเขาจึงพูดขึ้น ลูน่าลุกออกไปตั้งแต่ที่ได้ยินอาจารย์บอกว่าจบการสอนในคาบนี้แล้ว และเธอมีแผนที่จะไปยังห้องเรียนของนักเรียนม.4
“ห้องเรียนของพวกรุ่นน้อง ที่นั่นมีอะไรน่าสนใจนักหรือยังไง” เขาพ่นลมทางจมูกอย่างเหนื่อยหน่าย
“ไม่รู้สิ แต่ฉันคิดว่า” เพื่อนคนนั้นเริ่มมีท่าทางลังเลใจ “มันเป็นไปได้ไหม ถ้าลูน่าไปท่นั่นเพราะทำตามสิ่งที่พูดเอาไว้เมื่อวาน เรื่องที่มีแม่มดเข้าเรียนในชั้นปีหนึ่ง แล้วฉันก็เคยอ่านเจอสัญลักษณ์ของลัทธิหนึ่งในหนังสือ มันเหมือนกับตัวหนีบผมของลูน่าเลย รู้สึกว่าเป้าหมายหลักของลัทธินั้นก็เป็น…”
“เกี่ยวกับแม่มดอีกแล้วเหรอ” ก่อนที่เธอจะพูดจบ เอเดรียนก็ส่งสายตาเครียดอย่างหนักจนเธอเริ่มหนักใจ “เธอเชื่อสิ่งที่ลูน่าพูดเหรอ เรื่องแม่มดที่ว่ามันก็แค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้นแหละ ขนาดฉันยังรู้เลยว่ามันไม่มีจริง แม่ฉันเคยบอกตั้งแต่เด็กว่าไม่มีแม่มดอยู่ในโลกนี้จริงหรอก ทั้งแม่มดในบ้านลูกกวาด หรือแม่มดน้อยในจินตนาการ อย่าไปจริงจังกับคำพูดนั้นมากเลย”
“นิทานคืออะไรเหรอ” เธอฟังข้ามทุกคำพูดของเขา แล้วยกสิ่งนี้ขึ้นถามอย่างสงสัย “แล้วใครที่ไหนจะไปสร้างบ้านจากลูกกวาดได้ นายยังสติดีอยู่หรือเปล่า”
เอเดรียนเลือกที่จะไม่สนใจแล้วก็หันกลับไปมองเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ นอกจากห้องเรียนนี้ก็ยังมีชั้นเรียนม.5 อีกห้องหนึ่งอยู่ติดกันนี้เอง เรียกได้ว่าเป็นม.5/2
ในนักเรียนชั้นปีเดียวกันทั้ง 60 คนก็มีบุคลิกต่างกัน ทั้งตั้งใจเรียนจนเข้าขั้นหมกมุ่น หรือเล่นกีฬาจนไม่สนใจการเรียน แต่ไม่มีใครที่จะสุดขั้วได้อย่างลูน่าที่ประกาศตัวโพล่งเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน เรียกคะแนนเมินข้ามได้อย่างมหาศาลอย่างนั้น
แล้วคาบเรียนถัดไปก็เริ่มขึ้น ลูน่าก็กลับมานั่งข้างหลังเขาเหมือนเดิม จนเมื่ออาจารย์ปล่อยให้เป็นเวลาว่าง เธอก็หายไปจากห้องอีกครั้ง จุดหมายของเธอก็คือ ห้องเรียนของชั้นปีหนึ่งเช่นเดิม และในครั้งนี้ เธอรีบร้อนมากถึงขนาดที่ผลักเก้าอี้ถอยหลังจนล้มแล้วไม่หันกลับมาจัดเข้าที่ แต่ก็ได้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ช่วยจัดให้
ในคาบเรียนที่สาม เธอกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง โดยมีท่าทางกระวนกระวายจะลุกออกไปให้ได้ ดูเหมือนว่าเธอจะจริงจังกับการไปที่ห้องเรียนของรุ่นน้องเหลือเกิน แต่ก็ไม่มีใครสนใจว่าเธอจะไปทำอะไรที่นั่นเลย เอเดรียนที่นั่งอยู่ตรงหน้า และต้องกลับบ้านด้วยกันตั้งแต่วันนี้ไปก็ไม่สนใจด้วยซ้ำ จนถึงเวลาพักกลางวัน ช่วงเวลาที่นักเรียนทั้งสามชั้นปีจะถูกปล่อยไปที่โรงอาหาร นักเรียนทุกคนเริ่มเดินไปยังโรงอาหาร และเพราะมีนักเรียนปีสามเพิ่มขึ้นมา จำนวนนักเรียนที่ระเบียงจึงแน่นเป็นพิเศษ
เอเดรียนถูกสะกิดจากข้างหลัง เมื่อหันไปก็พบว่าลูน่ากำลังเรียกเขาอยู่
“มาข้างนอกด้วยกันหน่อย ฉันไม่อยากให้เป็นที่สังเกต” เธอชี้ออกไปนอกประตูหลังห้อง
เขาเดินตามเธอไปยังระเบียง เมื่อเห็นว่าไม่มีคนในห้องตามมา ลูน่าจึงเริ่มพูดกับเขาด้วยเสียงกระซิบ ซึ่งหากไม่ตั้งใจฟังก็จะถูกเสียงของนักเรียนคนอื่นๆ ดังกลบจนฟังไม่รู้เรื่อง ท่าทางของเธอราวกับไม่ต้องการให้ใครก็ตามได้ยินสิ่งที่เธอกำลังพูดอยู่ในตอนนี้
“เอเดรียน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแล้ว นายสนใจจะเข้าร่วมกับฉันหรือเปล่า”
“เข้าร่วมกับเธอ ร่วมอะไร” เอเดรียนถาม เขานึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ในตอนนั้น ลูน่าพูดสิ่งนั้นออกมา
“นายจำเรื่องที่ฉันพูดเมื่อวานนี้ได้ไหม ตอนที่แนะนำตัวหน้าชั้นเรียนน่ะ” ลูน่าเผยรอยยิ้มกับตัวเอง “ใช่ ฉันกำลังหมายถึงเรื่องแม่มดที่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนี้ฉันได้เบาะแสเพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่งแล้วนะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็โชคดีนะ ฉันไปที่โรงอาหารก่อนล่ะ” เอเดรียนโบกมือลา แต่ลูน่าก็จับเขาไม่ให้หนี แล้วกระชากกลับไปที่เดิม ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมาก “อะไรเล่า ถ้าเธออยากเล่นเกมล่าแม่มดนักก็เล่นไปคนเดียวสิ ฉันไม่เข้าใจยามว่างของคนจากเมืองหลวงเลยจริงๆ ถ้าจะล้อเล่นก็อย่าดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวสิ”
“ใครบอกว่าฉันพูดเล่นกันล่ะ” ดวงตาของลูน่าจริงจังผิดปกติ “ใช่ ฉันหมายถึงพวกแม่มดจริงๆ แม่มดที่ใช้เวทมนต์ได้จริง พวกตัวแทนของปีศาจที่ใช้เวทมนต์สาปแช่งคนบริสุทธิ์หรือปรุงยาสารพัดน่ะ”
“ดูเหมือนว่าเธอจะชอบนิทานเรื่องแม่มดมากเหลือเกินนะ ฉันว่าเธอหยุดพูดเรื่องนี้สักทีเถอะ ก่อนที่คนอื่นจะมองเธอผิดปกติไปมากกว่านี้ เดี๋ยวจะไม่มีใครคบเธอจนเรียนจบเอานะ”
“อะไรคือนิทานเหรอ” ลูน่าเอียงคอถาม นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่มีคนพูดประโยคนี้กับเขา เอเดรียนไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนที่ได้ฟังคำว่านิทานต้องมีการตอบรับอย่างนั้นเสียหมด “ฉันจะเล่าให้ฟังเองนะ นายจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ว่าเรื่องพวกนี้เคยเกิดขึ้นจริง เรียกว่าเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันเป็นตำนานและตัวอักษรเลยล่ะ”
…ก่อนที่โลกจะสงบสุขอย่างนี้ มันเคยเป็นยุคสมัยของผู้กล้ามาก่อน
…พวกปีศาจเข้ารุกรานโจมตีมนุษย์ โดยมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่จับอาวุธเข้าต่อสู้อย่างห้าวหาญ เสียสละเลือดเนื้อไปไม่รู้กี่หมื่นชีวิต จอมปีศาจก็ถูกโค่นลงได้สำเร็จ ปีศาจที่เหลืออยู่ก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น ผู้คนเฝ้ารำลึกถึงวันที่ผู้กล้าคนสุดท้ายสละชีวิตเพื่อโค่นล้มการปกครองโดยพวกปีศาจ และนับวันครบรอบวันนั้นเป็น ศ.อ. (ศักราชแห่งการปลดแอก)
…หลังจากนั้นเป็นต้นมา สิ่งอันตรายที่ยังเหลือก็มีเพียงมนุษย์ที่เริ่มหันมาปองร้ายกันเอง
…แต่ในจำนวนคนอันตรายนั้น มีอยู่ประเภทหนึ่งที่น่ากลัวที่สุด
…กำจัดคนที่ไม่ชอบโดยไม่ใช้อาวุธ เสกให้พืชผลและพวกสัตว์ล้มตาย ปรุงยาที่สามารถรักษาได้ทุกโรค หรือฆ่าแม้แต่คนที่แข็งแรงที่สุดด้วยพลังที่หยิบยืมจากปีศาจ แต่ต่างจากพวกปีศาจตรงที่พวกแม่มดเป็นมนุษย์ เพราะว่าเป็นมนุษย์จึงระบุตัวตนไม่ได้ว่าใครที่มีปีศาจแฝงตัวอยู่ในจิตใจ กว่าจะรู้ก็ตอนที่พวกมันใช้เวทมนต์ฆ่าคนไปแล้ว
…จากความสูญเสียที่เกิดขึ้น มีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์ ใช้พรจากสวรรค์ลงทัณฑ์เหล่าแม่มด
…และ ศ.อ.50 พวกแม่มดก็ถูกกวาดล้างไป พร้อมกับศาสตร์อันตรายทั้งหมด
“แต่ก็ยังมีเรื่องเล่าที่ว่าพวกแม่มดไม่ได้หายสาปสูญไปไหน แต่แฝงตัวกลมกลืนกับมนุษย์ สืบเชื้อสายอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงจะยืนยันแน่ชัดไม่ได้ แต่ถ้าแม่มดที่เหลือรอดพวกนั้นเริ่มวางแผนที่จะแก้แค้นมนุษย์ มันก็ต้องมีคนที่คอยเฝ้าระวังและจับกุมแม่มดที่เหลือรอดเหล่านั้น นั่นคือหน้าที่ที่ฉันได้รับมอบหมาย และฉันจะทำมันให้ดีที่สุด” ลูน่าพูดอย่างภาคภูมิใจ
“เข้าใจแล้ว สรุปก็คือแม่มดที่เธอพูดถึงเมื่อวานนี้มีอยู่จริง แล้วเธอก็เป็นนักล่าแม่มด อะไรทำนองนี้ใช่ไหม”
“เข้าใจได้ถูกแล้ว” ลูน่าพยักหน้าหงึกๆ เธอเริ่มใจชื้นที่เอเดรียนเริ่มฟังสิ่งที่เธอพูด เขาวางมือทั้งสองลงบนไหล่ ดวงตาและเส้นผมของเธอสั่นไหวไปชั่วครู่ แล้วเขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา เป็นประโยคสุดท้ายที่เธออยากจะได้ยิน
“กำลังฝันกลางวันอยู่สินะ รีบตื่นขึ้นมาเผชิญความจริงได้แล้ว”
“ไม่ใช่นะ! ฉันพูดจริง ถ้านายไม่เชื่อฉัน ฉันเอาหลักฐานให้นายดูก็ได้ คอยดูให้ดีนะ ที่หนีบผมอันนี้…”
“ฉันฟังมาพอแล้ว เอาไว้ฉันจะไปบอกคุณเอลรี่ให้ไล่เธอไปจากบ้านซะเลย แล้วคอยดูว่าคุณนักล่าแม่มดจะหาที่อยู่ใหม่ด้วยวิธีไหน” แล้วเขาก็ตรงไปยังโรงอาหารโดยไม่สนใจลูน่าที่กำลังพูดอยู่เลย แม้ว่าเธอจะเปลี่ยนกลับเป็นคุณหนูจากเมืองหลวงพูดจาหว่านล้อมเท่าไหร่ก็ไม่รับฟัง จนสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นคำขอโทษแทน
เมื่อไปถึงโรงอาหาร สถานที่นั้นอัดแน่นไปด้วยนักเรียนจากทั้งโรงเรียน แม้จะรวมจำนวนอาจารย์เข้าไปแล้วจะมีอยู่แค่สองร้อยคนก็ตาม แต่โรงอาหารก็แคบจนจำนวนแค่นั้นก็เต็มแล้ว กำแพงและหลังคาก็สะท้อนเสียงพูดคุยจนดังก้อง เพราะเหตุนั้นจึงมีนักเรียนหลายคนที่จัดปิ่นโตของตัวเองไปกินนอกโรงอาหาร เอเดรียนก็คิดว่าจะทำบ้างเหมือนกัน ถ้าเอลด้าไม่ได้บอกว่าให้เขาเป็นคนทำปิ่นโตของตัวเอง เอเดรียนที่รู้ฝีมือทำอาหารของตัวเองดีจึงยกเลิกความคิดทันควัน
“ลูน่า ฉันจองที่นั่งเอาไว้ให้แล้วนะ มานั่งด้วยกันสิ”
ทั้งสองหันไปเห็นเครเซลโบกมือเรียกอยู่ไกลๆ เด็กสาวที่ถูกเรียกหันไปตามเสียงแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ก่อนจะเดินไปตามเสียงเรียก ทิ้งเอเดรียนเอาไว้คนเดียว ภาพของลูน่าที่ได้รับการต้อนรับจากกลุ่มเพื่อนที่ทั้งจองที่นั่งและซื้ออาหารเที่ยงพร้อมแบ่งเอาไว้ก่อนแล้วเป็นภาพที่ทำร้ายจิตใจของเขาอย่างมาก อย่างน้อยถ้าคำพูดเมื่อครู่นี้มีเขาอยู่ด้วย หรือถ้าใครสักคนในกลุ่มกวักมือเรียกให้เข้าไปนั่งด้วยก็คงจะดี
“อย่างน้อยก็เรียกฉันสักหน่อยสิ” เอเดรียนขยับปากขณะที่มองลูน่าเดินจากไป “แต่เอาเถอะ ถ้าซื้อข้าวเที่ยงไปนั่งกินที่อื่นแล้วค่อยเอาจานมาคืนจะได้ไหมเนี่ย” แล้วเดินไปต่อแถวซื้ออาหารที่ยาวเหยียด ปลายแถวขยับไปอย่างเชื่องช้าราวกับติดอยู่ท้ายฝูงหอยทาก จนเหลืออีกสองคนก็จะถึงคิวของเอเดรียน มีเสียงดังขึ้นข้างใบหูแข่งกับเสียงท้องร้องที่ดังขึ้นตรงจังหวะพอดี
“อ้าว เอเดรียน เธอยังไม่ได้ซื้ออาหารอีกเหรอ มานั่งกับฉันก็ได้นะ” สาวน้อยที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารคนเดียวพูดกับเอเดรียน บนโต๊ะของเธอมีอาหารจำนวนมากที่เธอคนเดียวไม่มีวันกินได้หมดวางอยู่ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว สิ่งแรกที่เอเดรียนตอบสนองต่อคำพูดที่โอบอ้อมอารีของเธอก็คือ ยืนตัวแข็งทื่อ
“คุณเอลรี่ ทำไมถึงอยู่ที่นี่”
“ทำไมเหรอ ฉันก็มากินข้าวเที่ยงน่ะสิ แต่ว่าฉันสั่งมาเยอะเกินไป เธอช่วยฉันกินหน่อยสิ พวกเธอทุกคนที่ต่อแถวอยู่จะมานั่งด้วยกันก็ได้นะ” เอลรี่พูดไปอย่างนั้น สุดท้ายคนอื่นที่เธอพูดถึงก็ยืนต่อแถวต่อไปด้วยความเกรงใจ ยกเว้นเอเดรียนที่ตอบรับคำชวนแล้วลงไปนั่งกับเธอเพียงคนเดียว ท่ามกลางสายตาที่มองเขา เอเดรียนไม่รู้สึกอะไรนอกจากวางตัวไม่ถูก จนเอลรี่ที่เห็นท่าทางนั้นยิ้มให้อย่างเอ็นดู “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรเธอหรอก ทำตัวให้สบายแล้วกินข้าวเที่ยงกันเถอะนะ ก่อนที่จะหมดช่วงพักกลางวันซะก่อน”
เอเดรียนพยักหน้าแล้วหยิบช้อนขึ้นมาถือ มีอาหารน่าอร่อยวางอยู่ตรงหน้า แต่ช้อนกลับไม่ขยับเลย ทั้งที่เขาหิวจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว ขณะนั้น อาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะค่อยๆ หายเข้าไปในกระเพาะของรุ่นพี่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ตอนอยู่ที่บ้านฉันลืมถาม แต่ว่าเพื่อนใหม่ของเธอเป็นยังไงบ้างเหรอ พอจะนิสัยดีใช่หรือเปล่า”
เอลรี่เริ่มพูดด้วยท่าทางอบอุ่น แต่เอเดรียนก็เริ่มพูดกับเธอด้วยความไม่พอใจ น้ำเสียงสั่นๆ หายไปแล้ว
“ไม่ไหวเลยครับ ลูน่าเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกกันชัดๆ เอาแต่พล่ามเกี่ยวแม่มดอย่างเดียวเลย แถมเมื่อคืนนี้ที่ผมกลับถึงบ้านมืดก็เพราะว่าลูน่าพาผมไปเล่นเกมตามหาแม่มดในป่า แล้วไปรบกวนเจ้าของกระท่อมที่อาศัยอยู่คนเดียวอีก ไม่รู้ว่าตอนไปอยู่เมืองหลวงไปเจออะไรเข้าถึงกลายเป็นพวกละเมอเพ้อพกได้ขนาดนี้ ใครๆ ก็รู้กันอยู่ว่า…”
“มีจริงสิ” เอลรี่พูดขัดเอเดรียนที่ยังพูดไม่จบ “แม่มดมีอยู่จริง รวมถึงผู้กล้าและปีศาจด้วย ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงนะ”
คำพูดนั้นทำให้เอเดรียนอึ้ง ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่มีจริง แต่เขาก็ไม่อาจโยนทิ้งคำพูดของเอลรี่ได้
“เมื่อกี้นี้ว่าอะไรนะครับ เรื่องผู้กล้ากับปีศาจที่พูดถึงนั่น”
“มีอยู่จริงๆ ตอนนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูปหรือศิลปินที่จะเสี่ยงชีวิตไปวาดรูปพวกปีศาจก็เลยตกไปเป็นตำนานที่เชื่อถือได้ยาก แต่เรื่องราวของนักรบผู้กล้าที่ต่อสู้กับปีศาจ รวมถึงสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายทั้งหลายก็เป็นจริง ความจริงแล้ว เมืองนี้ก็เคยเป็นสมรภูมิแรกของมนุษย์กับปีศาจ แล้วมนุษย์ก็ค่อยๆ รุกคืบไปถึงใจกลางดินแดนแห่งความตายทางตะวันออก หลังจากราชาปีศาจถูกกำจัด โลกก็เกิดการพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นในตอนนี้ มันมีอยู่ในบทเรียนตอนประถมนะ แต่เธอคงรับเรื่องนั้นทั้งหมดไม่ได้หรอก” เอลรี่พูดด้วยสีหน้าจริงจังจนยากจะปฏิเสธได้ว่าเธอกำลังพูดล้อเล่น
“เรื่องจริงเหรอเนี่ย” เอเดรียนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ จนเกิดเสียงประหลาดดังขึ้นจากข้อต่อไม้
“ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามใครก็ได้เอาเลย รวมถึงคุณเอลด้าที่ยังอยู่ที่บ้านตอนนี้ด้วย แล้วทุกคนจะยืนยันเป็นเสียงเดียวกันเลยล่ะ โอ๊ะ! แถวสั้นลงถึงตรงนี้แล้วนี่นา เดี๋ยวฉันจะไปซื้อของมาเพิ่มนะ แล้วค่อยกลับมาว่ากันใหม่” เอลรี่ลุกขึ้น เอเดรียนที่ไม่อยากลำบากเธอก็จะลุกขึ้นไปซื้ออาหารมาเอง แต่เขาไม่มีแรงจะขยับตัวอีกแล้ว เมื่อได้ยินเรื่องนั้นจากเธอ… จากคนที่เขาเชื่อถือได้มากที่สุด
มันทำให้เขาอยากจะหัวเราะสุดเสียง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเสียงออกมาจากลำคอสักนิด
เขานั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะอาหารจนเอลรี่กลับมาและซื้ออาหารมาให้เอเดรียนด้วย เธอนั่งที่เก้าอี้ของตัวเองแล้วกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย โดยสายตายังมองไปยังเอเดรียนที่นั่งอยู่ท่าเดิมตั้งแต่ที่เธอลุกออกไป ท่าทางนั้นเหมือนคนที่รับรู้ว่าความจริงที่ตัวเองปฏิเสธมาตลอดเป็นความจริง แล้วพยายามปฏิเสธสิ่งที่ได้รู้สุดชีวิต
เมื่อเห็นเช่นนั้น เธอจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เอเดรียน ฉันจะเล่าอะไรดีๆ ให้เธอฟังนะ” เอลรี่พูดเสียงนิ่ง โดยดวงตาที่เลื่อนลอยของเอเดรียนกำลังมองเธออยู่ “ทุกอย่างที่ฉันเล่าไป… มันก็แค่เรื่องแต่งเท่านั้นแหละ ไม่มีเรื่องไหนเป็นจริงเลยสักอย่างเดียว สบายใจเถอะนะ”
“อะไรนะครับ!”
ทันใดนั้น ร่างกายของเอเดรียนก็กลับมามีกำลังอีกครั้ง เขาผลักตัวขึ้นจากเก้าอี้ แล้วขึ้นเสียงดังจนนักเรียนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หันมามองเป็นตาเดียว “จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดก็แค่โกหกขึ้นมาเหรอครับ ล้อกันเล่นอย่างนี้ไม่ตลกเลยนะ ผมจริงจังกับเรื่องเมื่อกี้มากเลยนะครับ จริงจังมากด้วย แต่ว่าคุณเอลรี่กลับพูดเป็นเรื่องตลก… แล้วคุณเอลรี่ซื้ออะไรมาให้ผมกันเนี่ย”
เมื่อเอเดรียนก้มลงมองจานอาหารของตัวเอง สิ่งที่เอลรี่ซื้อมาให้มีแต่ของที่เขาไม่ชอบทั้งนั้น แต่เอเดรียนก็คว้าช้อนตักอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าเข้าปาก แล้วเคี้ยวให้หายแค้น
“ไม่สนแล้ว ตอนนี้จะเป็นอะไรก็กินได้ทั้งนั้น ว่าแต่เจ้านี่อร่อยจังแฮะ สงสัยต้องซื้อกินบ้างแล้ว แล้วนี่ก็อร่อย อันนี้ก็อร่อยเหมือนกัน ทำไมคุณเอลรี่ไม่เยบอกผมเลยว่ามันอร่อยขนาดนี้” เขายัดอาหารเข้าปากทั้งน้ำตา ไม่ใช่น้ำตาจากความโกรธ แต่เป็นน้ำตาแห่งความเสียดายที่เขาทิ้งของอร่อยอย่างนี้ไปหลายหนแล้วต่างหาก
“กินเข้าไปเยอะๆ นะ รู้อะไรไหม ของที่เธอเขี่ยทิ้งตั้งแต่เด็กมีแต่ของอร่อยทั้งนั้นเลยล่ะ”
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็กินอาหารเที่ยงจนเกลี้ยง โดยเอลรี่กินเข้าไปมากกว่าสามในสี่ พวกเขาเอาจานข้าวไปเก็บแล้วกลับไปรับการเรียนในช่วงบ่ายต่อ เมื่อเอเดรียนกลับไปถึงห้องเรียนของตัวเอง เป็นช่วงเดียวกับที่พวกเครเซลกลับมาถึงห้องพอดี ดูเหมือนว่าระหว่างที่ทานอาหารด้วยกัน ลูน่าจะพูดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว เกือบทุกคนในกลุ่มจึงมีสีหน้าลำบากใจที่ต้องคุยกับเธอ ยกเว้นเครเซลที่ยังปั้นยิ้มรอยใหญ่อยู่เช่นเดิม แต่ก็คงเอือมระอาไม่แพ้คนอื่นๆ
“ถ้ามีอะไรที่อยากรู้อีกก็มาหาพวกเราได้นะ พวกเราพร้อมให้คำปรึกษาเสมอ”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ขอรบกวนเท่านี้ล่ะค่ะ” ลูน่าก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินอ้อมหลังเอเดรียนไปที่โต๊ะเรียนของเธอ แล้วหลังคอเสื้อของเขาก็ถูกกระชากถอยหลัง ดวงตาสีฟ้าของลูน่าจ้องมาที่เขาราวกับมีเรื่องไม่พอใจ ก่อนที่เธอจะตะคอกใส่เขาด้วยเสียงกระซิบ “ทำไมถึงไม่ตามฉันมา รู้ไหมว่าหลังจากที่ฉันเข้าไปนั่งกับพวกเครเซลแล้ว เจ้าโฮราคิสก็ถามหาให้นายไปนั่งด้วย แต่ฉันลุกหานายแล้วก็หาไม่เจอเลยไม่มีใจจะกินข้าว ทำฉันอารมณ์เสียตั้งแต่เที่ยงเลยนะ”
“เปลี่ยนสีเร็วกว่าที่คิดอีกนะ เธอน่ะ” เอเดรียนตอบด้วยเสียงถอนหายใจ
“ช่างเถอะ ฉันไม่ได้อารมณ์เสียขนาดที่จะทำอะไรนายหรอกนะ” ลูน่าคลายมือที่กำคอเสื้อออก ก่อนจะลุกขึ้นพูดโดยเอามือทาบหน้าอก ราวกับคำประกาศตนของผู้เลื่อมใสลัทธิอะไรสักอย่าง “เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่านายเป็นผู้อุปการะคุณที่ให้ที่อยู่กับฉัน ฉันสัญญาว่าหลังจากหน้าที่ในเมืองแห่งนี้เสร็จสิ้นเมื่อไหร่ นายจะได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อแน่นอน”
หลังจากนั้น ลูน่าก็กล่าวคำปราศรัยด้วยเสียงอันไพเราะจนเพื่อนร่วมห้องที่เบือนหน้าจากเธอต้องหันมาสนใจ การเอ่ยทุกคำพูดอย่างสดใสและเปล่งออร่าที่มองไม่เห็นประกอบ ทำให้ทุกคนหันไปสนใจเรือนร่างอันสะสวยที่ขยับอย่างมีศิลป์
ยกเว้นคนหนึ่งที่ไม่ต้องมนต์สะกดของเธอ
“เลิกพูดเล่นไร้สาระสักทีเถอะ ฉันขอร้องเถอะนะ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีก แล้วเอเดรียนก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เฝ้ารอเวลาที่เสียงกริ่งจะดังขึ้น เพื่อให้อาจารย์ประจำชั้นที่สอนวิชาแรกในคาบบ่ายพอดีจะเข้ามาในห้อง แยกเพื่อนเก่าที่น่ารำคาญคนนี้ออกไปสักที
จากมุมที่ไม่มีใครมองเห็น ข้างนอกประตูหลังห้องที่มองไปเห็นนักเรียนจำนวนหนึ่งเดินกลับไปยังห้องเรียนตัวเอง
สายตาคู่นั้นกำลังจ้องมองเส้นผมสีขาวเงินของเธออยู่
“ตัวหนีบผมอันนั้น… อย่างนี้นี่เอง ก็คิดอยู่ว่าทำไมถึงมาที่ห้องเรียนของฉันตั้งหลายครั้ง”
นักเรียนหญิงคนหนึ่งเอ่ยคำพูดนั้นเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องเรียนชั้นปีหนึ่ง เส้นผมสีดำที่ยาวถึงหลังขยับตาบการลงเท้า ทุกคนที่เธอเดินผ่านได้กลิ่นหอมจางๆ ที่ติดตามเสื้อผ้าของเธอ กลิ่นนั้นหวานหอมราวกับดอกไม้ แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทุกครั้งที่นึกถึงเส้นผมสีเงิน และตัวหนีบผมรูปกางเขนที่หนีบอยู่ที่ปลายผมด้านขวาของผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นซี่ฟันที่ขบกันแน่น และมือที่กำแน่นจนมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาลางๆ
แล้วเสียงกริ่งก็ดังขึ้น คาบเรียนช่วงบ่ายเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งวินาทีหลังจากนั้น
“สวัสดีครับ/ค่ะ!”
“ฉันก็พยายามจะพูดอย่างนี้แหละ” เอเดรียนฟุบลงกับโต๊ะอย่างเหนื่อยล้า การอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับคนที่ไม่ยอมฟังเป็นอะไรที่เหนื่อยเกินไปสำหรับเขา
หลังจากที่ชั่วโมงโฮมรูมจบลง เพื่อนร่วมชั้นที่ถึงจะเอือมระอากับลูน่าก็เข้ามาถามสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเอเดรียนอยู่ดี เอเดรียนใช้ทุกวิธีเพื่อให้ทุกคนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เครเซลเป็นกลุ่มสุดท้ายที่แยกตัวไป ลูน่าพาเขาเดินเข้าไปในป่าและเจอกระท่อมที่หญิงชราใจดีอาศัยอยู่คนเดียว จนกระทั่งลูน่าเป็นฝ่ายขอร้องแนวบังคับให้อาศัยอยู่กับเขา แต่กว่าจะปรับความเข้าใจได้ เวลาก็ผ่านมาจนถึงพักกลางวัน
“กระท่อมเก่าในป่ามีคุณยายอาศัยอยู่คนเดียวด้วยเหรอ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ อย่างกับเป็นเรื่องโกหกแน่ะ”
“แต่เรื่องที่นักเรียนใหม่ขอไปอาศัยอยู่กับเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งรู้จักกันแค่ครึ่งวัน ถึงขนาดเตรียมขนข้าวไปก่อนแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อมากขึ้นไปอีกนะ ใครจะไปคิดว่าเรื่องจะเป็นอย่างนั้นไปจริงๆ ฉันขอโทษที่มองนายผิดไปนะ นายคงไม่ได้โกรธฉันใช่หรือเปล่า” มิเรนน่าที่แสดงท่าทางรังเกียจเอเดรียนอย่างเปิดเผยที่สุดเอ่ยเสียงเบา
เอเดรียนตอบรับคำขอโทษโดยการเอียงคอเป็นครึ่งมุมฉากจากพื้นโต๊ะ พูดว่า “ครั้งหน้า ฉันขอค่าตัดผมร้านเธอราคาพิเศษได้หรือเปล่า” กับลูกสาวร้านตัดผมในย่านชุมชน ก่อนจะได้รับคำตอบว่า “เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ฉันจะเป็นคนตัดให้เองนะ” แล้วเขาก็ไม่พูดอะไรต่ออีกเลย เป็นอันว่ายอมรับข้อตกลงทั้งสองฝ่าย
“ขอฉันพูดสักนิดนะคะ” มีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้นมาจากข้างหลัง เด็กสาวผมสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกเพื่อนเมินในตอนเช้านั่นเอง
“ถ้าเธอไม่พูดจะดีกว่านะ” เอเดรียนพึมพำทั้งที่ยังหันหน้าชนกับโต๊ะ
แต่ก่อนที่ลูน่าจะมีโอกาสได้พูด อาจารย์ก็เข้ามาในห้อง แล้วก็เข้าสู่บรรยากาศการเรียน
การเรียนในวันที่สองก็คล้ายๆ วันแรก แค่อาจารย์เข้ามาแนะนำรายวิชาก็ปล่อยนักเรียนในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ระเบียงฝั่งปีสองกับปีหนึ่งจึงมีนักเรียนออกมาเดินระหว่างคาบ ห้องเรียนของเอเดรียนก็เช่นกัน นักเรียนแต่ละคนที่ได้รับเวลาว่างจึงจับกลุ่มพูดคุยในระหว่างที่อาจารย์ยังนั่งอยู่ในห้อง ซึ่งอาจารย์คนนั้นก็กำลังพูดคุยกับนักเรียนอยู่เช่นกัน
“วันนี้ก็ปล่อยว่างอีกแล้ว แต่สัปดาห์หน้าคงไม่เป็นอย่างนี้แล้วสินะ” เอเดรียนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ คิดอยู่ว่าเขาจะมาโรงเรียนในวันนี้ไปทำไม เมื่อเขาเบื่อถึงขีดสุดจึงหันกลับไปมองโต๊ะเรียนข้างหลัง ปรากฏว่าเจ้าของโต๊ะหายไปแล้ว “อ้าว ลูน่าหายไปไหนล่ะ เมื่อกี้ก็ยังเห็นอยู่เลย”
เขามองหาเธอทั่วห้อง จนสุดท้ายก็หันไปพึ่งพาเพื่อนร่วมห้องที่นั่งอยู่ติดกับลูน่า เธอน่าจะรู้ความเคลื่อนไหวของลูน่าที่นั่งอยู่ติดกัน อีกฝ่ายก็เห็นท่าทางของเขาจึงพูดขึ้น ลูน่าลุกออกไปตั้งแต่ที่ได้ยินอาจารย์บอกว่าจบการสอนในคาบนี้แล้ว และเธอมีแผนที่จะไปยังห้องเรียนของนักเรียนม.4
“ห้องเรียนของพวกรุ่นน้อง ที่นั่นมีอะไรน่าสนใจนักหรือยังไง” เขาพ่นลมทางจมูกอย่างเหนื่อยหน่าย
“ไม่รู้สิ แต่ฉันคิดว่า” เพื่อนคนนั้นเริ่มมีท่าทางลังเลใจ “มันเป็นไปได้ไหม ถ้าลูน่าไปท่นั่นเพราะทำตามสิ่งที่พูดเอาไว้เมื่อวาน เรื่องที่มีแม่มดเข้าเรียนในชั้นปีหนึ่ง แล้วฉันก็เคยอ่านเจอสัญลักษณ์ของลัทธิหนึ่งในหนังสือ มันเหมือนกับตัวหนีบผมของลูน่าเลย รู้สึกว่าเป้าหมายหลักของลัทธินั้นก็เป็น…”
“เกี่ยวกับแม่มดอีกแล้วเหรอ” ก่อนที่เธอจะพูดจบ เอเดรียนก็ส่งสายตาเครียดอย่างหนักจนเธอเริ่มหนักใจ “เธอเชื่อสิ่งที่ลูน่าพูดเหรอ เรื่องแม่มดที่ว่ามันก็แค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้นแหละ ขนาดฉันยังรู้เลยว่ามันไม่มีจริง แม่ฉันเคยบอกตั้งแต่เด็กว่าไม่มีแม่มดอยู่ในโลกนี้จริงหรอก ทั้งแม่มดในบ้านลูกกวาด หรือแม่มดน้อยในจินตนาการ อย่าไปจริงจังกับคำพูดนั้นมากเลย”
“นิทานคืออะไรเหรอ” เธอฟังข้ามทุกคำพูดของเขา แล้วยกสิ่งนี้ขึ้นถามอย่างสงสัย “แล้วใครที่ไหนจะไปสร้างบ้านจากลูกกวาดได้ นายยังสติดีอยู่หรือเปล่า”
เอเดรียนเลือกที่จะไม่สนใจแล้วก็หันกลับไปมองเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ นอกจากห้องเรียนนี้ก็ยังมีชั้นเรียนม.5 อีกห้องหนึ่งอยู่ติดกันนี้เอง เรียกได้ว่าเป็นม.5/2
ในนักเรียนชั้นปีเดียวกันทั้ง 60 คนก็มีบุคลิกต่างกัน ทั้งตั้งใจเรียนจนเข้าขั้นหมกมุ่น หรือเล่นกีฬาจนไม่สนใจการเรียน แต่ไม่มีใครที่จะสุดขั้วได้อย่างลูน่าที่ประกาศตัวโพล่งเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน เรียกคะแนนเมินข้ามได้อย่างมหาศาลอย่างนั้น
แล้วคาบเรียนถัดไปก็เริ่มขึ้น ลูน่าก็กลับมานั่งข้างหลังเขาเหมือนเดิม จนเมื่ออาจารย์ปล่อยให้เป็นเวลาว่าง เธอก็หายไปจากห้องอีกครั้ง จุดหมายของเธอก็คือ ห้องเรียนของชั้นปีหนึ่งเช่นเดิม และในครั้งนี้ เธอรีบร้อนมากถึงขนาดที่ผลักเก้าอี้ถอยหลังจนล้มแล้วไม่หันกลับมาจัดเข้าที่ แต่ก็ได้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ช่วยจัดให้
ในคาบเรียนที่สาม เธอกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง โดยมีท่าทางกระวนกระวายจะลุกออกไปให้ได้ ดูเหมือนว่าเธอจะจริงจังกับการไปที่ห้องเรียนของรุ่นน้องเหลือเกิน แต่ก็ไม่มีใครสนใจว่าเธอจะไปทำอะไรที่นั่นเลย เอเดรียนที่นั่งอยู่ตรงหน้า และต้องกลับบ้านด้วยกันตั้งแต่วันนี้ไปก็ไม่สนใจด้วยซ้ำ จนถึงเวลาพักกลางวัน ช่วงเวลาที่นักเรียนทั้งสามชั้นปีจะถูกปล่อยไปที่โรงอาหาร นักเรียนทุกคนเริ่มเดินไปยังโรงอาหาร และเพราะมีนักเรียนปีสามเพิ่มขึ้นมา จำนวนนักเรียนที่ระเบียงจึงแน่นเป็นพิเศษ
เอเดรียนถูกสะกิดจากข้างหลัง เมื่อหันไปก็พบว่าลูน่ากำลังเรียกเขาอยู่
“มาข้างนอกด้วยกันหน่อย ฉันไม่อยากให้เป็นที่สังเกต” เธอชี้ออกไปนอกประตูหลังห้อง
เขาเดินตามเธอไปยังระเบียง เมื่อเห็นว่าไม่มีคนในห้องตามมา ลูน่าจึงเริ่มพูดกับเขาด้วยเสียงกระซิบ ซึ่งหากไม่ตั้งใจฟังก็จะถูกเสียงของนักเรียนคนอื่นๆ ดังกลบจนฟังไม่รู้เรื่อง ท่าทางของเธอราวกับไม่ต้องการให้ใครก็ตามได้ยินสิ่งที่เธอกำลังพูดอยู่ในตอนนี้
“เอเดรียน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแล้ว นายสนใจจะเข้าร่วมกับฉันหรือเปล่า”
“เข้าร่วมกับเธอ ร่วมอะไร” เอเดรียนถาม เขานึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ในตอนนั้น ลูน่าพูดสิ่งนั้นออกมา
“นายจำเรื่องที่ฉันพูดเมื่อวานนี้ได้ไหม ตอนที่แนะนำตัวหน้าชั้นเรียนน่ะ” ลูน่าเผยรอยยิ้มกับตัวเอง “ใช่ ฉันกำลังหมายถึงเรื่องแม่มดที่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนี้ฉันได้เบาะแสเพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่งแล้วนะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็โชคดีนะ ฉันไปที่โรงอาหารก่อนล่ะ” เอเดรียนโบกมือลา แต่ลูน่าก็จับเขาไม่ให้หนี แล้วกระชากกลับไปที่เดิม ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมาก “อะไรเล่า ถ้าเธออยากเล่นเกมล่าแม่มดนักก็เล่นไปคนเดียวสิ ฉันไม่เข้าใจยามว่างของคนจากเมืองหลวงเลยจริงๆ ถ้าจะล้อเล่นก็อย่าดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวสิ”
“ใครบอกว่าฉันพูดเล่นกันล่ะ” ดวงตาของลูน่าจริงจังผิดปกติ “ใช่ ฉันหมายถึงพวกแม่มดจริงๆ แม่มดที่ใช้เวทมนต์ได้จริง พวกตัวแทนของปีศาจที่ใช้เวทมนต์สาปแช่งคนบริสุทธิ์หรือปรุงยาสารพัดน่ะ”
“ดูเหมือนว่าเธอจะชอบนิทานเรื่องแม่มดมากเหลือเกินนะ ฉันว่าเธอหยุดพูดเรื่องนี้สักทีเถอะ ก่อนที่คนอื่นจะมองเธอผิดปกติไปมากกว่านี้ เดี๋ยวจะไม่มีใครคบเธอจนเรียนจบเอานะ”
“อะไรคือนิทานเหรอ” ลูน่าเอียงคอถาม นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่มีคนพูดประโยคนี้กับเขา เอเดรียนไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนที่ได้ฟังคำว่านิทานต้องมีการตอบรับอย่างนั้นเสียหมด “ฉันจะเล่าให้ฟังเองนะ นายจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ว่าเรื่องพวกนี้เคยเกิดขึ้นจริง เรียกว่าเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันเป็นตำนานและตัวอักษรเลยล่ะ”
…ก่อนที่โลกจะสงบสุขอย่างนี้ มันเคยเป็นยุคสมัยของผู้กล้ามาก่อน
…พวกปีศาจเข้ารุกรานโจมตีมนุษย์ โดยมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่จับอาวุธเข้าต่อสู้อย่างห้าวหาญ เสียสละเลือดเนื้อไปไม่รู้กี่หมื่นชีวิต จอมปีศาจก็ถูกโค่นลงได้สำเร็จ ปีศาจที่เหลืออยู่ก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น ผู้คนเฝ้ารำลึกถึงวันที่ผู้กล้าคนสุดท้ายสละชีวิตเพื่อโค่นล้มการปกครองโดยพวกปีศาจ และนับวันครบรอบวันนั้นเป็น ศ.อ. (ศักราชแห่งการปลดแอก)
…หลังจากนั้นเป็นต้นมา สิ่งอันตรายที่ยังเหลือก็มีเพียงมนุษย์ที่เริ่มหันมาปองร้ายกันเอง
…แต่ในจำนวนคนอันตรายนั้น มีอยู่ประเภทหนึ่งที่น่ากลัวที่สุด
…กำจัดคนที่ไม่ชอบโดยไม่ใช้อาวุธ เสกให้พืชผลและพวกสัตว์ล้มตาย ปรุงยาที่สามารถรักษาได้ทุกโรค หรือฆ่าแม้แต่คนที่แข็งแรงที่สุดด้วยพลังที่หยิบยืมจากปีศาจ แต่ต่างจากพวกปีศาจตรงที่พวกแม่มดเป็นมนุษย์ เพราะว่าเป็นมนุษย์จึงระบุตัวตนไม่ได้ว่าใครที่มีปีศาจแฝงตัวอยู่ในจิตใจ กว่าจะรู้ก็ตอนที่พวกมันใช้เวทมนต์ฆ่าคนไปแล้ว
…จากความสูญเสียที่เกิดขึ้น มีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์ ใช้พรจากสวรรค์ลงทัณฑ์เหล่าแม่มด
…และ ศ.อ.50 พวกแม่มดก็ถูกกวาดล้างไป พร้อมกับศาสตร์อันตรายทั้งหมด
“แต่ก็ยังมีเรื่องเล่าที่ว่าพวกแม่มดไม่ได้หายสาปสูญไปไหน แต่แฝงตัวกลมกลืนกับมนุษย์ สืบเชื้อสายอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงจะยืนยันแน่ชัดไม่ได้ แต่ถ้าแม่มดที่เหลือรอดพวกนั้นเริ่มวางแผนที่จะแก้แค้นมนุษย์ มันก็ต้องมีคนที่คอยเฝ้าระวังและจับกุมแม่มดที่เหลือรอดเหล่านั้น นั่นคือหน้าที่ที่ฉันได้รับมอบหมาย และฉันจะทำมันให้ดีที่สุด” ลูน่าพูดอย่างภาคภูมิใจ
“เข้าใจแล้ว สรุปก็คือแม่มดที่เธอพูดถึงเมื่อวานนี้มีอยู่จริง แล้วเธอก็เป็นนักล่าแม่มด อะไรทำนองนี้ใช่ไหม”
“เข้าใจได้ถูกแล้ว” ลูน่าพยักหน้าหงึกๆ เธอเริ่มใจชื้นที่เอเดรียนเริ่มฟังสิ่งที่เธอพูด เขาวางมือทั้งสองลงบนไหล่ ดวงตาและเส้นผมของเธอสั่นไหวไปชั่วครู่ แล้วเขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา เป็นประโยคสุดท้ายที่เธออยากจะได้ยิน
“กำลังฝันกลางวันอยู่สินะ รีบตื่นขึ้นมาเผชิญความจริงได้แล้ว”
“ไม่ใช่นะ! ฉันพูดจริง ถ้านายไม่เชื่อฉัน ฉันเอาหลักฐานให้นายดูก็ได้ คอยดูให้ดีนะ ที่หนีบผมอันนี้…”
“ฉันฟังมาพอแล้ว เอาไว้ฉันจะไปบอกคุณเอลรี่ให้ไล่เธอไปจากบ้านซะเลย แล้วคอยดูว่าคุณนักล่าแม่มดจะหาที่อยู่ใหม่ด้วยวิธีไหน” แล้วเขาก็ตรงไปยังโรงอาหารโดยไม่สนใจลูน่าที่กำลังพูดอยู่เลย แม้ว่าเธอจะเปลี่ยนกลับเป็นคุณหนูจากเมืองหลวงพูดจาหว่านล้อมเท่าไหร่ก็ไม่รับฟัง จนสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นคำขอโทษแทน
เมื่อไปถึงโรงอาหาร สถานที่นั้นอัดแน่นไปด้วยนักเรียนจากทั้งโรงเรียน แม้จะรวมจำนวนอาจารย์เข้าไปแล้วจะมีอยู่แค่สองร้อยคนก็ตาม แต่โรงอาหารก็แคบจนจำนวนแค่นั้นก็เต็มแล้ว กำแพงและหลังคาก็สะท้อนเสียงพูดคุยจนดังก้อง เพราะเหตุนั้นจึงมีนักเรียนหลายคนที่จัดปิ่นโตของตัวเองไปกินนอกโรงอาหาร เอเดรียนก็คิดว่าจะทำบ้างเหมือนกัน ถ้าเอลด้าไม่ได้บอกว่าให้เขาเป็นคนทำปิ่นโตของตัวเอง เอเดรียนที่รู้ฝีมือทำอาหารของตัวเองดีจึงยกเลิกความคิดทันควัน
“ลูน่า ฉันจองที่นั่งเอาไว้ให้แล้วนะ มานั่งด้วยกันสิ”
ทั้งสองหันไปเห็นเครเซลโบกมือเรียกอยู่ไกลๆ เด็กสาวที่ถูกเรียกหันไปตามเสียงแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ก่อนจะเดินไปตามเสียงเรียก ทิ้งเอเดรียนเอาไว้คนเดียว ภาพของลูน่าที่ได้รับการต้อนรับจากกลุ่มเพื่อนที่ทั้งจองที่นั่งและซื้ออาหารเที่ยงพร้อมแบ่งเอาไว้ก่อนแล้วเป็นภาพที่ทำร้ายจิตใจของเขาอย่างมาก อย่างน้อยถ้าคำพูดเมื่อครู่นี้มีเขาอยู่ด้วย หรือถ้าใครสักคนในกลุ่มกวักมือเรียกให้เข้าไปนั่งด้วยก็คงจะดี
“อย่างน้อยก็เรียกฉันสักหน่อยสิ” เอเดรียนขยับปากขณะที่มองลูน่าเดินจากไป “แต่เอาเถอะ ถ้าซื้อข้าวเที่ยงไปนั่งกินที่อื่นแล้วค่อยเอาจานมาคืนจะได้ไหมเนี่ย” แล้วเดินไปต่อแถวซื้ออาหารที่ยาวเหยียด ปลายแถวขยับไปอย่างเชื่องช้าราวกับติดอยู่ท้ายฝูงหอยทาก จนเหลืออีกสองคนก็จะถึงคิวของเอเดรียน มีเสียงดังขึ้นข้างใบหูแข่งกับเสียงท้องร้องที่ดังขึ้นตรงจังหวะพอดี
“อ้าว เอเดรียน เธอยังไม่ได้ซื้ออาหารอีกเหรอ มานั่งกับฉันก็ได้นะ” สาวน้อยที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารคนเดียวพูดกับเอเดรียน บนโต๊ะของเธอมีอาหารจำนวนมากที่เธอคนเดียวไม่มีวันกินได้หมดวางอยู่ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว สิ่งแรกที่เอเดรียนตอบสนองต่อคำพูดที่โอบอ้อมอารีของเธอก็คือ ยืนตัวแข็งทื่อ
“คุณเอลรี่ ทำไมถึงอยู่ที่นี่”
“ทำไมเหรอ ฉันก็มากินข้าวเที่ยงน่ะสิ แต่ว่าฉันสั่งมาเยอะเกินไป เธอช่วยฉันกินหน่อยสิ พวกเธอทุกคนที่ต่อแถวอยู่จะมานั่งด้วยกันก็ได้นะ” เอลรี่พูดไปอย่างนั้น สุดท้ายคนอื่นที่เธอพูดถึงก็ยืนต่อแถวต่อไปด้วยความเกรงใจ ยกเว้นเอเดรียนที่ตอบรับคำชวนแล้วลงไปนั่งกับเธอเพียงคนเดียว ท่ามกลางสายตาที่มองเขา เอเดรียนไม่รู้สึกอะไรนอกจากวางตัวไม่ถูก จนเอลรี่ที่เห็นท่าทางนั้นยิ้มให้อย่างเอ็นดู “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรเธอหรอก ทำตัวให้สบายแล้วกินข้าวเที่ยงกันเถอะนะ ก่อนที่จะหมดช่วงพักกลางวันซะก่อน”
เอเดรียนพยักหน้าแล้วหยิบช้อนขึ้นมาถือ มีอาหารน่าอร่อยวางอยู่ตรงหน้า แต่ช้อนกลับไม่ขยับเลย ทั้งที่เขาหิวจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว ขณะนั้น อาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะค่อยๆ หายเข้าไปในกระเพาะของรุ่นพี่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ตอนอยู่ที่บ้านฉันลืมถาม แต่ว่าเพื่อนใหม่ของเธอเป็นยังไงบ้างเหรอ พอจะนิสัยดีใช่หรือเปล่า”
เอลรี่เริ่มพูดด้วยท่าทางอบอุ่น แต่เอเดรียนก็เริ่มพูดกับเธอด้วยความไม่พอใจ น้ำเสียงสั่นๆ หายไปแล้ว
“ไม่ไหวเลยครับ ลูน่าเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกกันชัดๆ เอาแต่พล่ามเกี่ยวแม่มดอย่างเดียวเลย แถมเมื่อคืนนี้ที่ผมกลับถึงบ้านมืดก็เพราะว่าลูน่าพาผมไปเล่นเกมตามหาแม่มดในป่า แล้วไปรบกวนเจ้าของกระท่อมที่อาศัยอยู่คนเดียวอีก ไม่รู้ว่าตอนไปอยู่เมืองหลวงไปเจออะไรเข้าถึงกลายเป็นพวกละเมอเพ้อพกได้ขนาดนี้ ใครๆ ก็รู้กันอยู่ว่า…”
“มีจริงสิ” เอลรี่พูดขัดเอเดรียนที่ยังพูดไม่จบ “แม่มดมีอยู่จริง รวมถึงผู้กล้าและปีศาจด้วย ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงนะ”
คำพูดนั้นทำให้เอเดรียนอึ้ง ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่มีจริง แต่เขาก็ไม่อาจโยนทิ้งคำพูดของเอลรี่ได้
“เมื่อกี้นี้ว่าอะไรนะครับ เรื่องผู้กล้ากับปีศาจที่พูดถึงนั่น”
“มีอยู่จริงๆ ตอนนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูปหรือศิลปินที่จะเสี่ยงชีวิตไปวาดรูปพวกปีศาจก็เลยตกไปเป็นตำนานที่เชื่อถือได้ยาก แต่เรื่องราวของนักรบผู้กล้าที่ต่อสู้กับปีศาจ รวมถึงสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายทั้งหลายก็เป็นจริง ความจริงแล้ว เมืองนี้ก็เคยเป็นสมรภูมิแรกของมนุษย์กับปีศาจ แล้วมนุษย์ก็ค่อยๆ รุกคืบไปถึงใจกลางดินแดนแห่งความตายทางตะวันออก หลังจากราชาปีศาจถูกกำจัด โลกก็เกิดการพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นในตอนนี้ มันมีอยู่ในบทเรียนตอนประถมนะ แต่เธอคงรับเรื่องนั้นทั้งหมดไม่ได้หรอก” เอลรี่พูดด้วยสีหน้าจริงจังจนยากจะปฏิเสธได้ว่าเธอกำลังพูดล้อเล่น
“เรื่องจริงเหรอเนี่ย” เอเดรียนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ จนเกิดเสียงประหลาดดังขึ้นจากข้อต่อไม้
“ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามใครก็ได้เอาเลย รวมถึงคุณเอลด้าที่ยังอยู่ที่บ้านตอนนี้ด้วย แล้วทุกคนจะยืนยันเป็นเสียงเดียวกันเลยล่ะ โอ๊ะ! แถวสั้นลงถึงตรงนี้แล้วนี่นา เดี๋ยวฉันจะไปซื้อของมาเพิ่มนะ แล้วค่อยกลับมาว่ากันใหม่” เอลรี่ลุกขึ้น เอเดรียนที่ไม่อยากลำบากเธอก็จะลุกขึ้นไปซื้ออาหารมาเอง แต่เขาไม่มีแรงจะขยับตัวอีกแล้ว เมื่อได้ยินเรื่องนั้นจากเธอ… จากคนที่เขาเชื่อถือได้มากที่สุด
มันทำให้เขาอยากจะหัวเราะสุดเสียง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเสียงออกมาจากลำคอสักนิด
เขานั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะอาหารจนเอลรี่กลับมาและซื้ออาหารมาให้เอเดรียนด้วย เธอนั่งที่เก้าอี้ของตัวเองแล้วกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย โดยสายตายังมองไปยังเอเดรียนที่นั่งอยู่ท่าเดิมตั้งแต่ที่เธอลุกออกไป ท่าทางนั้นเหมือนคนที่รับรู้ว่าความจริงที่ตัวเองปฏิเสธมาตลอดเป็นความจริง แล้วพยายามปฏิเสธสิ่งที่ได้รู้สุดชีวิต
เมื่อเห็นเช่นนั้น เธอจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เอเดรียน ฉันจะเล่าอะไรดีๆ ให้เธอฟังนะ” เอลรี่พูดเสียงนิ่ง โดยดวงตาที่เลื่อนลอยของเอเดรียนกำลังมองเธออยู่ “ทุกอย่างที่ฉันเล่าไป… มันก็แค่เรื่องแต่งเท่านั้นแหละ ไม่มีเรื่องไหนเป็นจริงเลยสักอย่างเดียว สบายใจเถอะนะ”
“อะไรนะครับ!”
ทันใดนั้น ร่างกายของเอเดรียนก็กลับมามีกำลังอีกครั้ง เขาผลักตัวขึ้นจากเก้าอี้ แล้วขึ้นเสียงดังจนนักเรียนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หันมามองเป็นตาเดียว “จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดก็แค่โกหกขึ้นมาเหรอครับ ล้อกันเล่นอย่างนี้ไม่ตลกเลยนะ ผมจริงจังกับเรื่องเมื่อกี้มากเลยนะครับ จริงจังมากด้วย แต่ว่าคุณเอลรี่กลับพูดเป็นเรื่องตลก… แล้วคุณเอลรี่ซื้ออะไรมาให้ผมกันเนี่ย”
เมื่อเอเดรียนก้มลงมองจานอาหารของตัวเอง สิ่งที่เอลรี่ซื้อมาให้มีแต่ของที่เขาไม่ชอบทั้งนั้น แต่เอเดรียนก็คว้าช้อนตักอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าเข้าปาก แล้วเคี้ยวให้หายแค้น
“ไม่สนแล้ว ตอนนี้จะเป็นอะไรก็กินได้ทั้งนั้น ว่าแต่เจ้านี่อร่อยจังแฮะ สงสัยต้องซื้อกินบ้างแล้ว แล้วนี่ก็อร่อย อันนี้ก็อร่อยเหมือนกัน ทำไมคุณเอลรี่ไม่เยบอกผมเลยว่ามันอร่อยขนาดนี้” เขายัดอาหารเข้าปากทั้งน้ำตา ไม่ใช่น้ำตาจากความโกรธ แต่เป็นน้ำตาแห่งความเสียดายที่เขาทิ้งของอร่อยอย่างนี้ไปหลายหนแล้วต่างหาก
“กินเข้าไปเยอะๆ นะ รู้อะไรไหม ของที่เธอเขี่ยทิ้งตั้งแต่เด็กมีแต่ของอร่อยทั้งนั้นเลยล่ะ”
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็กินอาหารเที่ยงจนเกลี้ยง โดยเอลรี่กินเข้าไปมากกว่าสามในสี่ พวกเขาเอาจานข้าวไปเก็บแล้วกลับไปรับการเรียนในช่วงบ่ายต่อ เมื่อเอเดรียนกลับไปถึงห้องเรียนของตัวเอง เป็นช่วงเดียวกับที่พวกเครเซลกลับมาถึงห้องพอดี ดูเหมือนว่าระหว่างที่ทานอาหารด้วยกัน ลูน่าจะพูดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว เกือบทุกคนในกลุ่มจึงมีสีหน้าลำบากใจที่ต้องคุยกับเธอ ยกเว้นเครเซลที่ยังปั้นยิ้มรอยใหญ่อยู่เช่นเดิม แต่ก็คงเอือมระอาไม่แพ้คนอื่นๆ
“ถ้ามีอะไรที่อยากรู้อีกก็มาหาพวกเราได้นะ พวกเราพร้อมให้คำปรึกษาเสมอ”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ขอรบกวนเท่านี้ล่ะค่ะ” ลูน่าก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินอ้อมหลังเอเดรียนไปที่โต๊ะเรียนของเธอ แล้วหลังคอเสื้อของเขาก็ถูกกระชากถอยหลัง ดวงตาสีฟ้าของลูน่าจ้องมาที่เขาราวกับมีเรื่องไม่พอใจ ก่อนที่เธอจะตะคอกใส่เขาด้วยเสียงกระซิบ “ทำไมถึงไม่ตามฉันมา รู้ไหมว่าหลังจากที่ฉันเข้าไปนั่งกับพวกเครเซลแล้ว เจ้าโฮราคิสก็ถามหาให้นายไปนั่งด้วย แต่ฉันลุกหานายแล้วก็หาไม่เจอเลยไม่มีใจจะกินข้าว ทำฉันอารมณ์เสียตั้งแต่เที่ยงเลยนะ”
“เปลี่ยนสีเร็วกว่าที่คิดอีกนะ เธอน่ะ” เอเดรียนตอบด้วยเสียงถอนหายใจ
“ช่างเถอะ ฉันไม่ได้อารมณ์เสียขนาดที่จะทำอะไรนายหรอกนะ” ลูน่าคลายมือที่กำคอเสื้อออก ก่อนจะลุกขึ้นพูดโดยเอามือทาบหน้าอก ราวกับคำประกาศตนของผู้เลื่อมใสลัทธิอะไรสักอย่าง “เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่านายเป็นผู้อุปการะคุณที่ให้ที่อยู่กับฉัน ฉันสัญญาว่าหลังจากหน้าที่ในเมืองแห่งนี้เสร็จสิ้นเมื่อไหร่ นายจะได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อแน่นอน”
หลังจากนั้น ลูน่าก็กล่าวคำปราศรัยด้วยเสียงอันไพเราะจนเพื่อนร่วมห้องที่เบือนหน้าจากเธอต้องหันมาสนใจ การเอ่ยทุกคำพูดอย่างสดใสและเปล่งออร่าที่มองไม่เห็นประกอบ ทำให้ทุกคนหันไปสนใจเรือนร่างอันสะสวยที่ขยับอย่างมีศิลป์
ยกเว้นคนหนึ่งที่ไม่ต้องมนต์สะกดของเธอ
“เลิกพูดเล่นไร้สาระสักทีเถอะ ฉันขอร้องเถอะนะ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีก แล้วเอเดรียนก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เฝ้ารอเวลาที่เสียงกริ่งจะดังขึ้น เพื่อให้อาจารย์ประจำชั้นที่สอนวิชาแรกในคาบบ่ายพอดีจะเข้ามาในห้อง แยกเพื่อนเก่าที่น่ารำคาญคนนี้ออกไปสักที
จากมุมที่ไม่มีใครมองเห็น ข้างนอกประตูหลังห้องที่มองไปเห็นนักเรียนจำนวนหนึ่งเดินกลับไปยังห้องเรียนตัวเอง
สายตาคู่นั้นกำลังจ้องมองเส้นผมสีขาวเงินของเธออยู่
“ตัวหนีบผมอันนั้น… อย่างนี้นี่เอง ก็คิดอยู่ว่าทำไมถึงมาที่ห้องเรียนของฉันตั้งหลายครั้ง”
นักเรียนหญิงคนหนึ่งเอ่ยคำพูดนั้นเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องเรียนชั้นปีหนึ่ง เส้นผมสีดำที่ยาวถึงหลังขยับตาบการลงเท้า ทุกคนที่เธอเดินผ่านได้กลิ่นหอมจางๆ ที่ติดตามเสื้อผ้าของเธอ กลิ่นนั้นหวานหอมราวกับดอกไม้ แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทุกครั้งที่นึกถึงเส้นผมสีเงิน และตัวหนีบผมรูปกางเขนที่หนีบอยู่ที่ปลายผมด้านขวาของผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นซี่ฟันที่ขบกันแน่น และมือที่กำแน่นจนมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาลางๆ
แล้วเสียงกริ่งก็ดังขึ้น คาบเรียนช่วงบ่ายเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งวินาทีหลังจากนั้น
“สวัสดีครับ/ค่ะ!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ